พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลูกน้องไม่มีแรงจูงใจเพราะเงินเดือนน้อยจริงหรือ
    -http://prakal.wordpress.com/2014/06/09/%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b9%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%9e/-

    ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / 5 วัน ago มิถุนายน 9, 2014

    เคยได้ยินหัวหน้างาน และผู้จัดการบ่นให้ฟังว่า ลูกน้องของตนเองไม่รู้เป็นอะไร ไม่ค่อยอยากทำงาน เหมือนกับไม่มีแรงจูงใจในการทำงานเลย สั่งอะไรก็ไม่ทำตามสั่ง ทำงานแบบขอไปทีจริงๆ ก็เลยสอบถามไปว่า แล้วคิดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร คำตอบที่ผมได้มาก็คือ “ที่นี่เงินเดือนน้อย ก็เลยทำให้พนักงานไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน” ท่านผู้อ่านคิดอย่างไรกับเหตุผลดังกล่าวครับ

    เรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานนั้น เรื่องเงินเอาเข้าจริงๆ ผมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้แรงจูงใจหายไปทั้งหมดได้ หรือถ้าเป็นเรื่องเงินจริงๆ ผมคิดว่าพนักงานคนนั้นก็คงจะต้องลาออก และไปหางานทำใหม่ที่อื่นที่มีเงินเดือนที่พอกับที่พนักงานต้องการมากกว่าที่จะทนอยู่แบบนี้ (หรือเปล่า)

    และการที่หัวหน้างานหรือผู้จัดการมองว่า ที่พนักงานขาดแรงจูงใจเพราะได้รับเงินเดือนน้อยนั้น อาจจะเป็นการมองที่ไม่ครบถ้วนเท่าไหร่ ในกรณีที่พนักงานยังคงอยู่ทำงานในบริษัท ไม่ได้ไปหางานที่อื่น นั่นแปลว่า พนักงานเองอาจจะไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของเงินเดือนค่าจ้างมากนัก เพราะเท่าที่ผมเคยประสบมา เวลาพนักงานมีปัญหาเรื่องค่าจ้างหรือเงินเดือนจริงๆ ทางออกที่ตรงที่สุดก็คือ การออกไปหางานใหม่ที่ทำให้เขาได้เงินเดือนค่าจ้างที่สูงขึ้นกว่าเดิม เขาจะไม่อดทนทำงานอยู่แบบนี้แน่นอน

    และอีกอย่างก็คือ ด้วยอำนาจหน้าที่ของคนที่เป็นหัวหน้างาน และผู้จัดการนั้น เราไม่สามารถที่จะไปให้เงินเดือนพนักงานคนนั้นได้ตามที่เขาต้องการอยู่แล้ว ดังนั้นการบ่นกว่า พนักงานขาดแรงจูงใจเพราะเงินเดือนน้อย จึงเป็นสิ่งที่ผู้จัดการแก้ไขอะไรไม่ได้เลย

    แต่ถ้าเรามั่นใจว่า พนักงานคนนี้ไม่ลาออกไปไหนแน่นอน เพราะรักบริษัท แต่ที่ไม่อยากทำงาน หรือขาดแรงจูงใจในการทำงานแสดงว่าต้องมีสาเหตุอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเงินเดือนค่าจ้างอย่างแน่นอน โดยทั่วไปสาเหตุก็มีดังต่อไปนี้ครับ

    หัวหน้างานของตนเอง เป็นสาเหตุหลักเลยที่ทำให้พนักงานไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน และเกิดความรู้สึกไม่อยากทำงานอีกเลย บางองค์กรพนักงานถึงกับลาออกเพราะเหตุของหัวหน้างานมากกว่าเรื่องของเงินเดือนด้วยซ้ำไป พนักงานบางคนเคยมาบ่นให้ฟังเลยว่า ที่ไม่อยากทำงานก็เพราะหัวหน้างานไม่ดีมากกว่า บางคนยอมลาออกไปทำงานกับองค์กรที่มีเงินเดือนน้อยกว่าด้วยซ้ำไป แต่ขอแค่เพียงไม่ต้องเจอหัวหน้างานแบบนี้ก็พอ

    ขาดบรรยากาศในการทำงานที่ดี บางบริษัททุกอย่างดีหมด แต่บรรยากาศในการทำงานนั้น ไม่เอื้อเลย ก็เลยทำให้หมดไฟ หมดแรงจูงใจในการทำงาน อาทิ หัวหน้างานไม่สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน เข้ามาทำงานก็ต่างคนต่างทำกันไป โดยไม่มีการพูดคุยกัน หรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน แบบนี้พนักงานก็คงหมดแรงจูงใจในการทำงานได้เช่นกัน

    ขาดเพื่อนร่วมงาน อีกประเด็นหนึ่งที่สามารถทำให้พนักงานหมดแรงจูงใจในการทำงานได้ก็คือ เรื่องของเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันในองค์กร บางคนทำงานคนเดียว ไม่มีเพื่อนเลย หรือบางคนมีเพื่อน แต่ก็ไม่มีความจริงใจต่อกันในการทำงาน มีแต่จะจ้องแทงกันข้างหลัง แบบนี้ก็ทำให้แรงจูงใจในการทำงานหายไปได้เช่นกันครับ

    ขาดความเป็นธรรม บางองค์กรอะไรๆ ก็ดี เงินเดือนก็สูง สวัสดิการก็ดี แต่ที่พนักงานไม่อยากทำงานให้ดี ก็เพราะทำงานไปก็รู้สึกว่า บริษัทไม่เป็นธรรมต่อพนักงานเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประเมินผลงาน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การขึ้นเงินเดือน ฯลฯ ก็เต็มไปด้วยความเอียง และไม่เป็นธรรม แบบนี้พนักงานคนไหนก็ไม่มีแรงจูงใจในการทำงานได้

    ขาดความก้าวหน้าในการทำงาน พนักงานที่เข้ามาทำงานกับองค์กรก็ย่อมที่จะต้องการความก้าวหน้าในการทำงาน แต่ถ้าทำผลงานดีแล้ว แต่กลับไม่มีความก้าวหน้าใดๆ เกิดขึ้นเลย หรือทำงานไปเรื่อย โดยไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น หรือเก่งขึ้น แบบว่า การฝึกอบรมต่างๆ ก็ไม่เคยมี แบบนี้แรงจูงใจก็หายได้อีกเช่นกัน

    จริงๆ แล้วผมคิดว่ายังมีประเด็นอีกเยอะที่ทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจในการทำงาน สิ่งที่ต้องการจะบอกก็คือ เรื่องของเงินเดือน ค่าจ้างนั้น เป็นส่วนหนึ่งก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วในการทำงาน คนเราไม่ได้ทำงานไปเพื่อเงินเป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าเงินจะมีความสำคัญก็จริง

    ลองคิดดูสิครับ ทำไมเราถึงทำงานจนดึกดื่น ทำไมวันหยุดยังต้องแบกงานกลับมาทำที่บ้าน ทำไมเราถึงยอมออกเงินส่วนตัวเพื่อทำงานบางอย่าง ทำไมเราถึงพยายามหาวิธีการเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ไม่ใช่ทำแบบขอไปที ตรวจแล้วตรวจอีก เพื่อให้งานออกมา perfect ที่สุด ทุกอย่างนี้ ทำไปเพื่อเงินจริงๆ หรือ

    ----------------------------------------------

    เคล็ดลับง่ายๆ ในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน

    -http://prakal.wordpress.com/2014/03/27/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89-2/-


    ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / มีนาคม 27, 2014


    พูดถึงคำว่า “แรงจูงใจ” ผมคิดว่าหัวหน้างานทุกคน ทุกระดับ ล้วนต้องผ่านการศึกษา อบรม และพัฒนากันในเรื่องนี้มาไม่มากก็น้อย เนื่องจากคนที่เป็นหัวหน้านั้น จะต้องทำงาน และสร้างผลงานโดยอาศัยลูกน้องแต่ละคนที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี เพื่อให้ผลงานของตนเองออกมาดี และทำให้ผลงานของหัวหน้าอย่างเราๆ ดีไปด้วย

    ถ้าใครได้ศึกษาเรื่องของทฤษฎีในการสร้างแรงจูงใจกันอย่างจริงๆ จังๆ จะเห็นว่า มีทฤษฎีที่ว่ากันด้วยเรื่องนี้มากมาย มีนักทฤษฎี นักวิชาการ นักจิตวิทยา ที่ทำการทดลอง วิจัย ในเรื่องของปัจจัยที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับคนเราว่ามีอะไรบ้าง จนบางครั้งเราเองในฐานะของผู้ปฎิบัติก็เกิดอาการงงๆ ว่าแล้วเราจะใช้ทฤษฎีไหนดี ในการมาสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานของเรา

    ผมเองคิดว่าเราเองคงจะไม่สามารถนำเอาทฤษฎีตรงๆ มาใช้ในการทำงานจริงๆ ได้ทั้งหมด คงต้องอาศัยการประยุกต์ ยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานนั้น ผมคิดว่าถ้าใครไม่เคยเรียนเรื่องเหล่านี้มา ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาทฤษฎียากๆ มานั่งอ่าน หรือนั่งเรียนกัน วิธีง่ายๆ ก็คือ ให้ถามตัวเองว่า ถ้าเราจะอยากทำงาน หรือ จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ อะไรคือสิ่งที่จะมีกระตุ้น และสร้างพลังให้เราสามารถทำได้อย่างที่เราคิดไว้

    การที่หัวหน้าจะสร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้องได้ ก็ต้องคิดกับตัวเองก่อนว่า ถ้าเราเป็นลูกน้อง เราต้องการหัวหน้างานแบบไหนที่จะทำให้เราอยากจะทำงานให้อย่างเต็มใจ และพอใจ ลองนั่งนิ่งๆ แล้วทำเป็นรายการลงในกระดาษเปล่าดูก็ได้นะครับ ว่าจะมีอะไรบ้างที่หัวหน้าทำแล้วจะสร้างแรงจูงใจให้กับเราได้จริงๆ

    พอคิดได้แล้ว ก็ให้คิดต่อไปว่า แล้วลูกน้องของเราเองล่ะ ต้องการอะไรเพื่อที่จะทำให้เขาอยากจะทำงานให้เราด้วยความเต็มใจและพอใจเช่นกัน
    จากการทำแบบฝึกหัดคล้ายๆ แบบนี้ กับกลุ่มผู้เข้าสัมมนาในหลักสูตรการพัฒนาทักษะการบังคับบัญชาที่ผมบรรยายให้กับลูกค้าในหลายๆ รุ่น ก็สามารถสรุปออกมาเป็นแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ

    ปฏิบัติต่อพนักงานด้วยการให้เกียรติ นี่คืออันดับแรกที่พนักงานส่วนใหญ่เขียนมาว่า หัวหน้างาน และผู้จัดการควรจะปฏิบัติต่อลูกน้องตนเองด้วยความเคารพในสิทธิของกันและกัน รวมทั้งปฏิบัติต่อพนักงานในลักษณะเดียวกับที่เราต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรานั่นเองครับ เช่น พูดจาด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ สุภาพ ไม่ขึ้นเสียง หรือแสดงกิริยาก้าวร้าว โดยเฉพาะการมองพนักงานระดับล่างๆ หรือลูกน้องว่า เป็นคนในระดับที่ต่ำกว่าเรา ดังนั้นเราจะพูดเอะอะ โวยวายอะไรกับเขาก็ได้ เพราะเราอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า บางคนถึงกับชี้หน้าด่าลูกน้องต่อหน้าคนอื่นเลยก็มี เพราะต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเองมีอำนาจ และอย่ามาหือกับตนนะ การแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับลูกน้องนั้น เป็นปัจจัยที่จะทำให้พนักงานของเราหมดพลัง หมดแรงจูงใจในการทำงานให้กับหัวหน้าอย่างแน่นอน เพราะพนักงานจะรู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ และคิดว่าทำไมนายถึงต้องมาแรงกับเราแบบนี้ เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเลย พนักงานบางคนบ่นดังๆ ออกมาให้เราได้ยินเลยว่า “ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรกับนายมา ชาตินี้ถึงโดนนายด่าแบบไม่ยั้งเลย” ผมเองคิดว่าการให้เกียรติคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก อยู่ที่ตัวเราเองนี่แหละครับว่าจะอยากทำหรือเปล่า พนักงานเองก็จะรู้สึกดีมาก ถ้านายปฏิบัติกับพนักงานอย่างให้เกียรติ และเป็นกันเอง ไม่ถือตัว ยิ่งนายระดับสูงในองค์กร ปฏิบัติต่อพนักงานอย่างให้เกียรติด้วยแล้ว พนักงานจะยิ่งรู้สึกเคารพ และจะให้เกียรตินายกลับบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นจะเกิดพลังและแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับนายดีๆ แบบนี้

    ปฏิบัติต่อพนักงานด้วยความเป็นธรรม อันดับที่สองของปัจจัยที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงานได้ ก็คือ หัวหน้าจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และแสดงออกถึงความไม่เป็นธรรมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายงาน การควบคุมดูแลการทำงาน การให้รางวัลการทำงาน การประเมินผลงาน หัวหน้างานบางคน รู้สึกชอบ รัก พนักงานบางคน ก็จะพยายามที่จะดูแลเอาใจใส่พนักงานคนนั้นเป็นพิเศษ จนทำให้พนักงานคนอื่นในทีมรู้สึกได้ ในทางตรงกันข้าม หัวหน้างานบางคนรู้สึกไม่ชอบหน้าพนักงานบางคน ก็จะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ จะเป็นอะไรช่าง ไม่รู้เรื่องอะไรใดๆ ทั้งนั้น อยากออกก็ออกไป อยากอยู่ก็อยู่ไปแบบนี้ ถ้ามีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นในทีมงานของเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ความขัดแย้งภายในทีมงานเราเอง การเมืองภายในทีม การแทงกันข้างหลัง ฯลฯ แล้วแรงจูงใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จริงมั้ยครับ

    ให้ความสำคัญ ความใส่ใจ และให้รางวัลแก่พนักงานเมื่อพนักงานทำผลงานได้ดี นี่ก็เป็นอีกหลักเกณฑ์ง่ายๆ ที่รู้กันทั่วไป แต่กลับไม่ค่อยเห็นใครเอามาใช้อย่างจริงจังในทางปฏิบัติ รางวัลในที่นี้ผมจะหมายถึงรางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงินมากกว่าที่เป็นตัวเงินนะครับ เพราะเรื่องของรางวัลที่เป็นตัวเงินนั้น หัวหน้างานบางระดับแทบจะไม่สามารถให้รางวัลในรูปตัวเงินแก่พนักงานได้เลย แต่สิ่งที่เราสามารถให้พนักงานได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างานในระดับไหนก็ตาม ก็คือ คำชื่นชม การขอบคุณ การชมเชยต่อหน้าคนอื่น หัวหน้าบางคนคิดว่า การให้รางวัลในรูปตัวเงินจะเป็นตัวสร้างแรงจูงใจได้ดี แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันจะไม่ได้ผลในแง่ของการสร้างแรงจูงใจมากนัก เช่น การขึ้นเงินเดือนเยอะๆ พนักงานได้เงินแล้ว มันก็จบไป พลังและแรงจูงใจก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหัวหน้าให้การชื่นชมในผลงาน ให้คำขอบคุณ และมีการชมเชยพนักงานต่อหน้าคนอื่น และยังพยายามที่จะสร้างและพัฒนาพนักงานให้เก่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจริงใจด้วยแล้ว สิ่งนี้เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นพลัง และสร้างแรงจูงใจที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวพนักงานได้มากกว่ารางวัลที่เป็นตัวเงิน ซึ่งจะจะทำให้พนักงานรู้สึกมีแรงบันดาลใจ และมีพลังที่จะสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง

    แค่เคล็ดลับ 3 ประการข้างต้น ถ้าหัวหน้าคนไหนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง และอย่างจริงใจ แล้ว ผมเชื่อว่า พนักงานในทีมอย่างน้อยก็ 95% จะเกิดแรงจูงใจในการทำงานอย่างแน่นอนครับ

    เริ่มต้นการทำงานในแต่ละวันด้วย การเดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้ม และคำทักทายลูกน้อง ถามไถ่ทุกข์สุขของลูกน้องก่อน เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานแต่ละวัน แค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแรงจูงใจที่ดีแล้วครับ จากนั้นก็ค่อยต่อด้วยเคล็ดลับ 3 ประการข้างต้น รับรองว่า ทีมงานทุกคนของเราจะมีแรงจูงใจในการทำงานอย่างเปี่ยมล้น และทำงานอย่างมีความสุขแน่นอนครับ

    ----------------------------------------------------

    เรื่องนี้ จากเว็บดร.บุญชัย

    จะกระตุ้นให้ลูกน้องตั้งใจทำงานได้อย่างไร

    -http://www.drboonchai.com/index.php?option=content&task=view&id=235&Itemid=--


    สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า องค์กรกำลังจะล่มสลายหรือกำลังก้าวถอยหลังคือ ลูกน้องเบื่องาน ทำงานเช้าชามเย็นชาม คิดเองไม่เป็น ไม่ตามงานก็ไม่ลงมือทำ ไม่สนใจทีมเวิร์ค คอยแต่จะต่อต้าน มีกิริยาวาจารุนแรงกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน หรือบางคนก็เก็บตัวเงียบ ไม่สนใจคนอื่น คอยแต่จะเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนแต่กลับไม่มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ลูกน้องบางคนไม่ยอมบอกข้อมูลที่แท้จริง หรือไม่ยอมสอนงานคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต และเหตุผลสำคัญที่เป็นต้นเหตุแห่งหายนะนี้คือ ผู้บริหารบริหารงานไม่เป็น ผู้บริหารยังไม่เข้าใจศาสตร์ในการบริหารงานอย่างแท้จริง ฉะนั้น บทความนี้จึงนำเสนอวิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
    ปัจจัยแห่งความล้มเหลวที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ คือ
    1. ผู้บริหารมีอัตตาตัวตนสูง
    ผู้บริหาร ผู้นำ หรือหัวหน้าเมื่อก้าวขึ้นมาบริหารคนอาจจะเผลอหลงใหลในอำนาจที่ตนมีอยู่ จนลืมที่จะเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่คนรอบข้าง เมื่อลุแก่อำนาจก็มักจะทำอะไรโดยไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำ กำลังพูดอะไร และสิ่งนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน

    2. ผู้บริหารมีมุมมองในการมองโลกที่ผิด
    หัวหน้าบางคนมองลูกน้องในแง่ร้ายว่า ลูกน้องมีแนวโน้มจะโกงเสมอถ้ามีโอกาสหรือชอบอู้งานเมื่อไม่มีใครคอยกำกับ ชอบเล่นพรรคเล่นพวก ชอบจับกลุ่มนินทาหรือรอเวลาจะเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าอยู่ทุกเมื่อ ถ้าหัวหน้าคิดเช่นนี้พฤติกรรมที่แสดงออกมาจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง คอยแต่จะจับผิด คิดเล็กคิดน้อย ใช้อำนาจเข้าข่มขู่ ไม่ยอมให้อิสระหรืออำนาจในการตัดสินใจใด ๆ หากลูกน้องเจอหัวหน้าประเภทนี้ก็ย่อมเบื่อหน่าย อึดอัด ไม่อยากทำงานเป็นธรรมดา เพราะเชื่อว่าถึงจะเสนองานไปหัวหน้าก็คงไม่ยอมรับอยู่ดี ถ้าลูกน้องไม่มีจิตใจจะทำงานแล้วองค์กรจะอยู่รอดได้อย่างไร

    3. ผู้บริหารไม่มีคุณธรรมจริยธรรมเพียงพอ
    โดยธรรมชาติแล้วในช่วงแรก ลูกน้องจะยอมให้โอกาสหัวหน้าคนใหม่ได้ปรับตัวและเรียนรู้งาน และพอจะทนรับได้แม้ว่าหัวหน้าจะไม่ค่อยมีความสามารถมากนัก แต่จะไม่มีลูกน้องคนใดทนรับหัวหน้าที่ไม่มีคุณธรรมจริยธรรมได้เช่น ลูกน้องทำดีแล้วไม่ได้ดีเพราะหัวหน้ามีมาตรฐานในการสนับสนุนและเลื่อนขั้นลูกน้องตามผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ หรือเลื่อนตำแหน่งโดยดูตามความอาวุโสหรืออายุการทำงานเป็นหลัก เป็นต้น เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดีลูกน้องย่อมไม่มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ทำงานไปก็เพื่อความอยู่รอดเท่านั้นเองและเมื่อสบโอกาสลูกน้องที่ถอดใจแล้วเหล่านี้จะทิ้งองค์กรไปได้อย่างไม่ไยดีถ้ามีงานอื่นที่ดีกว่า หรือแม้แต่จะยอมขายข้อมูลขององค์กรให้กับบริษัทคู่แข่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ฉะนั้น บางครั้งพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกน้องสามารถเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นข้อบกพร่องในการทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี

    4. ผู้บริหารไม่มีความเข้าใจศาสตร์ในการบริหารอย่างแท้จริง
    ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) จะก่อให้เกิดความศรัทธา ความจงรักภักดี การยอมมอบกายมอบใจที่จะทำงานเพื่อบริษัท สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารองค์กร ลูกน้องจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวหัวหน้าได้อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าหัวหน้ามีความยุติธรรม ไม่เเลือกปฏิบัติ มีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนว่า จะนำพาองค์กรไปในทิศทางใด หัวหน้าเป็นที่พึ่งของเขาได้ และสนับสนุนให้เขาได้พัฒนาขีดความสามารถที่มีอยู่ ถ้าหัวหน้ามีเป้าหมาย เป็นคนดี แต่ไม่สามารถดึงความสามารถที่แท้จริงของลูกน้องมาใช้ได้ ลูกน้องก็จะรู้สึกว่า ตนเองย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาใด ๆ หรือเบื่อหน่ายกับงานเพราะต้องทนทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดหรือไม่ชอบ เพียงเพราะหัวหน้าเองมองไม่ออกว่า ลูกน้องคนไหนควรจะทำงานประเภทใด ในทางกลับกัน ถ้าลูกน้องได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัดหรือสิ่งที่ตนเองชอบแม้ว่าจะไม่ตรงตามสาขามากนัก แต่ลูกน้องจะมีกำลังใจทำงาน จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้

    วิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง
    1) ฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินทุกเสียงที่ตนเองพูด เมื่อมีสิ่งใดมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางความคิดแล้วอย่าให้กระเทือนถึงใจ เมื่อกระทบแล้วอย่าปรุงแต่ง กระทบแล้วอย่าเอามาคิดต่อ อย่าขุ่นมัว พยายามตั้งใจฟังเพื่อนร่วมงานและลูกน้องเพื่อทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอะไร รู้สึกอย่างไร และต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเรา ในขณะที่พูดจะต้องมีความรู้เนื้อรู้ตัว พูดจาด้วยความสำรวม ในใจจะต้องมีความเมตตาและความปรารถนาดี เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

    2) มีกรอบในการมองโลกที่ดีและถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ให้เน้นงานมากกว่าตัวบุคคล และให้เตือนตนเองอยู่เสมอว่าอย่าบ้าอำนาจมากนัก แม้วันใดที่เราลงจากตำแหน่ง เมื่อเราหันกลับไปมองจะต้องมีความภาคภูมิใจและมีความสุข จะเดินไปที่ใดก็มีคนให้ความเคารพรักไม่ใช่เต็มไปด้วยศัตรู อย่างไรก็ตาม หากเราเกรงว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นการประมาทจนอาจเพลี่ยงพล้ำโดนลูกน้องที่คดโกงหลอกใช้และฉ้อฉลได้ เราก็ต้องวางระบบการทำงานที่รัดกุม สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสชัดเจนในทุกขั้นตอน มีการตรวจสอบได้เป็นระยะ ๆ

    3) รักลูกน้องเสมือนหนึ่งว่าเป็นญาติของเราเอง รู้จักให้เกียรติคน มีเมตตา มีน้ำใจ มีระเบียบวินัย รักษาคำพูด มีความยุติธรรมใครทำดีต้องได้ดี รู้จักมองโลกในแง่ดี ให้โอกาสคน และทำการใดก็ตามจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เมตตาก็ต้องมีปัญญา ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อน มีหลักการและเหตุผลชัดเจน และที่สำคัญเมื่อเรามีความปรารถนาดีอยากจะแนะนำหรือตักเตือนลูกน้อง ให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เพราะความหวังดีกับใครนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าเราพูดโดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า ควรจะพูดอย่างไร นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมทำตามแล้วอาจจะตีความหมายความปรารถนาดีของเราไปในแง่ลบก็เป็นได้ นอกจากนั้น การเลื่อนตำแหน่งและสนับสนุนลูกน้องจะต้องพิจารณาจากคุณธรรมความดีและความสามารถเป็นหลัก

    4) สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกน้องให้ได้ หัวหน้าที่ดีจะต้องรู้จักสร้างแรงดลบันดาลใจ สร้างกำลังใจ ปลุกพลังแห่งความทะเยอทะยานเพื่อทำเป้าหมายขององค์กรให้เป็นจริง เมื่อหัวหน้ามีไฟ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน ลูกน้องย่อมมีขวัญและกำลังใจตามไปด้วย นอกจากนั้น หัวหน้าจะต้องมอบหมายงานตรงตามความชอบ ความถนัด และความสามารถของลูกน้อง หากลูกน้องมีข้อด้อยตรงจุดไหน ก็หาคนช่วยเสริมเพื่อให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและเพื่อสนับสนุนการทำงานเป็นทีม พยายามดึงความเก่งของลูกน้องออกมา ให้โอกาสให้ลูกน้องได้แสดงความสามารถ และมอบหมายงานพร้อมตั้งกำหนดเวลา มีการตามงานเป็นระยะ ๆ และเน้นผลสำเร็จ (end-result) เป็นสำคัญ นอกจากนั้น องค์กรควรจัดสัมมนาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถของลูกน้อง และเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในองค์กรอีกด้วย
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้ 5 ครั้ง ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)

    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
    วัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร


    คัดลอกจาก -http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html-

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ
    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ
    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ
    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ
    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ


    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ
    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ


    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ
    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส

    ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ____________________________________________________________


    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7



    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย

    เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา

    พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน
    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ



    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร

    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร





    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ
    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ
    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ
    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ
    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ
    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ
    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ
    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ
    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ






    ไหว้ 5 ครั้ง

    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    วัดเทพศิรินทราวาส





    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรห° สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน° พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต° เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ พุทฺธ° สรณ° คจฺฉามิ ธมฺม° สรณ° คจฺฉามิ สงฺฆ° สรณ° คจฺฉามิ ฯ ทุติยมฺปิ พุทฺธ° สรณ° คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ ธมฺม° สรณ° คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ สงฺฆ° สรณ° คจฺฉามิ ฯ ตติยมฺปิ พุทฺธ° สรณ° คจฺฉามิ ตติยมฺปิ ธมฺม° สรณ° คจฺฉามิ ตติยมฺปิ สงฺฆ° สรณ° คจฺฉามิ ฯ ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ
    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)


    --------------------------------------

    วิธีการไหว้ ๕ ครั้ง ( มนต์พิธี )

    คนเราทุกคน ในวันหนึ่งๆ จะต้องไหว้ให้ได้ ๕ ครั้ง เป็นอย่างน้อยคือ ในเวลาค่ำใกล้จะนอน ตั้งใจระลึกถึงพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะอันสูงสุดและท่านผู้มีพระคุณแก่ตน คือ มารดาบิดา และครูอาจารย์ โดยประนมมือ
    ๑. นมัสการพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ กราบลงหนหนึ่ง
    ๒. ไหว้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ กราบลงหนหนึ่ง
    ๓. ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ว่า
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ กราบลงหนหนึ่ง
    ๔. ไหว้คุณมารดาบิดา ว่า
    มัยหัง มาตาปิตูนังวะปาเท วันทามิ สาทะรัง กราบลงหนหนึ่ง
    ๕. ไหว้ครูอาจารย์ ว่า
    ปัญญาวุฑฒิกะเร เต เต ทินโน วาเท นะมามิหัง กราบลงหนหนึ่ง
    ต่อจากนั้น พึงตั้งใจแผ่เมตตาจิตไปในเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ว่า ขอท่านทั้งหลายอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันหมดทั้งสิ้น เทอญ.
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขอรวบรวมเรื่องราวของ "กรรม" เว็บใต้ร่มธรรม ที่ผมสนใจ จะรวมเป็นลิงค์ เพื่อง่ายกับการติดตามอ่านครับ


    บุพกรรมของพระพุทธองค์ (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,711.0.html-




    บุพกรรมของพระอัครสาวก

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5665.0.html-




    บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5658.0.html-




    บุพกรรมของพระสิวลี

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5660.0.html-




    บุพกรรมขององคุลีมาล

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5659.0.html-




    ระวัง....การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6654.0.html-




    มุสาวาท

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9826.0.html-



    [​IMG]



    แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,708.0.html-




    พิภพมัจจุราช (พญายมราชเจ้า)

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,709.0.html-




    กฎแห่งกรรม ตอน ผู้ผ่านยมโลก

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9790.0.html-




    ความเชื่อเรื่องกรรมโดยพระธรรมปิฎก

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,710.0.html-




    กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ?

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5667.0.html-




    -----------------------------------------------------------------------------


    ความเห็นส่วนตัวผม สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ


    กฎใดๆในโลกนี้ หากกฎที่ตั้งขึ้นโดย"คน" ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย , กฎระเบียบใดๆของหน่วยงานต่างๆ หรือ กฎของกู (กฎนี้มักเป็นกับคนที่มีอำนาจที่มักหลงระเริงกับอำนาจที่ตนเองมีอยู่ และนำอำนาจที่มีอยู่ ไปกระทำกับผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่ถูกต้องกับกฎแห่งกรรม)

    หากขัดกับ "กฎแห่งกรรม" ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาสั่งสอนเวนัยสัตว์โลก เพื่อให้พ้นทุกข์

    กฎนั้นๆ ต้องเป็นโมฆะ ผู้ที่กระทำผิดในเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ต้องได้รับผลของกรรม

    ส่วนคนที่มีอำนาจ ที่มีกฎของกูเป็นที่ตั้ง มักจะไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม ดังนั้น ผมพยายามให้คนเหล่านี้ ปรามาส "ผู้มีธรรม" ซึ่งทำให้คนเหล่านี้ มีกรรมเพิ่่มขึ้นไปอีกนอกเหนือจากกรรมที่ได้กระทำกับผู้ใต้บังคับบัญชา จะได้ไปอยู่ในนรก ให้นานแสนนาน จะได้เรียนรู้ว่า "กฎของกู" ไม่ได้อยู่เหนือ "กฎแห่งกรรม"

    ส่วนหนทางไปนรก ไม่ต้องดู เพราะจะมีท่านผู้ที่มีหน้าที่ นำพาคนเหล่านี้ ไปนรกเอง


    "กรรม" เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก มีเรื่องราวมากกว่าที่ผมนำมาโพสให้อ่านกันอีกมากมายมหาศาล จึงควรระมัดระวังในการกระทำของตนเองให้มากที่สุด


    โมทนา
    sithiphong

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9646.0.html-

    -----------------------------------------------------------------------



    ผมจะมาแนะนำ "การทำบุญ" เป็นวิธีที่ผมทำมาไม่น้อยกว่า 3 ปีแล้ว


    ผมตั้งจิตและเจตนาโดยจะทำบุญ 2 ประเภทหลัก ( 1.ทำบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ 2.ทำบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับมูลนิธิที่องค์ในหลวงหรือพระเทพฯเป็นประธาน) อธิษฐานในการทำบุญว่า ในทุกวันที่ผมออกไปทำงาน หรือ ออกไปนอกบ้าน ผมจะทำบุญครั้งละไม่น้อยกว่า 5 บาท และบุญอีก 2 ประเภทรอง ( 1.ชำระหนี้สงฆ์ 2.ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์) ที่จะทำในบางโอกาส

    ผมจะมีคำอธิษฐาน (สำหรับท่านใดมีคำอธิษฐานอย่างไร ให้ใช้ได้) ก่อนออกไปทำงาน ผมได้สวดมนต์บูชาพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วผมทำบุญโดยนำเงินใส่ในกล่องที่เตรียมไว้ เมื่อทำบุญแล้วผมจะอธิษฐาน , ขอพระเมตตาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า , องค์หลวงปู่ที่ผมเคารพ , องค์พยามัจจุราช , นายนิริยบาล(ท่านที่มีหน้าที่ดูเรื่องความดี ความชั่วของคนหรือมนุษย์ เป็นเหมือนเลขาท่านองค์มัจจุราช) , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคม , พระแม่โพสพ , ท้าวเวสสุวรรณ และเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน (ผมมีพระบูชาองค์เทพฯหลายองค์ที่ท่านได้มาอธิษฐานจิตเอง) มาเป็นสักขีพยานในการที่ผมทำบุญและขอพระเมตตาร่วมโมทนาบุญกับผม หลังจากนั้นผมจะสวดการไหว้ 5 ครั้ง( ไหว้ 5 ครั้ง ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)) หลังจากนั้นก็สวดบูชาองค์หลวงปู่ฯที่ผมสวดบูชามานาน (ซึ่งท่านสามารถสวดบูชาองค์หลวงปู่ฯที่ท่านผู้อ่านเคารพนับถือได้ หรือสวดตามที่ท่านได้สวดมนต์มาก็ได้)


    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9886.msg37952/topicseen.html#msg37952-


    ------------------------------------------------------------------------------------------------


    ในความเชื่อส่วนตัว ที่ผมได้รับทราบจาก "ผู้มีธรรม" ว่า ในทุกๆประเทศ จะมี "พระแม่ธรณี" ในแต่ละประเทศ ดังนั้น เวลาที่ผมกรวดน้ำ ผมขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณีของประเทศไทย โปรดนำบุญที่ผมได้กระทำ ไปถวายบุญแด่ "พระแม่ธรณีทั้วโลก" และขอพระเมตตา "พระแม่ธรณีทั้วโลก" ได้นำบุญไปถวายแด่"เทพเทวาในทุกๆประเทศ" เพื่อให้ "พระแม่ธรณีทั่วโลก" และ "เทพเทวาในทุกๆประเทศ" เป็นพยานบุญและโมทนาในบุญที่ผมได้ทำในครั้งน้นๆ



    ในกรณีที่ใครที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น ถูกโกงโดยวิธีการต่างๆ เช่น การขึ้นเงินเดือน หรือ การจ่ายโบนัส หรือ การโกงอื่นๆที่เกี่ยวกับการเงินที่ตนเองต้องได้รับอย่างยุติธรรม แต่ไม่ได้รับตามที่ต้องได้ ผมใช้การทำบุญที่น้อยลง เดิมผมทำบุญวันละ 5 บาท(ตั้งจิต เจตนา และอธิษฐานว่า เงินเดือนที่ได้รับ จะแบ่งเงินที่ได้รับทั้งเดือน มาทำบุญในทุกๆครั้งที่ทำบุญในแต่ละวัน) ผมก็ทำน้อยลงเหลือวันละ 1 - 2 บาท แล้วตั้งจิตเจตนาอธิษฐานว่า ปกติทำบุญวันละ 5 บาท แต่วันนี้ทำบุญ 1 - 2 บาท เงินที่ไม่ได้ทำบุญเป็นเงินที่ถูกโกงไปโดย .....ชื่อคนที่โกง....ตำแหน่ง....ชื่อที่ทำงาน....วิธีการที่โกง....โกงไปเพื่อ...... เงินที่ถูกโกงไปนั้น เป็นเงินที่ต้องนำมาทำบุญในครั้งนี้ แล้วขอพระเมตตาตามที่ผมได้บอกไว้ข้างต้น เพื่อให้องค์องค์พยามัจจุราช , นายนิริยบาล(ท่านที่มีหน้าที่ดูเรื่องความดี ความชั่วของคนหรือมนุษย์ เป็นเหมือนเลขาท่านองค์มัจจุราช) , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคม , พระแม่โพสพ , ท้าวเวสสุวรรณ และเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน , พระแม่ธรณีทั้วโลก ,เทพเทวาในทุกๆประเทศ มาเป็นพยานบุญ , โมทนาบุญ และ เป็นพยานในการที่มีคนโกงเงินทำบุญไป ส่วนกรรมของคนโกง เดี๋ยวท่านผู้มีหน้าที่ ท่านเป็นผู้ที่ตัดสินเอง เราๆท่านๆ ไม่มีสิทธิ์ ที่จะตัดสิน ถึงแม้จะคิดกันไปเอง จะคิดอะไร คิดอย่างไร แต่ไม่มีอำนาจการตัดสิน คนพวกที่คิดไปเองตามกฎของกู ผมชอบ จะได้ทำให้ปรามาสผู้มีธรรมเพิ่มเติม จะได้ไปอยู่ในนรกนานๆ ครับ


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • gong 1.png
      gong 1.png
      ขนาดไฟล์:
      108.8 KB
      เปิดดู:
      299
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    LINE เตือนผู้ใช้เปลี่ยนพาสเวิร์ด หลังถูกแฮกข้อมูล

    -http://line.kapook.com/view91199.html-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    LINE เตือนผู้ใช้เปลี่ยนพาสเวิร์ดใหม่ หลังพบมีผู้ใช้บริการถูกแฮกบัญชีร่วมพันรายชื่อ รวมถึง 3 บัญชีของธุรกิจด้านการเงิน

    วันที่ 19 มิถุนายน 2557 สำนักข่าวเอเอฟพี มีรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ไลน์ คอเปอร์เรชั่น ผู้ให้บริการ ไลน์ (Line) แอพพลิเคชั่นยอดฮิตบนสมาร์ทโฟน ที่มีผู้ใช้บริการมากกว่าพันล้านบัญชี ได้ออกมาเตือนให้ผู้ใช้ให้เปลี่ยนพาสเวิร์ดของตัวเอง หลังตำรวจญี่ปุ่นพบว่ามีการจารกรรมข้อมูลผู้ใช้แล้วกว่าพันบัญชี

    รายงานระบุว่า ขณะนี้มีอย่างน้อยกว่า 303 บัญชีแล้วที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าถูกแฮก ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมี 3 บัญชี ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน

    สำหรับวิธีการเปลี่ยนพาสเวิร์ด LINE นั้น ผู้ใช้สามารถเข้าไปเปลี่ยนได้ที่ Setting > Accounts > Email Account Registration > Change Your Password จากนั้นให้กรอกพาสเวิร์ดเก่า พร้อมทั้งกรอกพาสเวิร์ดใหม่ที่ต้องการ แล้วแตะปุ่ม OK ก็เป็นอันเสร็จสิ้น


    [​IMG]
    วิธีเปลียนรหัสผ่าน line

    ทั้งนี้ สำหรับแอพพลิเคชั่น ไลน์ ได้เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 2554 จนปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 400 ล้านบัญชีทั่วโลก โดยส่วนมากมาจากประเทศญี่ปุ่นและเอเชีย และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเรื่อย ๆ โดยบริการของไลน์นั้นมีทั้งการรับ-ส่งข้อความ รูปภาพ เสียง และคลิป และยังมีบริการโทรฟรีระหว่างผู้ใช้ไลน์ด้วยกันด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • u04.png
      u04.png
      ขนาดไฟล์:
      296.9 KB
      เปิดดู:
      61
    • u05.png
      u05.png
      ขนาดไฟล์:
      93.6 KB
      เปิดดู:
      58
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เมื่อสหรัฐอเมริกา จะขึ้นบัญชีดำแบบด้านล่าง

    ไทยต้องขึ้นบัญชีดำและคว่ำบาตรประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะที่เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย

    และปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ไปคบกับจีน และ รัสเซีย ให้มากขึ้น



    -----------------------------------------------------------

    สหรัฐฯ พิจารณาคว่ำบาตรไทยใน 90 วัน หลังขึ้นบัญชีดำค้ามนุษย์
    -http://hilight.kapook.com/view/104057-

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด

    สหรัฐฯ เตรียมพิจารณาอาจคว่ำบาตรไทยภายใน 90 วัน หลังผลการจัดอันดับประเทศที่มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ ประเทศไทยร่วงติดบัญชีต่ำสุด

    สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2557 ว่า สหรัฐฯ ได้เตรียมพิจารณาคว่ำบาตรไทยภายใน 90 วัน หลังผลการจัดอันดับประเทศที่มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 มิ.ย.) เผยว่า ไทยถูกลดอันดับร่วงสู่บัญชีอันดับสุดท้าย (Tier 3) หรือบัญชีดำ อันเป็นประเทศที่มีปัญหาการค้ามนุษย์รุนแรงและไม่แสดงออกถึงความพยายามในการแก้ปัญหา ร่วมกับอีก 2 ประเทศ คือ มาเลเซียและเวเนซุเอลา โดยการหากสหรัฐพิจารณาตัดสินใจคว่ำบาตรจริง ก็จะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับที่ สหรัฐฯ คว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือและซีเรีย

    นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ตอบโต้การจัดอันดับดังกล่าวของสหรัฐฯ โดยร้องเรียนให้มีการพิจารณาการจัดอันดับใหม่ เพราะกลุ่มบัญชีดำนั้นหมายถึงประเทศที่ไม่มีความพยายามแก้ไขปัญหาเลย

    การถูกลดอันดับนี้ของไทย ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในการลงทุนจากนานาประเทศในภาคอุตสหกรรมที่มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการประมง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้สูงให้กับประเทศ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดของโลก

    นอกจากนี้ การถูกลดอันดับยังอาจทำให้ไทยสูญเสียความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในด้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าและการค้ามนุษย์ รวมทั้งถูกขัดขวางจากการช่วยเหลือของสถาบันระหว่างประเทศ อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารโลก เป็นต้น

    แหล่งข่าวยังระบุว่า ผู้ที่ถูกหลอกมาอยู่ในขบวนการค้ามนุษย์นั้นมาจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยถูกบังคับหรือล่อลวงมาให้เข้าสู่การขายแรงงานหรือหาผลประโยชน์จากธุรกิจทางเพศ ส่วนใหญ่จะเข้าสู่แรงงานในอุตสาหกรรมประมง สิ่งทอ และงานแม่บ้าน

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยังระบุรายงานจากสื่อถึงความซับซ้อนของกระบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับความช่วยเหลือ รู้เห็น หรือแสวงหาผลประโยชน์ จากพลเรือนไทยและเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ดังกรณีชาวมุสลิมโลฮิงญากว่า 10,000 คนที่หนีมาจากประเทศพม่า แล้วถูกย้ายตัวจากสถานกักกันผู้อพยพไปขายต่อโดยส่งตัวกันบนเรือกลางทะเล

    ทางด้านเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า ไทยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มาโดยตลอด ในปี 2556 มีการตัดสินโทษผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ 225 ราย ซึ่งมากเป็น 4 เท่าของปี 2555 โดยเจ้าหน้าตำรวจอย่างน้อย 33 ราย และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 5 ราย ถูกลงโทษหรือกำลังอยู่ในขบวนการพิจราณาดำเนินการทางคดีแพ่งและอาญา

    อย่างไรก็ดี ทางสหรัฐฯ ระบุว่าไทยไม่ได้แสดงให้เห็นความพยายามากพอในการแก้ปัญหา เช่นเดียวกับมาเลเซียที่ไม่ปรับปรุงเรื่องความคุ้มครองเหยื่อจากการค้ามนุษย์อีกครั้งในปี 2555 จำนวนคดีพิพากษาเกี่ยวกับการค้ามนุษ์ก็ลดลงจากเดิม ด้านเวเนซุเอลาก็ไม่แสดงความแข็งขันมากพอในการปราบปรามต่อต้านปัญหาค้ามนุษย์มาเป็นแรงงานและให้บริการทางเพศ ทั้งยังไม่กำหนดแบบแผนมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการปัญหาด้วย

    สหรัฐฯ จะพิจารณาคว่ำบาตรไทยในอีก 90 วันหลังจากนี้ หลังจากที่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา วอชิงตันเพิ่งตัดความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยแก่ไทยเพื่อต่อต้านการเข้ายึดอำนาจโดยกำลังทหาร
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หมอปลาย ปล่อยโฮ เตือนฟังคำทำนายสึนามิจากยมบาล

    -http://hilight.kapook.com/view/104115-



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    หมอปลาย ณวรชา พินิจโภคากร หมอดูจิตสัมผัสชื่อดัง ร่ำไห้กลางรายการคนดังนั่งเคลียร์ เตือนหลีกเลี่ยงการไปใกล้ชายทะเลและขอให้ฟังคำทำนายจากยมบาล

    สืบเนื่องจากคำทำนายของหมอปลาย ณวรชา พินิจโภคากร หมอดูจิตสัมผัส ที่เคยทำนายว่าจะมีเครื่องบินหายสาบสูญและเรือลำใหญ่สีเทาคล้ายเรือรบจะประสบอุบัติเหตุจมน้ำนั้น ตรงกับเหตุการณ์เครื่องบินของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 หายสาบสูญ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 และอุบัติเหตุเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก เซวอล (Sewol) ล่มที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2557 ส่งผลให้ชื่อของหมอปลาย กลายเป็นที่รู้จักเพียงชั่วข้ามคืน

    และล่าสุด หมอปลาย ณวรชา พินิจโภคากร ก็ได้เผยคำทำนายว่าจะมีการเกิดสึนามิครั้งใหม่ ที่มาพร้อมกับความสูญเสียอย่างมหาศาลและขอให้ทุกคนระมัดระวังหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชายทะเล ตั้งแต่วันที่ 15-17 มิถุนายน และวันที่ 20-25 มิถุนายน หรือกรกฎาคมนี้ ในรายการคนดังนั่งเคลียร์ ทางช่อง 2

    คำเตือนในเรื่องสึนามิรอบใหม่มาได้ยังไง ?

    “ปลายขอเรียนตามตรงนะคะ ที่ปลายทำนายทั้งเรื่องเครื่องบินและเรื่องเรือ ทางรายการถามยังไง ปลายสื่ออะไรได้ก็ตอบไปอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าปลายไปนั่งสมาธิแล้วเห็นมาก่อนแล้วมาตอบแบบนี้ แต่เรื่องสึนามิที่จะเกิดปลายเคยพูดเอาไว้ พอดีมีคนตื่นในเรื่องนี้แล้วเขาให้ปลายทำนาย ปลายก็ไปทำพิธี ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ก็มานั่งคิดเอาเองนะคะ ปลายได้ไปถึงที่แล้วค่ะ”

    เรื่องที่บอกว่าหมอปลายคุยกับยมบาลได้มันเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาหรือเปล่า ?

    “พูดจริง ๆ ปลายค่อนข้างที่จะอายและกระดากมากที่จะบอกใครว่าเราสื่อสารกับยมบาลได้ และเป็นร่างทรงเป็นหมอดู รู้สึกอาย ทุเรศตัวเอง แต่มันก็น่าพิสูจน์ได้แล้วนะคะ เพราะสิ่งที่ปลายพูดแต่ละอย่างก็เกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องที่สื่อกับยมบาล จริง ๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงกระซิบทั้งหมดนะคะ คือว่าถ้าถามท่านก็จะมีจอภาพให้เห็น มีเสียง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ ๆ แต่ข้อจำกัดคือปลายจะถามได้ไม่กี่คำถามเท่านั้นในคำถามเดิม ๆ ”

    เวลาสื่อสารกับยมบาลสื่อกันยังไง ?

    “ก็ก้มไปมองข้าง ๆ แบบนี้แหละค่ะ เวลาคุยก็ใช้ภาษามนุษย์ทั่วไป”

    หมอปลาย

    เห็นบอกว่าหมอปลายป่วยจนถึงขั้นไปพบจิตแพทย์ ?

    “ตอนนั้นเราคิดว่าจะไปแต่ไม่ได้ไปค่ะ เพราะคุณแม่บอกว่าไม่ได้ป่วยหรอก เพราะยังใช้ชีวิตปกติได้ เหมือนจะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา ตอนเด็กก็เห็นผี เขาก็เหมือนคนทั่วไปแต่ดวงตาเขาคือไม่มีตาขาว ในบ้านปกติจะไม่เห็น จะเห็นนอกบ้าน เดินไปที่ไหนก็เห็น ที่โรงเรียนก็เห็น ตอนแรกที่เห็นก็ไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ปกติ ปลายไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะชิน มาเล่าตอนที่เห็นหนัก ๆ เห็นผู้หญิงชุดดำแล้วมีคนเดินผ่านตัวเขาไปตอนนั้นถึงรู้ว่าผีแล้วแหละ ตอนนั้นอายุประมาณ 15 ปี”

    ปัจจุบันยอมรับมั้ยว่าเขาเรียกเราว่า “ปลาย หมอดู” ?

    “ยอมรับค่ะ ปลายไม่ต้องไปเรียนโหราศาสตร์ ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ที่เขาไปครอบครูกัน การทำนายทายของปลายใช้ชื่อ นามสกุล และวันเดือนปีเกิด เพื่อที่จะสื่อสารกับข้างล่าง นั่นก็คือ ท่านยมค่ะ หน้าท่านยมตอนแรกที่เห็นเลยน่ากลัวตัวใหญ่มาก พอง และก็แดง แบบอ้วน ๆ นุ่งโจงกระเบน แต่ปลายขอท่านว่าให้มาแบบหล่อ ๆ ได้ไหม เพราะว่าปลายกลัว”

    ย้อนกลับมาเรื่อง สึนามิ เพราะดูจะเป็นข่าวที่ครึกโครมมาก ?

    “ที่ปลายทำนายไว้ช่วงแรกก็เกิดคลื่นแรง พายุพัดเข้าชายฝั่ง บ้านเรือนเสียหายบ้าง ถ้าอ่านจากคำนายแล้วตีความนะคะ ปลายไม่ได้บอกว่าสึนามิจะเกิด 15 หรือ 17 มิถุนายน แต่ปลายบอกว่าให้ระวัง 15 และ 17 และอีกช่วงหนึ่งก็คือ 20-25 มิถุนายน ซึ่งปลายไม่แน่ใจว่า เดือนมิถุนายนหรือเดือนกรกฎาคมที่จะเกิดขึ้นอีกรอบหนึ่ง เหตุมันเกิดมาว่าเกิดขึ้นเพราะมรสุม พร้อมแผ่นดินแยก แผ่นดินไหว มีหรือคะที่จะไม่เกิดสึนามิ ถ้าคิดตามหลักวิทยาศาสตร์นะคะ ปลายไม่กล้าที่จะฟันธงให้แน่นอนนะคะ เพราะว่าปลายต้องไปนั่งสมาธิที่นั่น ถ้าจะให้ได้ตรง ๆ ปลายจะต้องไปนั่งสมาธิ 3 วัน ที่ริมทะเลใส่ชุดขาว พอเกิดเหตุแบบนี้ปลายเองก็ไม่กล้าไปเหมือนกันปลายเองก็กลัวตายเพราะเป็นมนุษย์ปกติ ตอนนั้นปลายไปที่หาดกะรน วันนั้นไม่รู้เกิดไรขึ้นได้กลิ่นเน่ามาก ปลายเห็นคนนั่งอยู่เก้าอี้ผ้าใบและเห็นคนใส่ชุดดำเดินขึ้นมาจากทะเลเป็นแผงเลย แล้วบอกว่าเราจะเอามันไปให้หมด แล้วก็เลยถามว่า เอาไปทำไม เขาบอกไม่มีใครไปทำบุญให้เราที่นั่น ทำแต่ที่อื่น แต่ไม่มีใครไปทำให้เราที่ที่นั่น แล้วก็มีการพูดว่า มีแต่การบนพญานาค แต่ไม่มาแก้กันเลย แล้วตรงนั้นก็มีศาลพญานาคอยู่ คืนต่อไปปลายไปอีกแล้วก็จุดธูป สิ่งที่ทราบก็เขาพูดว่า 24 วันพุธ แต่พอเราไปเช็ก 24 คือวันพฤหัสของเดือนกรกฎาคม ปลายเลยบอกกว้าง ๆ"

    ที่บอกว่าด้ามขวานหายไปมันรุนแรงมากนะ ?

    “เหตุที่ท่านบอกคือรอยเลื่อนใหญ่และขยายขึ้น จนทำให้ไปเกิดอีกที่หนึ่งคือที่อ่าวไทย เกิด 2 ฝั่งพร้อมกัน น้ำทั้ง 2 ฝั่งตีกัน อันนี้คือสิ่งที่เห็น เสียงกระซิบจะบอกว่า สึนามิ จะเกิดขึ้นมาเพราะรอยเลื่อนและแผ่นดินไหว ปลายเคยฝันก่อนที่จะเกิดสึนามิครั้งแรก ประกอบกับปลายทำพิธีแล้วเขาก็บอกว่าจะเกิดขึ้นเหมือนเดิม แต่เยอะกว่าเดิม"

    หมอปลาย

    สมมุติถ้าเกิดสึนามิจริง ๆ มันจะเป็นยังไง ?

    “สิ่งสำคัญที่สุดถ้าสัญญาณเตือนภัยทำงานแล้วทุกคนรู้ว่าจะหนีไปทางไหนการสูญเสียก็จะน้อยลง แต่ปัญหามันคือจะเกิดอยู่บ่อย ๆ จนคนชิน เมื่อชินแล้วคนก็ไม่ระวัง เมื่อสัญญาณเตือนภัยขึ้นก็ไม่หนี เมื่อนั้นแหละค่ะที่สุดของที่สุด การสั่นสะเทือนมันอยู่ใต้ผิวโลกที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่สัตว์กับสัญญาณจะสามารถรับรู้ได้”

    ทำไมหมอปลายไม่เอาเรื่องที่กำลังจะเกิดไปบอกเจ้าที่ของรัฐ ?

    “พยายามติดต่อแล้วค่ะ แต่ติดต่อไม่ถึงเราเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นเขาไม่สนใจเศษฝุ่นอย่างเรา ก็เลยตัดสินใจเอามาลงทางไลน์ แต่ปลายก็ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้ ไม่คิดจริง ๆ”

    แต่การที่หมอปลายเขามาลงก็มีทั้งคนที่ขอบคุณและด่าว่าทำให้ประเทศชาติเสียหาย ?

    “จะบอกว่าอยากดังก็คงใช่มั้งคะ แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นปลายก็เสีย แต่นี่ปลายยอมรับในสิ่งที่ปลายพูด โดยการลงชื่อนามสกุลของปลายเรียบร้อยแล้ว ปลายคิดว่าการเตือนของปลายน่าจะส่งผลประโยชน์ให้กับใครหลายคนถ้าใครจะว่าก็แล้วแต่ เชิญไปเที่ยวทะเลกันให้เยอะ ๆ ค่ะ”

    ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่หมอปลายพูดไม่เกิดขึ้นแล้วหมอปลายจะทำยังไง ไม่อายเหรอ ?

    “ปลายอายตั้งแต่มาทำอาชีพนี้แล้วแหละค่ะ มันแย่ที่สุดค่ะ (ปล่อยโฮกลางรายการ) ไม่มีความสุขเลยแม้แต่วินาทีเดียวที่มานั่งทำอาชีพนี้ ฟังแต่ความทุกข์คนอื่น สิ่งที่ออกมาพูดอยากจะให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ หมอดูคือ 18 มงกุฎ ไงคะ ทำลายความมั่นคงของชาติ ไม่สามารถที่จะเตือนอะไรได้ ไม่รู้จะโดนจับหรือเปล่าสิคะ การที่เราออกมาพูดเพราะเราไม่อยากให้มีคนตาย ยอมรับว่าเป็นการขัดขืนท่านยม ซึ่งต้องโดนกับปลายเองอยู่แล้วที่เรานำมาบอก ถ้าโดนก็ต้องปล่อย ชีวิตปลายแค่คนเดียว คุณพ่อ คุณแม่ เราอยู่กันแค่ 3 คน ถามว่าพ่อแม่มีความสุขมั้ยกับสิ่งที่ปลายเป็น ท่านเลี้ยงปลายมากับมือ ท่านยอมรับในสิ่งที่ปลายเป็นและให้กำลังใจกันทุกวันค่ะ”

    ติดตามบทสัมภาษณ์แบบเต็ม ๆ ได้ในรายการคนดังนั่งเคลียร์ ทางช่อง 2 ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 7.00/ 11.00/ 17.00/ 20.00/ 23.00 น. และติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ facebook Thaich2channel
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมารณรงค์ให้ใช้สินค้าไทย

    อย่าไปใช้สินค้าจากอเมริกา หรือ EU


    -----------------------------------------------------------


    เป็นเรื่อง! รัสเซียจับมือจีน ประกาศ “เลิกใช้เงินดอลลาร์” ซื้อขายพลังงาน “ปูติน” ชี้ โลกหันหลังให้ US เพราะทำตัวกร่าง

    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table cellpadding="4" cellspacing="0" border="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">27 มิถุนายน 2557 08:21 น.</td></tr></tbody></table>
    -http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000072332-

    [​IMG]

    <table cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center" border="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="600"><tbody><tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- “กาซปรอม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซียประกาศยกเลิกการใช้ “เงินดอลลาร์สหรัฐฯ” ในการซื้อ-ขายพลังงานกับบริษัทของจีน เตรียมจับมือรัฐบาลปักกิ่งใช้เงินสกุล “รูเบิล” และ “เงินหยวน” แทนในตลาดพลังงาน ด้าน “วลาดิมีร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซียระบุ ทั่วโลกกำลังหันหลังให้อเมริกา เพราะ “ทำตัวกร่าง”

    รายงานข่าวล่าสุดจากกรุงมอสโกของรัสเซียยืนยันว่า บริษัท “กาโซวายา โปรมีชเลนนอสต์” หรือชื่อย่อที่รู้จักกันทั่วไปว่า “กาซปรอม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ซึ่งครองตำแหน่งผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศในคืนวันพฤหัสบดี (26) ยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางบัญชีอย่างสิ้นเชิง โดยจะเริ่ม “นำร่อง” ใช้วิธีการนี้กับกรณีที่มีการติดต่อซื้อขายด้านพลังงานกับรัฐบาลจีน หรือบริษัทเอกชนของจีนก่อน โดยเตรียมหันมาใช้เงินรูเบิลของรัสเซีย และเงินหยวนของจีน เป็นสื่อกลางในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติอย่างเต็มตัว

    อังเดร ครูกลอฟ ประธานบริหารฝ่ายการเงินของกาซปรอมออกมาแถลงที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในกรุง มอสโก โดยระบุว่า การตัดสินใจเลิกใช้เงินดอลลาร์ในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติครั้งนี้ผ่านการ พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจากผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งต่างเชื่อมั่นว่า “การยุติบทบาทของเงินดอลลาร์ในตลาดพลังงาน” จะไม่ส่งผลกระทบทางลบใดๆ ต่อทั้งบริษัท รวมถึงรัฐบาลรัสเซียและจีน โดยคาดว่า การหันมาใช้เงินรูเบิลและเงินหยวนแทนนั้น จะสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน 1 ปี หรืออย่างช้าไม่เกิน 2 ปี

    ด้าน วิกตอร์ ซุบคอฟ ประธานใหญ่ของกาซปรอมออกมาประกาศว่า การยกเลิกใช้เงินดอลลาร์อเมริกันในการซื้อขายด้านพลังงานถือเป็นเรื่องที่ น่ายินดีที่สุดนับตั้งแต่ที่กาซปรอมก่อตั้งกิจการเมื่อปี 1989 และคาดหวังว่า จะมีการหันไปใช้เงินตราสกุลอื่นๆ เป็นสื่อกลางในตลาดพลังงานโลกมากขึ้นในอนาคต

    “นี่คือข่าวที่น่ายินดีที่สุดนับตั้งแต่ที่กาซปรอมเปิดตัวสู่ตลาด พลังงานโลกเมื่อปี 1989 ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า การลดบทบาทของเงินดอลลาร์ ถือเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และในอนาคต บทบาทของเงินตราสกุลอื่นในตลาดพลังงานมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น” วิกตอร์ ซุบคอฟ ประธานใหญ่ของกาซปรอมกล่าวต่อผู้สื่อข่าว

    ขณะที่ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เวลานี้สถานะและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกกำลัง “เสื่อมถอย” ลงอย่างมาก และการเสื่อมถอยที่ว่านี้ เป็นผลพวงโดยตรงจากการที่รัฐบาลอเมริกัน “ทำตัวกร่าง” และมีพฤติกรรมแทรกแซงประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพียงเพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง” พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจของกาซปรอมในการเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นสื่อกลางทางบัญชีครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “บทเรียนล้ำค่า” อีกหลายบทเรียนที่สหรัฐฯกำลังจะได้รับ และเป็นสัญญาณเตือนว่า ทั่วโลกกำลัง “หันหลังให้อเมริกา”

    ก่อนหน้านี้ รัสเซียและจีนเพิ่งบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ที่มีการลงนามเมื่อ 21 พฤษภาคม โดยตามข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีขนาดของเศรษฐกิจ “ใหญ่ที่สุดในเอเชีย” และยังเป็นชาติที่มีการ “บริโภคพลังงาน” มากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ตกลงสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในวงเงินมหาศาลคิดเป็นเงินไทยราว “12.95 ล้านล้านบาท”

    โดยที่ข้อตกลงดังกล่าวนี้ ครอบคลุมการส่งมอบก๊าซธรรมชาติจากแดนหมีขาวสู่แดนมังกรนานถึง 30 ปีเต็ม และกาซปรอมจะทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้กับทางไช น่า เนชันแนล ปิโตรเลียม (CNPC) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีนในปริมาณ “38,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี”


    [​IMG]
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภาพปริศนา ? "พระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก" ความเข้าใจผิดอันคลาดเคลื่อน

    [​IMG]

    [​IMG]


    ใครก็ตามที่ผ่านสายตาไปยังหนังสือซึ่งรวบรวมเรียบเรียงเรื่องราวของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม มาบ้างแล้ว อย่างน้อยต้องพบภาพพระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก

    ภาพที่เข้าใจกันว่าเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

    อันเป็นภาพที่ปรากฏบนหน้าหนังสือเกี่ยวกับอัตโนประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อยู่บ่อยๆ จนมีบางท่านเข้าใจคลาดเคลื่อนตลอดมา แท้จริงภาพนี้มีการเข้าใจผิดมาอย่างเนิ่นนาน

    ในนิตยสาร "ชุมนุมจุฬาฯ" ปีที่ 14 เล่มที่ 3 ฉบับ 23 ตุลาคม พ.ศ.2503 ปรากฏการตีพิมพ์ภาพนี้ทั้งบรรยายว่า

    "พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระปิยมหาราช เมื่อทรงพระเยาว์กำลังทรงพระอักษรกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม

    ภาพโดยความเอื้อเฟื้อของ พล.ร.ต.หลวงสุวิชาแพทย์"

    หากสังเกตจะพบว่าสมณศักดิ์ของท่านนั้นผิด สมณศักดิ์ของท่านซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ "พระธรรมกิติ" ในปี พ.ศ.2395 ขณะนั้นท่านมีอายุได้ 64 ปีแล้ว

    ในปี พ.ศ.2397 ทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ "พระเทพกวี" จนกระทั่งปี พ.ศ.2407 ทรงสถาปนาเป็น "สมเด็จพระพุฒาจารย์"

    ขณะเดียวกัน ในคำแถลงจากสาราณียกรของหนังสือ "ชุมนุมจุฬาฯ" ดังกล่าว ก็ว่า "พระบรมฉายาลักษณ์ขององค์สมเด็จพระปิยมหาราชในสมัยยังทรงพระเยาว์อันเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่หาดูได้ยาก อัญเชิญมาประดับเป็นศรีแก่เล่ม เนื่องในวาระสำคัญนี้ด้วย" ยิ่งเสริมความเชื่อเป็นอันมากว่า คือ พระบรมฉายาลักษณ์ ร.5 ครั้งทรงพระเยาว์

    แท้จริงภาพนี้มีที่มาในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524 หน้า 33 ปรากฏการตีพิมพ์ภาพใบนี้ พร้อมคำอธิบายจาก "นิวัติ กองเพียร" ว่า รูปนี้ไม่ใช่รัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ เหตุผลประกอบดังนี้

    1. รูปนี้ได้มาจากหนังสือฝรั่งชื่อ "SIAM"

    2. พัดรองที่วางพิงผนังอยู่นั้น เป็นพัดที่นิยมทำก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาไม่มีความนิยมในการทำพัดรองอีกเลย

    3. ถ้ารูปนั้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์จริง ท่านต้องห่มดองและรัดประคดอก มิใช่อย่างที่เห็นในรูป แม้แต่พระรุ่นเก่าที่วัดระฆังโฆสิตาราม ที่เคยเห็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ก็ยืนยันว่ามิใช่สมเด็จแน่

    4. เจ้านายหลายพระองค์ ที่เป็นพระธิดาหรือพระโอรสก็ยืนยันว่า มิใช่พระราชบิดาแน่นอน

    หนังสือฝรั่ง "SIAM" ที่ว่า ก็คือ หนังสือชื่อยาวเฟื้อยว่า "TWENTIETH CENTURY IMPRESSION OF SIAM : ITS HISTORY, PEOPLE COMMERCE, INDUSTRIES, AND RESOURCES WITH WHICH IS INCORPORATED AN ABRIDGED EDITION OF TWENTIETH CENTURY IMPRESSIONS OF BRITISH MALAYA"

    แปลชื่อเป็นไทยว่า "เรื่องน่ารู้ของสยามในศตวรรษที่ 20 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ พลเมือง พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และทรัพยากร รวมเรื่องน่ารู้ของบริติชมลายาในศตวรรษที่ 20 โดยสังเขป" อันเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ.2452 อันเป็นช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ทั้งยังให้คำอธิบายรูปนี้ไว้ว่า "Buddhist Priest and Disciple"



    นอกจากนี้ ในการจัดทำหนังสือเล่มดังกล่าว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระกรุณาประทานภาพส่วนพระองค์ อันเกี่ยวเนื่องกับประเทศสยามให้กับผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ด้วย

    อย่างไรก็ตามแต่ ในหนังสือที่ระลึกงานสงกรานต์ชลบุรี ประจำปี พ.ศ.2507 ในเรื่อง "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)" อันเขียนโดย อธึก สวัสดิมงคล ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ภาพพระสงฆ์สอนหนังสือเป็นภาพที่เข้าใจผิดและคลาดเคลื่อน ดังในหน้า 11 ที่ให้ข้อมูลความเป็นมาของภาพใบนี้จากลายพระหัตถ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตอบคำถามของ อธึก สวัสดิมงคล ว่า

    "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นไม่ช้าจะเป็นอะไรๆ สักร้อยอย่างเป็นเรื่องหากินทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ใครอยากรู้อะไร ก็นั่งวิปัสสนาเอาได้ ไม่ช้าคงต้องร้อนถึงทางการเข้าเล่นด้วยเป็นแน่ มีผู้เอาภาพพระแก่กับเด็กลูกศิษย์สอนหนังสือกัน ฉันจำได้ว่า "โรเบิร์ต เลนส์" ขอประทานให้เสด็จพ่อทรงช่วยทำโปสการ์ดเผยแพร่เมืองไทย และท่านได้ถ่ายรูปฉันแต่งลาวน่าน หญิงเหลือส่องกระจก พร้อมกับทำรูปนี้ด้วย แต่บัดนี้กลายเป็นรูปสมเด็จโตสอนหนังสือพระพุทธเจ้าหลวง แย่จริงๆ น่ากลัวพงศาวดารจะเลอะเทอะกันใหญ่เสียแล้ว"

    สำหรับ โรเบิร์ต เลนส์ เป็นช่างภาพชาวเยอรมัน เจ้าของห้องถ่ายรูปโรเบิร์ต เลสน์ ดำเนินธุรกิจถ่ายรูป เมื่อ พ.ศ.2437 ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เป็นช่างภาพราชสำนักรัชกาลที่ 5

    นอกจากนี้ ยังมีผู้กล่าวว่า พระภิกษุในภาพคือ พระครูวิมลคุณากร (ศุข เกสโร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งภาพดังกล่าวอาจจะไม่ได้ถ่ายที่ชัยนาท ถ้าหากเป็นหลวงปู่ศุขจริง อาจจะถ่าย ณ ตำหนักเหลืองในวังพลเรือเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก็เป็นไปได้

    ทั้งนี้ เพราะหลวงปู่ศุข จะมาพำนักที่ตำหนักเหลืองเป็นประจำทุกปี เพื่อมาร่วมงานในพิธีไหว้ครูประจำปีของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งทรงเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข

    อย่างไรก็ตาม ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นภาพของหลวงปู่ศุข ทั้งนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิสกุล เมื่อครั้งทรงตอบคำถามของ อธึก สวัสดิมงคล ก็มิได้เอ่ยถึงว่าเป็นพระภิกษุรูปใด

    .......บทความคัดลอกจาก มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1302
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • w p 1.jpg
      w p 1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      4,422
    • w p 2.jpg
      w p 2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      2,282
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรุพระแตก! ใต้พระพุทธรูปอายุกว่า 180 ปี วัดกลางคลองข่อย ราชบุรี

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1404453274-

    [​IMG]

    วันที่ 4 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบกรุพระแตกภายในวัดกลางคลองข่อย ต.คลองข่อย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี จึงรุดตรวจสอบ บริเวณหลังซุ้มเรือนแก้วพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ สูงกว่า 13 เมตร มีพระสงฆ์และชาวบ้านกำลังช่วยกันนำพระพิมพ์จำนวนมากออกจากภายในซุ้มดังกล่าว

    พ.อ.คำนวน อินทจักร ผู้รับเหมาก่อสร้างเล่าว่าได้รับการว่าจ้างจากทางวัดให้มาทำการปรับภูมิทัศน์และบูรณะพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรโดยทำการรื้อซุ้มเรือนแก้วออก แต่ขณะสำรวจที่ยอดซุ้มก็พบว่า มีช่องลึกลงไปถึงฐาน จึงให้ช่างใช้ค้อนปอนด์ทุบที่ฐานเพื่อดูโครงสร้าง กำลังทุบจนกำแพงฐานแตกออก พระพิมพ์ที่อยู่ภายในก็ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก จึงแจ้งให้ทางวัดทราบ เมื่อดูพระพิมพ์ 4 พิมพ์ ได้แก่ พิมพ์สมเด็จ พิมพ์ใหญ่ หรือ สังฆฎิ พิมพ์พระปางอุ้มบาตร และพิมพ์สมเด็จโต สันนิฐานว่า พระพิมพ์ที่พบ น่าจะนำมาบรรจุเมื่อครั้งก่อสร้างซุ้ม แต่จะมีการสร้างพระพิมพ์เมื่อใดไม่มีใครทราบ นอกจากนั้นยังสำรวจโครงสร้างของซุ้มพบว่ามีเสาไม้ตะเคียน ขนาดหน้าตัดกว่า 30 เซนติเมตร สูงเท่ากับองค์พระพุทธรูป อีก 4 ต้น

    พระครูสังฆรักษ์ (สุเทพ สุทโว) เจ้าอาวาสวัดกลางคลองข่อย กล่าวว่า ครั้งที่สมเด็จพระพุทธจารย์โต พรหมรังสี ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัด สมเด็จท่านได้สร้าง พระอุโบสถมหาอุต และสร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2371 หรือกว่า 186 ปีที่ผ่านมา เป็น 1 ใน 3 ของพระพุทธรูปที่สมเด็จท่านได้สร้างขึ้น

    จากนั้นพ.ศ.2516 ทางวัดได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างซุ้มเรือนแก้วครอบองค์พระ จนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อทางวัดได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปทำให้ทราบว่า ความตั้งใจของสมเด็จท่าน ต้องการให้พระพุทธรูปยืนตากแดดตากลม เพื่อเป็นการสอนให้พุทธศาสนิกชนได้เรียนรู้ว่าคนเราต้องพบอุปสรรค เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ทางวัดจึงได้คุยกับชาวบ้าน ที่จะรื้อถอนซุ้มออกให้เป็นเช่นเดิม และปรับภูมิทัศน์โดยรอบให้สวยงาม
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำคมขงเบ้ง...แง่คิดสอนใจสำหรับคนคิดการใหญ่

    -http://hilight.kapook.com/view/104330-



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิคำคม

    คำคมขงเบ้ง...แง่คิดสอนใจสำหรับคนคิดการใหญ่ ที่ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็สามารถประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างดี

    หากจะเอ่ยถึงวรรณกรรมชื่อก้องโลกล่ะก็...หนึ่งในจำนวนนี้คงจะมีชื่อวรรณกรรมเรื่องดังอย่าง "สามก๊ก" แน่นอน เพราะนอกจากผู้อ่านจะได้รับความรู้ทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีคำคม ปรัชญา และแง่คิดในการดำเนินชีวิตของขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง ยอดกุนซือผู้ปราดเปรื่องของเล่าปี่ ที่สามารถประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเป็นศิลปะการใช้คน กลยุทธ์การเป็นผู้นำ จนถึงขั้นมีคำกล่าวว่า "ผู้ใดอ่านสามก๊กจบสามหน คบไม่ได้"

    และวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีตัวอย่างคำคมขงเบ้งที่แฝงไปด้วยแง่คิดสอนใจดี ๆ มาฝากเพื่อน ๆ ให้นำไปคิดพิจารณา ปรับใช้กับการดำเนินชีวิตกันค่ะ


    เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

    ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว

    อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม

    อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย

    ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

    เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

    นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

    ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

    จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3

    ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

    มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ

    คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว

    ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี

    ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

    เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

    เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ

    ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น

    เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

    ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

    เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

    การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

    ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

    อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

    เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

    เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

    คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

    ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

    อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย

    ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่

    ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ

    ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า

    เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้

    คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม

    ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน

    ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน

    ความรู้ คือ อำนาจ

    นั่งภูดูเสือ กัดกัน

    เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท

    ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้วไม่โลภ ก็เป็นกษัตริย์ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็เป็นนักบวชที่ดีไม่ได้

    ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน

    น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น

    อันธรรมดาเกิดมาเป็นชาย เมื่อปรารถนาจะเป็นใหญ่ แม้ได้ดีที่ไหน ก็จะทำการที่นั้น อันจะคิดรั้งรออยู่ มัวแต่กลัวโน่น กลัวนี่ นานไปภายหน้าหากเป็นของผู้อื่นแล้ว จะคิดทำการต่อภายหน้า จะยากลำบากกว่า

    ภูมิของคนมิได้อยู่ที่ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่คุณธรรมและความรู้ ถ้าจะแข่งภูมิกัน ควรจะเอาสองสิ่งนี้มาแข่งกัน ถึงจะชื่อว่าเป็นความยุติธรรม

    จะฆ่าไก่ไม่ควรเอามีดฆ่าโคมาฆ่า ทำการสิ่งใดควรให้เหมาะแก่การนั้น

    ชายชาติทหาร ยอมตายไม่เสียดายชีวิต ขอเพียงให้ขึ้นชื่อลือชาไว้เป็นพอ

    การจะให้อภัยคน กี่ครั้งกี่หนก็ให้อภัยได้ บางคนให้อภัยสิบครั้งไม่กลับตัว แต่เมื่อจะให้อภัยกัน ไยต้องนับจำนวน

    การลัดนิ้วมือเดียว ไม่ควรที่จะถกเถียงกันอื้ออึง สิ่งที่จะต้องจัดการภายในเวลาอันรวดเร็ว ต้องจัดการอย่างรวดเร็วที่สุด หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน หรือแพร่งพรายให้เขารู้ทั่วกันไปหมด การนั้นก็จะสำเร็จไปไม่ได้

    ยอมให้มีการละเมิดกฎหมาย เพียงสักคนคนหนึ่งและครั้งเดียว คนอื่นๆก็จะอ้างสิทธิ์ทำบ้างและหลายครั้ง แม้ว่าการละเมิดกฎจะไม่ดีก็ตาม

    นักสู้ไม่คอยโชคชะตา ไม่ปล่อยให้ฟ้าดินเทพยดาเป็นผู้ลิขิต แต่ลิขิตเขียนชีวิตด้วยตนเอง

    การแก้แค้นก่อให้เกิดการแก้แค้น การให้อภัยก่อให้เกิดความรักความเมตตา

    ชีวิตควรรักษาไว้ทำประโยชน์ เมื่อยังไม่สมควรตาย ก็อย่าเร่งตายไป ต่อให้ถึงที่ตาย หรือถึงคราวตายเสียก่อน แล้วค่อยตายจึงเหมาะสม

    เป็นธรรมดาของแผ่นดิน ที่มีแต่ความสงบสุขมานาน จนระเริงหลงสุขกลับทำสิ่งชั่วร้ายของผู้คน ความทุกข์เดือนร้อนก็จะคืบคลานมาเป็นเบื้องต้น แล้วกลายมาเป็นประวัติศาสตร์อันชั่วร้ายของมนุษยชาติ

    บ่าวที่ดี ย่อมรับใช้นายถวายชีวิต จงรักภักดีต่อนายมั่นคง ยามนายสุขก็พลอยสบายใจด้วย ยามนายทุกข์ก็ร้อนรนกายใจ ส่วนนายที่ดีย่อมดูแลบ่าวให้สุขสบาย รักษาบ่าวให้ปลอดภัย รักบ่าวเหมือนบุตรของตน

    ความดีและความชั่ว สัตว์ไม่ทำร้ายสัตว์ทุกตัว ถ้าคนทำร้ายคนได้ไม่เลือกหน้า คนนั้นเลวกว่าสัตว์

    เกิดเป็นคนต้องรู้จักอ่อนน้อม บางครั้งก็ต้องรู้จักยอม เพื่อรักษาชีวิตไว้ สำหรับทำดีที่ดียิ่งกว่า ระวัง! อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า

    เกิดเป็นชายชาติทหาร มีหรือจะคิดกลัวการสงคราม คิดเป็นนักการเมือง ก็ไม่ควรกลัวการสาดโคลน

    ชีวิตใคร ๆ ก็รักและหวงแหน แต่สิ่งที่เหนือชีวิตนั้นคือธรรม ถ้าจะรักชีวิตก็จงรักความเป็นธรรมด้วย

    เกิดเป็นคนในแผ่นดิน ถ้าเอาแต่พิเคราะห์เห็นผู้ใดมีบุญวาสนามาก ก็เข้าไปนอบน้อมเป็นข้าด้วยหวังสุขสบาย โดยไม่พิจารณาถึงผิดถูกชั่วดี จะมีค่าแห่งความเป็นคนที่ตรงไหน

    เป็นคนดีมีศีลธรรม คบค้าสมาคมกับโจรผู้ร้าย ใครเขาจะเชื่อถือว่าดี หลักทั่วไปมีว่า คนดีไปสู่คนดี คนชั่วไปหาคนชั่ว

    อะไรที่มันมืด ให้รีบหาแสงสว่าง อย่าอยู่ในมุมมืดนาน ๆ มิฉะนั้นจะถึงความอับจน


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    www.คําคม108.com, วิกิคำคม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kb1.png
      kb1.png
      ขนาดไฟล์:
      438.5 KB
      เปิดดู:
      134
    • kb2.png
      kb2.png
      ขนาดไฟล์:
      79.2 KB
      เปิดดู:
      166
    • kb3.png
      kb3.png
      ขนาดไฟล์:
      75 KB
      เปิดดู:
      72
    • kb4.png
      kb4.png
      ขนาดไฟล์:
      73.7 KB
      เปิดดู:
      92
    • kb5.png
      kb5.png
      ขนาดไฟล์:
      83.5 KB
      เปิดดู:
      89
    • kb6.png
      kb6.png
      ขนาดไฟล์:
      73.8 KB
      เปิดดู:
      165
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แฉวีรกรรมมนุษย์ป้า ตีมึนขโมยโทรศัพท์ลูกค้า แชร์ทั่วเน็ต


    -http://hilight.kapook.com/view/104662-

    [​IMG]

    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก S-od Santisuk

    แฉวีรกรรมมนุษย์ป้า ตีมึนขโมยโทรศัพท์ลูกค้า KFC สาขา MBK ไม่ยอมให้ค้นกระเป๋า เดินหนี และแกล้งทำเป็นสื่อสารไม่รู้เรื่อง แต่พอถูกจับได้กลับพูดไทยได้ซะงั้น

    กลายมาเป็นอีกหนึ่งคลิปที่ถูกพูดถึงกับมากที่สุดในขณะนี้ สำหรับคลิปแฉวีรกรรมของมนุษย์ป้า ที่ตีมึนขโมยโทรศัพท์ของลูกค้าร้านเคเอฟซี ภายในห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง (MBK) แถมพอเจ้าของโทรศัพท์และเจ้าหน้าที่จะขอค้น มนุษย์ป้าคนนี้ก็ทำเป็นพูดคุยไม่รู้เรื่อง ดังที่เจ้าของ เฟซบุ๊ก "S-od Santisuk" นำมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557

    โดยจากคลิปดังกล่าว ผู้ถ่ายคลิปเล่าว่ามนุษย์ป้าเสื้อสีเขียวรายนี้ ได้ถูกชายคนหนึ่งสงสัยว่าเธอจะขโมยโทรศัพท์มือถือของเขาไป จึงพยายามขอค้นกระเป๋า แต่มนุษย์ป้ากลับไม่ยอมให้ค้น แถมยังเดินหนี ตีหน้ามึนไม่รู้เรื่องและแกล้งทำเป็นพูดภาษาต่างด้าว แม้ว่าเจ้าของโทรศัพท์จะไปตามเจ้าหน้าที่ของห้างมาเพื่อขอค้นกระเป๋าแต่เธอก็ยังไม่ยอม ยังคงตีมึนพูดจาไม่รู้เรื่องและไม่ยอมให้ค้นกระเป๋าอยู่ดี

    จนกระทั่งในที่สุด เมื่อเจ้าของโทรศัพท์บอกว่าจะไม่เอาเรื่องหากยอมคืนโทรศัพท์ให้ มนุษย์ป้ารายนี้จึงได้ยอมหยิบโทรศัพท์ออกมาคืน และกลับพูดภาษาไทยได้เสียอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พูดจาภาษาต่างด้าวสื่อสารไม่รู้เรื่อง ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบว่าโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของมนุษย์ป้า เป็นของผู้ชายเจ้าของโทรศัพท์จริง ๆ



    https://www.facebook.com/photo.php?v=4271064110135&set=vb.1692111219&type=2&theater
    -https://www.facebook.com/photo.php?v=4271064110135&set=vb.1692111219&type=2&theater-
    คลิป แฉมนุษย์ป้า ขโมยโทรศัพท์ลูกค้า แกล้งพูดไม่รู้เรื่อง โพสต์โดยคุณ S-od Santisuk

    [​IMG]

    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ไหนครับ พวกองค์กรสิทธิมนุษยชน

    หายหัวไปไหนหมด ทำไมไม่ออกมาดำเนินการอะไรเลย
    ส่วนใหญ่ออกมาให้เป็นข่าว เพื่อจะได้ดัง




    ----------------------------------------



    ไม่รู้ว่า จะเก็บไว้แบบเป็นๆทำไม

    น่าจะจับตาย อยู่ไปรกแผ่นดินเปล่าๆ


    ---------------------------------------------------------------------------------------

    ข่าวน้องแก้ม ล่าสุด พบศพแล้ว นายวันชัย แสงขาว สารภาพข่มขืน


    -http://hilight.kapook.com/view/104774-


    [​IMG]
    โฉมหน้า "วันชัย แสงขาว" พนง.ปูเตียง รฟท.หื่นข่มขืนฆ่าน้องแก้ม (เสื้อดำ) : ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์ @Palm_RescueClub


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=x36g2exkmfA#ws"]เรื่องเล่าเช้านี้ จับแล้วลูกจ้างรฟท.ฆ่า-ข่มขืนด.ญ.วัย 13 ขณะโดยสารมากับครอบครัว (8ก.ค.57)[/ame]
    -http://www.youtube.com/watch?v=x36g2exkmfA-
    เรื่องเล่าเช้านี้ จับแล้วลูกจ้างรฟท.ฆ่า-ข่มขืนด.ญ.วัย 13 ขณะโดยสารมากับครอบครัว (8ก.ค.57)



    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก จส 100

    ข่าวน้องแก้ม หายตัวไปบนรถไฟสุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ ล่าสุด พบศพแล้ว ลูกจ้างการรถไฟ รับสารภาพข่มขืนแล้วฆ่า น้องแก้ม ก่อนโยนร่างที่ยังไม่เสียชีวิตทิ้งหน้าต่างรถไฟ

    วันที่ 8 กรกฎาคม 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีการหายตัวไปของ น้องแก้ม อายุ 13 ปี ขณะที่เดินทางมาจาก จ.สุราษฎร์ธานี มุ่งหน้ากรุงเทพมหานคร ซึ่งโดยสารมากับขบวนรถไฟ (ตู้นอนที่ 3) เที่ยวที่ 174 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น ล่าสุด มีรายงานว่า น้องแก้ม ได้ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุเอาไว้ได้ ทราบชื่อ นายวันชัย แสงขาว อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียงที่เข้ามาทำงานได้ไม่นาน

    จากการสอบสวน นายวันชัย ให้การรับสารภาพว่า ได้เฝ้ามองน้องแก้มมาตลอด ตั้งแต่ขึ้นรถไฟที่ จ.สุราษฎร์ธานี กระทั่งสบโอกาสที่น้องแก้มตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก จึงลากตัวไปข่มขืนที่ห้องพักพนักงานบนรถไฟ 2 ครั้ง จากนั้นได้ลงมือฆ่าปิดปาก โดยผลักน้องแก้มตกจากรถไฟ ซึ่งคาดว่าน่าจะเสียชีวิต ช่วงระหว่างสถานีวังก์พง อ.ปราณบุรี กับสถานีหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับนำปลอกหมอนและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของน้องแก้มโยนทิ้งข้างทางด้วย

    โดยภายหลังที่คนร้ายรับสารภาพ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระดมกำลังพร้อมญาติ ได้ลงพื้นที่ อ.หัวหิน เพื่อค้นหาร่างและเสื้อผ้าน้องแก้มทันที ซึ่งได้พบหลักฐานเป็นผ้าปูที่นอนของรถไฟ และเสื้อยืดเปื้อนเลือด ที่บริเวณริมทางรถไฟสถานีหนองแก และพี่สาวยืนยันว่า เสื้อตัวดังกล่าวเป็นของน้องแก้มจริง เจ้าหน้าที่จึงเร่งดำเนินการค้นหาร่างน้องแก้มอีกครั้ง จนกระทั่งเวลา 03.50 น. ก็พบร่างไร้วิญญาณของน้องแก้ม ใกล้สถานีวังก์พง พื้นที่ อ.ปราณบุรี ผลชันสูตรเบื้องต้นพบกะโหลกศีรษะแตก

    ขณะที่ นางลักขณา อายุ 48 ปี มารดาน้องแก้ม เมื่อทราบข่าวถึงกับเป็นลมหมดสติ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้เข้าปฐมพยาบาลทันที

    อย่างไรก็ดี พนักงานสอบสวนได้นำตัว นายวันชัย แสงขาว ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุในวันนี้ (8 กรกฎาคม 2557) เวลา 09.00 น.

    ด้าน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า จะมีการแถลงคดีน้องแก้ม วันนี้ (8 กรกฎาคม) เวลา 11.00 น. ที่ สภ.ปราณบุรี


    ------------------------------------------------------------------------------


    ผลชันสูตร น้องแก้ม เผยขาดอากาศหายใจ ตายก่อนถูกโยน

    -http://hilight.kapook.com/view/104820-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ข่าวน้องแก้ม ผลชันสูตรศพน้องแก้ม เผยขาดอากาศหายใจตาย ก่อนถูกโยนร่างออกนอกหน้าต่าง พบปลายนิ้วมีสีเขียว ไม่แน่ใจว่าโดนหมอนกดทับหรือบีบคอจนตาย

    ช่วงบ่ายวันนี้ (8 กรกฎาคม 2557) ความคืบหน้าคดีสะเทือนขวัญ นายวันชัย แสงขาว พนักงานการรถไฟข่มขืนแล้วฆ่า น้องแก้ม เด็กหญิงวัย 13 ปี ขณะหลับอยู่ในรถไฟตู้นอน ก่อนโยนร่างเหยื่อออกทางหน้าต่างรถไฟนั้น [อ่านข่าว น้องแก้ม ถูกลูกจ้างรถไฟสารภาพ ข่มขืน-โยนทิ้งข้างทาง]

    ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ผ่านมา พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้แถลงผลการชันสูตรพลิกศพของน้องแก้ม ระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตของน้องแก้ม เนื่องจากขาดอากาศหายใจ บริเวณลำตัวมีแผลฟกช้ำและถลอกจำนวนมาก เชื่อว่าเกิดจากการต่อสู้ เนื่องจากศพเปลี่ยนแปลงสภาพจากการเสียชีวิตมานานกว่า 24 ชั่วโมง ทำให้การตรวจสอบค่อนข้างยาก

    นอกจากนี้ พล.ต.ต.พรชัย ยังตรวจพบร่องรอยการข่มขืน ส่วนที่ปลายนิ้วมือเขียวคล้ำ ทำให้สันนิษฐานว่า ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต ก่อนที่ถูกนำร่างออกจากตู้รถไฟ จึงเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากการถูกทำให้ตายตั้งแต่อยู่บนรถไฟ แต่ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าตายโดยวิธีไหน อาจจะใช้หมอนกดหรือมือบีบคอก็ได้ ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

    ทั้งนี้ ทางแพทย์ได้เก็บเนื้อเยื่อแฝงที่เล็บไปตรวจดีเอ็นเอ รวมทั้งตรวจหาคราบอสุจิว่ามีมากกว่า 1 คนหรือไม่ ซึ่งคาดว่าภายใน 2 วัน น่าจะทราบผลตรวจ

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1404806745&grpid=&catid=19&subcatid=1905-


    ----------------------------------------------------------------------------------


    โทษคดีข่มขืน เบาไป ชาวเน็ตจี้แก้กฎหมายเพิ่มโทษ หลังมีข่าวน้องแก้ม

    -http://hilight.kapook.com/view/104800-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก พวกเราต้องการเปลี่ยนกฏหมาย คดีข่มขืนให้ลงโทษประหารชีวิตเท่านั้น

    ชาวเน็ตร้องเพิ่มโทษคดีข่มขืน ป้องกันปัญหาคุกคามทางเพศ หลังมีข่าวน้องแก้มถูกข่มขืนบนรถไฟ ด้านผลสำรวจเผยปี 2556 พบข่าวข่มขืนมีแนวโน้มสูงขึ้น เฉลี่ยสูงถึงวันละ 87 ราย !

    จากข่าวสุดสะเทือนขวัญของน้องแก้ม เด็กหญิงวัย 13 ปี เสียชีวิตเนื่องจากถูกพนักงานปูเตียงบนรถไฟข่มขืนและฆ่าน้องแก้ม พร้อมโยนร่างที่ยังไม่เสียชีวิตทิ้งหน้าต่างรถไฟบนขบวนรถไฟที่ 174 สุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ ตามที่ได้รายงานข่าวไปนั้น

    ล่าสุด วันนี้ (8 กรกฎาคม 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กยังคงถกเถียงประเด็นดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่เรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษคดีข่มขืนมากขึ้น รวมถึงการประหารชีวิตผู้ต้องหา เพื่อจะได้เป็นเยี่ยงอย่างและลดปัญหาอาชญากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

    ทั้งนี้ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้เปิดเผยสถานการณ์ความรุนแรงทางเพศปี 2556 ว่า จากการรวบรวมสถิติข่าวความรุนแรงทางเพศปี 2556 จากหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ ได้แก่ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด คมชัดลึก และมติชน พบว่า ข่าวการกระทำความรุนแรงทางเพศ มีทั้งหมด 169 ข่าว ประเภทข่าวที่พบมากที่สุด คือ

    ข่าวข่มขืน 51.5%

    ข่าวอนาจาร 17.1%

    ข่าวพยายามข่มขืน 13.6%

    ข่าวรุมโทรม 7.1%

    ข่าวพรากผู้เยาว์ 2.4%

    และจากสถิติการให้บริการของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า การกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก มีแนวโน้มสูงขึ้น ปี 2556 มีจำนวน 31,866 ราย เฉลี่ยวันละ 87 ราย หรือทุก ๆ 15 นาที มีผู้หญิงและเด็กถูกทำร้าย 1 คน ซึ่งผู้ที่กระทำส่วนใหญ่เป็นบุคคลใกล้ชิดที่เด็กไว้วางใจ


    สำหรับบทลงโทษคดีข่มขืน มีดังนี้

    ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000-40,000 บาท

    ถ้าข่มขืนโดยมีอาวุธ หรือใช้อาวุธ เช่น ปืน หรือวัตถุระเบิด หรือร่วมกันข่มขืนในลักษณะโทรมหญิง ต้องรับโทษหนักขึ้น คือ จำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 30,000-40,000 บาท ข่มขืนเด็กหญิงต้องรับโทษหนักขึ้นและหากได้ข่มขืนโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือร่วมกันข่มขืนในลักษณะโทรมหญิงต่อเด็กหญิงที่อายุไม่เกิน 15 ปี และเด็กนั้นไม่ยินยอม ผู้ข่มขืนต้องรับโทษหนัก คือ จำคุกตลอดชีวิต

    ถ้าข่มขืนเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และเด็กนั้นไม่ใช่ภริยาของผู้กระทำ แม้เด็กนั้นยินยอม ก็ยังถือว่าเป็นความผิด ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000-40,000 บาท

    ถ้าข่มขืนเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ต้องรับโทษหนักกว่าข่มขืนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี คือ ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 7-20 ปี และปรับตั้งแต่ 14,000-40,000 บาท หรืออาจต้องรับโทษหนักถึงขนาดถูกจำคุกตลอดชีวิต

    ผลของการข่มขืนทำให้หญิงผู้ถูกข่มขืนบาดเจ็บสาหัสหรือตาย ต้องรับโทษหนักขึ้นอาจถึงขั้นถูกประหารชีวิต


    ฆ่าแล้วข่มขืน กับ ข่มขืนแล้วฆ่า แตกต่างกันอย่างไร

    การข่มขืนแล้วฆ่า คือ การข่มขืนตอนที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่ได้ทำการข่มขืน พอกระทำการข่มขืนเสร็จแล้วจึงจะทำการฆ่าเหยื่อ แต่การฆ่าแล้วข่มขืน คือการที่เหยื่อผู้ถูกกระทำได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงได้มีการกระทำทางเพศทีหลัง ซึ่งความผิดก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน

    กรณีข่มขืนแล้วฆ่า

    ถือว่าผู้กระทำมี 2 เจตนา คือ เจตนาข่มขืนกระทำชำเรา กับ เจตนาฆ่า (ฆ่าเพื่อปกปิดการกระทำของตน ป.อ.ม.289(7))

    เป็นเรื่องความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องเรียงกระทงลงโทษ ป.อ.ม.91

    กรณีฆ่าแล้วข่มขืน

    ถือว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่า (ป.อ.ม.289(6))

    ผู้กระทำมีเจตนาข่มขืนกระทำชำเรา แต่ไม่ต้องรับผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เพราะผู้ถูกกระทำไม่มีสภาพบุคคล (เป็นเรื่องขององค์ประกอบภายนอก)


    โทษคดีข่มขืนในต่างประเทศ

    หากเปรียบเทียบบทลงโทษคดีข่มขืนในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่ามีความรุนแรงกว่าในประเทศไทย อาทิ

    ประเทศลาว คาดโทษคดีกระทำชำเราเด็กต่ำกว่า 15 ปี เป็นจำคุก 7-15 ปี ปรับเป็นเงินประมาณ 20,000-60,000 บาท แต่กรณีฆ่าข่มขืน จะต้องรับโทษหนักโดยมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต

    ประเทศบรูไน มีบทลงโทษสูงสุดในคดีข่มขืน คือประหารชีวิต

    เกาหลีใต้ลงโทษผู้กระทำชำเราเด็ก ด้วยสารเคมีลดฮอร์โมนและความต้องการทางเพศ ซึ่งถือเป็นชาติแรกในเอเชีย เช่นเดียวกับกฎหมายในสหรัฐอเมริกา (บางรัฐ) เยอรมนี สวีเดน และนอร์เวย์

    ประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง ลงโทษโดยยึดเจ้าโลกของกลางและตัดทิ้งแบบไม่ต้องรอศาลลงอาญา

    ประเทศจีน ยื่นคำขาดโทษประหารชีวิตสถานเดียวให้แก่ผู้ก่อคดีข่มขืน

    ประเทศรัสเซีย คาดโทษข่มขืนเด็กต่ำกว่า 18 ปี เป็นจำคุก 8-15 ปี ส่วนการข่มขืนเด็กต่ำกว่า 14 ปี ระวางโทษตั้งแต่ 12-20 ปี

    ประเทศฝรั่งเศส คาดโทษคดีกระทำชำเราเด็กต่ำกว่า 15 ปี เป็นจำคุก 20 ปี และในกรณีฆ่าข่มขืน หรือทำให้เหยื่อถึงแก่ความตายมีโทษจำคุก 30 ปี

    ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงเป็นที่มาให้มีการลุกฮือทุกครั้งที่มีข่าวคดีข่มขืนสะเทือนขวัญในบ้านเรา แต่ดูเหมือนเสียงเล็ก ๆ จากโลกไซเบอร์จะยังคงไม่ดังพอ ให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันมาสนใจกับเรื่องนี้มากนัก เช่นเดียวกันกับครั้งนี้ ข่าวน้องแก้ม ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางสังคมต่อบทลงโทษของคดีข่มขืนขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุด (8 กรกฎาคม 2557) มีการนัดรวมตัวเพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนกฎหมายลงโทษคดีฆ่าข่มขืน ผ่านเฟซบุ๊ก พวกเราต้องการเปลี่ยนกฏหมาย คดีข่มขืนให้ลงโทษประหารชีวิตเท่านั้น โดยนัดรวมตัวกันในวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคมนี้ ที่ลานพาร์ค พารากอน ซึ่งข้อความระบุว่า...

    มารวมตัวกันเป็นพลังเสียง ร่วมเปลี่ยนกฎหมายคดีโทษข่มขืนกันเถอะค่ะ อย่าให้มีเหยื่อสังเวยความกามมากกว่านี้ ทุกกระบอกเสียงสำคัญ ร่วมกันแชร์รวมตัวกันค่ะ ตัวแอดมินเองไม่มีความรู้ด้านกฎหมายมากนัก แต่อยากให้มีอะไรมาเปลี่ยนให้มันดีขึ้น ไม่งั้นก็เกิดเหตุแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะรวมตัวกันที่ ลานพาร์คพารากอน เวลา 11.00 อยากให้ทุกคนใส่ชุดสีดำ เพื่อไว้ทุกข์ให้แก่เหยื่อ แอดมินไม่ทราบหรอกนะคะว่าทำแบบนี้จะเปลี่ยนได้ไหมแต่คิดว่าดีกว่าเรานิ่งดูดายกัน ทุกเสียงสำคัญร่วมกันแก้ไข
    [/quote]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันอาสาฬหบูชา

    -http://guru.sanook.com/2551/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%AB%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2/-

    [​IMG]

    วันอาสาฬหบูชา

    วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

    วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม

    เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘

    --------------------------------------------------------------------------------
    ใจความสำคัญของปฐมเทศนา
    ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ

    ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

    ๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค

    ๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

    ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่

    ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
    ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
    ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
    ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
    ๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
    ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
    ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
    ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

    ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่

    ๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

    ๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ

    ๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

    ๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น

    --------------------------------------------------------------------------------
    ผลจากการแสดงปฐมเทศนา
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ

    --------------------------------------------------------------------------------
    ความหมายของอาสาฬหบูชา
    “อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน ๘ หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา

    โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๘ หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือ

    ๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา
    ๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา
    ๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน จัดเป็นอริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์
    ๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและ ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว
    ๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูปแรกของพระพุทธเจ้า

    เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียก วันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)

    พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้ โดยทั่วไป คือ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่า พุทธศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลก และชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • undefined.png
      undefined.png
      ขนาดไฟล์:
      517.4 KB
      เปิดดู:
      747
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันเข้าพรรษา

    -http://guru.sanook.com/4160/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2/-

    วันเข้าพรรษา พ.ศ 2557 ตรงกับวันที่ 12 กรกฎาคม 2557

    รู้จักความเป็นมาและข้อมูลของวันเข้าพรรษา

    การเข้าพรรษา เป็นพุทธบัญญัติ ซึ่งพระภิกษุทุกรูปจะต้องปฏิบัติตาม หมายถึง การอธิษฐานอยู่ประจำที่ไม่เที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ เว้นแต่มีกิจจำเป็นจริง ๆช่วงจำพรรษาจะอยู่ในช่วงฤดูฝนคือแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี ดังนั้น วันเข้าพรรษา หมายถึง วันที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจำในวัด หรือเสนาสนะที่คุ้มแดดคุ้มฝนได้แห่งหนึ่งไม่ไปค้างแรมในที่อื่น ตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน

    วันเข้าพรรษา เป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงกลางเดือน 11 วันเข้าพรรษาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้มีอยู่ 2 วันคือ

    - วันเข้าปุริมพรรษา คือวันเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน 11
    - วันเข้าปัจฉิมพรรษา คือวันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 9 ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน 12
    เมื่อเข้าพรรษาแล้วหากภิกษุมีกิจธุระจำเป็น อันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ โดยมีข้อจำกัดว่าจะต้องกลับมายังสถานที่จำพรรษาเดิมภายใน 7 วัน ที่เรียกว่า สัตตาหกรณียะ ดังต่อไปนี้

    1. เมื่อทายกทายิกา ปราถนาจะบำเพ็ญกุศล เมื่อมานิมนต์ก็ให้ไปเพื่อรักษาศรัทธาได้
    2. ถ้าสงฆ์ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งเกิดอธิกรณ์ขึ้น ก็ให้ไปเพื่อระงับอธิกรณ์ได้
    3. ถ้าบิดา มารดา ญาติ พี่น้อง พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เป็นไข้ เมื่อทราบก็ให้ไปได้
    4. พระวิหารในที่แห่งอื่นเกิดชำรุดเสียหาย ให้ไปหาสิ่งของเพื่อมาปฏิสังขรพระวิหารนั้นได้
    5. เมื่อถูกสัตว์ร้ายรบกวน ถูกโจรปล้น พระวิหารถูกไฟไหม้ หรือถูกน้ำท่วม ก็ให้ไปจากที่นั้นได้
    6. เมื่อชาวบ้านถูกโจรปล้น อพยพหนีไป ก็ให้ไปกับพวกชาวบ้านได้โดยให้ไปกับชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสศรัทธา สามารถที่จะให้ความอุปถัมภ์ได้
    7. เมื่อที่ใดเกิดความขาดแคลน อาหารหรือยารักษาโรค ขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง ได้รับความลำบากก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
    8. ถ้าหากมีผู้เอาทรัพย์มาล่อ ก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
    9. หากภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณีสงฆ์แตกกันหรือมีผู้พยายามจะให้แตกกัน ถ้าการไปจากที่นั้นสามารถระงับการแตกกันได้ ก็อนุญาตให้ไปได้

    ใน วันเข้าพรรษา ถือว่าเป็นกรณียกิจพิเศษสำหรับพระภิกษุสงฆ์ จะมีการประชุมกันในพระอุโบสถ ไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาซึ่งกันและกัน เสร็จแล้วก็ประกอบพิธีเข้าพรรษา ภิกษุจะอธิษฐานใจตนเองว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า

    อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ หรือ อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าขออยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน ในอาวาสนี้ หรือในวิหารนี้ (ว่า 3 ครั้ง) หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้วก็นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปนมัสการปูชนียวัตถุที่สำคัญในอาวาสนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และพระเถระที่ตนเคารพนับถือ

    ขอบคุณ วันเข้าพรรษา ประวัติวันเข้าพรรษา ประเพณีแห่เทียนพรรษา


    ความสำคัญของวันเข้าพรรษา

    วันเข้าพรรษานี้มีความสำคัญต่อพุทธศาสนิกชนและเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาด้วยเหตุผลดังนี้

    ๑. พระภิกษุจะหยุดจาริกไปยังสถานที่อื่นๆแต่จะเข้าพักอยู่ประจำในวัดแห่งเดียวตามพุทธบัญญัติ
    ๒. การที่พระภิกษุอยู่ประจำที่นานๆ ย่อมมีโอกาสได้สงเคราะห์กุลบุตรที่ประสงค์จะอุปสมบทเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและสงเคราะห์พุทธบริษัททั่วไป
    ๓. เป็นเทศกาลที่พระพุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง ๆ เช่น การดื่มสุราสิ่งเสพติด และการเที่ยวเตร่เฮฮา เป็นต้น ๔. นอกจากเป็นเทศกาลที่พุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง ๆ แล้วในช่วงเวลาพรรษา พุทธศาสนิกชนทั่วไปจะบำเพ็ญทาน รักษาศีลฟังธรรม และเจริญภาวนามากขึ้น

    พิธีทางศาสนา

    การบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ยังมีประเพณีสำคัญอยู่ ๒ ประเพณี ควรนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้

    ๑. ประเพณีแห่เทียนพรรษา

    ประเพณีนี้คงเกิดขึ้นจากความจำเป็นที่ว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้กันดังปัจจุบัน เมื่อพระสงฆ์จำพรรษารวมกันมาก ๆก็จำต้องปฏิบัติกิจวัตรเช่น การทำวัตรสวดมนต์เช้ามืดและตอนพลบค่ำ การศึกษาพระปริยัติธรรมกิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องการแสงสว่างโดยเฉพาะ แสงสว่างจากเทียนที่พระสงฆ์จุดบูชาพระรัตนตรัยและเพื่อต้องการใช้แสงสว่างโดยตรงด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงนิยมหล่อเทียนต้นใหญ่ กะว่าจะจุดได้ตลอดเวลา ๓ เดือนไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้ ๆบ้านเป็นพุทธบูชา เทียนดังกล่าวเรียกว่า เทียนจำนำพรรษา
    ก่อนจะนำเทียนไปถวายนี้ ชาวบ้านมักจัดเป็นขบวนแห่แหนกันไปอย่างเอิกเกริกสนุกสนานเรียกว่าประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษาดังขอสรุปเนื้อหาจากหนังสือนางนพมาศ ดังนี้

    เมื่อถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ทั้งทหารบกและทหารเรือก็จัดขบวนแห่เทียนจำนำพรรษา ทั้งใส่คานหาบไปและลงเรือประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำประดับธงทิว ตีกลอง เป่าแตรสังข์ แห่ไป ครั้นถึงพระอารามแล้วก็ยกต้นเทียนนั้นเข้าไปถวายในพระอุโบสถหอพระธรรม และพระวิหารจุดตามให้สว่างไสวในที่นั้นๆ ตลอด ๓ เดือน ดังนี้ทุกพระอาราม

    ในวัดราษฎร์ทั้งหลาย ก็มีพิธีทำนองนี้ทั่วพระราชอาณาจักร ปัจจุบัน ประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษานี้ยังถือปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป บางจังหวัด เช่น อุบลราชธานี ถือให้เป็นประเพณีเด่นประจำจังหวัดตนได้จัดประดับตกแต่งต้นเทียนใหญ่ๆ มีการประกวดแข่งขันแล้วแห่แหน ไปถวายตามวัดต่าง ๆ

    ๒. ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน

    การถวายผ้าอาบน้ำฝนนี้ เกิดขึ้นแต่สมัยพุทธกาล คือ มหาอุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขาได้ทูลของพระบรมพุทธานุญาตให้พระสงฆ์ ได้มีผ้าอาบน้ำสำหรับผลัดเปลี่ยนเวลาสรงน้ำฝนระหว่างฤดูฝน นางวิสาขาจึงเป็นสตรีคนแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระสงฆ์

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชน ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยราชธานี จึงนิยมนำผ้าอาบน้ำฝนไปถวายผ้าอาบน้ำฝนถวายพระสงฆ์ผู้จะอยู่พรรษา พร้อมกับอาหารและเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ

    แม้ในปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนไทยก็คงยังปฏิบัติกิจกรรม อย่างนี้อยู่บางวัดมีการแจกฎีกานัดเวลา ประกอบพิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน (วัสสิกสาฎก) หรือ ผ้าจำนำพรรษาและเครื่องใช้อื่นๆ ณ ศาลาบำเพ็ญกุศลของวัดใกล้บ้าน

    อานิสงส์แห่งการจำพรรษา

    เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ

    ๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
    ๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
    ๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
    ๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
    ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ

    และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ

    ประวัติวันเข้าพรรษา และความเป็นมาของวันเข้าพรรษา

    ๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

    เมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ วัด เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือ พวกชาวบ้าน กลุ่มหนึ่งพากันกล่าวตำหนิพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาว่า ช่างไม่รู้จักกาลเวลาเสียเลยพากันจาริกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งแม้ในระหว่างฤดูฝนบางครั้งก็ไปเหยียบข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย ขณะที่พวกนิครนถ์ นักบวชในศาสนาอื่นและฝูงนกยังหยุดพักผ่อนไม่ท่องเที่ยงไปในฤดูฝนเช่นนี้ เรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา พระองค์จึงทรงรับสั่งให้พระสงฆ์ประชุมพร้อมกันตรัสถามจนได้ความเป็นจริงแล้วจึงทรงบัญญัติเรื่องการเข้าพรรษาไว้ว่า

    อนุชานามิ ภิกขะเว อุปะคันตุง แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พวกเธออยู่จำพรรษา"

    พระสงฆ์ที่เข้าจำนำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่หากมีกรณีจำเป็น 4 ประการต่อไปนี้ ภิกษุผู้อยู่พรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ต้องกลับมาภายในระยะเวลา 7 วัน คือ
    1. ไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
    2. ไประงับไม่ให้ภิกษุสึก
    3. ไปเพื่อธุระของสงฆ์
    4. ทายกนิมนต์ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขา

    วันเข้าพรรษานี้โดยทั่วไปกำหนดในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เรียกว่า วันเข้าพรรษา (ปุริมพรรษา) ถ้าปีใดเป็นปีอธิกมาส มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเข้าพรรษา ในวันแรม๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถเข้าพรรษาได้ก็เลื่อนเข้าพรรษา ในแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ก็ได้ ไปสิ้นสุดเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน๑๒ เรียกว่า วันเข้าพรรษาหลัง (ปัจฉิมพรรษา)

    ๒. การถือปฏิบัติวันเข้าพรรษาในประเทศไทย

    สมัยก่อนประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม จะเริ่มทำไร่ทำนาปักดำข้าวกล้าก่อนพรรษากาลพอ พระสงฆ์เข้าพรรษาก็จะเสร็จงานในไร่นา ย่อมมีเวลาว่างมาก ประกอบกับการคมนาคมไปมาระหว่างสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยสะดวก เนื่องจากฝนตกชุกและน้ำขึ้นเจิ่งนอง เต็มแม่น้ำลำคลองทั่วไปชาวบ้านจึงถือโอกาสเข้าวัดถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรมและเจริญภาวนาเพิ่มพูนบุญกุศลกันมากขึ้น

    ดังนั้นเมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนก็จะพากันหาอาหารทั้งคาวหวาน ผลไม้ และเครื่องอุปโภคที่จำเป็นแก่สมณะนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ใกล้บ้านตน พระภิกษุสงฆ์แนะนำสั่งสอนให้เกิด ศรัทธาในการปฏิบัติ ตามหลักทานศีลและภาวนา และความไม่ประมาทในการประกอบคุณความดีอื่น ๆ

    ตามประวัติศาสตร์ พุทธศาสนิกชนชาวไทย ได้เริ่มบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า

    "พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ทั้งท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขันทั้งสิ้นทั้งหลายทั้งหญิงทั้งชายฝูงท่วยมีศรัทธาในพุทธศาสน์ มักทรงศีล เมื่อพรรษาทุกคน"

    นอกจากการรักษาศีลแล้ว พุทธศาสนิกชนไทย ในสมัยสุโขทัยนั้นยังได้บำเพ็ญกุศลอื่น ๆดังรายละเอียดปรากฎอยู่ในหนังสือ นางนพมาศ พอสรุปได้ดังนี้

    เมื่อถึงเดือน ๘ ก็มีพระราชพิธีอาษาฒมาส พระภิกษุสงฆ์ทุกรูป จะได้เข้าจำพรรษา ในพระอารามต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้จัดแจงเสนาสนะถวาย พร้อมทั้งบริขารอันควรแก่สมณะบริโภค เช่น เตียงตั่ง เสื่อสาด ผ้าจำนำพรรษา อาหารหวานคาวยารักษาโรค และธูปเทียนจำนำพรรษา เพื่อบูชาพระรัตนตรัยในพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร แม้ชาวเมืองสุโขทัย ก็บำเพ็ญกุศลเช่นนี้ในวัดประจำตระกูลของตน


    ประเพณีตักรบาตรดอกไม้

    การตักบาตรดอกไม้ เดิมทีเดียวได้มีเรื่องราวในสมัยพุทธกาลของนายสุมนมาลาการที่ได้ถวายดอกมะลิ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวมีอยู่ว่า ในกรุงราชคฤห์มีช่างจัดดอกไม้คนหนึ่ง ชื่อ "สุมนะ" ทุกๆ เช้า เขาจะนำดอกมะลิ 8 ทะนาน ไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร และจะได้ทรัพย์มาเป็นค่าดอกไม้วันละ 8 กหาปณะเป็นประจำ วันหนึ่ง ขณะที่เขาถือดอกไม้จะนำไปถวายพระราชา พระบรมศาสดาเสด็จมาบิณฑบาต พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์จำนวนมาก พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกาย นายสุมนะเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธามาก อยากจะถวายดอกมะลิทั้ง 8 ทะนาน ที่ถืออยู่ในมือ เพื่อเป็นพุทธบูชา เขาคิดว่า "ถ้าหากพระราชาไม่ได้รับดอกไม้เหล่านี้ในวันนี้ เราอาจจะถูกประหาร หรือถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้นก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะถึงพระราชาจะทรงอนุเคราะห์เรา ด้วยการพระราชทานทรัพย์เป็นค่าดอกไม้ ก็คงพอเลี้ยงชีวิตได้แค่ในภพชาตินี้เท่านั้น แต่การบูชาพระบรมศาสดาด้วยดอกไม้เหล่านี้ จะทำให้เราได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า"
    เขาคิดอย่างนี้แล้วก็ตัดสินใจสละชีวิต โปรยดอกไม้ทั้ง 8 ทะนาน บูชาพระบรมศาสดาทันที ทันใดนั้น สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น คือ ดอกมะลิทั้ง 8 ทะนาน ไม่ได้ตกถึงพื้นดินเลย ดอกมะลิ 2 ทะนาน ได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ แผ่อยู่เหนือพระเศียรของพระบรมศาสดา อีก 2 ทะนาน แผ่เป็นกำแพงดอกไม้ลอยอยู่ข้างขวา และ 2 ทะนานอยู่ข้างซ้าย ส่วนอีก 2 ทะนาน อยู่ข้างหลัง กำแพงดอกไม้ทั้งหมดนี้ ลอยไปพร้อมกับพระบรมศาสดา เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำเนิน กำแพงดอกมะลิทั้งหมดก็ลอยตามไป เมื่อประทับยืน กำแพงดอกมะลิก็หยุดอยู่กับที่เหมือนกัน
    นายสุมนะเห็นดังนั้น เกิดความปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเรื่อง แทนที่จะลงโทษกลับชื่นชมและปูนบำเหน็บรางวัลทำให้นายมาลาการมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น เพราะเหตุนี้ ได้มีประเพณีตักบาตรเข้าพรรษาของไทยที่ได้สืบทอดมานาน และเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยมีการใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งในการใส่บาตรเรียกว่า
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การรับรู้วันสำคัญทางศาสนา


    -http://www.dailynews.co.th/Content/Article/251534/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-


    วันศุกร์ 11 กรกฎาคม 2557 เวลา 09:09 น.

    ช่วงวันหยุดยาวที่เป็นวันสำคัญของศาสนาพุทธที่มีการหยุดงานติดต่อกัน 2 วันก็คือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ซึ่งวันหยุดของวันสำคัญทางศาสนาพุทธปีนี้ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน ผู้ที่ทำงานก็ใช้วันหยุดยาวนี้ไปทำบุญตามประเพณีของศาสนาตามที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำ พร้อมทั้งถือโอกาสไปพักผ่อนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ตามความประสงค์ของตนเองว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี แต่เป็นเรื่องที่น่าตกใจเช่นกันที่คนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่รู้ว่าเป็นวันสำคัญของศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้ว่าวันสำคัญนั้นที่มีความหมายต่อพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง

    จากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ที่ได้สำรวจความคิดเห็นถึงความรับรู้วันสำคัญของวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาจากคนไทยพุทธทั่วประเทศ โดยผู้ที่ให้ความคิดเห็นจากการสำรวจดังกล่าวมีทุกระดับการศึกษาตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงสูงกว่าปริญญาตรี และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ รวมถึงนักเรียนนักศึกษา เป็นการสำรวจทั้งชายและหญิง รวมทั้งเพศทางเลือกด้วย โดยมีอายุต่ำกว่า 25 ปีไปจนถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผลปรากฏว่ามีผู้ที่ไม่ทราบหรือไม่แน่ใจถึงความสำคัญของวันอาสาฬหบูชาถึง 76.18% มีทราบเพียง 23.82% ส่วนวันเข้าพรรษา มีผู้ทราบความสำคัญ 56.67% และไม่ทราบหรือไม่แน่ใจ 43.33%

    คงมิใช่วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาเท่านั้น ที่ประชาชนคนไทยชาวพุทธไม่ทราบถึงความสำคัญ คาดว่าวันสำคัญทางศาสนาพุทธวันอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันมาฆบูชา และวันวิสาขบูชา ชาวพุทธในประเทศไทยจำนวนมากก็อาจจะไม่ทราบความหมายของวันสำคัญดังกล่าวมากกว่าผู้ที่ได้ทราบความหมาย ซึ่งวันอาสาฬหบูชาที่ได้กำหนดเป็นวันหยุดมาเป็นเวลายาวนาน ก็ควรจะต้องมีการเผยแพร่ให้รับรู้อย่างต่อเนื่องว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนา มีพระสงฆ์องค์แรกเกิดขึ้น และได้ทรงแสดงธรรมปฐมเทศนา ทำให้วันสำคัญวันนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นในโลกครบสมบูรณ์

    ส่วนวันเข้าพรรษาที่มีผู้ทราบความหมายกับไม่ทราบไล่เลี่ยกันนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะมีการรณรงค์ “งดเหล้าเข้าพรรษา” มาอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี ก็ส่งผลให้ประชาชนได้จดจำได้ว่าเป็นวันที่พระสงฆ์จะอธิษฐานว่าจะพักแรมประจำอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นเวลา 3 เดือนซึ่งอยู่ในช่วงฤดูฝนพอดี หรือวันมาฆบูชา ก็ควรมีการสื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าเป็นวันสำคัญที่พระสงฆ์ 1,250 รูปได้มาประชุมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย และวันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ตรงกันในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เพราะฉะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องหาวิธีการที่สื่อให้ประชาชนจดจำวันสำคัญทางศาสนาให้มากยิ่ง ๆขึ้น ไม่ใช่ให้ประชาชนนึกแต่ว่าเป็นเพียงวันหยุดเท่านั้น.
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธเจ้าสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่รู้จักคำว่า'พอ' : สำราญ สมพงษ์รายงาน

    -http://www.komchadluek.net/detail/20140711/188013.html-


    ขออนุโมทนาบุญกับพุทธศาสนิกชนทุกคนได้ปฏิบัติตนตามโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศในวันมาฆบูชาที่ประกอบด้วยหลักการ 3 อุดมการณ์ 4 วิธีการ 6

    หลักการ 3 อันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาโดยย่อ ได้แก่ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ทั้งสามข้อนี้อาจอนุมานเข้ากับ ศีล สมาธิ และปัญญา ส่วนใหญ่เราก็จำกันเพียงเท่านั้น

    แต่โอวาทปาติโมกข์ยังประกอบด้วยอุดมการณ์ 4 ของพระพุทธศาสนา อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ได้แก่ ความอดทนอดกลั้น เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ การมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวช มิใช่สิ่งอื่นนอกจากพระนิพพาน พระภิกษุและบรรพชิตไม่พึงทำผู้อื่นให้ลำบากด้วยการทำความทุกข์กายหรือทุกข์ทางใจไม่ ว่าจะในกรณีใดๆ พระภิกษุตลอดจนบรรพชิตต้องขอแก่ทายกด้วยอาการที่ไม่เบียดเบียน ( คือการไม่เอ่ยปากเซ้าซี้ขอ และไม่ใช้ปัจจัยสี่อย่างฟุ่มเฟือย)

    รวมถึงวิธีการ 6 ที่ธรรมทูตผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นกลยุทธ เพื่อเป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้องเป็นธรรม ได้แก่ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้ายความสำรวมในปาติโมกข์ (รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส) ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร (เสพปัจจัยสี่อย่างรู้ประมาณพอเพียง) ที่นั่งนอนอันสงัด (สันโดษไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ) ความเพียรในอธิจิต (พัฒนาจิตใจเสมอมิใช่ว่าเอาแต่สอน แต่ตนเองไม่กระทำตามที่สอน)

    สาเหตุที่พระพุทธเจ้ากล้าที่ประกาศเช่นนี้ได้ก็เพราะพระองค์ตรัสรู้อนัตตลักขณสูตรในวันวิสาขบูชาโลกเพ็ญเดือน 6 หลังจากนั้นพระองค์ได้ตัดสินพระทัยสอนธรรม เริ่มจากแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ เมื่อแสดงจบพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขอบวชพระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" จึงถือว่ามีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี ในวันอาสาฬหบูชา พ.ศ.2557นี้ ตรงกับวันศุกร์ ที่ 11 กรกฎาคมนี้ ด้วยเหตุผลนี้ชาวพุทธจึงถือวันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา

    ปฐมเทศนาที่พระองค์เทศน์ครั้งแรกในวันอาสาฬหบูชานีคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม อันมีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุดสองอย่างคือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค และเสนอแนวทางดำเนินชีวิตโดยสายกลาง "มัชฌิมาปฏิปทา" อันเป็นแนวทางใหม่ให้มนุษย์ มีเนื้อหาแสดงถึงขั้นตอนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4 คืออริยมรรคมีองค์ 8

    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นหลักธรรมที่แนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4 เท่านั้นแต่พระสูตรที่องค์เทศน์สอนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 หลังจากวันอาสาฬหบูชาคืออนัตตลักขณสูตรที่มีใจความเกี่ยวกับ ความไม่ใช่ตัวตนของ รูป คือ ร่างกาย เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ สังขาร คือ ความคิดหรือเจตนา วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น หรือเรียกอีกประการหนึ่งว่า อายตนะทั้ง 6 อันได้แก่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    พระองค์ตรัสต่อไปว่า เมื่ออริยสาวก คือ ผู้ฟังผู้ประเสริฐซึ่งได้สดับแล้วอย่างนี้ ย่อมเกิดนิพพิทา คือ ความหน่ายในขันธ์ 5 แล้วก็ย่อมสิ้นราคะ คือ สิ้นความติด ความยินดี ความกำหนัด เมื้อสิ้นราคะ ก็ย่อมวิมุตติ คือ หลุดพ้น เมื่อวิมุตติ ก็ย่อมมีญาณ คือความรู้ว่าวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว และย่อมรู้ว่า ชาติ คือ ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อความเป็นเช่นนี้อีกต่อไป

    อนัตตลักขณสูตรจึงถือเป็นหลักธรรมที่ครบอริยสัจ 4 นั้นก็คือนิโรธอันเป็นเป้าหมายในพระพุทธศาสนา หลักธรรมที่พระองค์และอริยสาวกรู้ธรรมสูงสุดก็คือสูตรนี้

    นอกจากหลักธรรมที่พระองค์แสดงในวันอาสาฬหบูชาแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าพระองค์และสาวกของพระองค์เป็นมนุษย์ที่รู้จักคำว่า "พอ" เริ่มตั้งแต่ "พอ" จากเพศฆราวาสวิสัยออกบวชแสวงหาความจริงของชีวิต ทั้งนี้เพราะเห็นว่าเพศฆราวาสนั้นมีทุกข์มีความขัดแย้งในตัว จึงต้องการที่จะออกจากความขัดแย้งทางความคิดนี้

    ในที่สุดพระองค์ได้ค้นพบความจริงของชีวิต พบสันติสุขที่แท้จริงเกิดสันติภาพภายใจ พบคำว่า "พอ" หรือ "พอเพียง" ที่สมบูรณ์ เกิดทฤษฎีใหม่คือ"ความไม่เห็นแก่ตัว" แล้วทำให้ชีวิตของพระองค์ตลอด 45 พรรษา มีลมหายใจเพื่อบุคคลอื่น พยายามชักชวนบุคคลอื่นเห็นโทษของความขัดแย้งโดยเฉพาะความขัดแย้งภายใน มีสันติสุขภายในเช่นเดียวกับพระองค์
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปฐมเหตุสังคมฟอนเฟะ : บทบรรณาธิการประจำวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2557

    -http://www.komchadluek.net/detail/20140711/187994.html-

    คำพูดที่ว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ดูเหมือนจะเป็นข้อคิดเตือนสติผู้คนในสังคมมาช้านาน ให้ตระหนักถึงหลักการใช้ชีวิตตามวิถีแห่งพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการยึดมั่นอยู่ในศีลทั้ง 5 ประการ ซึ่งสามารถแยกย่อยสู่การปฏิบัติอันดีงามอย่างไม่รู้จบ โดยแม้ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมคำสอนอย่างเพศบรรพชิต แต่ทุกชีวิตก็สามารถหาความสุขสงบได้ ด้วยการปฏิบัติตนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้ แต่กระนั้นก็ตาม คำพูดที่ว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธนี่เอง ที่ย้อนกลับมาเสียดแทงใจดำคนไทยด้วยกัน ด้วยสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน มันฟ้องอยู่โทนโท่ คนไทยละเลย และละเมิดต่อการปฏิบัติตามหลักศาสนาขั้นพื้นฐานกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น คดีฆาตกรรม คดีทางเพศ การเสพสุรา ยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชั่น โป้ปดมดเท็จอย่างเช่นการสร้างวาทกรรมเพื่อผลประโยชน์แห่งตนไม่เว้นวัน

    ดังที่เห็นกันอยู่ว่า ถึงวันพระใหญ่ หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาครั้งใด หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน จะต้องออกมารณรงค์ลด ละ เลิกการดื่มสุรายาเมา อย่างในช่วงวันอาสาฬหบูชาต่อเนื่องเข้าพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน เกิดโครงการงดเหล้าเข้าพรรษาขึ้นมา ก็เพราะว่าสังคมไทยบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันมากขึ้น และบรรดานักดื่มหน้าใหม่ก็มีอายุน้อยลงเป็นลำดับ ทั้งที่ในยามที่ทุกคนหรือสังคมครองสติมีสติมั่น ล้วนตระหนักในสัจธรรมของพระพุทธองค์ดังที่ว่า สุราเป็นอบายมุข จะนำมาซึ่งความเสื่อม ความวิบัติ ฆาตกรใจโหดอำมหิตที่ข่มขืนและฆ่าเด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฟ เปรียบประดุจดั่งเม็ดกรวดเม็ดทรายหนึ่งใต้ท้องน้ำแห่งความสกปรกโสมมของสังคมปัจจุบันที่หมักหมมมาเป็นเวลาช้านาน รอเวลาวิญญาณร้ายที่สถิตอยู่ภายในจะถูกปลุกขึ้นมาด้วยฤทธิ์ของเหล้าและยาเสพติด

    ศีลที่ว่าด้วย ห้ามลักทรัพย์ ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่คนไทยทุกวันนี้ ล่วงละเมิดกันมากที่สุด อย่าว่าแต่พวกหัวขโมยฉกชิงวิ่งราวตามท้องถนนเลย แม้แต่คนในระดับสูง มีการศึกษาดี ก็พร้อมใจกันประพฤติปฏิบัติไม่แพ้โจรร้ายทั้งหลาย หากแต่เล่ห์เพทุบายที่นำมาใช้นั้นแยบยลกว่า เพราะมาในรูปแบบของการกินตามน้ำ ขึ้นไปจนถึงระดับชาติที่คดโกงผ่านโครงการต่างๆ ที่เรียกกันว่า ทุจริตเชิงนโยบาย และการเข้าไปมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่แฝงฝังอยู่แทบจะทุกวงการจนเกือบจะกลายเป็นเรื่องปกติอยู่รอมร่อ ข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ขอให้ คสช.เร่งแก้ไขกฎหมายป.ป.ช.เพื่อให้สามารถเอาผิดกับภาคเอกชนที่รู้เห็นเป็นใจหรือจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหรือนักการเมือง ถือเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยระงับยับยั้งไม่ให้เชื้อร้ายที่มีรากเหง้ามาจากการประพฤติผิดศีลที่ห้ามลักทรัพย์ระบาดรุนแรงไปมากกว่านี้

    เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทุกๆ วันพระใหญ่หรือวันสำคัญทางศาสนา คนไทยล้วนพากันลด ละ เลิก อบายมุข ถนนทุกสายบ่ายหน้าเข้าวัด รับศีล ฟังธรรม คือภาพอันน่าประทับใจยิ่ง ด้วยเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า จิตใจคนไทยมากมายใฝ่อยู่ในพระธรรมคำสอน อันจะไม่นำมาซึ่งการเบียดเบียนเพื่อนร่วมสังคมด้วยกัน ซึ่งหากส่วนใหญ่ได้ตระหนักถึง "ศีลห้า" อันเป็นข้อห้ามหลักใหญ่กันทั้งหมดแล้ว ปัญหาสารพัดที่ประเทศชาติกำลังประสบอยู่ขณะนี้ก็จะบรรเทาเบาบาง และในที่สุด นำมาซึ่งสันติสุขในสังคม ไม่จำเป็นต้องแบ่งฝักฝ่าย ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจพิเศษใดๆ เข้ามาบริหารจัดการ
     

แชร์หน้านี้

Loading...