พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    ทั่วโลกล้วนแซ่ซ้อง...สรรเสริญ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">2 ธันวาคม 2554 14:28 น.</td> </tr></tbody></table>


    ยูเนสโกถวายรางวัลด้านการพัฒนามนุษย์

    องค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี 2549 และเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติถวายรางวัลดังกล่าวแด่พระองค์ ในโอกาสแห่งการเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

    สำหรับองค์การสหประชาชาติ พิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรตินี้มีความหมายสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำรางวัลเกียรติยศนี้ เพื่อมอบแด่บุคคลดีเด่น ที่ได้อุทิศตนตลอดช่วงชีวิตและสร้างคุณค่าของผลงานอันเป็นที่ประจักษ์และ เป็นคุณูปการที่ผลักดันความก้าวหน้าในการพัฒนาคน

    “การพัฒนาคน” โดยแก่นแท้แล้ว เป็นแนวทางเรียบง่าย การพัฒนาคน เป็นเรื่องของการสร้างเสริมขีดความสามารถแก่ประชาชน มิใช่เพื่อเพียงคนสองสามคน มิใช่เพื่อคนจำนวนมาก แต่เพื่อคนทั้งปวงโดยถ้วนทั่ว การสร้างเสริมขีดความสามารถทำได้ โดยผ่านทางการศึกษา การขยายโอกาสและทางเลือก สุขอนามัย และโภชนาการ การพัฒนาคนเป็นเรื่องของการสร้างเสริมขีดความสามารถในการขยายโอกาสแก่ปัจเจก ชน ที่จะเลือกให้มีชีวิตยืนยาวด้วยการมีสุขพลานามัยที่แข็งแรง เป็นบุคคลากรที่มีความรู้ และความคิดที่สร้างสรรค์

    การพัฒนาคน เป็นการพัฒนาที่ให้คนเป็นเป้าหมายศูนย์กลางในการพัฒนา โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความเติบโตทางเศรษฐกิจและอย่างยั่งยืน สิทธิมนุษยชนและความมั่นคงในชีวิต ความเท่าเทียมกัน และการมีส่วนรวมทางการเมือง

    องค์การสหประชาชาติ ได้ให้ความสำคัญด้านการพัฒนาคนเป็นลำดับแรก และเราคงเพียรพยายามอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคน โดยผ่านรายงานการพัฒนาคนของยูเอ็นดีพี (Human Development Report) ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ ภายใต้ทีมงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศต่างๆ ใน 166 ประเทศทั่วโลก และโดยผ่านรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์นี้

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากการพัฒนาคน หมายถึง การให้ลำดับความสำคัญประชาชนเป็นอันดับแรก ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคน ภายใต้แนวทางการพัฒนาคนขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบรมราชาภิเษกเสด็จเถลิงถวัล ยราชสมบัติในปีพุทธศักราช 2489 พระองค์ได้ทรงพระปฐมราชโองการไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระองค์ได้ทรงอุทิศพระวรกายและทรงงานโดยมิรู้เหน็ดเหนื่อย เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของปวงชนชาวไทย โดยมิได้เลือก เชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับการขนานนามจากชาวโลกว่า “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา” พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรที่ยากไร้และด้อยโอกาสทั่วทุกภูมิภาค ทรงสดับรับฟังปัญหาทุกข์ยากของราษฎร และทรงมีพระเมตตาพระราชทานแนวทางการดำรงชีพ เพื่อให้ประชาชนของพระองค์สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงงานด้านการพัฒนาชนบท ยังประโยชน์นานัประการต่อประชาชนนับล้านในประเทศ อาทิ โครงการที่มุ่งเน้นการเกษตรขนาดเล็ก ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน รวมทั้งการป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนจากน้ำท่วมและภัยแล้ง

    นอกจากนั้น โครงการพัฒนาในพื้นที่สูงในภาคเหนือ ภายใต้โครงการในพระราชดำริ ได้เปลี่ยนสภาพพื้นที่ปลูกฝิ่นให้กลายเป็นแหล่งปลูกพืชทดแทน โครงการต่างๆในพระราชดำริเพื่อพัฒนาชนบท ทำให้คนในพื้นที่มีสุขอนามัยดีขึ้น มีโอกาสในการศึกษา และยังประโยชน์สุขแก่ประชาชนในพื้นที่และผู้อยู่อาศัยบริเวณเขตชายแดนไทยแถบ พม่าและลาวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    ในด้านการพัฒนาสังคมภายใต้โครงการพระราชดำริต่างๆ พระองค์ท่านได้ทรงสนับสนุนด้านสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก มีการรณรงค์ลดภาวะการขาดไอโอดีน รวมทั้งส่งเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษา และการยกระดับพัฒนาชีวิตของประชาชนชาวไทย

    ด้วยพระปรีชาสามารถในการเป็นนักคิดของพระองค์ท่าน ทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปแบบการพัฒนาภายใต้แนวคิดใหม่

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งชี้แนวทางการพัฒนาที่มุ่งเน้นความสมดุล องค์รวม และยั่งยืน โดยเน้นหลักการ ความพอประมาณ และการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอที่จะต้านทาน และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากกระแสโลกาภิ วัฒน์ ปรัชญาดังกล่าวซึ่ง เน้นแนวทาง “การเดินสายกลาง” ทำให้องค์การสหประชาชาติมีปณิธานมุ่งมั่นพัฒนาคน ให้ประชาชนเป็นเป้าหมายศูนย์กลางในการพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนต่อไป

    โครงการพัฒนาและปรัชญาแนวความคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เป็นแนวทางในการพัฒนาของพระองค์ท่าน และสำหรับประชาชนทุกหนแห่ง

    รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ นี้ องค์การสหประชาชาติมีปณิธานที่จะส่งเสริมประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติ ในการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันทรงคุณค่าอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่าน เพื่อจุดประกายแนวความคิดการพัฒนาแบบใหม่สู่นานาประเทศ

    ที่มา : กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ

    WIPO ถวายรางวัลผู้นำโลก
    ด้านทรัพย์สินทางปัญญา

    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> องค์การทรัพย์สินทางปัญญาไวโป (WIPO) ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา พระองค์แรกของโลก (WIPO Global Leaders Award) เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักประดิษฐ์ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 และทรงมีบทบาทในการส่งเสริมการใช้ทรัพย์สิน ทางปัญญา ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อการพัฒนาชุมชนในชนบทของไทยให้มีคุณภาพชีวิตและ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนาและเทคโนโลยีการทำฝนเทียม

    ในช่วงที่ผ่านมา กรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากกว่า 20 รายการ และเครื่องหมายการค้าอีกจำนวน 19 รายการ

    สำหรับรางวัลผู้นำโลกทางด้าน ทรัพย์สินทางปัญญา ประกอบด้วยการประกาศราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเหรียญรางวัลอันสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพ และพระวิริยะอันสูงส่งในการทรง เป็นผู้นำในการส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาในระดับชาติ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ

    ทั้งนี้ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ยังไม่เคยมอบรางวัลให้ผู้ใดมาก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระองค์แรกของโลกที่ได้ รับการถวายรางวัลฯ ดังกล่าว

    อนึ่ง องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เป็นทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ มีภารกิจในการส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยอาศัยความร่วมมือจาก ประเทศสมาชิกและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 184 ประเทศ รางวัลผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญานี้ เป็นความริเริ่มใหม่ขององค์การฯ จัดทำขึ้นเพื่อมอบให้ผู้ที่มีบทบาทในการส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญา ให้การอุปถัมภ์นวัตกรรมและความสร้างสรรค์ในระดับชาติ ดำเนินกิจกรรมที่สร้างสรรค์ และใช้ทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครองผลงานของตน โดยรางวัลดังกล่าวยังไม่เคยมอบให้ผู้ใดมาก่อน การทูลเกล้า ทูลกระหม่อมถวายรางวัลฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนี้ เนื่องมาจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกได้ประจักษ์ถึงพระราชกรณียกิจที่ทรง ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการประดิษฐ์คิดค้นเพื่อการพัฒนาชุมชนในชนบทให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็น อยู่ที่ดีขึ้น เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา และเทคโนโลยีการทำฝนเทียม อีกทั้งมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไว้มากกว่า 20 รายการ และเครื่องหมายการค้าอีก 19 รายการ นอกจากนี้ ยังทรงเป็นศิลปินที่มีผลงานมากกว่า 1,000 รายการ อาทิ เพลงพระราชนิพนธ์ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ และจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ เป็นต้น

    ทั้งนี้ เมื่อ พ.ศ. 2544 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกได้เคยทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายรางวัลนักประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับสิ่งประดิษฐ์กังหันน้ำชัยพัฒนา มาวาระหนึ่งแล้ว

    ต่างชาติเชิดชูในหลวง
    ทรงทุ่มเทแก้ปัญหาน้ำทั้งชีวิต

    สำนักข่าวเอพีรายงานสรรเสริญพระราช ดำริและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงทุ่มเททำงานเพื่อป้องกันภาวะน้ำท่วมมากกว่าใครๆ ตลอดชีวิตของพระองค์

    เอพีรายงานว่า พระองค์ได้ทรงเตือนมาหลายครั้งถึงการบริหารจัดการน้ำท่วม ตลอดจนทรงเคยเตือนถึงเรื่องการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของกรุงเทพฯ ทรงได้เสนอแนวทางบรรเทาความเสียหายจากวิกฤตน้ำที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูมรสุมของทุกๆปี

    เอพีชี้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังชดใช้กับสิ่งที่ชาวไทยเพิกเฉยต่อคำเตือนของพระองค์ โดยที่ความสามารถอย่างจำกัดของมนุษย์นั้นไม่อาจต้นทานพลังมหาศาลของธรรมชาติ ได้

    รายงานอ้างนักวิเคราะห์ด้วยว่า การวางแผนในการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ การทำงานของบุคคลเพียงหนึ่งคนนั้นไม่อาจแทนที่การทำงานที่เป็นเครือข่ายและ ความร่วมมือที่เป็นระบบ ผ่านการวางแผนมาอย่างดี ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า สิ่งดังกล่าวเป็นเรื่องที่คนไทยกำลังขาดอย่างยิ่ง

    “แม้กระทั่งในห้วงเวลาแห่งวิกฤตน้ำ ที่กำลังไหลเข้าท่วมกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน พระองค์ยังประทานแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ ถึงวิธีการที่จะเปิดช่องทางน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด ในครั้งนี้มีความแตกต่างที่พระองค์ไม่อาจดูแล หรือเร่งรัดการดำเนินการใดๆ กับเหล่าราชการที่เฉื่อยชาได้” รายงานระบุ

    สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ว่าพระองค์ทรงมี วิสัยทัศน์ในการจัดการน้ำอย่างยาวไกล ก็คือผลงานการริเริ่มพัฒนาโครงการส่วนพระองค์เกี่ยวกับการเก็บกักน้ำจืดและ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในปี 2506 ที่หัวหิน และในวันนี้โครงการในพระราชดำริของพระองค์มีมากถึง 4,300 แห่งทั่วประเทศ โดย 40% เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งสิ้น

    “แนวคิดและวิสัยทัศน์ของพระองค์ที่เย วกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้สะท้อนให้เห็นผ่านนโยบายบริหารจัดการทรัพากรน้ำต่างๆทั่วประเทศที่กระทำ อย่างต่อเนื่องกันมาอย่างน้อย 40 ปี” เดวิด เบรก ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำแห่งมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียในอังกฤษ กล่าว

    ถึงแม้พระองค์จะไม่ได้ทรงรับการศึกษา เฉพาะทางในเรื่องทรัพยากรน้ำ แต่กลับฉายพระอัจฉริยะภาพในด้านทักษะทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ได้อย่างโดด เด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุคทศวรรษ 1990 ที่พระองค์ทรงเริ่มเตือนถึงความเสี่ยงของกรุงเทพฯในขณะที่คนอื่นๆกำลัง ตื่นเต้นกับกระแสการพัฒนาที่กำลังบูมในเอเชีย


    -http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9540000153797-

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    2 ชื่อธาตุใหม่ในตาราง “ลิเวอร์มอเรียม-เฟลรอเวียม”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ธันวาคม 2554 15:47 น.


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">"เฟลรอเวียม" และ "ลิเวอร์มอเรียม" 2 ธาตุใหม่ในตารางธาตุลำดับที่ 114 และ 116 (ภาพจากห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์/ไลฟ์ไซน์) </td> </tr> </tbody></table>


    “ลิเวอร์มอเรียม” และ “เฟลรอเวียม” คือ 2 ชื่อธาตุใหม่ในตารางลำดับที่ 114 และ 116 ซึ่งได้ชื่ออย่างเป็นทางการหลังสังเคราะห์ขึ้นมาได้กว่า 10 ปี และได้รับการรับรองจากนักฟิสิกส์และนักเคมีเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าธาตุทั้งสองจะเป็นธาตุหนักที่ไม่เสถียรและสลายตัวในเวลาอันสั้น

    ทั้งนี้ ไลฟ์ไซน์ระบุว่า สหพันธ์เคมีบริสุทธิ์และประยุกต์สากล (International Union of Pure and Applied Chemistry: IUPAC) ได้ประกาศรายชื่อของธาตุใหม่ 2 ธาตุ สำหรับธาตุลำดับที่ 114 และ 116 คือ “เฟลรอเวียม” (flevorium) และ “ลิเวอร์มอเรียม” (Livermorium) เมื่อ วันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา และต้องใช้เวลาอีก 5 เดือนในการรับฟังความเห็นสาธารณะก่อนที่จะมีการดำเนินการทางด้านเอกสารและ พิมพ์ชื่อใหม่ลงในตารางธาตุได้ ซึ่งตอนนี้มีธาตุลำดับที่ 110, 111 และ 112 ที่ผ่านขั้นตอนนี้แล้ว

    ธาตุทั้ง 5 นั้นเป็นธาตุหนักและไม่เสถียร โดยสังเคราะห์ขึ้นได้ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น และเมื่อสังเคราะห์ขึ้นมาได้ก็จะสลายไปเป็นธาตุอื่นอย่างรวดเร็ว เราไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับธาตุเหล่านี้เพราะการสลายตัวไปอย่างรวดเร็วจน เราไม่สามารถนำมาทำการทดลองได้ อีกทั้งเรายังไม่พบธาตุใหม่เหล่านี้ในธรรมชาติด้วย เราเรียกธาตุหนักเหล่านี้ว่า “ธาตุซูเปอร์เฮฟวี” (super heavy) หรือ “ธาตุทรานซูราเนียม” (transuranium)

    สำหรับธาตุลำดับที่ 114 และ 116 นั้นได้การยอมรับอย่างเป็นทางการในการบรรจุลงตารางธาตุเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเดิมทีธาตุทั้งสองนี้ได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรกมานานกว่า 10 ปีแล้ว และหลังจากการทดลองสังเคราะห์ธาตุเหล่านี้ได้ซ้ำหลายๆ ครั้ง จึงนำไปสู่การยืนยันและยอมรับธาตุใหม่ ทั้งนี้เฟลรอเวียมมีสัญลักษณ์ธาตุคือ Fl ส่วนลิเวอร์มอเรียมมีสัญลักษณ์ธาตุคือ Lv

    ทั้งเฟลรอเวียมและลิเวอร์มอเรียมถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในสถาบันร่วม เพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ (Joint Institute for Nuclear Research) ของรัสเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองดุบนา รัสเซีย โดยนักวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยอเมริกันจาก ห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์สหรัฐฯ (Lawrence Livermore National Laboratory) ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ โดยห้องปฏิบัติการของรัสเซียยังยังสังเคราะห์ธาตุลำดับที่ 113, 115, 117 และ 118 ได้ แต่ยังไม่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เคมี ซึ่งเมื่อได้รับการรับรองแล้วก็จะได้รับการตั้งชื่อและผ่านการรับฟังความ เห็นจากสาธารณะเช่นเดียวกัน

    สำหรับธาตุที่ 114 นั้นมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้ว่า “อูนอูนควอเดียม” (Ununquadium) และได้ชื่อเฟลรอเวียมตามชื่อห้องปฏิบัติการเฟลรอฟ (Flerov Laboratory) ของสถาบันวิจัยนิวเคลียร์รัสเซีย ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์จี เฟลรอฟ (Georgiy Flerov) นักฟิสิกส์ชาวรัสเซียที่มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1913-1990 ซึ่งงานและจดหมายของเฟลรอฟที่ส่งถึง โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ผู้นำของอดีตสหภาพโซเวียตขณะนั้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาโครงการระเบิดปรมาณูของอดีตสหภาพโซเวียต ทั้งนี้ นักวิจัยเห็นสัญญาณของธาตุเฟลรอเวียมครั้งแรกหลังจากยิงไอออนแคลเซียมใส่ เป้าพลูโตเนียม

    ส่วนธาตุที่ 116 นั้นมีชื่อชั่วคราวว่า “อูนอูนเฮกเซียม” (Ununhexium) และเกือบจะได้ใช้ชื่อว่า “มอสโคเวียม” (moscovium) เพื่อเป็นเกียรติแก่กรุงมอสโกว์ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของห้องปฏิบัติการที่ สังเคราะห์ธาตุขึ้นมา แต่สุดท้ายนักวิจัยอเมริกันก็ได้ชัยในการตั้งชื่อธาตุใหม่ โดยพวกเขาได้ตั้งชื่อตามห้องปฏิบัติการแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเมืองลิ เวอร์มอร์ โดยนักวิจัยสังเกตเห็นธาตุลิเวอร์มอเรียมครั้งแรกเมื่อปี 2000 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้เร่งธาตุแคลเซียมและคูเรียมให้ชนกัน

    บิล โกลด์สไตน์ (Bill Goldstein) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักอำนวยการวิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ ของห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์ กล่าวว่าวัตถุประสงค์ในการตั้งชื่อธาตุอันมีเกียรตินี้ไม่ได้เพื่อยกย่องนัก วิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการที่เป็นชื่อของธาตุใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการยกย่องในความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการ ทั้งสองแห่งด้วย

    ยังมีอะตอมของธาตุหนักซูเปอร์เฮฟวีชุดหน้าที่รอการฉกชิงเพื่อตั้ง ชื่อ ซึ่งไลฟ์ไซน์ระบุว่าเป็นไปได้ที่ชื่อธาตุมอสโคเวียมจะกลับมาอีกครั้ง

    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000154500-

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    84 พรรษา มหาราชา “พระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์” <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</td> <td class="date" align="left" valign="middle">3 ธันวาคม 2554 06:56 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]





    ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

    60 กว่าปีของการครองราชย์ และนับเป็นเวลาหลายสิบปีของการต่อสู้ที่เนิ่นนาน จากพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะเอาชนะความทุกข์ยากเดือดร้อนของพสกนิกร โดยไม่เคยหยุดคิด ไม่เคยหยุดทำเพื่อพสกนิกรของพระองค์ ดังที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยังถิ่น ทุรกันดารห่างไกล ท่ามกลางสายฝนและเปลวแดดที่แผดร้อน ทรงงานจนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า...

    นั่นคือช่วงเวลาที่พระองค์ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แม้ยากยิ่งที่จะเอาชนะ แต่พระองค์ก็ยังทรงหาญกล้า ฟันฝ่า และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่าเป็นการต่อสู้ที่ทรงมีพสกนิกรเป็นเดิมพัน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาเรื่อง “น้ำ”

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า “น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีพ เพราะ “น้ำคือชีวิต” ฉะนั้นพระองค์จึงทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำมาตลอดระยะเวลาอันยาว นาน

    รวมถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดจากภัย “น้ำท่วม”

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเข้ามาเป็นผู้กำกับ เป็นหลักชัยมาเป็นเวลาหลายสิบปี พระองค์ได้ทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองมาโดยตลอดด้วยความวิริยะอุตสาหะอัน สูงส่งของพระองค์ท่าน แม้ตลอดเวลาที่ผันผ่านไปคือช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นของพระชนมายุ แม้พระราชภาระอันหนักหนาสาหัสนั้นหาใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งจะพึง กระทำได้ครบถ้วน แม้จะประชวรและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่พระองค์ก็ไม่เคยหยุดที่จะต่อสู้กับความทุกข์ยากเดือดร้อน ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพื่อพสกนิกรของพระองค์

    โดยหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าระบบการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และทุกภาคทั่วประเทศ มีรากฐานสำคัญมาจากแนวพระราชดำริของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ที่พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี 2500 เศษๆ และกับ “มหาอุทกภัย” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้พระราชทานแนวพระราชดำริป้องกันน้ำท่วมเอาไว้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์จะเลวร้ายรุนแรงมากกว่าที่เห็นและเป็นอยู่ เพียงใด

    อีกทั้งหลายๆ เรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดันน้ำ การสร้างแนวน้ำท่วมไหลผ่าน การตัดเจาะถนน การกั้นน้ำ การสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น การระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล ฯลฯ พระองค์ท่านทรงเคยให้คำอธิบายและแนวทางวิธีการทำงานเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครนำพา...

    **พระราชดำรัสในหลวงป้องกันน้ำท่วม ปี 38

    ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งเรื่องการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 2538 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เวลา 20:40-22:45 วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2538

    วันที่ 18 กันยายน 2538 ฝนตกหนักในกรุงเทพฯ พายุดีเปรสชั่น Ryan ทำให้ฝนตกมากเหนือประเทศไทยและกรุงเทพฯ น้ำเหนือไหลบ่าลงมาจะเข้าท่วมกรุงเทพฯ การระบายน้ำออกจากเขื่อนสิริกิติ์ทำมากกว่าเขื่อนภูมิพล สร้างปัญหาน้ำจะเข้าท่วมกรุงเทพฯปี 2538

    ทันทีในวันรุ่งขึ้น วันที่ 19 กันยายน 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกประชุมข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นการ ด่วน ทรงอธิบายต่อที่ประชุมฉุกเฉินข้าราชการกรมชลประทาน (อธิบดี และรองอธิบดี -ปราโมทย์ ไม้กลัด, สวัสดิ์ วัฒนายากร, รุ่งเรือง จุลชาต), ผู้ว่าฯกทม. (กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา), ปลัด กทม. (ประเสริฐ สมะลาภา) และองคมนตรี ที่มีความชำนาญเรื่องน้ำและวิศวกรรม รวมทั้งข้าราชการผู้ชำนาญเรื่องน้ำอีกหลายท่าน ทุกคนนั่งร่วมโต๊ะประชุมแบบล้อมวงรีร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับสั่งให้เร่งแก้ปัญหาพร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดทางวิชาการ วิธีการทำงานป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ให้น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตามธรรมชาติของน้ำ

    พระองค์ทรงวิจารณ์พร้อมข้อมูลสนับสนุนว่า เมื่อเกิดพายุดีเปรสชั่น Ryan ฝนตกมาก น้ำเหนือเขื่อนใหญ่ต้องระบายออก แต่ก็ทรงให้พระราชวินิจฉัยว่าปล่อยน้ำออกจาก "เขื่อนพระราชินี" (เขื่อนสิริกิติ์) มากเกินไป แต่ทำไมจึงระบายน้ำจาก "เขื่อนพระราชา" (เขื่อนภูมิพล) ออกมาน้อยมาก ที่ถูกควรเร่งระบายน้ำจาก "เขื่อนพระราชา" ให้มากกว่า "เขื่อนพระราชินี" ในเรื่องเขื่อนนั้นโครงการเขื่อนป่าสัก และเขื่อนแก่งเสือเต้นมีความสำคัญ และควรจะได้ทำความเข้าใจกับประชาชนที่คัดค้านโครงการแก่งเสือเต้นให้ดี

    ที่สำคัญ การจัดการปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านที่จะทะเลาะทำลายคันกั้นน้ำ ของกันและกัน ก็เป็นปัญหาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนไว้ด้วยความห่วงใย และย้ำให้รัฐบาลดูแลประชาชนให้ดีก่อนจะเกิดน้ำท่วม ลงทุนป้องกันมิให้เกิดน้ำท่วมจะดีกว่าประหยัดกว่าการฟื้นฟูซ่อมแซมและช่วย ประชาชนเมื่อเสียหายหมดแล้วหลังน้ำท่วม

    ทรงแนะให้ขุดตัดถนนที่ขวางทางน้ำ ขุดใต้ทางรถไฟ หาทางให้น้ำไหลลอดออกลงคลองระบายน้ำ เพื่อให้ลงทะเลไปโดยเร็ว ทรงรับสั่งทำให้เสร็จในสามวัน ส่วนโครงการใหญ่ระยะยาวก็ทรงให้เตรียมการขุดขยายคูคลองระบบประตูระบายน้ำและ เครื่องสูบน้ำต่างๆ การทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจต้องเสียสละ และอาจต้องโยกย้ายออกจากที่สาธารณะริมคลองต่างๆ หากประชาชนที่รุกที่ริมคลองไม่ร่วมมือก็อาจจำต้องบังคับใช้กฎหมายโดยดูแล ประชาชนให้ดีด้วย

    “ขั้นแรกสำคัญ เรื่องริมทะเลต้องทำให้ได้ เพราะถ้าหากทำที่ริมทะเลแล้วสูบน้ำออกได้จริงๆ ทำให้น้ำลดลงไปในคลองริมทะเล ถ้าน้ำลดลงไปได้จริงสัก1-2 เมตร น้ำที่อยู่ข้างบนจะไหลลงมาเร็วกว่าเยอะ เราก็ใส่เครื่องสูบเร่งน้ำมา จะไม่มีท่วมเลย น้ำมีมากน้ำฟู่ลงมาเดียว บางพระซึ่งบ่นว่าไม่มีน้ำ ไม่กี่ชั่วโมง2 เมตร น้ำขึ้นมา ที่นี่ถ้าทำไปทำมาน้ำ 2 เมตร จะทำยังไง คนจะอยู่ที่ไหน ด่วนที่สุด ทำคืนนี้เลย” พระองค์ ตรัส

    **ทรงใฝ่พระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ

    อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ และเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนพสกนิกรทั่วทุกภาคของประเทศ ทำให้พระองค์ตระหนักว่าภัยแล้งและน้ำเพื่อการเกษตรและบริโภคอุปโภคเป็นปัญหา ที่รุนแรงและสำคัญที่สุด การจัดการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและบริโภคอุปโภค นับว่าเป็นงานที่มีความสำคัญ และมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ในการช่วยให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระราชหฤทัยเกี่ยวกับการจัดการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นอย่างยิ่ง มีพระราชดำริว่าน้ำคือปัจจัยสำคัญต่อมนุษย์และบรรดาสิ่งมีชีวิตอย่างถ่องแท้ ดังพระราชดำรัส ณ สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2529 ความตอนหนึ่งว่า “…หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้…”

    ทั้งนี้ การจัดการทรัพยากรน้ำโดยการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น มีหลักและวิธีการที่สำคัญๆ คือ การพัฒนาแหล่งน้ำจะเป็นรูปแบบใด ต้องเหมาะสมกับรายละเอียดสภาพภูมิประเทศแต่ละท้องที่เสมอ และการพัฒนาแหล่งน้ำต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านเศรษฐกิจ และสังคมของท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้กับคนกลุ่มหนึ่ง โดยสร้างประโยชน์ให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการลงทุนนั้นจะมีความเหมาะสมเพียงใด ก็ตาม

    นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ผู้ถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ปี 2520 เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนพระราชหฤทัยเรื่องน้ำมาก ทรงถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ราษฎรต้องการ เพราะไม่ว่าจะเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่ไหน ภาคอะไร เหนือ อีสาน กลาง ใต้ สิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นคือ ราษฎรไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกรขาดแคลนน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการเกษตร

    "พระองค์รับสั่งเสมอว่า ไปที่ไหนราษฎรร้องขออยู่ 2 อย่างคือ ถนนกับน้ำ สำหรับถนน รับสั่งว่า ถนนทำง่ายไม่ใช่ของยาก แต่น้ำ รับสั่งว่า เรื่องน้ำมันยากที่จะช่วยตัวเองได้ ก็ทรงอยากจะช่วยเขา โครงการในพระราชดำริโครงการแรกๆ ส่วนใหญ่จึงเป็นงานจัดหาน้ำ" นายปราโมทย์ กล่าว(อ่านบทสัมภาษณ์ 'ปราโมทย์ ไม้กลัด' หน้า 6-7)

    ทั้งนี้ พื้นที่แรกที่พระราชทานแนวพระราชดำริเริ่มต้นที่ภาคตะวันตก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นทรงขยายงานไปที่ภาคเหนือ แล้วลงมาพื้นที่ด้านล่างภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคกลาง โดยงานทุกภาค โครงการน้ำจะเป็นเรื่องสำคัญที่เริ่มทำก่อน และหลังจากนั้นก็จะมีโครงการด้านอื่นๆ ตามมาทีหลัง งานเรื่องน้ำทรงดูแลทั่วประเทศ ทั่วราชอาณาจักร การช่วยเหลือของพระองค์มีทั้งมาจากจดหมายร้องทุกข์ ฎีกา หรือทรงคิดเองจากแผนที่ ช่วงไหนที่ทรงมีเวลาว่างจากงานอื่นๆ จะทรงงานแผนที่ หากทรงเห็นว่าที่ไหนขาดแคลน ก็จะเสด็จฯไปช่วยเหลือ...

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบตั้งแต่บนฟ้าถึงน้ำใต้ดิน ทรงมีโครงการแนวพระราชดำริตั้งแต่ฝนหลวง เขื่อน อ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำใต้ดิน ตั้งแต่ภูเขาสู่ทะเล ทรงฟื้นป่า มีฝายชะลอความชุ่มชื้น ทรงเน้นถึงการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์อย่าง ยั่งยืน ให้มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดไป

    **พระอัจฉริยภาพด้านการจัดการน้ำ

    อย่างไรก็ตาม หลายคนรู้ว่า "คลองลัดโพธิ์” และ “แก้มลิง" ที่กำลังทำหน้าที่บรรเทาปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ มาจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า สถานีสูบน้ำ ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำ หรือคลองต่างๆ ที่กำลังทำหน้าที่ระบายน้ำอยู่ในทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ขณะนี้ ก็เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นเดียวกัน

    ทำให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงห่วงใยและไม่เคยทอดทิ้งประชาชน

    ทั้งนี้ นับตั้งแต่อดีตที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลประสบปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปี 2523, 2526, 2538 ทุกครั้งที่มีสถานการณ์เช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงห่วงใยทุกเข็ญของราษฎรผู้ประสบความเดือด ร้อน พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนเพื่อก่อให้เกิดขวัญกำลังใจทั้งแก่ คณะผู้ปฏิบัติงานและผู้ประสบอุทกภัย พร้อมทั้งทอดพระเนตรสภาพน้ำตามลำคลองต่างๆ ด้วยพระองค์เอง เพื่อทรงศึกษาแนวทางและวิธีแก้ไขให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว อันจะเป็นวิถีทางบรรเทาความทุกข์ของราษฎรให้เหลือน้อยที่สุด

    โดยในกรุงเทพฯ งานเรื่องน้ำจะเห็นชัดเจนตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ซึ่งปีนั้นกรุงเทพฯ เกิดน้ำท่วมใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าประชาชนเดือดร้อน พระองค์ประทับทั้งเฮลิคอปเตอร์และรถยนต์ทรงตรวจสภาพน้ำตามที่ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยปีนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเข้าเฝ้าฯ และพระราชทานหลักคิดหลักทำเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในที่สุดก็บังเกิด โครงการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

    จนกระทั่งถึงปี 2526 น้ำท่วมกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง และเฉกเช่นครั้งก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงนิ่งนอนพระราชหฤทัย เสด็จฯ ออกตรวจสภาพน้ำทั้งทางบกและทางอากาศ ในปีนั้นทรงกำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงานแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างจริง จัง

    ตั้งแต่นั้นมา โครงการป้องกันน้ำท่วมในพระราชดำริจึงเริ่มดำเนินการอย่างจริงจัง ทั้งก่อสร้างแนวคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำหลากเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน ของกรุงเทพฯ, ก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในคลองระบายน้ำต่างๆ, ก่อสร้างสถานีสูบน้ำ, จัดให้มีพื้นที่สีเขียว (กรีน เบลท์) เพื่อแปรสภาพให้เป็นทางระบายน้ำเมื่อมีน้ำหลาก, ขุดลอกคลอง ขยายคลองที่มีอยู่เดิมและขุดใหม่นอกแนวคันกั้นน้ำ, สร้างสถานที่เก็บน้ำตามจุดต่างๆ และขยายช่องทางรับน้ำที่ผ่านทางรถไฟและทางหลวง

    แนวพระราชดำริเรื่องน้ำช่วยกรุงเทพฯ มาตลอด อย่าง “คลองลัดโพธิ์” น้ำท่วมปีนี้ก็ช่วยได้เยอะ โดยช่วยระบายน้ำลงสู่ทะเลสะดวกรวดเร็วขึ้น ร่นระยะทางการไหลของน้ำ จาก 18 กิโลเมตรให้เหลือ 600 เมตร รวมทั้งร่นระยะเวลาการเดินทางของน้ำจาก 5 ชั่วโมง เหลือเพียง 10 นาทีเท่านั้น

    **เห็นราษฎรทุกข์ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทุกข์ด้วย

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยคนไทยทุกภาคทุกส่วนของประเทศ ประชาชนมีความทุกข์ที่ไหน เมื่อทรงทราบพระองค์จะเสด็จฯไปแก้ปัญหาให้ทั่วทุกภาค อย่างปัจจุบันที่ “มหาอุทกภัย” กลืนกินประเทศไทยไปครึ่งค่อนประเทศ ถ้าเป็นอดีตที่ยังทรงแข็งแรง พระองค์คงไม่รีรอที่จะออกช่วยเหลือประชาชน แม้ตอนนี้พระองค์จะประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราช แต่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์คงจะมีรับสั่งให้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างแน่ นอน

    เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงรักประชาชน เหมือนลูกหลาน เมื่อเห็นราษฎรทุกข์ พระองค์ก็ทรงทุกข์ด้วย จนเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่หัวใจของปวงชนชาวไทยทุกคนแล้ว เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีรับสั่งถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 7 และ 11 พฤศจิกายน ว่า ทรงห่วงใยประชาชนเรื่องน้ำท่วม ทำให้ทรงเครียดจนประชวร ถ่ายเป็นเลือดถึง 800 ซีซี ความดันตกมากอยู่ในภาวะทรงช็อก

    "พระองค์ดูข่าวน้ำท่วมติดต่อกันถึง 5 ชั่วโมงเต็มๆ ทรงเครียด ดูแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรักประชาชนเหมือนลูกเหมือนหลานจริงๆ เมื่อเห็นราษฎรทุกข์ ก็ทรงทุกข์ด้วย ทุกข์เหลือเกิน...

    "อยากให้ทราบว่า ใจพระองค์ท่านอยู่กับประชาชนเสมอ"

    ลองคิดดูว่า วันนี้ประเทศไทยประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่นำมาซึ่งความเสียหายมากมาย แต่หากไม่มีพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงวางรากฐานป้องกันน้ำท่วมเอาไว้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร !?

    **ทรงซื้อพันธุ์ข้าวเปลือกเตรียมให้ชาวนาปลูกหลังน้ำท่วม

    เนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีมหามงคล5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 7 รอบ 84 พรรษา โดยก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยประกาศจะจัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่อลังการ แต่เมื่อบ้านเมืองเกิดภาวะน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับสั่งไม่ให้จัดงานใหญ่โต

    อย่างไรก็ตาม หลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนต่างก็พร้อมกันแสดงความจงรักภักดี ในรูปแบบต่างๆ ตามภาวะที่เหมาะสม รวมถึง “ดี้ - นิติพงษ์ ห่อนาค” นักแต่งเพลงชื่อดังและผู้บริหารค่ายเพลงสหภาพดนตรี ก็เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่ประกาศเฉลิมฉลองปีมหามงคลตั้งแต่ต้นปีด้วยการ เตรียมออกอัลบั้มเทิดพระเกียรติ “ทองผืนเดียวกัน” โดยรวบรวมเอาศิลปินหลายๆ ค่ายมาร่วมร้องเพลงในอัลบั้มชุดนี้ โดยรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย และจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย

    ทั้งนี้ นักแต่งเพลงชื่อดังบอกว่า มีโอกาสได้ถวายงานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ในส่วนประธานประชาสัมพันธ์มูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภา)ยามยาก ทำให้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย จึงอยากจะเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็นแรงพระทัยให้กับในหลวงซึ่งกำลังประชวร และเป็นห่วงประชาชนที่กำลังน้ำท่วม และถึงแม้ปีนี้ในหลวงจะรับสั่งไม่ให้จัดงานใหญ่โต แต่ก็ควรระลึกถึงในหลวงให้มากยิ่งขึ้น ทำในสิ่งที่ดีเพื่อตอบแทนสิ่งที่ในหลวงทรงดูแลประชาชนมาอย่างยาวนาน

    “ท่านทรงเป็นห่วงประชาชนมากไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรกับประชาชน อย่างน้ำท่วมนี่ท่านทรงเปิดทีวีเต็มห้องเลย ห้องประทับควรจะเป็นห้องคนไข้ แต่ท่านก็เป็นห่วงประชาชนเปิดทีวีเต็มไปหมด เสพข่าวสารจนเครียดอย่างที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงบอก ขนาดผมเองร่างกายแข็งแรงน้ำก็ไม่ได้ท่วมบ้านแต่ก็เครียด แล้วพระองค์ท่านจะขนาดไหน นี่คือสิ่งที่พวกเราควรระลึกถึงท่านบ้าง”

    อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รัฐบาลเตรียมทำเมกะโปรเจกต์กู้เงินมหาศาลจำนวน “แสนล้าน” ดี้บอกว่า ในหลวงทรงเตรียมซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชาวนา เพราะรู้ว่าน้ำท่วมแบบนี้ในฤดูกาลทำนาครั้งหน้าเมล็ดพันธุ์จะหายากและมีราคา แพง

    “สำหรับรายได้ในการทำอัลบั้มเทิดพระเกียรติครั้งนี้เป็นการถวาย พระองค์ท่านโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งทราบว่าเงินที่ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย พระองค์ท่านจะนำเข้ามูลนิธิชัยพัฒนา ซื้อพันธุ์ข้าวเปลือก ตอนนี้ท่านซื้อเก็บไว้เป็นโกดังๆ ไว้ในห้องทรงงานเต็มไปหมด เพราะเตรียมไว้เวลาน้ำแห้งจะได้พระราชทานให้กับประชาชน ซึ่งไม่รู้ตรงนี้รัฐบาลได้คิดเตรียมอะไรไว้บ้างหรือยัง...” ดี้ให้ความเห็น

    หากย้อนกลับไป แนวพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานหลักคิดหลักทำไว้ ตั้งแต่ปี 2523 หรือปี 2538 มีมากมายที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ ถูกต้อง และสอดคล้องกับธรรมชาติปัจจุบัน ซึ่งน่าจะน้อมนำมาใช้ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในอนาคต รวมถึงแนวคิดและโครงการในพระราชดำริต่างๆ มากมายที่พระองค์ได้พระราชทานไว้

    พระองค์ทรงเป็นหลักชัยที่ทำให้พสกนิกรชาวไทยมีแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข บนหลักของความมีเหตุผลและ "พอเพียง" อย่างแท้จริง

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


    -http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000154041-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ปราโมทย์ ไม้กลัด “ ในหลวงทรงคิดแก้ปัญหาน้ำไว้รอบด้าน ” <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</td> <td class="date" align="left" valign="middle">3 ธันวาคม 2554 06:55 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG]


    [​IMG]


    ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กล่าว ได้ว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่ทรง เปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพหลากหลายด้าน แม้แต่เรื่องน้ำและปัญหาอุทกภัยที่คนไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ พระองค์ก็ทรงวางแนวทางในการป้องกันและแก้ไขมานานนับสิบปีแล้ว มีโครงการในพระราชดำริออกมามากมาย เพียงแต่ฝ่ายบริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำไปปฏิบัติหรือไม่ เท่านั้น ?

    ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำอย่าง 'ปราโมทย์ ไม้กลัด' อดีต อธิบดีกรมชลประทาน อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งได้ติดตามถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานานนับสิบปี ได้ถ่ายทอดถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านในการทรงงานด้านน้ำในหลากหลายแง่ มุม อันนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจของคนไทยที่อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

    **ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้มาทำงานเรื่องน้ำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่เมื่อไร

    คือผมทำงานอยู่กรมชลประทาน และได้ไปทำงานถวายพระองค์ท่านตั้งแต่ 2520 ผมทำงานเป็นวิศวกรพิจารณาโครงการสนองพระราชดำริ ตอนนั้นก็ยังเดินตามหลังนายช่างใหญ่ ตามหลังอธิบดี จนกระทั่ง 2527 ก็ได้ทำงานในโครงการพระราชดำริในฐานะผู้แทนของกรมชลประทานอย่างเต็มตัว

    **เหตุใดพระองค์จึงสนพระราชหฤทัยเรื่องน้ำเป็นพิเศษ

    ปัญหาเรื่องน้ำเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราช หฤทัยมากที่สุดเนื่องจากราษฎรไทยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพที่ต้อง พึ่งพาน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงมุ่งมั่นที่จะทรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ พระองค์ท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพในเรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างมาก ซึ่งกระบวนการการทรงงานจากที่ผมได้ติดตามพระองค์ท่านมาโดยตลอดก็จะเห็นว่า พระองค์ทรงงานแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำใน 3 ด้านด้วยกัน คือ

    1. การแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ ซึ่งพระองค์ท่านจะมุ่งไปในจุดที่การทำงานของรัฐบาลเข้าไปไม่ถึง ในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล แร้นแค้น เพราะพระองค์ท่านได้รับทราบปัญหาจากฎีกา หรือจดหมายร้องทุกข์ของประชาชนที่ส่งมาถึงพระองค์ท่าน การแก้ปัญหาของพระองค์ก็จะยึดหลักการที่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ อย่างหลักการเรื่องวิศวกรรมน้ำ พระองค์ก็จะดูว่าถ้าผืนดินแห้งตรงนี้ควรทำอะไร ถ้าผันน้ำจากธรรมชาติควรทำอย่างไร รูปแบบที่จะดำเนินงานก็จะเป็นการผสานระหว่างหลักการทางเทคนิคและหลัก ธรรมชาติของน้ำ

    2. การปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่ว่าจะเกิดน้ำท่วมในภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินลงไปในพื้นที่เพื่อทอดพระเนตรปัญหา ทรงช่วยรัฐบาลแก้ปัญหา พระองค์ก็จะเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังข้อมูลและระดมความเห็น หามาตรการแก้ปัญหาภายใต้โครงการบรรเทาอุทกภัยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือฝ่ายรัฐบาลเขาก็ว่าของเขาไป ขณะที่พระองค์ก็มุ่งลงไปในพื้นที่ซึ่งเกิดน้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินถล่ม ย่านเศรษฐกิจในตัวเมืองที่ได้รับผลกระทบ

    3.การแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเสีย หรือน้ำเค็ม น้ำกร่อย สำหรับการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียนั้นพระองค์ท่านก็ทรงศึกษาทดลองในหลายลักษณะ เช่น โครงการบึงมักกะสัน ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพน้ำในบึงซึ่งมีการเน่าเสียโดยใช้ ‘เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ’’ คือผักตบชวาเป็นตัวกรอง , โครงการบึงพระราม 9 ซึ่งบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีใช้เครื่องเติมอากาศ แบบทุ่นลอย นอกจากนั้นยังมีโครงการที่เรารู้จักกันดีคือกังหันน้ำชัยพัฒนา ซึ่งพระองค์ทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมืออุปกรณ์แบบง่ายๆในการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้หลักการตีน้ำเพื่อเติมอากาศ

    ส่วนการแก้ปัญหาน้ำเค็ม- น้ำกร่อยนั้นคนทั่วไปอาจไม่รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาและทำโครงการแก้ไข ปัญหาน้ำในลักษณะนี้ด้วย โครงการนี้เกิดจากการที่พระองค์ทรงเป็นห่วงราษฎรว่าถ้าน้ำเค็มน้ำกร่อยไหล เข้าไปในพื้นที่การเกษตร ในเรือกสวนไร่นาจะทำอย่างไร พระองค์จึงโปรดให้ดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำขึ้น เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ มีการสร้างประตูบังคับน้ำกั้นแม่น้ำปากพนังเพื่อกักน้ำจืดไว้และกันน้ำทะเล ไม่ให้เข้ามา หรือโครงการพัฒนาลุ่มน้ำบางนรา จ.นราธิวาส ซึ่งใช้หลักการเดียวกัน

    **พระองค์ทรงคิดแก้ปัญหาน้ำไว้รอบด้าน

    ใช่ครับ น้ำน้อย น้ำไม่มี พระองค์ก็ทรงหาน้ำให้ น้ำมากเกินไปจนเกิดอุทกภัยก็เกิดโครงการนั้นโครงการนี้ขึ้นมา อย่างกรุงเทพมหานครก็มีโครงการในพระราชดำริของพระองค์ท่านเยอะ ในภาคใต้ อย่างหาดใหญ่ นครศรีธรรมราช ซึ่งเกิดน้ำป่าไหลหลาก พระองค์ก็ทำโครงการเพื่อแก้ปัญหา พื้นพี่ไหนเกิดปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเน่าเสีย น้ำเค็ม น้ำกร่อย ก็ทรงคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้

    ** หลายๆ ครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินลงไปดูพื้นที่น้ำท่วมด้วยพระองค์เอง

    ใช่ เกิดปัญหาที่ไหนพระองค์จะเสด็จลงไปเลย สมัยที่พระองค์ยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงพระองค์ท่านจะเสด็จไปยังพื้นที่ เลย อย่างๆน้อยก็ต้องทอดพระเนตรพื้นที่น้ำท่วม ทรงลงไปดูปัญหา ไปให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน หลังจากนั้นก็จะทรงปรึกษากับวิศวกรน้ำ กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่าจะทำอย่างไรกัน ทรงเรียกประชุม ให้เอาภาพถ่ายดาวเทียมมา ภาพถ่ายทางอากาศมา เอาข้อมูลมา วิเคราะห์กันว่าจะทำยังไง พระองค์ท่านเสด็จไปทุกพื้นที่ แต่ถ้าไกลมากพระองค์ก็อาจจะเสด็จไปไม่ไหว ก็จะทรงเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาถวายรายงานและทรงแนะนำแนวทางปฏิบัติ คือพระองค์ทรงติดตามข้อมูลต่างๆทั้งในเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และเชิงเศรษฐกิจ จึงทรงมองปัญหาต่างๆอย่างทะลุปรุโปร่ง

    **เท่าที่อาจารย์ติดตามถวายงานพระองค์ท่านในการแก้ปัญหาน้ำท่วม มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นกี่ครั้ง

    ก็จะมีน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯเมื่อปี 2526 ตอนนั้นพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังอยู่กันแบบธรรมชาติ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างมาก เมื่อเกิดน้ำท่วมก็ไม่มีอะไรมากีดขวาง น้ำก็ไหลไปตามธรรมชาติ คลองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองลาดพร้าว คลองแสนแสบ ก็รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนนั้นอยู่กันแบบเอ้าท่วมก็ท่วม พระองค์ท่านก็ทรงเสด็จไปดุสภาพพื้นที่เพื่อให้กำลังใจคนทำงานถึง 6-7 ครั้ง

    ต่อมาปี 2538 ซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ เป็นปีที่เกิดโกลาหลมากที่สุดเพราะน้ำมวลใหญ่มันมา แต่ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน พระองค์ทรงเรียกประชุมก่อนที่น้ำมวลใหญ่จะมาถึง ตอนนั้นน้ำใหญ่มันก็มาโจมตีเยอะแต่ความเสียหายมันไม่มากเหมือนในปีนี้ ตอนนั้นสนามบินสุวรรณภูมิยังไม่มี น้ำท่วมยังกับทะเลเลย แต่กรีนเบลต์ ฟลัดเวย์ ยังทำงานได้ น้ำระบายออกได้ตามธรรมชาติ ไม่มีใครไปห้าม ก็สูบน้ำออกอ่าวไทยกันโกลาหล สูบออกตามแนวฟลัดเวย์ เขตเศรษฐกิจก็โกลาหลพอสมควรแต่ก็ป้องกันได้ น้ำไม่ทะลุสนามบินดอนเมือง ไม่ทะลุถนนวิภาวดี ไม่ทะลุลาดพร้าวหรอก ตอนนั้นถนนราชชนนี ถนนรัชดาภิเษกมีน้ำท่วม ก็วิ่งรถฝ่าน้ำท่วมกัน คลองมหาสวัสดิ์ก็น้ำท่วมสูงต้องทำคันกั้นน้ำฉุกเฉินที่วัดบูรณาวาส ก็ไปช่วยกัน แต่ปีนั้นสถานการณ์ก็คลี่คลายไป มันไม่โกลาหลเท่าปี 2554 ปัจจุบันมันมีสิ่งปลูกสร้างเยอะ หมูบ้านจัดสรร อะไรต่างๆเกิดขึ้นเยอะ แต่ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ได้ทรงเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะพระ พลานามัยไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน

    น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้เมื่อปี 2531 ตอนนั้นน้ำท่วมหาดใหญ่ พระองค์ทรงเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาประชุมด่วน แล้วก็ทรงบัญชาการ วางแนวทาง พวกเราก็วิ่งกันวุ่นเลย คือพระองค์ทรงติดตามข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ทรงคาดหมายเหตุการณ์ข้างหน้าได้ ทรงเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่น้ำยังไม่ลงมาเลย พวกเราที่เป็นข้าราชการซึ่งรับใช้ถวายงานพระองค์ท่านก็ต้องตื่นตัว หาข้อมูล และถวายรายงานพระองค์ท่านตลอด หรือแม้แต่ภัยที่มันเกิดแล้วพระองค์ท่านก็ทรงคาดหมายถึงผลกระทบที่ตามมาได้ พระองค์ทรงเป็นนักคิดนักวิเคราะห์ พระราชดำรัสที่พระองค์พระราชทานก็เป็นหลักคิดที่รัฐบาลหรือบุคคลที่เกี่ยว ข้องต้องนำไปขบคิดและขับเคลื่อน

    **ที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแนะนำการแก้ไข น้ำท่วมไว้มากมายหลายประการ แต่ดูเหมือนบรรดานักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศจะไม่ได้นำมาปฏิบัติ

    ถ้ารัฐบาลใส่ใจที่จะปฏิบัติให้ชัดแจ้ง โครงการต่างๆ มันก็เริ่มมีเค้าที่จะทำได้ แต่นี่แต่ละรัฐบาลก็ไม่ได้ใส่ใจกันจริงจัง เวลาก็ผ่านไป ผ่านไป การจะปฏิบัติมันก็ต้องมาคิดพิจารณา ศึกษา วางโครงการให้ออกมาสอดคล้องกับธรรมชาติ สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ผมติดตามสนองงานในโครงการพระราชดำริมานานก็ได้เห็นทั้งนักการเมืองที่สนใจจะ ดำเนินโครงการตามที่พระองค์ท่านทรงแนะนำ และนักการเมืองที่ไม่สนใจ คนที่ไม่สนใจก็เยอะ ก็ไม่รู้จะพูดยังไง

    **เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสแนะให้ระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออก ของกรุงเทพฯ และให้ทำฟลัดเวย์ แต่ปรากฏว่านักการเมืองซึ่งเข้ามาบริหารประเทศกลับไปสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และนิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เกิดสิ่งปลูกสร้างต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็น หมู่บ้าน อพาร์ทเมนต์ ซึ่งล้วนแต่ไปขวางทางน้ำ

    คือพื้นที่หนองงูเห่าอยู่ในแนวที่ลุ่ม ซึ่งสมัยโบราณมันเป็นฟลัดเวย์ แต่ถึงแม้รัฐบาลจะสร้างสนามบินสุวรรณภูมิก็ไม่ใช่ว่าจะทำฟลัดเวย์ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ทำฟลัดเวย์ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ทำในพื้นที่ใกล้เคียง และการทำฟลัดเวย์ก็ไม่ได้ใช้พื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา 8 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร มันไม่ใช่ เราสามารถทำแนวฟลัดเวย์ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและสังคมในปัจจุบัน เมื่อเกิดสนามบินสุวรรณภูมิ เกิดโรงงานต่างๆขึ้นมาแล้ว ก็ต้องเอาข้อเท็จจริงของสภาพภูมิประเทศมาดูกัน เอาแผนที่การตั้งถิ่นฐาน เอาภาพถ่ายทางอากาศมาดูว่าจะทำฟลัดเวย์ตรงไหน ยังไง แต่กลับไม่ได้มีการคิดคำนึงเรื่องนี้กันเลย ขณะเดียวกันสนามบินสุวรรณภูมิเองเขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาอยู่ในแนวรับน้ำ เขาก็ต้องวางระบบป้องกันน้ำท่วมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแนวฟลัดเวย์มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสนามบิน

    ผมคิดว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้น้ำผ่านไปทางตะวันออกไม่ได้ เป็นเพราะเรามีสิ่งปลูกสร้างโดยเฉพาะหมู่บ้านจัดสรรแบบไร้ขอบเขตไร้การควบ คุม จะกลัวอะไรว่าน้ำจะท่วม อย่างนี้น้ำมันก็เอ่ออัด กั้นกันอยู่ไม่มีทางระบายออกมันก็เกิดเป็นแรงดันทะลุทะลวงพังกันระเนระนาดไป ทั่วกรุงเทพฯ เพราะน้ำมันไปไม่ได้ ไปได้ยาก เมื่อก่อนนี้ ปี 2533 ปี 2538 น้ำท่วมทุ่ง แต่ว่าไหลได้สะดวก แต่ปัจจุบันนี้น้ำมันไปไม่ได้เพราะนั่นก็ที่ของผม นี่ก็ที่ของผม ทำนั่นทำนี่ สกัดกั้นโดยบุคคล ไม่ได้เอาน้ำออกจริงน่ะสิน้ำมันถึงได้ท่วม

    **อย่างดอนเมืองซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่สูง ปีนี้น้ำก็ยังท่วม

    ที่น้ำมันท่วมดอนเมือง ท่วมถนนวิภาวดี ท่วมย่านนั้น ก็เพราะน้ำมันมาตุงอยู่ย่านรังสิต คลองหกวา น้ำมันก็ล้นสูงขึ้น กลายเป็นพื้นที่อ่างเก็บน้ำ แล้วน้ำก็โจมตีตลอดเวลา คันกั้นน้ำที่กั้นไว้มันทานไม่ได้ ถนนวิภาวดีก็เตี้ย มันก็ลงมา จะบอกดอนเมืองสูง แต่ว่าน้ำมันสูงกว่า มันสะสมอยู่ตรงทุ่งรังสิต ไม่สามารถะออกไปทางตะวันออกตามฟลัดเวย์ตามธรรมชาติได้ ห้ามไม่ให้มันไป สกัดกั้นไม่ให้มันไป เป็นเรื่องของมนุษย์ น้ำมันก็เลยทะลุทะลวงอย่างที่เห็น เขตสายไหม เขตรามอินทราก็เป็นด่านหน้าที่ปะทะรับน้ำไป คือธรรมชาติของน้ำเนี่ยต้องให้มันมีที่ไป เราอาจสกัดกั้นได้ระดับหนึ่งแต่ว่าต้องมีที่ให้มันเคลื่อนย้ายไป ไม่อย่างนั้นมันก็สะสมกันจนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแล้วก็โจมตีหนักขึ้น หนักขึ้น รับมือกับมันไม่ไหวหรอก

    **หลายคนบอกว่าปริมาณน้ำในปีนี้กับปีที่แล้วไม่แตกต่างกัน อาจารย์มองว่ามันเกิดความผิดพลาดตรงไหนถึงทำให้น้ำท่วมไล่มาตั้งแต่ นครสวรรค์ ลพบุรี อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี จนถึงกรุงเทพมหานคร

    น้ำมันล้นตลิ่ง ปิง วัง ยม น่าน ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่นครสวรรค์ มวลน้ำที่มันไหลมาอัตราต่อวินาทีต่อชั่วโมงเนี่ยมันไม่สามารถบรรจุอยู่ในแม่ น้ำเจ้าพระยาได้ก็เลยล้นตลิ่งแล้วไหลบ่าเข้าไปในพื้นที่ต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือพื้นที่เกษตรกรรม จากนั้นมนุษย์ก็สู้กับน้ำมาตลอดตั้งแต่นครสวรรค์จนถึงกรุงเทพฯ กั้นไม่ให้มันบ่าเข้าไป ทำกำแพงกั้นน้ำ ทำเขื่อนกั้นน้ำ ยิ่งกั้นน้ำมันก็ยิ่งทะลึ่ง อัดตัว ยกตัวสูงขึ้น แล้วก็บ่าเข้าไป มันก็สู้ไม่ไหว คือความสามารถในการรับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยามันมีแค่ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คือถ้าปริมาณน้ำที่ไหลลงมาในเจ้าพระยาต่ำกว่า 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำมันก็ยังอยู่ในแม่น้ำและอยู่ต่ำกว่าตลิ่ง แต่ปีนี้มันมากกว่า3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แล้วก็มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งสูงสุดวัดได้ถึงเกือบ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทีนี้มันล้นตลิ่งอยู่จำนวนมากมันจะไปไหนล่ะครับ มันก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ หรือที่ซึ่งมันสามารถออกได้

    คือมันเป็นเรื่องของมนุษย์น่ะ มนุษย์ไม่เข้าใจธรรมชาติ แล้วน้ำไม่ได้ท่วมมากเฉพาะปีนี้ เมื่อปี 38 ก็ระเนระนาด ปี 45 ปี 49 ก็ระเนระนาด แต่ว่าไม่ได้เกิดความเสียหายมากเท่าปีนี้ ก็เลยไม่ค่อยฮือฮาเท่าไร ย่านอุตสาหกรรมมันเกิดขึ้นมากมายในช่วง 10 ปีที่ผ่านนี่แหล่ะ ย้อนไปเมื่อ 20 เนี่ยอุตสาหกรรมมันมีน้อย น้ำท่วมมันก็ไม่ค่อยเสียหาย น้ำมันมีมวลนะ น้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร หนัก 1 ตันหรือ 1,000 กิโลกรัมนะ แรงดันมันมหาศาล ธรรมชาติของน้ำมันต้องการทางไป ถ้าห้ามไม่ให้มันไป มันก็อัดกันแน่น แล้วมันมีพลังงานกระแทกกระทั้น คันมันก็พัง การทำงานของรัฐบาลก็ดี หน่วยงานต่างๆก็ดี ทำกันแบบไม่เข้าใจธรรมชาติของน้ำ อย่างที่บางระกำ จ.พิษณุโลก เนี่ยมันเป็นแก้มลิงโดยธรรมชาติ เป็นที่รับน้ำ ถ้าไปทำให้ทุ่งบางระกำน้ำไม่ท่วมเมื่อไรก็เท่ากับเป็นการทำลายแก้มลิง เราต้องยึดหลักธรรมชาติ อย่าฝืนธรรมชาติ เวลานี้นักการเมืองก็ออกมาพูดว่าป้องกันไม่ไห้น้ำท่วม ซึ่งมันอาจจะกันได้บ้าง แต่ 90% มันป้องกันไม่ได้ แต่ศัพท์ของผมจะใช้คำว่าจัดการปัญหาอุทกภัย ซึ่งคำว่าจัดการเนี่ยไม่ใช่แค่ป้องกันอย่างเดียวนะครับ แต่ต้องทำทั้งระบบ

    **จากที่อาจารย์ได้ติดตามถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานาน ได้เห็นความเหนื่อยยากของพระองค์อย่างไรบ้าง

    ภาพที่เหล่าข้าราชบริพารและข้าราชการที่ถวายงานรับใช้พระองค์ท่านพบ เห็นมาโดยตลอดก็คือพระองค์ท่านทรงมุ่งที่จะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับ ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในชนบท พระองค์ท่านมักเสด็จไปประทับตามภูมิภาคต่างๆ คราวละหลายๆเดือน เสด็จพระราชดำเนินทั้งปี เสด็จออกแถบทุกวัน เสด็จไปเยี่ยมเยียนประชาชน พระราชทานสิ่งของ พระราชทานโครงการ พระราชทานงาน ความยากลำบากของพระองค์ท่านนี่ไม่น้อยหรอกครับ เสด็จออกไปในชนบทนี่ไม่มีสบาย ทรงเสียสละพระวรกายทรงงานด้วยความเหนื่อยยาก แต่ว่าพระองค์ท่านไม่ได้คำนึกถึงความเหนื่อยยากเหล่านี้เลย กลับทรงสนุกกับการทรงงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน พระองค์ท่านมักจะรับสั่งว่า “ฉันสนุกกับการทำงาน” พระองค์ท่านไม่เคยตรัสว่าเหนื่อย แต่ภาพที่พวกเราเห็นอยู่เสมอเวลาที่พระองค์ทรงงานก็คือพระเสโท(เหงื่อ)ที่ ชุ่มโชกฉลองพระองค์ คือทรงเสด็จไปทุกภาค ทุกพื้นที่ เป็นเวลานับสิบๆปี ไม่เคยทรงเบื่อหน่าย พระองค์ทรงงานเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อพระองค์เอง แล้วก็ไม่เคยไปเกี่ยวข้องวอแวกับรัฐบาล มีแต่ทรงงานเพื่อช่วยรัฐบาล

    **หลายครั้งประชาชนก็ได้เห็นภาพพระองค์ท่านเสด็จลงลุยน้ำด้วยพระองค์เอง

    ใช่ครับ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร สภาพธรรมชาติจะเลวร้ายหรือมีอุปสรรคต่างๆพระองค์ท่านก็ไม่ทรงรังเกียจ น้ำท่วม ร้อนแล้ง พระองค์ท่านก็ทรงบุกไปทุกที่ เสด็จขึ้นดอย ในชนบทห่างไกลก็ทรงเสด็จไปเสมอ พระกระยาหารที่พระองค์เสวยขณะเสด็จลงพื้นที่ก็จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ พระองค์เสวยง่าย ไม่ได้ยึดว่าจะต้องเป็นแบบไหน เวลาเสด็จลงพื้นที่ก็มักจะมีพระกระยาหารใส่กล่องไว้ในรถยนต์พระที่นั่ง เวลาทรงงานกระทั่งดึก ถึงทุ่ม 2 ทุ่ม ก็จะเสวยแบบนี้ เจ้าหน้าที่จะก็เตรียมเครื่องเสวยไป ก็จะเป็นแบบง่ายๆ ผมเองสนองงานรับใช้พระองค์ท่านก็ได้มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์ท่าน บ่อยๆ อาหารที่พระองค์ท่านเสวยก็เป็นอาหารปกติเหมือนที่พวกเรากินกันนี่แหล่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทย เป็นแกงเผ็ด แกงจืด ผัดผัก แล้วอาจจะมีอาหารตามประเพณีฝรั่งบ้าง

    **ช่วงที่พระองค์ท่านทรงงาน ทรงพระประชวรบ้างไหม

    ก็มีทรงพระประชวรเป็นคราวๆ แต่ในสมัยนั้นพระพลานามัยยังแข็งแรง แต่มาระยะหลัง ตั้งแต่ 2542 เป็นต้นมา พระพลานามัยของพระองค์ท่านไม่สู้แข็งแรง แล้วก็ทรงพระประชวรบ่อย อย่างที่เรารับรู้รับทราบกัน เพราะว่าพระองค์ทรงงานหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ ไม่ได้ทะนุถนอมพระวารกาย ทรงใช้พระวรกายอย่างหนัก

    **ขณะนี้พระองค์ทรงประชวรและประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็ยังเสด็จลงมาทอดพระเนตรปริมาณน้ำที่ท่าน้ำศิริราชอยู่

    คือพระองค์ทรงเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในขณะนี้ ทรงเป็นห่วงประชาชนที่กำลังเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วม พร้อมทั้งได้พระราชทานถุงยังเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่ ต่างๆอย่างต่อเนื่อง แม้พระองค์จะทรงงานไม่ไหว แต่ก็ยังทรงนึกถึงประชาชนของพระองค์อยู่ตลอดเวลา

    **จากที่ทำงานรับใช้พระองค์ท่าน อาจารย์ประทับใจพระองค์ท่านในเรื่องใดบ้าง

    ในชีวิตที่ทำงานถวายพระองค์ท่านก็มีความประทับใจเกิดขึ้นมากมาย คือได้เห็นพระองค์ท่านทรงงานตลอดเวลา ทรงเป็นแบบอย่างที่คนไทยควรน้อมนำมาเป็นต้นแบบ พระองค์ทรงงานมาตั้งแต่ขึ้นครองราชย์จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยทรงหยุดพัก ทรงงานตลอดเวลาเพื่ออาณาประชาราษฎร์ ทำให้ผมเองระลึกอยู่เสมอว่าผมเป็นข้าราชการคนหนึ่งที่ทำงานถวายพระราชาเราก็ ต้องมีหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ แล้วก็ดูพระองค์ท่านเป็นตัวอย่าง ประการที่สอง พระองค์ทรงเป็นนักคิด ทรงคิดตลอดว่าจะทำโน่นทำนี่ แล้วก็รับสั่งออกมาเป็นโครงการพระราชดำริ แล้วก็ทรงขยัน ทรงรู้รอบ รอบรู้ ทั้งในเชิงวิชาการ เชิงเทคนิค ทรงรู้ทุกเรื่อง อย่างผมก็รู้แค่เรื่องน้ำ แต่พระองค์ท่านทรงรู้ทุกเรื่อง เรื่องน้ำ เรื่องอากาศ เรื่องฝนเทียม แม้แต่เรื่องสังคม ปรัชญา ภาษาศาสตร์ ทรงรอบรู้หมด ผมจึงเทิดทูนพระองค์ท่านว่าทรงเป็นปราชญ์ และทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แต่ว่าพระองค์กลับทรงอ่อนน้อมถ่อมพระองค์ ไม่ทรงถือพระองค์เลย เวลาเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนประชาชนก็ทรงตรัสกับประชาชนอย่างเป็นกัน เองมาก ทรงน้อมพระองค์เข้าไปหาชาวบ้านที่มารับเสด็จ พระราชจริยวัตรของพระองค์ดูนุ่มนวล เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา เราก็มานึกถึงข้าราชการบางคนที่ไม่ได้เรื่องเลย ชอบวางตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย อย่างนี้ใช้ไม่ได้

    **มีพระบรมราโชวาทใดบ้างที่ทำให้อาจารย์จดจำมาถึงทุกวันนี้

    เยอะมากครับ โดยเฉพาะเรื่องของการทำงาน มีพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ติดตรึงอยู่ในใจตลอดมาคือ พระกระแสรับสั่งซึ่งพระองค์ท่านรับสั่งกับผมและผู้บังคับบัญชาของผมโดยตรง เลย คือ “นักพัฒนาต้องทำงานแบบปิดทองหลังพระ” คือให้เรามุ่งทำงานอย่างทุ่มเท อย่าทำงานเพื่อหวังประโยชน์ หวังรางวัล เพราะถ้าทำงานเพื่อหวังประโยชน์มันก็จะต้องมองหน้ามองหลัง ซึ่งข้าราชการส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ นอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงมีพระบรมราโชวาทต่อมาว่า “ข้าราชการต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หากทำหน้าที่ได้สำเร็จจะเป็นรางวัลอันประเสริฐ” ซึ่งชั่วชีวิตการทำงานของผมก็ยึดถือสิ่งนี้มาตลอด

    และทุกครั้งที่พระองค์ท่านทรงงานเสร็จและเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระองค์จะรับสั่งกับข้าราชบริพารและข้าราชการที่ตามเสด็จอยู่เสมอว่า “คิดให้ดี คิดให้ละเอียด คิดให้รอบคอบ หากคุ้มก็ทำ” คำว่าคุ้มของพระองค์ท่านไม่ได้หมายถึงความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์นะครับ แต่หมายถึงคุ้มค่าต่อประชาชน ทำไปแล้วเกิดประโยชน์ต่อประชาชนก็ถือว่าคุ้ม ตรงนี้เป็นพระราชดำรัสที่ผมระลึกอยู่เสมอเวลาทำงาน ทำให้เรามีสติ จะทำอะไรก็ต้องศึกษาให้ละเอียด และเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

    เห็นได้ชัดว่าในใจของพระองค์ท่านมีแต่คำว่า 'ประชาชน' พระองค์ทรงงานอย่างหนักมาตลอดพระชนม์ชีพก็เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน นี่คือในหลวงของปวงชนชาวไทย


    -http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000154044-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ซีเอ็นเอ็นรายงานพระราชกรณียกิจสมเด็จพระเทพฯ Thailand′s Angel Princess

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="295"><tbody><tr><td width="100%"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3" width="100%"><tbody><tr><td align="left" valign="top">
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table> </td> <td background="images/line_right.gif">
    </td> </tr> <tr> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> <td background="images/line_bottom.gif">
    </td> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="295"> <tbody><tr> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> <td background="images/line_top.gif">
    </td> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="images/line_left.gif">
    </td> <td width="100%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3" width="100%"><tbody><tr><td align="left" valign="top">
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table> </td> <td background="images/line_right.gif">
    </td> </tr> <tr> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> <td background="images/line_bottom.gif">
    </td> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="295"><tbody><tr> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> <td background="images/line_top.gif">
    </td> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="images/line_left.gif">
    </td> <td width="100%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3" width="100%"><tbody><tr><td align="left" valign="top">
    [​IMG]
    ภาพ : พอลลา แฮนค็อกส์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>









    เมื่อ 5 ธ.ค. สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สหรัฐ เผยแพร่ภาพรายงานพิเศษเรื่อง Thailand′s Angel Princess ที่ขอพระราชทานสัมภาษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยนางพอลลา แฮนค็อกส์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นติดตามถ่ายทำพระราชกรณียกิจของด้านการพัฒนาการศึกษา และการสาธารณสุขแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ในเขตชนบทและถิ่นทุรกันดาร รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เสด็จเยี่ยมผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัย

    ใจความตอนหนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระราชทานสัมภาษณ์ถึงพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริในโรงเรียน ตำรวจตระเวนชายแดนในถิ่นทุรกันดาร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ว่า พระองค์ทรงดีพระทัยที่ทำให้เด็กที่ได้รับพระราชทานทุนการศึกษา เติบโตประกอบอาชีพเป็นครู ตำรวจ วิศวกร พยาบาล และแพทย์

    ส่วนทางด้านการสาธารณสุข สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตรัสว่า การสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล ยังมีราษฎรอีกเป็นจำนวนมากที่ประสบปัญหา และยากต่อการเข้าถึงสถานพยาบาล เนื่องจากอุปสรรคด้านการเดินทาง

    รายการดังกล่าวนี้ออกอากาศในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม เวลา 07.00 น. เป็นส่วนหนึ่งของรายการพิเศษ "Eye on Thailand"

    Video - Breaking News Videos from CNN.com

    --http://edition.cnn.com/video/#/video/world/2011/12/02/hancocks-eyeon-thailand-princess.cnn--

    -http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU16QXlNamswTlE9PQ==&sectionid=-


    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=Tahoma,]ออก'มุขเด็จ'วันนี้ ในหลวง พสกนิกรปลื้มปีติ

    ชื่นชมพระบารมี ราชินีร่วมเสด็จฯ นายกฯนำกล่าว ถวายพระพรชัย ควีนอังกฤษส�ง 'พระราชสาส์น'


    <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    วันเฉลิม- ประชาชนเที่ยวชมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ทั้งนี้วันที่ 5 ธ.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา

    </td></tr></tbody></table>พิธี มหามงคลวันนี้ พสกนิกรปีติรอชื่นชมพระบารมี'ในหลวง-ราชินี' เสด็จออกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โปรดเกล้าฯให้พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ก่อนเสด็จออกมุขเด็จ กองทหารถวายความเคารพ นายกฯนำถวายพระพรชัยมงคล ส่วนช่วงเย็นถึงค่ำมีกิจกรรมที่ท้องสนามหลวง และการแสดงมากมาย พร้อมให้เข้าชมพระที่นั่งจักรีฯในช่วงกลางคืน ด้านประชาชนเข้าแถวรอ ลงนามถวายพระพร ที่ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง เนืองแน่น 'ควีนอลิซาเบธที่ 2'แห่งอังกฤษ ส่งพระราชสาส์นถวายพระพร

    เผยพิธีวันมงคล5ธ.ค.

    เมื่อ วันที่ 4 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในวันพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่ประชาชนทุกคนเฝ้ารอคอย เริ่มจากเวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีเชิญพระเต้าปทุมนิมิตทอง นาก เงิน บรรจุน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรจัดทำแล้วส่งให้กระทรวงมหาดไทย ประมวลนำไปประกอบพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ที่พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลา ราม เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ออกจากพระอุโบสถ ตั้งขบวนอิสริยยศ มีผู้แทนปวงชนแต่ละจังหวัด รวม 77 จังหวัด เชิญพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะไว้พร้อมที่หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ด้านถนนสนามไชย

    แห่น้ำพระพุทธมนต์

    เวลา 07.30 น. ขบวนแห่เชิญน้ำพระพุทธมนต์ออกจากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามไปตามถนนสนามไชย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหน้าพระลานเข้าสู่พระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี ไปยังหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เจ้าพนักงานเชิญน้ำพระพุทธมนต์ไปตั้งยังบุษบกและพานธูปเทียนแพวางที่เสาบัว กลุ่มหน้าที่ยืนเฝ้าฯ ของนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และประธานศาลฎีกา ส่วนพุ่มดอกไม้ของแต่ละจังหวัดนำไปตั้งถวายราชสักการะ ณ แท่นซึ่งจัดไว้ตามแนวกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านขวาและด้านซ้ายของประตูวิเศษ ไชยศรี

    'ในหลวง-ราชินี'เสด็จฯ

    เวลา 09.30 น. พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการทหาร-พลเรือน ผู้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พร้อมในมณฑลพระราชพิธีพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

    เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ ประตูราชสำราญ รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่โถงล่างพระที่นั่งบรม ราชสถิตยมโหฬาร

    ออกพระที่นั่งจักรีฯ

    จาก นั้น เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ เสด็จออกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี เลขาธิการพระราชวัง ราชเลขาธิการ สมาชิก ราชสกุล และสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในท้องพระโรงพระที่นั่ง จักรีมหาปราสาท เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงยืนเฝ้าฯ ที่แท่นหน้ามุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมแล้ว เจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร

    เสด็จออก ณ มุขเด็จ

    พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ชาวพนักงานกระทั่งมโหระทึกประโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัด พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเจริญชัยมงคลคาถา ย่ำฆ้องกลองระฆัง พร้อมกับการประกอบพิธีกรรมของศาสนาอื่นๆ<table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    เฉลิมฉลอง- ประชาชนจำนวนมากเที่ยวชมการจัดฉายภาพยนตร์ระบบพาโนรามา พระอัจฉริยภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบนกำแพงพระบรมมหาราชวัง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม

    </td></tr></tbody></table>

    ครั้น สุดเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพแล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนพระบรมวงศานุวงศ์ จบแล้ว เสด็จฯไปเฝ้าฯ ณ ท้องพระโรงหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

    นายกฯนำถวายพระพร

    จาก นั้นนายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนคณะรัฐ มนตรี ข้าราชการทหาร-พลเรือน และราษฎรทุกหมู่เหล่า ประธานรัฐสภา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนสมาชิกรัฐสภา ประธานศาลฎีกา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนข้าราชการตุลาการ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กราบบังคมทูลพระกรุณาและกล่าวนำทหารรักษาพระองค์ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี

    ในหลวงพระราชดำรัสตอบ

    การ นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ จากนั้นผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในมหาสมาคมทั้งหมดถวายความเคารพ ชาวพนักงานกระทั่งมโหระทึก ประโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เจ้าพนักงานรัวกรับและปิดพระวิสูตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ

    พระบรมฯเสด็จฯแทนพระองค์

    จาก นั้นในเวลา 16.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยเจ้าพนักงานเตรียมการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตน ศาสดาราม ตั้งตู้เทียนเท่าพระองค์ เทียนพระมหามงคลอาสนสงฆ์สำหรับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ และบัตรเทวดานพเคราะห์กับเครื่องนมัสการไว้พร้อม

    ส่วนที่พระที่นั่ง อมรินทรวินิจฉัย เจ้าพนักงานเตรียมการตั้งแต่ง เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระกรัณฑ์ ดวงพระบรมราชสมภพ พระสุพรรณบัฏพระปรมาภิไธย และพระราชลัญจกร ประดิษฐาน ณ พระแท่นราชบัลลังก์นพปฎลมหาเศวต ฉัตร และตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระพุทธรูปเทวรูปเทวดานพเคราะห์องค์อภิบาลและองค์ แทรกพระชนมพรรษา พร้อมด้วยตู้เทียนเท่าพระองค์และเทียนพระมหามงคล เครื่องนมัสการไว้พร้อม

    พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

    ใน การนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปยังชานหน้าพระอุโบสถ ทรงประเคนพัดรองที่ระลึกพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 แด่บรรพชิตจีนและญวน จากนั้นบรรพชิตจีนและญวนถวายพระพรชัยมงคลแล้ว เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี และพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วทรงประเคนพัดรองที่ระลึกฯ แด่พระสงฆ์ที่จะเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ แล้วทรงจุดเทียนที่หน้าอาสนสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ และทรงจุดเทียนบูชาเทวดานพเคราะห์

    พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหา ยุสมธัมม์ โหรหลวงบูชาเทวดานพเคราะห์ เสด็จลงสู่ชานหน้าพระอุโบสถ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้สูงอายุฝ่ายหน้าและฝ่ายในที่ได้รับพระราชทานราช สังคหวัตถุ จำนวน 85 คน เฝ้าทูลละอองพระบาทสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จากนั้น เสด็จฯ จากพระอุโบสถไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูเกยหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปเทียบที่หน้าพระทวารเทเวศรรักษา เสด็จ เข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

    เสด็จฯที่นั่งอมรินทรฯ

    จาก นั้นเวลา 17.45 น. เสด็จฯ ยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถา ปนาสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จพระราชาคณะและรองสมเด็จพระราชาคณะ จากนั้นพระสงฆ์ 10 รูปเจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานลั่นฆ้องชัยประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ จากนั้นทรงประเคนสุพรรณบัฏ หิรัญบัฏ พัดยศ ผ้าไตร เครื่องประกอบสมณศักดิ์แด่สมเด็จพระราชาคณะและรองสมเด็จพระราชาคณะที่ได้ทรง พระกรุณาโปรดสถาปนาตามลำดับ

    ทรงประเคนสัญญาบัตร

    จาก นั้นทรงประเคนสัญญาบัตร พัดยศ แด่พระสงฆ์ซึ่งได้รับพระราชทานตั้งเลื่อนสมณศักดิ์ใหม่อีกตามลำดับ พระราชทานสัญญาบัตรฐานันดรศักดิ์แก่ประธานพระครูพราหมณ์ประจำพระราชสำนัก ทรงหลั่งทักษิ โณทก พระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระราชาคณะถวายอดิเรกออกจากพระที่นั่งเจ้าพนักงานกองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนานิมนต์พระสงฆ์ 85 รูป ที่เจริญพระพุทธมนต์ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ขึ้นนั่งยังอาสนสงฆ์พร้อมแล้ว ทรงจุดเทียนมหามงคล เทียนเท่าพระองค์ และธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปเทวรูปเทวดานพเคราะห์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วทรงประเคนพัดรองที่ระลึกพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 แด่สมเด็จพระราชาคณะประธานสงฆ์

    จุดเทียนพระมหามงคล

    จาก นั้นทรงประเคนพัดรองที่ระลึกฯ แด่สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะจนครบ 85 รูป ทรงศีล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์การพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนม พรรษา ระหว่างพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณทางพระทวารเทวราชมเหศวร ทรงจุดเทียนพระมหามงคลบูชาพระสยามเทวาธิราช แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เมื่อพระสงฆ์เจริญพระ พุทธมนต์จบแล้ว สมเด็จพระราชาคณะถวายอดิเรก ก่อนเสด็จฯ กลับ

    ถวายพระพรที่สนามหลวง

    สำหรับ กิจกรรมที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง รัฐบาลจัดกิจกรรมหลัก ได้แก่ 1.พิธีถวายพระพรชัยมงคล 2.มหรสพสมโภชเฉลิมพระเกียรติ 3.การจัดนิทรรศการเฉลิม พระเกียรติ 4.การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโครงการหลวง โครงการส่วนพระองค์ และศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ โดยจะมีพิธีถวายเครื่องราชสักการะกับพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ในวัน 5 ธ.ค. ณ เวทีกลางท้องสนามหลวง และจะถ่ายทอดสดทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมจุดเทียนถวายพระพรโดยพร้อมเพรียงกัน

    จัดงานแสดงครั้งใหญ่

    กิจกรรม ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ อาทิ การแสดงแสง เสียง และสื่อผสม "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา" ที่เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง ฝั่งพระ บรมมหาราชวัง ที่สำนักพระราชวังได้ร่วมมือกับรัฐบาลจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ 3-9 ธ.ค. วันละ 1 รอบ เวลา 19.00-20.30 น. ความยาว 90 นาที ใช้นักแสดงกว่า 150 คน บนเวทีขนาด 60 เมตร มีนักแสดงและนักร้องผู้มีชื่อเสียงมาร่วมแสดงสด จำนวนที่นั่งประมาณ 4,200 ที่นั่ง และสามารถยืนชมการแสดงได้โดยรอบ

    ฉายภาพบนกำแพงสามมิติ

    นอก จากนี้บริเวณแนวกำแพงพระบรมมหาราชวังจัดฉายภาพยนตร์พาโนรามาสื่อผสมเฉลิมพระ เกียรติ "84 ปีแห่งความเรืองรองของกรุงรัตนโกสินทร์" นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในการใช้เทคนิคฉายภาพ บนกำแพงสามมิติ (3D Illusion Live Wall) พร้อมการแสดงประกอบตลอดแนวกำแพงพระบรมมหาราชวัง ความยาว 200 เมตร ด้านถนนหน้าพระลาน ตั้งแต่ช่วงต้นถนนด้านศาลหลักเมืองถึงประตูวิเศษไชยศรี นำเสนอเรื่องราวกรุงรัตนโกสินทร์แผ่นดินทองใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความงดงามทางศิลปวัฒน ธรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต และพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านศิลปะแขนงต่างๆ

    เปิดเข้าชมพระที่นั่งจักรี

    ใน ส่วนที่นำเสนอเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ ที่วัดพระศรีรัตน ศาสดารามนั้น จะแสดงโขนประกอบด้วย ภาพยนตร์ชุดนี้มีความยาว 20 นาที จัดฉายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 19.00-22.00 น. กิจกรรมพิเศษทั้งหมดประชาชนสามารถเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

    พร้อม กันนี้สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าชมและถ่ายภาพบรรยากาศอันงดงามของพระ บรมมหาราชวังในช่วงกลางคืนเป็นกรณีพิเศษ จากประตูวิเศษไชยศรีถึงบริเวณด้านหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท หรือเขตพระราชฐานชั้นกลาง นับเป็นครั้งแรกในระหว่างวันที่ 5-9 ธ.ค. เวลา 18.00-24.00 น. ทั้งนี้จะประดับไฟอย่างสวยงามเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ประชาชนได้ถ่ายภาพอันงดงาม

    จัดระเบียบเส้นทางจราจร

    ผู้ สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการจัดงานเฉลิม ฉลอง 84 พรรษา ณ มณฑลท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 5-11 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการจัดงานมีความจำเป็นต้องปิดการจราจรบนถนนหน้าพระลาน ตั้งแต่แยกป้อมเผด็จ ถึงประตูวิเศษไชยศรี เพื่อการแสดง แสง สี เสียง เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว โดยใช้กำแพงของพระบรมมหาราชวัง และพระบรมมหาราชวังเป็นฉาก โดยจะเริ่มการแสดง ระหว่างเวลา 18.00-24.00 น.

    แห่ลงนามศาลาสหทัยฯ

    วัน เดียวกันนี้เป็นวันแรกที่สำนักพระราช วังเปิดศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง ให้ประชาชนร่วมลงนามถวายพระพร ปรากฏว่าตลอดทั้งวันมีพสกนิกร บุคคลสำคัญ และเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ร่วมลงนามถวายพระพรเนืองแน่น โดยปีนี้สำนักพระราชวังเปิดโอกาสให้ลงนามถวายพระพรได้ตั้งแต่วันที่ 4-6 ธ.ค. เวลา 09.00-17.00 น. โดยวันที่ 5 ธ.ค.เปิดให้ลงนามเวลา 13.00-17.00 น สำหรับบรรยา กาศช่วงเช้าที่ท้องสนามหลวง พสกนิกรชาวไทยจำนวนมากร่วมตักบาตรพระสงฆ์ 99 รูป

    ควีนอังกฤษถวายพระพร

    สถาน เอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย เผยแพร่พระราชสาส์นจากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ประมุขแห่งสหราชอาณาจักร ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ มีใจความว่า "หม่อมฉันขอถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมพระชนม พรรษาครบ 84 พรรษาของฝ่าพระบาท หม่อมฉันได้ติดตามรายงานข่าวอุทกภัยในประเทศไทยด้วยความห่วงใย และขอแสดงความเสียใจมายังฝ่าพระบาทและประชาชนชาวไทยในมหันตภัยครั้งนี้ หม่อมฉันขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนาน และทรงพระเกษมสำราญ และขอส่งความสุขสวัสดีมายังประชาชนชาวไทยทั้งปวง...อลิซาเบธ"
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNVEExTVRJMU5BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHhNaTB3TlE9PQ==-

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="headline" align="left" valign="baseline">ประมวลภาพ "ในหลวง" เสด็จออกมหาสมาคม - ปชช.เฝ้ารับเสด็จ</td> <td align="right" valign="baseline" width="102">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">5 ธันวาคม 2554 11:56 น.</td> </tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <center>[​IMG]</center>

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ ประชาชนต่างสวมเสื้อชมพูเฝ้ารับเสด็จแน่นพระบรมมหาราชวัง-รพ.ศิริราช

    <center>[​IMG]</center>

    วันนี้ (5 ธ.ค.) เวลา 10.23 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระบรมมหาราชวัง โดยผ่านถนนอรุณอัมรินทร์ ขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เข้าถนนราชดำเนินใน ผ่านท้องสนามหลวง เข้าสู่พระบรมมหาราชวังเข้าทางประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ ประตูราชสำราญ เทียบรถยนต์พระที่นั่งที่โถงล่างพระที่นั่งบรมราชสิทธิ์มโหฬาร เสด็จขึ้นพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร

    โดยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินประชาชนสวมเสื้อสีชมพู โบกธงตราสัญลักษณ์ ธงชาติ เปล่งเสียงทรงพระเจริญ กึกก้องไม่ขาดสาย

    <center>[​IMG]</center>

    เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาคณะทูตานุทูต ข้าราชการกองทหารองครักษ์ กองทหารเกียรติยศผสมสามเหล่าทัพ ตลอดจนพสกนิกร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ

    จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารได้นำกล่าวถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต่อด้วยนายกรัฐมนตรี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

    <center>[​IMG]</center>

    ขณะที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บริเวณท้องสนามหลวง มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารับเสด็จแต่เช้าตรู่ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก พร้อมมีขบวนอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามไปยังพระที่ นั่งจักรีมหาปราสาท โดยขบวนอิสริยยศอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์ที่จะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เป็นน้ำสรงอภิเษกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม

    <center>[​IMG]</center>

    <center>[​IMG]</center>

    หลังกล่าวถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าิอยู่หัวฯ มีพระราชดำรัสขอบใจอวยพรวันเกิด และทรงแนะข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือและทหาร ความว่า

    "ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกัน มาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญา โดยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอสนองต่อพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน ท่านทั้งหลายในที่นี้ ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่า ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยประชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์ยากเข็ญ ทั้งนั้นการได้อ่านใดที่เป็นความทุกข์เดือดร้อนของประชาชน ทุกคน ทุกฝ่ายจึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกัน ปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง โดยเฉพาะขณะนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงขอ จึงชอบที่จะร่วมมือกัน ปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อย่างเช่น โครงการต่างๆ ที่เคยพูดไปนั้นเป็นการแนะนำไม่ให้สั่งการ แต่ถ้าเป็นปรึกษากันแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า และทำได้ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้ง แตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกันเพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชน และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ

    ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยความสุข ความเจริญแก่ท่านทั่วกัน"

    จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จด้วยรถพระที่นั่งกลับโรงพยาบาลศิริราช






    </td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="right" height="25" valign="bottom" width="102">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/TabGalleryUBG.gif" height="25" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="25" valign="bottom" width="11">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" height="7" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="middle" width="33%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="middle" width="33%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline" width="33%">
    </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="baseline" width="33%">
    </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="baseline">
    </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="middle" width="33%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="middle" width="33%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline" width="33%">
    </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="baseline" width="33%">
    </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="baseline">
    </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="middle" width="33%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_up.gif" height="2" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="bottom" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" background="/images/a_L.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> <td align="right" background="/images/a_R.gif" valign="middle" width="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/a_Dn.gif" height="2" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="2" valign="top" width="2">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="middle" width="33%"> [​IMG] </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="middle"> [​IMG] </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline" width="33%">
    </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="baseline" width="33%"> [​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="baseline"> [​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert2.gif" valign="middle" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top" width="33%"> </td></tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000154729-

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [​IMG]
    22.0 KB, ดาวน์โหลด 2 ครั้ง
    วันนี้ 04:22 PM



    อ๊ะ มีโหลดกันไปด้วยหรือ

    หรือว่า เก็บข้อมูลที่ผมลงไว้หรือ vb vb

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    คปภ.จ่อออกประกาศเพิ่ม 5 ภัยพิบัติในกรมธรรม์ภาคบังคับ






    บังคับประกันคุ้มครอง5ภัยพิบัติ บีบคนซื้อจ่ายเพิ่ม-แบงก์เงินล้นพอปล่อยกู้ (ไทยโพสต์)

    พิษน้ำท่วมพ่วงการเมืองป่วน คปภ.จ่อออกประกาศเพิ่ม 5 ภัยพิบัติในกรมธรรม์ภาคบังคับ ทั้งอุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว ลูกเห็บ จลาจล คนซื้อประกันต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 279 บาทต่อวงเงิน 1 ล้านบาท แบงก์เตรียมลดอัตราปล่อยกู้โครงการถูกน้ำท่วม

    นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2555 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะมีการออกกรมธรรม์ภาคบังคับในการประกันบ้านเพิ่มจากอัคคีภัยอีก 5 ภัย คือ

    1. อุทกภัย
    2. วาตภัย
    3. แผ่นดินไหว
    4. ลูกเห็บ
    5. จลาจล

    ซึ่งจะมีค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น 279 บาทต่อสินเชื่อบ้าน 1 ล้านบาท แต่ถือว่าไม่ได้สร้างภาระด้านการเงินให้แก่ลูกค้ามากนัก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยซึ่งได้ปรับลดลงมา จะเป็นปัจจัยหนุนในการลดต้นทุนการซื้อที่อยู่อาศัย

    ในส่วนของธนาคารได้เตรียมเสนอผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัย ซึ่งจะพ่วงกับการทำประกันดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจะถูกประเมินราคาตลาดลดลง 10-20% และจะเป็นอุปสรรคในการกำหนดราคาขายของผู้ประกอบการและการปล่อยสินเชื่อของ สถาบันการเงิน ซึ่งในโครงการที่ถูกน้ำท่วมมาก อาจถูกลดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV ratio) อยู่ที่ 80-90% ขณะที่พื้นที่ไม่ถูกน้ำท่วมจะให้ LTV อยู่ที่ 90-100%

    นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ทิศทางสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปี 2555 จะไม่เติบโตมากกว่าปี 2554 เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลปัญหาน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้อาจชะลอการซื้อบ้าน ดังนั้น ต้องรอดูว่ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นตลาดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากไม่มีมาตรการใดออกมา จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึมยาวจนถึงไตรมาส 2 ปี 2555 เพราะธุรกิจนี้ถือเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำ

    ทั้งนี้ ในส่วนของยอดสินเชื่อใหม่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 26,000-27,000 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 10% เพราะในช่วงเดือน พ.ย.มีประมาณ 23,000 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะน้ำท่วมทำให้ยอดสินเชื่อชะลอตัว ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 92,000 ล้านบาท และสิ้นปีจะอยู่ที่ 93,000 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำ และควบคุมได้ โดยลูกหนี้รายใดที่คาดว่าจะมีปัญหาในการผ่อนชำระ ธนาคารจะเข้าไปดูแล ซึ่งหากผ่อนชำระไม่ไหวจะต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้

    นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุ บันสภาพคล่อองในระบบธนาคารพาณิชย์ รวมถึงในมือของ ธปท.มีสูงมาก โดยธนาคารพาณิชย์มีสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งสิ้น 2 ล้านล้านบาท ส่วนสภาพคล่องที่ ธปท.ดูดซับ มีถึง 4.7 ล้านล้านบาท มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและมีความมั่นคง ถือว่าเพียงพอสำหรับการปล่อยกู้ที่จะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ สำหรับซ่อมแซมบ้านเรือนและโรงงานที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิตปกติ หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย

    ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดทั้งเงินฝากและเงินกู้ ลงมากนัก หลังจาก ธปท.ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 3.25% จาก 3.5% เพราะธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้ปรับลดดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ลงไปก่อน หน้านี้ แต่จากนี้ไป ธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยในตลาดเงิน การปล่อยกู้ และเงินฝากหรือสภาพคล่องภายในธนาคารนั้นเอง


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.thaipost.net/category/1/1-
    [​IMG]



    -http://thaiflood.kapook.com/view34660.html-

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ในหลวง มีพระราชดำรัส ขอร่วมมือแก้น้ำท่วม


    ในหลวง มีพระราชดำรัส ขอร่วมมือแก้น้ำท่วม (ไอเอ็นเอ็น)

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ขอทุกฝ่ายร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วม เพื่อความผาสุกของประชาชน

    พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบ มีใจความว่า ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกัน มาอวยพรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาเป็นประการต่าง ๆ ข้าพเจ้าขอสนองต่อพร และไมตรีจิตเหล่านั้นด้วยใจจริงเช่นกัน ท่านทั้งหลายในปีนี้ ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ทั้งฝ่ายพลเรือน และทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่า ความมั่นคง ของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยประชาชนในชาติ อยู่ดี มีสุข ไม่มีทุกข์ ยากเข็ญ ดังนั้น การอันใดที่เป็นความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนทุกคน ทุกฝ่ายจึงต้องถือเป็นหน้าที่ จะต้องร่วมมือกัน ปฏิบัติ แก้ไข ให้เต็มกำลัง โดยเฉพาะขณะนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงขอที่จะร่วมมือกัน ปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

    อย่างเช่นโครงการต่างๆ ที่เคยพูดไปนั้น เป็นการแนะนำ ไม่ใช่สั่งการ แต่ถ้าปรึกษากันแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า และทำได้ ก็ทำ ข้อ สำคัญจะต้องไม่ขัดแย้งแตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชน และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจาคทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยความสุข ความเจริญ ให้แก่ท่านทั่วกัน

    [​IMG]

    ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียนแพ และกล่าวกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร และพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งถึงความปลาบปลื้มปีติ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในพระราชพิธีมหามงคล ความว่า ข้าพระพุทธเจ้า และพสกนิกรชาวไทย ตระหนักดีกว่าชีวิตทุกวันนี้เย็นศิระเพราะพระบริบาลโดยแท้ ทรงเป็นดวงประทีบ และธงชัยนำชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน การปฏิบัติตนเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยความรู้รักสามัคคี จึงเป็นมิ่งมงคล และเป็นความดีงามที่พึงยึดถือโดยไม่เว้นวาย ในอภิลักขิตมหามงคลสมัย ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายพระพรชัยมงคล ขอบันดาลพระประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย ดุจจะถวายชัย ไชโย

    จากนั้น นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ในนามสมาชิกรัฐสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เปิดกรวยดอกไม้ ธูปเทียนแพ และกล่าวกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล กราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงความปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษ 7 รอบ ขอตั้งจิตปรารถนาสมานฉันท์ ประกอบกรรมดีถวายเป็นราชสักการะ เฉลิมพระเกียรติ ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะเทิดทูนปกปักษ์รักษาราชบัลลังก์ ตอบสนองพระราชปณิธานทุกวิถีทาง ให้ประเทศชาติ และระบอบประชาธิปไตยดำเนินสืบไป[​IMG]ในหลวง เสด็จถึงพระบรมมหาราชวังแล้ว

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จถึงพระบรมมหาราชวังแล้ว ท่ามกลางพสกนิกรโบกธงเฝ้าฯรับเสด็จตลอดสองข้างทาง

    วันนี้ (5 ธันวาคม) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาคณะทูตานุทูต ข้าราชการตลอดจนพสกนิกร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ราว 18,000 คน เนื่องในพระราชพิธี เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม

    โดยมีข้าราชการ แพทย์ และพยาบาล รวมถึงประชาชนจำนวนมาก เฝ้ารับเสด็จตลอดสองข้างทาง พร้อมส่งเสียงถวายพระพร ทรงพระเจริญ อย่างกึกก้อง โดยระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแย้มพระสรวล ให้ผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ ทำให้หลายคนปลาบปลื้มจนกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

    [​IMG]ประชาชนเฝ้ารอรับเสด็จฯ ในหลวง ออกมหาสมาคม

    ประชาชนต่างทยอยเฝ้ารอรับเสด็จฯ ในหลวง เพื่อชื่นชมพระบารมี ในหลวง เสด็จออกมหาสมาคม

    บรรยากาศ ช่วงเช้าวันนี้ (5 ธันวาคม) เหล่าพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ต่างทยอยเดินทางมาจับจองพื้นที่ตามเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินจากโรงพยาบาล ศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 เพื่อเฝ้ารอเสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเวลา 10.30 น. และในช่วงเย็นที่บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง จะมีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร

    ส่วนบรรยากาศการลงนามถวายพระ ภายในพระบรมมหาราชวัง ก็เริ่มคึกคัก ประชาชนทยอยเดินทางมาลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประชาชนบางส่วนได้ใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล ทั้งนี้ ทางสำนักพระราชวัง ได้จัดเต็นท์ให้ลงนามถวายพระพร เนื่องจากศาลาสหไทยสมาคม กำลังปรับปรุง โดยจะแบ่งการลงนามเป็น 2 จุด คือ สำหรับประชาชนทั่วไป และข้าราชการต่ำกว่าระดับ 6

    ขณะเดียวกัน ประชาชนที่ร่วมลงนามถวายพระพร จะได้รับหนังสือที่ระลึกงานสวดพระปริตรมหากุศลเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554

    อย่าง ไรก็ตาม ประชาชนที่จะเดินทางมาลงนามถวายพระพรนั้น ต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพ ทั้งนี้ ทางสำนักพระราชวัง ได้เปิดให้ลงนามถวายพระพรทั้งสิ้น 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2554 โดยงดลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช และเปิดให้ลงนามในพระบรมมหาราชวังแทน

    ไอ.เอ็น.เอ็น.
    [​IMG]


    -http://hilight.kapook.com/view/65342-

    .

    http://hilight.kapook.com/view/65342
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    โลโก้ Google เป็นธงไตรรงค์ ฉลองวันพ่อแห่งชาติ - วันชาติไทย


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Google

    เป็นที่ทราบกันดีว่า วันที่ 5 ธันวาคม คือ วันพ่อแห่งชาติ แต่นักท่องเว็บที่เปิดหน้าโฮมเพจของ Google.com จะเห็นว่าโลโก้กูเกิ้ล ประเทศไทย ถูกเปลี่ยนสีสันให้กลายเป็นรูปธงไตรรงค์ คือ แดง ขาว น้ำเงิน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันชาติของไทย 5 ธันวาคมในปีนี้ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

    นอกจากนี้ เมื่อนำเมาส์ไปวางบนโลโก้ธงไตรรงค์ ก็จะมีข้อความ "เรารักประเทศไทย" ปรากฎขึ้นมาอีกด้วย

    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยมีการกำหนด วันชาติ ให้เป็นวันที่ 24 มิถุนายน เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยได้มีการเฉลิมฉลองวันชาติครั้งแรกในปี พ.ศ. 2482 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

    จน วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ในสมัยที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยเหตุที่เปลี่ยนเพราะมีข้อไม่เหมาะสมหลายประการ คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นหลักการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน

    จึงควรถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยยกเลิก วันชาติ ในวันที่ 24 มิถุนายน ดังนั้น นับแต่ปี พ.ศ. 2503 ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันชาติ" ของไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    และนี่ก็คือที่ไปที่มาของโลโก้ Google วันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ และ วันชาติของไทย นั่นเอง


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG] [​IMG] และ doodlethai.com


    -http://hilight.kapook.com/view/65344-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    รู้ไว้ใช่ว่า...กับคำราชาศัพท์น่ารู้

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    หลายคนอาจจะคิดว่าคำราชาศัพท์เป็นเรื่องที่ไกลตัว และเคยเรียนผ่านมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจอีก...แต่เพื่อน ๆ รู้หรือไม่คะว่า จริง ๆ แล้ว ในชีวิตประจำวัน เราได้ใช้คำราชาศัพท์โดยที่ไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

    ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากคำราชาศัพท์ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่คำที่ใช้กับพระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่คำราชาศัพท์ยังหมายถึงการเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับบุคคลในฐานะตำแหน่งที่ แตกต่างกัน ซึ่งก็ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย (พระบรมวงศานุวงศ์) พระภิกษุ ข้าราชการ รวมถึงการใช้คำสุภาพสำหรับบุคคลทั่วไปด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น คำราชาศัพท์ จึงหมายถึง ศัพท์ที่ใช้ในราชการ เพราะในตำรานั้นบางคำไม่กล่าวเฉพาะสำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายเท่านั้น กล่าวทั่วไปถึงคำที่ใช้สำหรับบุคคลชั้นอื่น เช่น ขุนนาง และพระสงฆ์ เป็นต้นด้วย

    สำหรับ มูลรากของราชาศัพท์ คือศัพท์ที่จะใช้เมื่อกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ หรือกราบทูลพระราชวงศ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่เคารพสูงสุด ดังนั้นเมื่อจะใช้ศัพท์ จึงต้องใช้ศัพท์ที่แตกต่างไปจากคำที่ใช้อยู่โดยทั่วไป ในชั้นต้นคงมุ่งหมายเพียงให้เป็นถ้อยคำ สำนวนที่พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ทรงฟังได้ ต่อมาคงเนื่องจากความคลี่คลายของภาษา ราชาศัพท์จึงขยายออกไป มีศัพท์สำหรับใช้กับพระ-ภิกษุ ข้าราชการ และกว้างขวางออกไปจนถึงคำสุภาพ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในการใช้คำราชาศัพท์ มีดังนี้

    คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์

    คำราชาศัพท์ แบ่งออกได้เป็น

    1. คำนาม

    2. คำสรรพนาม

    3. คำกริยา

    1. คำนาม

    1.) คำว่า "พระบรม พระบรมราชา" ใช้นำหน้าคำนามเพื่อเชิดชูพระราชอิสริยศหรือพระเกียรติ เช่น พระบรมเดชานุภาพ พระบรมวงศานุวงศ์ พระบรมมหาราชวัง พระบรมราชโองการ

    2.) คำว่า "พระบรม" ใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์เท่านั้น เมื่อใช้กับสมเด็จพระบรมราชินี ให้ตัดคำว่า " บรม" ออก เช่น พระนามาภิไธย พระราชานุเคราะห์ พระราโชวาท เป็นต้น

    3.) คำว่า " พระราช" ใช้นำหน้าคำนามที่สำคัญรองลงมา เช่น พระราชวังดุสิต พระราชทรัพย์ พระราชดำริ

    4.) คำว่า "พระ" ใช้นำหน้านามสามัญทั่วไป เช่น พระที่นั่ง พระหัตถ์ พระบาท

    5.) คำว่า "ต้น" หรือ "หลวง" เมื่อประกอบท้ายคำศัพท์สามัญแล้ว จะทำให้คำกลายเป็นคำราชาศัพท์ทันที เช่น ช้างต้น ม้าต้น เรือต้น เรือนต้น เครื่องต้น พระแสงปืนต้น ลูกหลวง หลานหลวง พระราชวังหลวง ฯลฯ

    2. คำสรรพนาม

    คำสรรพนามราชาศัพท์ คือ คำแทนชื่อที่จำแนกใช้ตามชั้นของบุคคล ซึ่งถือว่า มีฐานันดรศักดิ์ต่างกัน ตามประเพณีนิยม จึงต้องบัญญัติคำใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของแต่ละบุคคล และจะต้องคำนึงถึงเพศของบุรุษที่ 1 (ผู้พูด) บุรุษที่ 2 (ผู้ที่เราพูดด้วย) และบุรุษที่ 3 (ผู้ที่เราพูดถึง) เช่น

    บุรุษที่ 1 ได้แก่ ข้าพระพุทธเจ้า เกล้ากระหม่อม หม่อมฉัน ฯลฯ

    บุรุษที่ 2 ได้แก่ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ใต้ฝ่าละอองพระบาท ใต้ฝ่าพระบาท ฯลฯ

    บุรุษที่ 3 ได้แก่ พระองค์ เสด็จ ท่าน ฯลฯ

    3. คำกริยา

    คำกริยาราชาศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบัน มีลักษณะดังต่อไปนี้

    • กริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้วสามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น กริ้ว ตรัส ทรงประทับ พระราชทาน ประชวร โปรด สรง เสด็จ เสวย

    • คำกริยาที่ตามหลังคำว่า " เสด็จ" จะใช้คำสามัญหรือคำที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้วก็ได้ เช่น เสด็จเข้า เสด็จออก เสด็จยืน เสด็จลง เสด็จไป เสด็จมา เสด็จประพาส เสด็จประทับ เสด็จพระราชดำเนิน ฯลฯ

    • คำที่ตามหลังคำว่า " ทรง" จะเป็นคำนามหรือคำกริยาก็ได้ แต่เมื่อประสมกันแล้วถือว่าเป็นคำกริยาราชาศัพท์ แบ่งได้ดังนี้

    ก. ใช้ " ทรง" นำหน้าคำกริยาสามัญ

    เช่น ทรงฟัง ทรงรำพึง ทรงจาม ทรงวาง ทรงทราบ ทรงยินดี ทรงของใจ

    ข. ใช้ " ทรง" นำหน้าคำนามสามัญ

    เช่น ทรงช้าง ทรงม้า ทรงปืน ทรงรถ ทรงดนตรี ทรงกีฬา ทรงเรือใบ ทรงเครื่อง


    ค. ใช้ " ทรง" นำหน้าคำนามราชาศัพท์ เพื่อให้กลายเป็นคำกริยาราชาศัพท์

    เช่น ทรงพระเมตตา ทรงพระกรุณา ทรงพระอุตสาหะ ทรงพระวินิจฉัย ทรงพระสุบิน ทรงพระอักษร ทรงพระประชวร

    • ไม่ใช้ "ทรง" นำหน้าคำกริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น จะไม่ใช้ ทรงเสด็จ ทรงเสวย ทรงประทับ ทรงรับสั่ง ทรงโปรด ทรงตรัส ทรงประสูติ เสด็จ (แต่จะใช้ว่า เสวย ประทับ รับสั่ง โปรด ตรัส ประสูติ) ยกเว้นคำเดียวคือ " ทรงผนวช"

    • คำราชาศัพท์ที่มีคำว่า "ทรงพระราช" นำหน้า ใช้กับพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระบรมราชกุมารี

    • ไม่ใช้คำว่า "มี เป็น" นำหน้าคำราชาศัพท์ คือไม่ใช่ว่าทรงมีพระราชดำรัส ทรงเป็นพระราชโอสร แต่ใช้ให้ว่า มีพระราชดำรัส เป็นพระราชโอรส

    • คำกริยาราชาศัพท์บางคำยังลดหลั่นการใช้ หรือใช้ตามลำดับชั้น เช่น

    [​IMG]
    [​IMG]


    การใช้คำขึ้นต้น คำสรรพนาม และคำลงท้ายในการพูด

    [​IMG]
    [​IMG]



    • ในการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ถ้าผู้กราบบังคมทูลไม่เป็นที่รู้จักคุ้นเคย ผู้กราบบังคมทูลควรจะได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึง ชื่อ นามสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงานของตน โดยใช้คำกราบบังคมทูลว่า

    "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อ สกุล และตำแหน่งหน้าที่การงาน) "

    ในการเฝ้ารับเสด็จ หากไม่สามารถจะใช้คำราชาศัพท์ในการกราบบังคมทูลได้ ก็ให้กราบบังคมทูลด้วยถ้อยคำสุภาพ

    ในการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บางกรณีใช้ข้อความขึ้นต้นตามแบบแผนที่ได้กำหนดไว้ ดังนี้

    ๑. กราบบังคมทูลถึงความสะดวกสบาย หรือการรอดพ้นอันตราย ใช้คำว่า เดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม

    ๒. กราบบังคมทูลพระกรุณาถึงข้อความอันไม่น่าชื่นชมต่าง ๆ เช่น สกปรก หรือน่ารังเกียจ ใช้คำว่า ไม่ควรจะกราบบังคมทูลพระกรุณาหามิได้

    ๓. กราบบังคมทูลพระกรุณาถึงการที่ได้ทำพลาด ทำผิด หรือการกระทำอันไม่เหมาะสม ใช้คำว่า พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าพ้นกระหม่อม

    ๔. กราบบังคมทูลพระกรุณาถึงข้อความซึ่งเป็นการขอร้อง ใช้คำว่า ขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม

    ๕. กราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นการรำลึกในพระคุณ ใช้คำว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม

    ๖. กราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นความกลาง ๆ เพื่อจะได้ทรงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้คำว่า การจะควรมิควรประการใดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

    ๗. กราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นการขออนุญาตกระทำสิ่งใด ใช้คำว่า ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต

    ๘. กราบบังคมทูลพระกรุณาถึงการที่ตนได้รู้ ใช้คำว่า ทราบเกล้าทราบกระหม่อม

    ๙. กราบบังคมทูลพระกรุณาถึงการกระทำสิ่งใดถวาย ใช้คำว่า สนองพระมหากรุณาธิคุณ หรือ สนองพระเดชพระคุณ

    ๑๐. กราบบังคมทูลพระกรุณาขอเฝ้า หรือขอถวายสิ่งใด ใช้คำว่า ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส

    • คำราชาศัพท์น่ารู้อื่น ๆ

    ศัพท์ที่ใช้สำหรับพระภิกษุ

    1. การใช้ถ้อยคำสำหรับพระภิกษุแตกต่างจากการใช้คำราชาศัพท์สำหรับพระเจ้าแผ่นดินหรือพระราชวงศ์

    เพราะพระภิกษุนั้นไม่ว่าบุคคลอื่นจะพูดกับท่าน หรือเมื่อท่านพูดกับคนอื่นก็จะใช้ศัพท์อย่างเดียวกัน เสมอไป
    เช่น คำว่า อาพาธ (เจ็บ, ป่วย) เป็นศัพท์สำหรับพระภิกษุ

    ในกรณีที่ คนอื่นกล่าวถึงท่าน พระมหาสุริยัญ อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์
    ท่านกล่าวกับคนอื่น ขณะนี้อาตมา อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์
    คำว่า ประชวร (เจ็บ, ป่วย) เป็นศัพท์สำหรับพระราชวงศ์

    ในกรณีที่ คนอื่นกล่าวถึงพระองค์ท่าน พระองค์เจ้าพระองค์นั้น ประชวรมาหลายวันแล้ว
    พระองค์ท่านกล่าวกับคนอื่น ฉัน เจ็บมาหลายวันแล้ว

    2. สมเด็จพระสังฆราชใช้ราชาศัพท์เสมอพระเจ้าวรวงศ์เธอ เช่น

    คำขึ้นต้น ใช้ว่า กราบทูล (ออกพระนามเต็ม)
    สรรพนามแทนผู้พูด ใช้ว่า เกล้ากระหม่อม (สำหรับชาย)
    เกล้ากระหม่อมฉัน (สำหรับหญิง)
    สรรนามแทนพระองค์ท่าน ใช้ว่า ฝ่าพระบาท
    คำลงท้าย ใช้ว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

    3. พระภิกษุที่เป็นราชวงศ์ คงใช้ราชาศัพท์ตามลำดับชั้นแห่งพระราชวงศ์ ยกเว้นแต่สมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระราชวงศ์ให้ใช้ คำขึ้นต้น ใช้ว่า ขอประทานกราบทูล (ออกพระนามเต็ม)

    สรรพนามแทนผู้พูด ใช้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า
    สรรนามแทนพระองค์ท่าน ใช้ว่า ใต้ฝ่าพระบาท
    คำลงท้าย ใช้ว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

    4. การเรียกขานพระภิกษุที่ทรงสมณศักดิ์ ต้องใช้ให้เหมาะสมแก่สมณศักดิ์ เช่นคำว่า " ท่าน" มีวิธีการใช้ ดังนี้

    สมเด็จพระราชาคณะ ใช้ว่า พระคุณเจ้า
    พระราชาคณะชั้นธรรม ใช้ว่า พระคุณท่าน
    พระชั้นรอง ๆ ลงมา ใช้ว่า ท่าน

    [​IMG]
    [​IMG]

    ศัพท์สำหรับสุภาพชน

    การใช้ถ้อยคำสำหรับบุคคลทั่วไปจำเป็นต้องใช้ให้เหมาะสมกับฐานะ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สื่อสาร กาละและเทศะ ซึ่งการสื่อสารระหว่างสุภาพชนควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้

    ๑. คำห้วน หรือคำกระด้าง เช่น เออ โว้ย หือ หา ไม่รู้

    ๒. คำหยาบ ไม่ควรใช้ เพราะจะติดเป็นนิสัย เช่น ไอ้ อี ขี้ เยี่ยว

    ๓. คำคะนอง หรือคำสแลง หมายถึง คำที่อยู่ในความนิยมเป็นพัก ๆ เช่น เก๋ เจ๋ง ซ่าส์ ฯลฯ

    ๔. คำผวน หรือคำที่เวลาผวนกลับแล้วเป็นคำหยาบ เช่น เสือกะบาก (สากกะเบือ)

    ๕. คำที่ต้องไม่ใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความสุภาพ หรือในที่ชุมชน เช่น กิน หัว เกือก ผัว เมีย เอามา ฯลฯ

    [​IMG]


    การใช้คำขึ้นต้น คำสรรพนาม และคำลงท้ายในการเขียนหนังสือ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    -http://hilight.kapook.com/view/65183-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5000.jpg
      5000.jpg
      ขนาดไฟล์:
      222.7 KB
      เปิดดู:
      1,504
    • 1_7.jpg
      1_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.5 KB
      เปิดดู:
      1,663
    • 1_8.jpg
      1_8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.6 KB
      เปิดดู:
      3,090
    • 2_6.jpg
      2_6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.3 KB
      เปิดดู:
      2,424
    • 2_7.jpg
      2_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      215.8 KB
      เปิดดู:
      1,641
    • 2_8.jpg
      2_8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.6 KB
      เปิดดู:
      2,634
    • 3_4.jpg
      3_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.8 KB
      เปิดดู:
      1,441
    • 3_5.jpg
      3_5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.9 KB
      เปิดดู:
      1,808
    • 4_2.jpg
      4_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.5 KB
      เปิดดู:
      1,418
    • 4_3.jpg
      4_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      2,512
    • a1_2.jpg
      a1_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.4 KB
      เปิดดู:
      2,250
    • Untitled-1_5.jpg
      Untitled-1_5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.4 KB
      เปิดดู:
      2,171
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ตระการตาขบวนเรือดอกบัวเทอดพระเกียรติวันพ่อ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]





    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/125240/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD/1/page-1-




    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1-1.JPG
      1-1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      79 KB
      เปิดดู:
      685
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.9 KB
      เปิดดู:
      658
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.4 KB
      เปิดดู:
      680
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.1 KB
      เปิดดู:
      646
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.2 KB
      เปิดดู:
      649
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.8 KB
      เปิดดู:
      652
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      632
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    มาทายกันครับว่า หลวงปู่องค์ไหน อธิษฐานจิต

    [​IMG]

    ส่วนรูปจริง ไว้ผมส่งให้ทาง pm สำหรับสมาชิกชมรมพระัวังหน้าท่านใดที่อยากเห็นครับ



    .
    </td> </tr> </tbody></table>
    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ไปชมกันเอง อิอิ


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=z1FpyG_t5nE&feature=related]10อันดับนายประตูที่โง่ที่สุด - YouTube[/ame]


    -http://www.youtube.com/watch?v=z1FpyG_t5nE&feature=related-


    .


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-Skm5FJ0fWQ&feature=related]10 ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก - YouTube[/ame]


    -http://www.youtube.com/watch?v=-Skm5FJ0fWQ&feature=related-



    .


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4BvN8nH-_bE&feature=related]10 อันดับ นักฟุตบอลที่เล่นละครเก่งที่สุด - YouTube[/ame]


    -http://www.youtube.com/watch?v=4BvN8nH-_bE&feature=related-



    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...