พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โรงเรียนแห่งชีวิต...บ่มเพาะต้นกล้าแห่งสติให้กับเยาวชน </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>28 กรกฎาคม 2550 14:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “เพราะชีวิตดุจดังกระแสน้ำที่ไหลเชื่อมโยงถึงกันหมด การจะมีอนาคตที่ดีได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำปัจจุบันให้ดีด้วย เพราะผลของปัจจุบันจะกลายเป็นตราบาป หรือเป็นหนทางเกียรติยศของอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ทุกวันเช่นไร...จงเลือกที่จะอยู่ในแบบที่ควรค่าแก่การได้มีชีวิตอยู่เถิด”

    ถ้อยความสั้นๆ หากลึกซึ้ง ของ อัจฉราวดี วงศ์สกล นักธุรกิจในแวดวงเครื่องประดับเพชรที่ให้ความสนใจการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมาเป็นเวลากว่า 7 ปี ทั้งยังได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในจิตใจตัวเอง เมื่อมีพระธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ทั้งยังอยากแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ อันเกิดจากการศึกษา และปฏิบัติธรรมอย่างลึกซึ้งสู่สังคมวงกว้างโดยเฉพาะเยาวชน

    ************


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บรรยากาศโรงเรียนแห่งชีวิต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เช่นนั้นเรือนไทยเด่นตระหง่าน ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 300 ตารางวา บริเวณกลางซอยสุขุมวิท 67 ที่ให้ชื่อว่าโรงเรียนแห่งชีวิต จึงถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549

    อัจฉราวดี เริ่มต้นเล่าว่า แม้การสอนธรรมะกับการทำธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าที่ตอบสนองความอยากได้ อยากมี อยากเป็นเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งโลกที่สวนทางกันสิ้นเชิง กระนั้นเธอจึงอยากให้มองว่าการอยู่ในสังคม การทำงานก็เหมือนการสวมเครื่องแบบเป็นการทำหน้าที่อันสุจริต ในขณะที่ตัวเองมีความพร้อมทั้งทรัพย์สิน และความรู้ และเมื่อพร้อมแล้วยังไม่ทำความดีทิ้งไว้ให้แผ่นดินก็เรียกว่า “เสียชาติเกิด

    ทุกวันนี้จึงต้องสวมเครื่องแบบหลายชุดทั้ง แม่, ภรรยา, นักธุรกิจ และครู ทว่าเครื่องแบบที่ปรารถนามากที่สุด คือ เครื่องแบบสีขาวของธรรมะซึ่งสักวันหนึ่งเมื่อทำหน้าที่ทุกอย่างได้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็คงเลือกใส่แต่เครื่องแบบสีขาวเท่านั้น

    ครูอ้อยของเด็กๆ บอกหลักการสอนว่า “การสอนมีหลักง่ายๆ คือ ใช้หลักในการปฏิบัติธรรมไม่ได้สอนตามในหนังสือ ต้องสอนเข้าถึงหัวใจเด็ก เช่น เขียนหนังสือตัว บ.ใบไม้ บนกระดาน แล้วเขียนให้กลายเป็นคำว่า บุญ หรือ บัดซบ อารมณ์จะเปลี่ยนเลย ซึ่งการเริ่มต้นจาก บ. ใบไม้ตัวเดียวกัน แต่ความหมายของคำทั้งสองตรงกันข้ามกันเลย

    ใช้หลักการเหมือนสอนคนว่ายน้ำ อ่านตำราอย่างเดียวคงว่ายน้ำไม่เป็น แต่ต้องสอนให้เขากระโจนลงไปในน้ำ เขาจะได้รู้ว่าปรุงแต่งเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เราต้องรู้จักเป็นอย่างไร การเรียนธรรมะ 3 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นต้องแบ่งกิจกรรมให้เขาได้ทำ ได้มีส่วนร่วม ที่สำคัญที่สุดเขาจะได้รู้จักตัวเอง

    ในวันแรกที่เรียนจะทำความรู้จักกับเด็กทุกคนเพื่อดูพื้นฐานของเขาว่ามีชีวิตเป็นมาอย่างไร โดยการเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังก่อนว่าตัวเองเคยผิดพลาดมาอย่างไรในชีวิต เคยทำสิ่งที่ไม่ดีมาอย่างไรบ้าง ด้วยวิธีการเล่าที่มีวาทศิลป์หน่อย

    จากนั้นก็ให้เด็กๆทุกคนย้อนคิดว่า อำนาจมืดในจิตใจของตัวเองมีอะไรบ้าง เคยทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรไว้บ้าง เรื่องที่คิดเมื่อไหร่ก็ลืมไม่ได้สักทีให้เขาเขียนลงไปในกระดาษ ซึ่งการเล่าความไม่ดีของตัวเองได้นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะว่าเราทำผิดโดยที่เราไม่เคยย้อนกลับไปคิดก็เท่ากับว่าตัวเราเองจมอยู่ในสภาพนั้น แต่ถ้าเราย้อนคิดแล้วสำนึกได้ และหาทางแก้ไขซึ่งเรื่องที่ดีที่สุด”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=369 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=369>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อัจฉราวดี วงศ์สกล กับ กิจกรรมของเด็กๆ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สำหรับรายละเอียดของโรงเรียนแห่งชีวิตใน 1 คอร์สเรียน 3 ครั้งๆ ละ 3 ชั่วโมง แบ่งเป็น 2 ช่วงวัย คือ อายุ 9-13 ปี และ 14-20 ปี ที่สำคัญเรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

    โดยในสัปดาห์แรก เป็นการสอนตั้งแต่ศึกษาศีล 5 อย่างลึกซึ้ง รวมถึงสอนให้รู้จักตัวเองด้วยหลักสัจธรรมของชีวิต นอกจากนี้ยังสอนวิธีควบคุมอารมณ์ ลดพฤติกรรมก้าวร้าว เน้นความกตัญญูต่อพ่อแม่ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์และผู้มีพระคุณ ปิดท้ายด้วยการฝึกนั่งสมาธิด้วยวิธีอานาปานสติ 30 นาที และปลูกต้นไม้ตอบแทนคุณแผ่นดิน

    ส่วนสัปดาห์ที่สอง เข้าสู่การสอนหลักชีวิตศาสตร์ซึ่งเป็นการวางเป้าหมาย และการสร้างจิตใจให้เข้มแข็งเพื่อการตอบสนองต่อกระแสยั่วยุทางสังคม พร้อมฝึกการมองชีวิตหลายแง่มุม และฝึกการตัดสินใจด้วยโจทย์แห่งชีวิต เพื่อช่วยแก้ปัญหาความก้าวร้าว การฆ่าตัวตาย จบด้วยการนั่งสมาธิ

    สุดท้ายสัปดาห์ที่สาม สอนเรื่องหลักกรรม การแก้ไขวิบากกรรม ไปจนถึงหลักการทำบุญให้ถูกวิธี รวมถึงการสร้างบุญบารมี ปิดด้วยการนั่งสมาธิ แผ่เมตตา และขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมทั้งหลาย

    นอกจากนี้ศิษย์เก่ายังสามารถกลับมาเรียนซ้ำตามตารางของศิษย์ใหม่ได้ หรือ สามารถเรียนต่อเนื่องซึ่งเปิดสอนประมาณเดือนละครั้ง ในหลักธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง และร่วมนั่งสมาธิเพื่อสร้างบุญบารมี

    “สิ่งที่คาดหวังจากนักเรียนคงเพียงแค่ให้เขามีหลักในการดำเนินชีวิต ให้เขาจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างไร ให้เขารู้ว่าชีวิตนี้ถ้าเขาปล่อยให้ตัวเองลอยไปโดยไม่หลักแล้วโดนกระแสของการปรุงแต่ง และกระแสของโลกพัดพาไป ชีวิตของเขาก็อาจจะหลงทาง แล้วก็อาจจะหาทางกลับมาไม่เจอเลย

    สำหรับช่วงอายุของนักเรียนจะรับอายุไม่เกิน 20 ปี เพราะถือว่าตัวเองก็อายุเป็นแม่คนได้แล้ว เหมือนแม่สอนลูก อยากที่จะสอนวัยรุ่น สอนหลักการใช้ชีวิตจริงๆ พอเด็กมาเรียนจะบอกกันว่าคิดไม่ถึงว่าธรรมะเป็นแบบนี้เหรอ จริงๆ แล้วเด็กวัยรุ่นถ้าเราเข้าถึงก็สอนไม่อยาก เช่น การเปิดเพลงให้เขาเข้าถึงเรื่องการปรุงแต่ง เขาจะรู้ว่าครูเข้าใจเขา เข้าใจว่ายุคสมัยของเขาเป็นอย่างไร เราต้องไปนั่งในหัวใจเขา แล้วตีความออกมา” ครูธรรมะร่วมสมัยบอกความคาดหวัง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพบรรยากาศน่ารักๆ ของแม่ และลูก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สุดท้ายเธอบอกว่า อยากให้พ่อแม่ที่กำลังทุกข์ใจในความก้าวร้าวของลูกๆ หรือลูกติดเกมส์ ให้ส่งพวกเขามาลองเรียนธรรมะซึ่งเป็นวิชาที่สอนคนให้เป็นคน ทำให้เขามีหลักในชีวิต ไม่ตกไปในหนทางที่ผิดพลาดอันเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทุกคนมักจะละเลย ที่สำคัญการทำดีแม้ว่าต้องพยายามฝืน กับความรู้สึก โลภ โกรธ หลง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ปุถุชนทุกคนย่อมต้องมี แต่ตัวเราเองก็ต้องมีหลักยึดในใจไว้เช่นกัน

    หากผู้ปกครองท่านใด อยากฉีดวัคซีนคุณธรรมให้กับลูกหลาน ติดต่อโรงเรียนแห่งชีวิตได้ที่ 02-634-7461-3, 02-391-2409 หรือเว็บไซด์ www.schooloflifethailand.org
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000088311
     
  2. wichitt

    wichitt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +4,132
    เมื่อวันพุธที่ผ่านมาวันที่ 25 ผมก็เจอเรื่องนึงครับเกียวกับการขโมยบัตรเครดิต คือผมไปสมัครขออีเมล์ก้บ gmail ครับ ซึ่งเป็นของ www.google.co.th หลังจากที่ทำการสมัครขออีเมล์ได้สำเร็จ ซักประมาณ 5 นาที ก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามายังโทรศัพท์มือถือผม และแจ้งว่ามีค่าใข้จ่ายบัตรเครดิตเกิดขึ้นประมาณ 2 เหรียญสหรัฐเป็นค่าลงทะเบียนอะไรซักอย่างกับ google ผมจึงแจ้งไปว่าผมเพียงแค่สมัครขอฟรีอีเมล์เท่านั้น และในการสมัครก็ไม่มีการกรอบข้อมูลเกี่ยวกับเลขที่บัตรเครดิตใดๆทั้งสิ้น ทางเจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่าถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีผู้ลักลอบโขมยเลขที่บัตรของผมแล้วหละ ทางธนาคารจะทำการอายัดบัตรไว้ก่อน และจะออกบัตรให้ใหม่ ผมจึงตกลงให้อายัดบัตรไป สัก 10 นาทีต่อมาเพื่อความมั่นใจว่าผมไม่ได้ถูกหรอก ผมจึงโทรกลับกลับไปที่ศูนย์บริการบัตรเครดิต เพื่อสอบถามว่ามีเจ้าหน้าที่ของศูนย์โทรมาหาผมจริงหรือไม่ ก็ปรากฎว่ามีจริงครับ

    ที่เล่าให้ฟังนี่ก็ให้พวกเราระวังนะครบ โดยเฉพาะการใส่เลขที่บัตรเครดิตผ่านทางอินเทอร์เน็ต นี่ขนาดผมไม่ได้ใส่เลขที่บัตรก็ยังโดยเลยครับ

    หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับพวกเราด้วยนะครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ที่มา Fwd mail

    ใครใช้บัตรเครดิต โปรดอ่าน ด่วน...

    ข้อความต่อไปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะรู้จักวิธีการหลอกลวงฉ้อฉล
    ด้วยการแอบอ้างว่าโทรมาจาก VisaหรือMaster Cards
    เพื่อให้คุณได้ระมัดระวังตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อวิธีการฉ้อฉลดังกล่าว
    เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ภรรยาผมได้รับโทรศัพท์จาก Visa
    และผมก็ได้รับโทรศัพท์ จากMasterCardใน r
    วันพฤหัสต่อมา

    คนที่โทรมาพูดว่า
    ดิชั้น........(ชื่อ) โทรจากฝ่ายรักษาความปลอดภัย ของ Visaค่ะ
    คือเราตรวจพบว่ามีความผิดปกติในการสั่งซื้อ จึงโทรมาตรวจสอบว่าบัตร Visa ของคุณที่ออกโดยธนาคาร.(ชื่อ) มีการสั่งซื้ออุปกรณ์ระบบป้องกันภัยมูลค่า20,000 บาท จากบริษัท ในอเมริกาหรือเปล่าคะ "

    เมื่อคุณบอกว่า "เปล่านี่คะ "

    คนที่โทรมาก็จะบอกว่า "ถ้ายังงั้นเราจะคืนเงินให้คุณกลับคืน
    เรากำลังตรวจสอบบริษัทฉ้อฉล โดยมีวงเงินที่ฉ้อโกงลูกค้า ครั้งละ12,000 -20,000 บาท
    เราจะส่งหนังสือแจ้งการคืนเงินให้คุณทราบที่....(ที่อยู่ของคุณ) ถูกต้องมั๊ยคะ"

    เมื่อคุณบอกว่า " ถูกต้องค่ะ"
    คนที่โทรมาจะพูดต่อไปว่า " ดิชั้นจะทำการสืบสวนต่อไป หากคุณมีข้อสงสัย
    ให้โทรตามหมายเลขที่อยู่หลังบัตรแล้วต่อฝ่ายรักษาความปลอดภัย
    คุณต้องระบุหมายเลขอ้างอิงนี้ (คนที่โทรมาจะบอกหมายเลข 6 หลัก)
    คุณต้องการให้ดิชั้นทวนหมายเลขมั๊ยคะ"

    ต่อไปนี้จะเป็นส่วนสำคัญของกลโกง

    คนที่โทรมาจะพูดว่า
    "เพื่อให้ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของที่แท้จริงของเครดิตการ์ดใบนี้
    กรุณาพลิกด้านหลังของบัตร และให้ดูที่หมายเลข7ตัวสุดท้าย 4 ตัวแรกจะเป็นหมายเลขบัตร 3ตัวต่อมาจะเป็นเลขสำหรับรักษาความปลอดภัยว่าคุณคือเจ้าของที่แท้จริง
    และใช้ในการสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ทกรุณาบอกเลข 3ตัวสุดท้ายด้วยค่ะ "

    เมื่อคุณบอกเลข 3ตัวสุดท้ายไป คนที่โทรมาจะบอกว่า
    "ตัวเลขถูกต้อง ดิชั้นต้องการให้แน่ใจว่าบัตรยังอยู่กับคุณ มิได้สูญหาย
    หรือถูกขโมย คุณมีข้อสงสัยอื่นใดอีกหรือเปล่าคะ"

    เมื่อคุณบอกว่า "ไม่มีค่ะ"คนโทรมาจะขอบคุณและบอกว่าหากมีในภายหลังก็ให้โทรสอบถามได้เสมอ
    แล้ววางสาย

    ความจริงคุณพูดไปน้อยมาก
    คนโทรมาไม่ได้ขอหมายเลขบัตรเครดิตของคุณ
    แต่ภรรยาผมเกิดเอะใจ จึงโทรกลับไปหลังจากวางสาย 20นาที ปรากฏว่าVisaตัวจริงบอกว่า ภรรยาผมถูกหลอกแล้ว และเมื่อ15นาทีที่ผ่านมาได้มีรายการซื้อสินค้าจำนวน 20,000บาท
    ส่งมาเรียกเก็บในที่สุดVisaได้ยกเลิกบัตรและออกบัตรใหม่ให้

    ผู้ฉ้อฉลต้องการเพียงเลข3ตัวสุดท้ายด้านหลังบัตร
    อย่าให้ไปเป็นอันขาด ให้คุณบอกว่า แล้วจะโทรกลับไปแจ้งเองโดยตรงจะดีกว่า

    วันพฤหัสต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณ....(ชื่อ) อ้างว่าโทรจาก
    MasterCard ซึ่งมีข้อความเหมือนกับที่ภรรยาผมได้รับคำต่อคำเลย
    ผมเลยไม่รอให้เขาพูดจบ ผมรีบวางสาย
    แล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจตามที่ Visaให้คำแนะนำมา
    ตำรวจบอกว่าได้รับแจ้งแบบเดียวกันนี้วันหนึ่งหลายราย
    จึงขอร้องให้ช่วยกันบอกต่อด้วย เราต้องระมัดระวังตนเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    การใช้บัตรเครดิต หากมีใบแจ้งเก็บเงินมาจากบริษัท บัตรเครดิต ควรตรวจสอบรายการกับใบสลิปที่เราใช้ด้วยทุกครั้ง ว่าตรงกันหรือไม่ด้วยครับ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1

    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เวลา 09:44 น.

    5 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>คนเก่งไม่ใช่มาจากพันธุกรรมหรอก แต่อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองต่างหาก วันนี้เกร็ดความรู้มี 5 วิธีคิดอย่างคนเก่งมาฝากกัน...
    1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ
    2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
    3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
    4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง
    5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ
    นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">5 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ม่านพลาสติกตัวก่อเชื้อโรค
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">รักษาสิวแบบประหยัด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ประโยชน์ของใบบัวบก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ประโยชน์ของสะระแหน่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ใช้เวลาซักผ้าให้น้อยลง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ความรักที่ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีซ่อมบ้านไม้เอียง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีกำจัดกลิ่นเหม็นท่อระบายน้ำอ่างล้างจาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เวลา 09:49 น.

    พ่อค้าบาปหนาโกงถังสังฆทาน

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>พาณิชย์จวกหน้าด้านซุกสินค้าห่วยส่งคนลงทุกพื้นที่จับเหลือบศาสนา

    นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรม การค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้ส่งหนังสือกำชับไปยังผู้ประกอบการเครื่องสังฆภัณฑ์ บรรจุสินค้าในถังสังฆทาน ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด คือ ต้องปิดป้ายแสดงราคา และแสดงรายละเอียดสินค้าในถังสังฆทานให้ชัดเจนว่า 1 ถัง ประกอบด้วย สินค้าอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้บริโภคตรวจสอบราคาก่อน ตัดสินใจซื้อ รวมทั้งสินค้าต้องไม่ใกล้หมดอายุ และ การบรรจุหีบห่อ ต้องมีน้ำหนักมาตรฐาน ตามที่ระบุ ไว้ที่บรรจุภัณฑ์ เนื่องจากที่ผ่านมาใกล้เข้าสู่วันสำคัญ ทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา มักได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและภิกษุสงฆ์ว่า สินค้าเครื่องสังฆทานไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ข้างถัง และได้แจ้งให้กรมการค้าภายในจังหวัดทุกจังหวัด ออกตรวจสอบเครื่องสังฆทานอย่างเคร่งครัดด้วย

    อย่างไรก็ตามหากตรวจพบผู้ประกอบการรายใด ไม่ปิดป้ายแสดงราคา และรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค จะมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หากบรรจุน้ำหนักสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ตามที่ระบุไว้ จะมีความผิดตามกฎหมายชั่งตวงวัด มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากผู้บริโภครายใด พบเห็นสามารถแจ้งได้ที่ 1569 ได้ทันที

    “อยากเตือนให้ผู้ประกอบการ บรรจุสิน ค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้พระสงฆ์ท่าน ได้ของที่มีคุณภาพ และสามารถนำไปใช้ได้จริง เพราะ กรมฯ มักได้รับการร้องเรียนตลอดว่า สินค้าที่บรรจุในถังสังฆทานน้ำหนักไม่ได้มาตรฐาน”

    ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกำหนดชนิดของสินค้าหีบห่อ หลักเกณฑ์ และวิธีการแสดงปริมาณของสินค้า และอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด พ.ศ. 2550 ซึ่งได้เพิ่มรายการสินค้าหีบห่อ ที่ต้องแสดงปริมาณสุทธิจากเดิมกำหนดไว้ 50 รายการ เพิ่มอีก 9 รายการ เช่น น้ำยารีดผ้า น้ำยาอัดกลีบ ธูป เทียน ผลิตภัณฑ์ธัญพืชชนิดชงดื่ม สำลี เพื่อให้การกำกับดูแล ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ใช้ระบบเมตริกในการแสดงปริมาณสุทธิที่หีบห่อน้ำหนัก เช่น หน่วยปริมาตร หน่วยบรรจุ และต้องใช้ตัวอักษรแสดงปริมาณให้ชัดเจน ขึ้นอยู่กับขนาดการบรรจุสินค้า โดยมีผลบังคับใช้ ต้นปี 51

    นอกจากนี้ได้กำหนดจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของประ เทศคู่ค้าแก่ผู้ส่งออกไทย ที่ส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยมีความรอบรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ ด้านการแข่งขันทางการค้าของประเทศคู่ค้า และกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของไทยไม่ให้ผู้ส่งออกไทยได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบ

    สำหรับวันที่ 23 ส.ค. 50 สำหรับผู้ส่งออกไปตลาดสหรัฐ วันที่ 29 ส.ค. ผู้ส่งออกไปตลาดญี่ปุ่น และ 5 ก.ย. 2550 ตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ กรุงเทพฯ โดยไม่เสียค่าใช่จ่าย สนใจเข้าร่วมอบรม ติดต่อสำนักส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า โทร. 0-2547-5427-32

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมากรมการค้าภายใน ได้ออกตรวจสอบเครื่องสังฆทาน ในช่วงวันมาฆบูชา หลายพื้นที่ พบว่า เครื่องสังฆทานส่วนใหญ่ที่บรรจุหีบห่อ เป็นสินค้าที่มีปริมาณ และน้ำหนักไม่ตรงตามที่ระบุไว้ เช่น ขิงผงสำเร็จรูป ขนาด 15 กรัม ภายในกล่องมีเพียง 1 ซองขนาดเล็กเท่านั้น กระติกน้ำร้อน ระบุราคาไว้ 120 บาท แต่ราคาจริงไม่ถึง 50 บาท ในกล่องธูป บรรจุธูปไม่กี่ดอก ซึ่งเป็นการเข้าข่ายโกงปริมาณน้ำหนัก มีความผิดตามกฎหมายชั่งตวงวัด และสินค้ามักใกล้หมดอายุ ทำให้กระทรวงพาณิชย์ ต้องออกระเบียบชั่ง ตวงวัด การจำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ ต้องปิดป้าย และแสดงสินค้ารายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน ทั้งนี้หากมีความเป็นไปได้ ผู้บริโภคควรซื้อสินค้ามาบรรจุเอง จะปลอดภัยที่สุด.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=134944&NewsType=1&Template=1
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01fun09290750&day=2007/07/29&sectionid=0140


    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10732​

    เมตตา


    คอลัมน์ ความคิดที่ออกแบบได้

    โดย สาโรจน์ มณีรัตน์



    ทุกครั้งที่มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้คน ทั้งจากแวดวงนักธุรกิจ และวงการอื่นๆ ยิ่งคนที่สัมภาษณ์เป็นผู้ใหญ่ด้วยแล้ว

    ผมมักจะได้รับความเมตตาอยู่เสมอ

    น้อยครั้งที่ผมจะเจอผู้ใหญ่ลองของ

    หรือไม่ค่อยอยากที่จะให้สัมภาษณ์เท่าไหร่

    ผมว่าการที่ "นักข่าว" คนหนึ่ง หรือ "มนุษย์" คนหนึ่งมีโอกาสสัมภาษณ์ และพูดคุยกับผู้ใหญ่ ยิ่งผู้ใหญ่ท่านนั้นเป็นผู้มีประสบการณ์ ผ่านร้อน ผ่านหนาวในชีวิตมาพอสมควร

    จนกระทั่งประสบความสำเร็จทุกวันนี้

    เขาต้องมีอะไรมากพอสมควร ?

    เพียงแต่ผู้ใหญ่แต่ละท่าน อาจมีวิธีคิด บุคลิก และการพูดที่แตกต่างกัน

    บางคนพูดน้อย ถ่อมตนเสียมาก

    ถามคำ ตอบคำ

    ทำเหมือนราวกับว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่มีอะไรมาก แค่คุณธรรม กับซื่อสัตย์อย่างเดียว จำให้แม่น เท่านั้นคุณก็จะประสบความสำเร็จแล้ว

    ขณะที่ผู้ใหญ่บางคน คุยฟุ้งจนน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ถามอย่าง กลับตอบไปอีกอย่าง พอครั้นจะถามเรื่องจริงๆ จังๆ กลับบอกไม่มีอะไรหรอก เด็กๆ มันทำทั้งนั้น

    ขณะที่ผู้ใหญ่อีกบางจำพวก พูดไทยคำ ฝรั่งคำ และชอบยกตัวอย่างความสำเร็จของเหล่าปราชญ์เมธีต่างๆ ทั้งปราชญ์จากโลกตะวันตก และโลกตะวันออกผสมกัน

    จนทำให้ "นักข่าว" มึนงง ไม่รู้ว่าที่เขาประสบความสำเร็จนั้น มาจากปราชญ์เมธีท่านไหน ?

    ผ่านมา ผมเจอผู้ใหญ่ที่เป็นผู้นำนักธุรกิจอย่างนี้หลายคน แรกๆ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พออายุเริ่มมากขึ้น

    เริ่มมองเห็นตัวตน และความจริงมากขึ้น

    จึงทำให้คิดว่าในความไม่มีอะไร จริงๆ มันมีอะไรซ่อนอยู่ เพียงแต่เราจะมองเห็น และเข้าใจหรือเปล่า เพราะบางครั้งการที่เราๆ ท่านๆ มีโอกาสพูดคุยกับผู้ใหญ่เหล่านั้น

    เราจะใช้ความไม่ประสีประสาไปถามอย่างเดียวคงไม่ได้ ?

    เพราะผู้ใหญ่บางคนอายุปาเข้าไป 65-70 ปี เราเล่นให้เขาเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ ถามจริงๆ เขาอยากจะเล่าไหม ?

    สู้เล่าให้ลูกหลานของเขาฟังดีกว่ามิใช่หรือ ?

    เพราะอย่างน้อย ยังเป็นการสอนการดำเนินธุรกิจในทางลัด เพื่อว่าวันหนึ่งเขาจะต่อยอดทางธุรกิจให้ครอบครัวเขาได้ ดังนั้น การที่เรามีโอกาสสัมภาษณ์ผู้ใหญ่เหล่านั้น ยิ่งผู้ใหญ่คนนั้นนัดยาก สัมภาษณ์ยาก เราจึงต้องทำการบ้านอย่างหนัก

    และควรไปถามในสิ่งที่ไม่เคยปรากฏเป็นข่าว

    ไปถามในหลักคิด วิธีคิดเชิงการบริหารว่าทำไม ? เหตุใด ? หรือภาวะช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น แล้วท่านมีหลักในการบริหารจัดการอย่างไร ?

    รวมถึงเรื่องยุทธศาสตร์ในการใช้คนด้วย ?

    เพราะการบริหารคนถือเป็นศาสตร์สุดยอดแขนงหนึ่ง ที่ทุกคนเลียนแบบกันไม่ได้

    ผ่านมา ผมมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้นำธุรกิจเหล่านี้มาพอสมควร จนทำให้รู้สึกว่า 2-3 ชั่วโมงที่มีโอกาสพูดคุยกับท่านเหล่านั้น คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง

    เพราะเขาใช้เวลาทั้งชีวิตกว่า 65-70 ปี ถึงจะประสบความสำเร็จ

    แต่ผมไปเรียนลัดแป๊บเดียว ผมก็รู้แล้วว่า ความสำเร็จได้มาโดยยาก หากไม่ลงมือปฏิบัติ สิ่งสำคัญไปกว่านั้น หาก "นักข่าว" หรือ "ผู้สัมภาษณ์" คิดที่จะนำไปลองใช้ และปฏิบัติในวันหนึ่ง

    ผมเชื่อว่าสามารถนำไปใช้ได้ !

    แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า "นักข่าว" หรือ "ผู้สัมภาษณ์" มักจะอยู่ในกรอบของตัวเองเกินไป จนทำให้อาวุธทางปัญญาที่เคยได้ หายไปในวันหนึ่ง

    และหายไปในที่สุด

    จนกระทั่งลืมเรื่องราวเหล่านั้นไป

    มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกผมว่า ชีวิตคนเรามีความรู้สึกอยู่ 3 ช่วงวัย หนึ่ง ถ้าอยู่ในช่วงวัยรุ่น มักจะห้าว ไม่เกรงกลัวใคร

    สอง ถ้าอยู่ในวัยกลางคน จะสุขุม และสงบนิ่ง

    และสาม ถ้าอยู่ในช่วงปัจฉิมวัย จะมีความเมตตา

    "เมตตา"เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้ใหญ่ท่านนั้นบอกกับผม

    ยิ่งถ้าคนๆนั้นมีเมตตา ตั้งแต่อยู่ในช่วงของวัยรุ่น ไปจนถึงปัจฉิมวัย คนๆนั้นยิ่งน่าสรรเสริญยิ่งนัก

    ผมเองอาจโชคดี ที่ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก มักจะมอบความเมตตาให้อยู่เสมอ ทั้งเมตตาเรื่องงาน ชีวิต และครอบครัว

    ดังนั้น เมื่อผมเจอรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือคนที่ผมรู้จัก ผมจึงมักถ่อมตนอยู่เสมอ ยกเว้นแต่บางคน ที่ผมรู้สึกว่าเมื่อกูถ่อมตนให้มึงแล้ว มึงกลับเหยียบกู

    คนอย่างนี้ไม่มีประโยชน์ที่เราจะถ่อมตนด้วย

    แต่ควรที่ประดาบให้เลือดเดือดไปเลย

    เพราะคนอย่างนี้คบไปเสียเวลาเปล่า

    หรือไม่ก็ไม่ไปยุ่งกับมันเสียเลย เจอคราวหน้าก็ไม่ต้องทัก หรือพูดคุยด้วย เพราะมองเห็นแล้วว่าความถ่อมตนของเรา ไม่มีค่าอันใดกับตัวเขาเลย

    เพราะฉะนั้น ในโอกาสที่พุทธศาสนิกชนกอย่างผมกำลังจะเข้าพรรษา จึงชอบหาอะไรมาเตือนตัวเองอยู่เสมอ เพราะเชื่อว่ามนุษย์ปุถุชนอย่างเรา ที่มีโอกาสเจอผู้คนอยู่เรื่อยๆนั้น

    มีโอกาสหลงทางอยู่เสมอ

    มีโอกาสหลงทางอยู่บ่อยๆ

    ถ้าไม่รู้จักประมาณตัวเอง

    ผ่านมาผมประมาทกับชีวิตพอสมควร แต่สำหรับพรรษานี้ ผมตั้งปณิธานไว้แล้วว่า ผมจะนำสิ่งต่างๆที่เคยสดับตรับฟังจากผู้ใหญ่ ทั้งจากแวดวงนักธุรกิจ และแวดวงอื่นๆมาปรับใช้บ้าง

    ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ?

    ผมมันเริ่มสองสีแล้ว

    ถ้าไม่ปรับตัวเสียแต่วันนี้ เผลอๆผมสีขาวโพลนเมื่อไหร่ คงกลับตัวไม่ได้เสียที ?
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01fun08290750&day=2007/07/29&sectionid=0140


    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10732​

    จรรยามารยาท


    คอลัมน์ คุยความคิด

    โดย มุกหอม วงษ์เทศ



    ที่แคชเชียร์ ชายคนหนึ่งกำลังจ่ายเงินซื้อเน็คไทสีอุบาทว์เส้นหนึ่ง ท่านแลเห็นแล้วรำพึงกับพนักงานขายของที่กำลังให้บริการท่านว่า "ผูกเข้าไปได้"

    "อย่าแสดงความเห็นของท่านเกี่ยวกับสิ่งของที่บุคคลอื่นกำลังซื้อเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าจะถูกขอความเห็นเช่นนั้น"

    ท่านหิ้วถุงสินค้าออกจากร้านหนึ่ง เพื่อเดินต่อไปยังอีกร้านหนึ่ง

    "จงให้ทางร้านส่งพัสดุของท่านไปที่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงความเหน็ดเหนื่อยจากการต้องถือ"

    ท่านรู้สึกอยากจะจามและขากกะทันหัน

    "ใช้ผ้าเช็ดหน้าเมื่อจำเป็น แต่ห้ามเหลือบดูเมื่อเสร็จธุระแล้ว พยายามกระทำการให้แผ่วเบาและสำรวมที่สุดเท่าที่จะทำได้"

    ในงานสำคัญงานหนึ่ง ท่านอุ้มเด็กแบเบาะและจูงสุนัขพุดเดิ้ลไปด้วย

    "อย่าพาลูกเล็กๆ หรือสัตว์เลี้ยงของท่านไปงานที่เป็นทางการ"

    หญิงฉาบหน้าเข้มจัดสวมชุดคับปลิ้นเดินแอ่นอวัยวะสำคัญต่างๆ ผ่านหน้าท่านไป ท่านหันไปวิจารณ์ภาพที่พบเห็นกับสหายที่ยืนอยู่ด้วยกัน

    "สุภาพบุรุษไม่ควรยืนอยู่ตามหัวมุมถนน ขั้นบันไดของโรงแรม หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ แล้วตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสุภาพสตรีที่เดินผ่านไป"

    รู้สึกเมื่อยล้า ท่านทรุดนั่งที่เก้าอี้ใกล้ตัว

    "บุรุษควรยืนอยู่เสมอตราบใดที่ยังมีสตรียืนอยู่ในห้อง"

    ในซอยที่จอแจ ท่านถูกข้อศอกใครบางคนกระทุ้งสีข้าง ท่านจึงเอาคืน

    "หากมีบุคคลผู้ใดมาชนหรือเบียดท่าน แล้วกล่าวขออภัย ท่านจงรับการขออภัยนั้นด้วยการก้มศีรษะให้อย่างเย็นชา"

    ท่านกำลังเดินทางด้วยรถไฟ แล้วรู้สึกร้อน จึงลุกขึ้นยกบานหน้าต่าง

    "สุภาพสตรีที่เดินทางคนเดียวควรปรึกษาผู้ตรวจตั๋วหรือกัปตัน สุภาพสตรีพึงขอบคุณสุภาพบุรุษที่เลื่อนบานหน้าต่างขึ้นหรือลงให้ด้วยกิริยาเย็นชาทว่าสุภาพ"

    ท่านกำลังอยู่กับผู้ร่วมทางแปลกหน้า

    "สุภาพบุรุษจะเป็นผู้เริ่มการสนทนา และเอื้อเฟื้อหนังสือพิมพ์ของเขา"

    ท่านปรารภถึงคุณงามความดีของจากัวร์คันใหม่ และแสดงความฉงนใจจากความไม่คุ้นว่าทำไมที่นั่งชั้นบิซิเนสคลาสจึงคับแคบเหลือเกิน

    "ห้ามโอ้อวดความร่ำรวยเด็ดขาด"

    ท่านผลักบานประตูเดินออกไปแล้วปล่อยมือทันทีโดยไม่แยแสคนอื่นที่เดินตามมา

    "อย่าเพิกเฉยกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หากมันสามารถส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายของผู้อื่น"

    ท่านหงุดหงิดฉุนเฉียวกับการถูกแซงคิว การถูกแย่งที่นั่ง การได้รับการบริการชั้นเลว การถูกโกหกปลิ้นปล้อน การถูกให้ร้าย การเผชิญความต่ำทราม การเห็นความเหลวแหลก ฯลฯ

    "เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มีความอ่อนโยน อดทน และห้ามพูดหรือมีกิริยาที่แสดงความโกรธเด็ดขาด"

    ตัวอย่าง Victorian Etiquette เหล่านี้ หลายอย่างเสื่อมสูญ และบางอย่างตกทอดมาเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า "มารยาทสากล"

    เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีได้ผสมผสาน "จรรยาวิคทอเรียน" (เน้นข้อปฏิบัติระหว่างสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรีกระฎุมพี) กับจรรยาชนชั้นสูงไทย (เน้นข้อปฏิบัติระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย) จนกลายเป็น "สมบัติของผู้ดี" (แต่งขึ้นในสมัยต้นรัชกาลที่ 6) ที่ชนชั้นขุนนาง ข้าราชการ และสามัญชนพึงยึดถือและควบคุมขัดเกลาตัวเองเพื่อความมีอารยะ โครงการ "ดัดตน" นี้สำเร็จลุล่วงหรือไม่เพียงใดยังเป็นปริศนา แต่คะเนได้ว่าไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายสืบต่อมาเท่าใด

    ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

    "มอบให้เด็กและเยาวชนไทยรุ่นปัจจุบันได้อ่านและเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนสำหรับความเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรมไทย มารยาทไทยที่ดีงาม ให้นานาอารยประเทศได้เห็นความเจริญทางด้านจิตใจของคนไทยปรากฏต่อชาวโลก"

    วัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้นี้นับว่าดีมากและน่าภูมิใจที่สุด แต่ควรให้เครดิตวัฒนธรรมวิคทอเรียนไว้ด้วย เพราะถ้าไม่มี "Victorian Etiquette" ก็ไม่มี "สมบัติของผู้ดี (ไทย)" ตรงนี้คงเป็นข้อบกพร่องในชั้นของการตรวจปรู๊ฟหรือกระบวนการพิมพ์ ทำให้ข้อความตกหล่นหายไปเป็นประโยคๆ

    สำหรับท่านที่สนใจค้นคว้าเพิ่มเติม คู่มือสอนจรรยามารยาทในทุกสถานการณ์สังคมในสมัยวิคทอเรียนที่มีชื่อเสียง ได้แก่ "The Habits of Good Society : A Handbook of Etiquette for Ladies and Gentlemen", "The Essential Handbook of Victorian Etiquette" หรือ "A Guide to the Manners, Etiquette, and Deportment of the Most Refined Society"

    จรรยามารยาท คือการคำนึงถึงและข้อปฏิบัติต่อ "ผู้อื่น" ตามแบบแผนทางวัฒนธรรมหรือประเพณีประดิษฐ์ของสังคมหนึ่งๆ ในด้านที่ประเสริฐ การมีมารยาทคือการมีความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกและความเป็นไปของผู้อื่น แสดงถึงการเคารพตนเองและเคารพผู้อื่น แต่ในด้านที่ไม่ประเสริฐ การยึดธรรมเนียมแบบแผนแต่เปลือกแบบหน้าไหว้หลังหลอกก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยกตนและเหยียบย่ำคนอื่นที่เข้าไม่ถึงหรือไม่นำพาต่อกฎระเบียบอันเคร่งครัดเหล่านั้น

    นอกจากนี้ การจรรโลงความสัมพันธ์ทางสังคมที่แฝงการกดขี่ในหลายมิติมักเป็นคุณสมบัติที่ผูกติดมากับจรรยามารยาทด้วยเช่นกัน

    การรับทราบแบบแผนมารยาทต่างๆ แต่เพียงเลาๆ ก็พอที่จะทำให้ซาบซึ้งได้ว่า สิ่งที่เป็นยากที่สุดไม่ใช่การเป็นคนเก่ง คนฉลาด คนดี คนมีเสน่ห์ หรือคนมีอำนาจ แต่คือการเป็น "ผู้ดี" คำนวณความลำบากยากเข็ญที่ต้องคอยบำเพ็ญแล้ว ออกผนวชน่าจะสบายใจกว่า เพราะ

    "คำว่า ผู้ดี หมายถึงบุคคลผู้มีความประพฤติดีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางความคิด คือทำดี พูดดี คิดดี"

    "ผู้ดีย่อมมีกิริยาอันผึ่งผายองอาจ ไม่เป็นผู้สะทกสะท้านงกเงิ่นหยุดๆ ยั้งๆ"

    "ผู้ดีย่อมไม่เข้าใจว่า ผู้ดีทำอะไรด้วยตนไม่ได้"

    "ผู้ดีย่อมไม่รับวาจาคล่องๆ โดยมิได้เห็นว่าการจะเป็นได้หรือไม่"

    "ผู้ดีย่อมไม่เอาเรื่องที่เขาพึงซ่อนเร้นมากล่าวให้อับอายหรือเจ็บใจ"

    "ผู้ดีย่อมไม่พักหาความสบายก่อนผู้ใหญ่หรือผู้หญิง"

    "ผู้ดีเมื่อเห็นใครทำผิดพลาดอันน่าเก้อกระดาก ย่อมช่วยกลบเกลื่อน หรือทำไม่เห็น"

    "ผู้ดีย่อมเป็นผู้ไม่ซ้ำเติมคนเสียที และเอาใจช่วยคนเคราะห์ร้าย"

    "ผู้ดีย่อมไม่มีใจอันโหดเหี้ยมเกรี้ยวกราดแก่ผู้น้อย"

    "ผู้ดีย่อมไม่แลลอดสอดส่ายโดยเพ่งเล็งเข้าไปตามห้องเรือนแขก"

    "ผู้ดีย่อมไม่ซอกแซกไต่ถามธุระส่วนตัวหรือการในบ้านของเขาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแก่ตน"

    "ผู้ดีถ้าเห็นเขาจะพูดความลับกัน ย่อมต้องหลบตาหรือลี้ตัว"

    "ผู้ดีย่อมไม่ไต่ถามราคาของที่เขาได้หยิบยกแก่ตน"

    "ผู้ดีย่อมไม่กล่าววาจาติเตียนของที่เขาหยิบยกให้ว่าไม่ดีหรือไม่พอ"

    "ผู้ดีย่อมไม่แทรกเข้าหมู่ผู้อื่นซึ่งเขาไม่ได้เชื้อเชิญ"

    "ผู้ดีย่อมไม่สอดสวนวาจาหรือแย่งชิงพูด และไม่บันดาลโทสะให้เสียกิริยา"

    "ผู้ดีย่อมไม่สนทนาแต่เรื่องตนถ่ายเดียว จนคนอื่นไม่มีช่องจนสนทนาเรื่องอื่นได้"

    "ผู้ดีย่อมมีอัชฌาสัยเป็นนักเลง ใครจะพูดหรือเล่นอันใดก็เข้าใจและต่อติด"

    "ผู้ดีย่อมไม่จ้องดูบุคคลโดยเพ่งพิศเหลือเกิน ไม่ค่อนแคะติรูปกายบุคคล"

    "ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวแย่งผู้หนึ่งมาจากผู้หนึ่งในเมื่อเขาสนทนากัน"

    "ผู้ดีย่อมไม่ใช้วาจาอันข่มขี่ ไม่เยาะเย้ยถากถางผู้กระทำผิดพลาด"

    "ผู้ดีย่อมไม่กล่าววาจาอันติเตียนสิ่งเคารพของผู้อื่นแก่ตัวเขา"

    "ผู้ดีย่อมไม่เสือกสนแย่งชิงที่นั่งหรือที่ดูอันใด"

    "ผู้ดีเมื่อเห็นเหตุร้าย หรืออันตรายจะมีแก่ผู้ใด ย่อมต้องรีบช่วย"

    "ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้อาฆาตจองเวร ไม่มีใจริษยา ไม่ใช้คำสบถติดปาก"

    "ผู้ดีย่อมระวัง ไม่พูดจาตรงหน้าผู้อื่นให้ใกล้ชิดเหลือเกิน"

    "ผู้ดีแม้ผู้ใดเคารพตนก่อน ย่อมต้องตอบเขาทุกคน ไม่เฉยเสีย"

    "ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวถามเขาว่า นั่นเขียนหนังสืออะไร"

    ฯลฯ

    การเป็น "ผู้ดี" นั้นน่ายกย่อง แต่ยากและทรมานจริงๆ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01fun07290750&day=2007/07/29&sectionid=0140


    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10732​

    มิตรภาพมีจริง


    คอลัมน์ เรื่องเล่ารายทาง

    โดย วารุ วิชญรัฐ varuvora@yahoo.com



    หากคุณชอบเดินทาง บางทีเราอาจเคยพบผู้คนที่ผ่านทาง มีมิตรภาพให้กัน

    เราอาจไปไหนซ้ำๆ เจอคนเดิมๆ จำกันได้บ้างไม่ได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็หวังว่าอาจจะใช่สิ่งที่เราเคยเจอ

    ปีใหม่ที่เมืองปายเมื่อนานมา ขณะนั้นยังดูห่างไกล แต่กระนั้นก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไปมาหาสู่อยู่ไม่น้อยแล้ว จำนวนมากสิงสู่อยู่ตามเกสต์เฮาส์ราคาถูก

    เกสต์เฮาส์ที่ฉันไปพักอยู่ริมน้ำปาย กระท่อมหลังใหญ่ราคาห้าสิบบาท ไปกันห้าคน ตกลงคนละแค่สิบบาทเท่านั้น หลับฝันสบายๆ ถึงภูเขา ในมุ้งสีขาวหลังใหญ่

    รุ่งเช้า ก่อนอาหารมื้อแรก ฉันเดินออกมาล้างหน้าล้างตาที่ก๊อกน้ำ บางคนก็สนใจห้องน้ำที่ต้องเดินไปอีกไกล มีแม่ลูกชาวต่างชาติกำลังล้างหน้าล้างตา แม่กำลังเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ลูกตัวเล็กไม่ถึงขวบ เพราะน้ำเย็นเกินไปที่จะอาบ

    กูด มอร์นิ่ง ฉันทัก เธอยิ้ม แวร์ ยู ฟรอม? ฉันถาม

    ฟรอม ฟรานซ์ เธอตอบ คนฝรั่งเศสนี่เอง เจ้าตัวเล็กตาแป๋วอยู่ระหว่างที่แม่เช็ดตัว

    โอเค เธอบอก แปลว่าเธอใช้เสร็จแล้ว เชิญได้

    ที่ร้านกาแฟ แม่ลูกฝรั่งเศสมีเด็กเพิ่มมาอีกหนึ่ง เธอมากับลูกสองคน เรายิ้มให้กัน เธอสั่งโอวัลตินให้กับลูกคนโต ตัวเล็กมากับขวดนม เพื่อนของฉันเข้าไปเล่นกับลูกคนโตของเธอ

    ก่อนออกเดินทางต่อ เราลากันเล็กน้อย เพื่อนฉันถ่ายรูปเธอและลูกเก็บไว้เป็นที่ระลึก วันนั้นเป็นวันขึ้นปีใหม่ และฉันจำได้ว่าเธอชื่อซีลีน

    ชีวิตผ่านไปหนึ่งปี ปีใหม่ปีต่อมาเราก็ไปปายอีก

    ฉันพักที่เดิม กระท่อมบางหลังดูโทรมไปบ้าง มุมหนึ่งริมน้ำ ผู้หญิงฝรั่งกับลูกสองคนที่คุ้นหน้า ฉันจำได้ว่าเป็นซีลีนจึงเข้าไปทัก เธอยิ้ม ฉันถามว่าจำได้ไหม เราเคยเจอกันที่นี่เมื่อปีใหม่ที่แล้ว เธอบอกขอโทษว่าจำไม่ได้จริงๆ แต่เบบี๋ของเธอโตขึ้น ปีนี้พูดได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว

    ฉันไม่แปลกใจนักที่เธอจำฉันไม่ได้ คนเดินทางบางทีก็เจอใครๆ มากมายเกินจะจดจำ แต่หากว่าพบกันแล้วทำให้หัวใจรู้สึกได้ถึงมิตรภาพ ก็ควรค่าแล้วที่วงจรนั้นอาจนำเรากลับมายังความร่มเย็นที่หัวใจเคยรู้จัก

    แต่บางครั้ง การกลับมาพบกัน แม้ไม่ใช่ผู้คนเดิมๆ สถานที่เดิมๆ แต่เป็นอะไรที่คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็น เห็นเช่นนั้นก็ทำให้หัวใจทึกทักได้ว่าใช่ เพราะทำให้รู้สึกดีไม่น้อย

    ที่เมืองโบราณสระมรกต ปราจีนบุรี ในเย็นย่ำวันฝนพรำ กำลังเพลินดูโบราณสถาน ก็ได้ยินเสียงร้องของลูกหมา เสียงนั้นบอกว่าตกใจ หันไปเห็นฝูงหมาใหญ่กำลังรุมลูกหมาตัวเล็ก ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้ ฝูงหมาใหญ่แตกฮือ ลูกหมาสองตัวสีดำน้ำตาล ดูท่าจะยังไม่อดนม ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด อาจจะถูกหมาใหญ่ขย้ำไปแล้วหนหนึ่ง เมื่อฉันไปแตะตัวจึงร้องเสียงดังขึ้นอีก ฉันอุ้มไปไว้ใกล้ๆ ชายคาที่พอมีร่มเงา

    คงมีใครเอามาทิ้ง เพื่อนฉันว่า แล้วเดินไปซื้อนมมาให้หวังว่ามันจะกิน แต่เมื่อป้อนเข้าปาก ก็ดูเหมือนมันจะไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ฉันก็ยังพยายามป้อนต่อไป แต่ก็ยังร้องดังตลอดเวลา จนรู้สึกว่าถ้ามันร้องไปเรื่อยๆ อย่างนี้คงขาดใจตายได้เป็นแม่นมั่น แล้วมันก็เล็กจนไม่น่าจะรอดได้ไปถึงพรุ่งนี้ถ้าไม่มีใครช่วยมัน

    ระหว่างความคิดสับสนว่าเราควรทำอย่างไร แค่เราเข้าไปใกล้ เจ้าหมาน้อยก็ร้องโหยหวน แต่เคราะห์ดีที่มันคลานเข้าไปในห้องน้ำแห้งๆ ใกล้ๆ ฉันได้แต่เทนมใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วจับอีกตัวที่น่าจะแข็งแรงกว่าเข้าไปไว้ด้วยกัน เอาผ้าอุ่นๆ จากในรถมาปูให้ แล้วตั้งความหวังว่ามันจะรอด แล้วตัดใจขับรถจากมา ด้วยความเชื่อที่ออกจะหลอกตัวเองว่า น่าจะมีใครมาเห็น แล้วเอามันไปเลี้ยง

    เวลาผ่านไปสี่เดือน ฉันกลับไปสระมรกตอีกครั้ง แล้วก็ให้คิดถึงเจ้าหมาน้อยพี่น้องที่ถูกทิ้งไว้คราวนั้น ฉันเดินดูไปรอบๆ ด้วยความหวังเลือนรางว่าจะพบเจ้าหมาน้อยที่คงจะโตขึ้นแล้ว

    ห่างออกไปเล็กน้อยมีอาคารแสดงนิทรรศการของโบราณสถานนี้ ดูเสร็จแล้วก็ออกมานั่งรับลมเย็น หมาตัวย่อมสีดำน้ำตาลสองตัวเดินมาหา กระดิกหาง

    ถึงไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ฉันก็อยากจะเชื่อว่ามันใช่ แม้จะดูผ่ายผอม แต่ฉันเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหมาสองตัวนี้ ดีใจจนต้องไปซื้อขนมนมเนยมาเลี้ยงมัน

    ถึงแม้ที่กรุงเทพฯ คนจำนวนหนึ่งมีความสามานย์ไร้เหตุผลเพราะอยากให้ทรราชในคราบประชาธิปไตยกลับมา ที่สามจังหวัดภาคใต้ผู้คนยังทุกข์ทนเพราะโจรป่าเถื่อนจิตทราม

    ในอีกมุมหนึ่ง ถึงจะกึ่งจริงกึ่งฝัน และมันเป็นแค่หมา แต่ฉันก็ขอเลือกคิดว่า มิตรภาพมีจริง
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01bud01290750&day=2007/07/29&sectionid=0121


    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10732​

    เรื่องของปัญญาหากิน กับ ปัญญาเหนือโลก


    คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



    [​IMG]มีผู้ให้ความหมายของ "ปัญญา" น่าฟังว่า ได้แก่ความรู้ทั่วถึงความรู้รอบทุกด้าน ถ้ารู้เพียงแง่ใดแง่หนึ่งไม่นับว่าเป็นปัญญา

    อย่างเช่นคนตาบอดดู (ความจริง คลำ) ช้าง แต่ละคนคลำถูกแต่ละส่วนของช้าง ก็คิดว่าตนรู้เกี่ยวกับช้างหมด แต่ความจริงก็รู้เพียงแง่เดียวเท่านั้นเอง ความรู้เรื่องช้างอย่างนี้ ยังไงๆ ก็ไม่นับว่าเป็น "ปัญญา" เขาเรียกว่าความโง่เสียมากกว่า

    ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ก็มีเรื่องศากยกุมารถกเถียงกันเกี่ยวกับกำเนิดของข้าวสุกว่าเกิดจากไหน

    เจ้าชายองค์หนึ่งกล่าวว่า ข้าวเกิดในยุ้งฉาง เพราะเคยเห็นแต่เขาโกยข้าวเข้ายุ้งฉาง

    เจ้าชายองค์ที่สองกล่าวว่า ข้าวเกิดในหม้อข้าว เพราะเคยเห็นเขาคดข้าวออกจากหม้อข้าวทุกวัน

    เจ้าชายองค์ที่สามบอกว่า ข้าวเกิดในจานข้าวมากกว่า เจ้าชายองค์นี้ไม่เคยเห็นข้าวอยู่ในฉาง หรือในหม้อเลย ตื่นบรรทมมาก็เห็นจานข้าวตั้งรอที่โต๊ะอาหารแล้ว เลยเข้าใจว่าข้าวสุกมีกำเนิดมาจากจานบนโต๊ะนี่เอง

    อย่าได้คิดว่าเป็นนิทานตลกนะครับ คนที่เขาอยู่สบายไม่ต้องทำอะไรเลย มีคนทำให้หมดทุกอย่างยกเว้นอึกับฉี่เท่านั้นที่ต้องทำเอง (ถ้าคนอื่นทำแทนได้ก็คงทำให้แล้วล่ะ) คนประเภทนี้มีอยู่มากมายในโลก ว่าไปทำไมมี เด็กในกรุงเทพฯนี่แหละ เกิดมาไม่เคยเห็นควาย จะว่าเขาโง่ก็ไม่ถนัด เพราะเขาไม่เคยเห็นนี่ครับ

    ความรู้เพียงบางแง่ดังตัวอย่างที่ยกมานั้น ยังไม่นับว่าเป็น "ปัญญา" หรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ความรู้ที่เราเรียกว่าปัญญาต้องเป็นความรู้ทั่วถึง หรือตลอดทะลุปรุโปร่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างไม่มีข้อสงสัยเลย

    ปัญญามีหลายระดับ ระดับพื้นๆ หมายเอาเพียงความรู้ที่เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนดังพวกเราทำกันอยู่ ผู้รู้บางท่านเรียกปัญญาชนิดนี้ว่า "ปัญญาหากิน" คือเรียนเอาปริญญาไว้สำหรับไปสมัครงานหาเงินหาทองมาเลี้ยงชีพ ใครมีปัญญาชนิดนี้มากหรือมีปริญญาสูงๆ ระดับดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ ก็มีทางหากินได้ง่ายและได้มาก แต่ถ้าใครเล่าเรียนมาน้อย ความรู้แค่หางอึ่ง ใบประกาศสักใบก็ไม่มีเหมือนเขา ก็หากินลำบากหน่อย

    ทางพระเรียกปัญญาประเภทนี้ว่า "โลกียปัญญา" (ปัญญาระดับโลกๆ) ว่าตามจริงแล้วท่านอนุโลมเรียกเฉยๆ ท่านไม่นับเป็นปัญญาเสียด้วยซ้ำ เพราะยิ่งเรียนมาก ยิ่งมีปริญญามากก็ยิ่งโง่ คือรู้มากแต่โง่

    "พูดอะไรไม่รู้ควัง เอ๊ยฟัง" บางท่านอาจแย้งดังนี้

    พิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นตามที่พระท่านว่า แต่ก่อนเมื่อครั้งยังไม่จบปริญญาอะไรมาก็รู้สึกว่าถ่อมตน มีความรู้สึกว่าตนยังรู้น้อย ไม่รู้อะไรก็รู้จักซักถามคนอื่น ฟังคนอื่น แต่พอได้ดีกรีสูงขึ้นๆ เป็นบัณฑิต มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต ชักมีความรู้สึกว่าตัวมีความรู้มาก คนอื่นโง่หมด เมื่อคิดได้ดังนี้ทิฐิมานะก็มากขึ้น ความถือตัวมากขึ้น ไม่ฟังใคร ต้องการแต่จะให้คนอื่นฟังตนพูดอย่างเดียว

    สังเกตได้เวลาไปประชุมสัมมนาวิชาการวิชาเกินอะไรต่างๆ นั้น ท่านผู้รู้มากเหล่านี้จะเกาะติดไมโครโฟนไม่ยอมปล่อย อภิปรายฉอดๆ แสดงภูมิความรู้ให้คนอื่นอัศจรรย์ บางคนเรียนมาด้านเดียว แต่ก็สู่รู้ทุกสาขาวิชา คนพวกนี้เขาเรียกว่า "นักวิชาการแสนรู้" (ตั้งชื่อได้แสบนิ)

    ที่พระท่านว่ายิ่งรู้มากยิ่งโง่นั้น ก็เพราะความรู้ที่เล่าเรียนมานั้นมันเป็นม่านบังตาไม่ให้เข้าถึงความจริงแห่งโลกและชีวิต ทำให้เขาเกิดทิฐิมานะ ลุ่มหลงยึดติดอยู่กับความรู้ความเห็นผิดๆ คนพวกนี้เรียกว่า "ตุจฉโปฏฐิละ" (คนใบลานเปล่า)

    สมัยพุทธกาลมีพระเจ้าสำนักรูปหนึ่งมีความรู้แตกฉานในพุทธวจนะมาก มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ใครๆ ก็ยกย่องว่าเป็นคัมภีร์เดินได้ ท่านก็เลยเกิดความหลงผิดว่าในพระศาสนานี้มีเราคนเดียวที่รู้มากที่สุด ยกเว้นพระศาสดา (ยังดีที่ยกให้พระศาสดาอยู่)

    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าท่านผู้นี้กำลังหลงผิด เวลาท่านไปเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ก็ตรัสปฏิสันถารด้วยคำพูดว่า "อ้อ ท่านใบลานเปล่ามาแล้วหรือ" เวลาท่านกราบลากลับ ท่านพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า "ท่านใบลานเปล่าจะกลับหรือ"

    เกจิอาจารย์เจ้าสำนัก (อ้อ คำว่าเกจิอาจารย์ สมัยก่อนหมายถึงผู้เป็นพหูสูตนะครับ มิใช่อาจารย์ปลุกเสกเหมือนปัจจุบันนี้) มาครุ่นคิดว่า เราก็มีความรู้มากมาย มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ ทำไมพระพุทธองค์ตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า หรือว่าที่เรารู้นี้ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงอะไรเลย

    นึกได้ดังนี้ทิฐิมานะก็ลดลง เพราะสำนึกว่าความรู้ที่ตนมีเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ตนเองมิได้สัมผัสแห่งการปฏิบัติเลย "ใบลานเปล่า" จริงๆ คราวนี้พบหน้าลูกศิษย์ลูกหาก็ยกมือไหว้ ขอเรียนปฏิบัติด้วย ทำเอาบรรดาศิษย์ตกใจไปตามๆ กัน ต่างก็พูดว่าพวกตนไม่อยู่ในฐานะที่จะสอนอาจารย์ได้

    ท่านจึงไปหาเณรน้อยรูปหนึ่ง (นัยว่าเณรน้อยรูปนี้ไม่ใช่ธรรมดาเป็นเณรน้อยอรหันต์ด้วย) ขอเรียนวิธีการปฏิบัติธรรม เณรน้อยกล่าวว่า

    "ท่านอาจารย์ ถ้าผมบอกให้ท่านทำอะไร ท่านจะทำตามไหม"

    "นิมนต์ว่ามาเลยสามเณร ผมยินดีทำตามทุกอย่าง" พระนักวิชาการผู้ละพยศกล่าว

    "ถ้าอย่างนั้น ขอให้อาจารย์เดินลงไปในน้ำ เดินไปเรื่อยๆ ช้าๆ จนกว่าผมจะบอกให้หยุด"

    พระเถระเดินลงน้ำอย่างว่าง่าย ค่อยๆ เดินลึกลงไปจนจีวรเปียกน้ำยังไม่หยุด เณรน้อยร้องบอกว่า "หยุดแค่นั้นแหละ ท่านอาจารย์ นิมนต์ขึ้นมาได้"

    เมื่อพระเถระขึ้นมายืนต่อหน้าด้วยจีวรเปียกชุ่มน้ำ เณรน้อยกล่าวสอนว่า

    "มีจอมปลวกอยู่แห่งหนึ่ง มีรูอยู่ 6 รู เด็กเลี้ยงโคไล่เหี้ยเข้ารูจอมปลวกแล้วเอาใบไม้อุด 5 รู ปล่อยไว้รูหนึ่ง แล้วก็นั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้น เหี้ยเมื่อหิวขึ้นมาก็คลานออกมาทางรู้ที่มิได้ปิด เด็กเลี้ยงโคจึงจับเหี้ยนั้นได้"

    กล่าวมาถึงตรงนี้ เณรน้อยชำเลืองดูพระเถระแวบหนึ่งแล้วกล่าวทำนองสั่งว่า "ท่านอาจารย์นำไปคิดซะ แล้วจะทราบว่า ควรทำอย่างไร"

    เนื่องจากเป็นพระที่คงแก่เรียนอยู่แล้ว ได้ฟังวาทะอันคมคายของเณรน้อยอรหันต์ พระคุณเจ้าใบลานเปล่าก็รู้ทันทีว่านี้คือวิธีการปฏิบัติฝึกฝนจิต จอมปลวกก็คือ ร่างกายเรา รู 6 รูก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปิดไว้ 5 รู ก็คือปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดไว้หนึ่งรู ก็คือเปิดใจไว้ คอยกำหนดดูจิตใจให้ดี ระวังมิให้มันส่ายไปตามอำนาจความชอบชังและหลง พูดง่ายๆ ก็คือฝึกควบคุมจิตด้วยวิธีสมถวิปัสสนาและวิปัสสนาภาวนานั่นเอง พระเถระดำเนินตามแนวทางที่เณรน้อยแนะนำ ไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุอรหัต (อรหัต เป็นคำนามหมายถึงความเป็นอรหันต์ ที่ต้องวงเล็บก็เพราะเวลาผมเขียนว่า "ได้บรรลุอรหัต" มักจะแก้ให้ผมว่า "บรรลุอรหันต์" ทุกทีสิน่า)

    ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ต้องการชี้ว่า ความรู้ หรือปัญญา ที่ได้จากการเล่าเรียนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ นี้ ทางพระท่านไม่นับเป็นปัญญาแท้ เป็นเพียง "ความคงแก่เรียน" หรือความเป็นพหูสูตเท่านั้น ความรู้ชนิดนี้ยิ่งมีมากยิ่งทำให้เกิดมานะทิฐิมาก ถ้าไม่รู้จักควบคุมตัวเองด้วยแล้ว จะดูถูกคนอื่นว่าโง่เง่าอีกด้วย

    ทางพระพุทธศาสนาถือว่า คนชนิดนี้เป็นคนโง่แท้ หาใช่บัณฑิตไม่ บัณฑิตนั้นมิได้วัดด้วยความคงแก่เรียน แต่วัดด้วยความประพฤติดีทางกาย วาจา และใจ ลด ละ กิเลส ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดไปโดยสิ้นเชิง

    ปัญญาที่ทำให้คนเป็นบัณฑิตอย่างที่กล่าวมา มิใช่ได้ด้วยการเล่าเรียน หากเกิดจากการปฏิบัติฝึกฝนอบรมจิต เป็นประสบการณ์ตรง เป็นความสว่างโพลงภายในโดยเฉพาะ

    ปัญญาชนิดนี้แหละที่ท่านเรียกว่า "โลกุตรปัญญา" (ปัญญาเหนือโลก) ประหลาดตรงที่ปัญญาเหนือโลกนี้ คนธรรมดาที่มีชีวิตไม่ซับซ้อน อยู่อย่างง่ายๆ กลับ "เข้าถึง" ได้ง่ายกว่า

    ง่ายกว่าบัณฑิตมีใบปริญญาแขวนเต็มฝาบ้าน

    วันดีคืนดีก็แสดงพลัง รอให้น้ำเลี้ยงไหลมาตามท่อ ซะอย่างนั้น (ฮา)
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01bud02290750&day=2007/07/29&sectionid=0121


    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10732​

    ตั้งนาฬิกาใจให้เที่ยงตรง


    คอลัมน์ ร้อยเหลี่ยมพันมุม

    โดย วีณา โดมพนานคร



    ปกติแล้วเราจะคอยดูอยู่เสมอว่า นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง หรือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำหน้าที่บอกเวลาตามเวลาที่แท้จริงหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะตั้งให้เที่ยงตรง

    แต่ยังมีนาฬิกาอยู่อีกเรือนหนึ่ง ที่เรามักจะลืมสำรวจว่าทำหน้าที่ดีอยู่หรือเปล่า นั่นคือ นาฬิกาที่ติดตั้งอยู่ในใจ ที่เข็มบอกเวลามักจะไขว้เขวสับสนปนเปไปมา ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งการกระโดดข้ามไปมาในเวลาสามช่วงนี้ นำมาซึ่งสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ความทุกข์ หรือจะมีคำเรียกอื่นๆ ตามระดับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ

    ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงพยายามหาวิธีจัดการนาฬิกาภายในใจให้เที่ยงตรง โดยมีอุปกรณ์ที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลกว่าทรงประสิทธิภาพที่สุด นั่นคือ "สติ" ซึ่งมีหน้าที่ดูแลใจให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ข้ามไปในอนาคต หรือย้อนหลังไปในอดีต บางคนอาจทำได้บ้าง หรือบางคนอาจทำได้มากหน่อยก็เป็นสิ่งที่น่าดีใจ

    เอ็กค์ฮาร์ท โทลเลอ นักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งมีผลงานมาแล้วหลายเล่มเป็นอีกคนหนึ่ง เขานำเสนอวิธีที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ไว้ในหนังสือ "การฝึกปฏิบัติ พลังแห่งจิตปัจจุบัน"

    ...เริ่มด้วยการฟังเสียงที่ก้องอยู่ในหัวให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูว่าอะไรคือ สิ่งที่คุณได้ยินซ้ำๆ ขณะที่ฟังเสียงนั่น ให้ฟังอย่างไม่มีอคติ อย่าตัดสินหรือตำหนิสิ่งที่ได้ยิน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "จับตาดูผู้คิด" จงอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์

    ขณะที่ฟังความคิด คุณมีสติของปัจจุบันขณะ ความคิดจะไม่มีอำนาจเหนือคุณ ความคิดจะหมดแรงลงเพราะคุณเลิกเติมพลังให้มันด้วยการเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดติดกับมัน นี่เป็นการเริ่มต้นของการหยุดความนึกคิดในใจ เพื่อจะได้สัมผัสกับ "จิตว่าง" ซึ่งคือที่ว่างที่ปราศจากความคิด

    เมื่อจิตว่างจะรู้สึกสงบนิ่งอยู่ภายใน ด้วยการฝึกฝนเช่นนี้ จะรู้สึกสงบลึกลงไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด

    นอกจากการ "จับตาดูผู้คิด" คุณสามารถทำจิตให้ว่างได้อีกวิธีหนึ่งง่ายๆ ด้วยการควบคุมความสนใจให้อยู่กับปัจจุบันขณะ นี่เป็นสิ่งที่พึงกระทำอย่างยิ่ง วิธีนี้ช่วยให้มีสติและหลุดออกจากกิจกรรมทางความคิด เข้าสู่จิตว่างที่คุณรู้ตัวมากขึ้น

    ในชีวิตประจำวัน สามารถฝึกสมาธินี้ได้ด้วยการทำกิจวัตรประจำวันอย่างมีสติ เช่น เวลาล้างมือ ต้องมีสติกับทุกสิ่ง ได้ยินเสียงน้ำไหล รู้สึกถึงมือที่เคลื่อนไหว ได้กลิ่นสบู่ วันหนึ่งอาจพบว่า คุณกำลังยิ้มให้กับเสียงที่ก้องในหัว ราวกับเห็นท่าทางเปิ่นๆ ของเด็กๆ นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้จริงจังกับทุกสิ่งที่คิด ไม่เป็นทาสความคิดอีกต่อไปแล้ว…

    เมื่อไม่เป็นทาสของความคิด ก็สามารถควบคุมอารมณ์ด้านลบไม่ให้เกิดขึ้นได้ หรือหากเกิดขึ้นแล้วก็สามารถขจัดออกได้ในเวลาที่ต้องการ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การฝึกฝนกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในทุกขณะ

    ...เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่ามีเรื่องลบเกิดขึ้นในตัวคุณ ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยภายนอก ความคิด หรือระบุไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร ให้จ้องดูมันราวกับได้ยินเสียงว่า "อยู่กับที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตื่นได้แล้ว"

    แม้แต่ความฉุนเฉียวเพียงเล็กน้อยก็จำเป็นต้องรับรู้และเฝ้าดูมัน มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นปฏิกิริยาสะสมโดยที่เราไม่ทันสังเกต คุณอาจกำจัดเรื่องลบได้เมื่อรู้ตัวว่าไม่อยากมีสนามพลังงานลบในตัวคุณ แต่ต้องแน่ใจว่ากำจัดมันออกไปให้หมด ถ้าทำไม่ได้ ให้ยอมรับว่ามันอยู่ตรงนั้น และใส่ใจกับความรู้สึก

    ทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ปฏิกิริยาเชิงลบหายไป ให้จินตนาการว่าตัวเองกำลังโปร่งแสงไปจากสาเหตุภายนอกของปฏิกิริยานั้น

    ขอแนะนำให้ฝึกกับเรื่องเล็กน้อยก่อน สมมุติว่า คุณกำลังนั่งเงียบๆ อยู่ที่บ้าน แล้วจู่ๆ เกิดมีเสียงแตรรถแทรกเข้ามา คุณเกิดฉุนเฉียวขึ้น ซึ่งฉุนเฉียวไปเพื่ออะไรไม่รู้

    จงรู้สึกว่าตัวเองโปร่งแสง โดยไม่มีความแข็งขืนของร่างกาย ปล่อยให้เสียงรบกวนหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาลบผ่านไปโดยไม่ชน "กำแพง" ที่อยู่ภายในตัวคุณ ฝึกกับเรื่องเล็กน้อยก่อน เช่น เสียงแตรรถ เสียงหมาเห่า เสียงเด็กกรีดร้อง หรือรถติด แทนที่จะก่อกำแพงต่อต้านภายในเพื่อให้แรงต้านตกกระทบอย่างเจ็บปวดจาก "สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น" จงปล่อยวางให้มันผ่านไป

    บางคนอาจพูดอย่างหยาบคายและตั้งใจทำร้ายคุณ แทนที่จะปล่อยให้เกิดการตอบโต้ที่ขาดสติ และเกิดเรื่องลบ เช่น การโจมตี การป้องกันตัว หรือเกิดอาการหงอ ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ตอบโต้ ราวกับว่าไม่มีใครถูกทำร้ายอยู่ตรงนั้น นี่คือการให้อภัย ด้วยวิธีนี้คุณไม่มีวันถูกทำลาย...

    แนะนำวิธีฝึกให้ใจอยู่กับปัจจุบันแล้ว ยังมีบททดสอบให้ได้วัดระดับของทักษะภายใน ด้วยสนามสอบที่ทุกคนต้องประสบอยู่ทุกๆ วัน นั่นคือ การจัดการเรื่องความสัมพันธ์ โดยเฉพาะเรื่องของคุณกับคนที่รู้สึกรัก

    ...ทุกขณะ จงกอดสิ่งที่รู้อยู่ในขณะนั้น โดยเฉพาะความรู้สึกภายในของคุณ ถ้ามีความโกรธ ให้รู้ว่ามันคือความโกรธ เมื่อมีความหึงหวง การป้องกันตัว แรงกระตุ้นให้เกิดการโต้แย้ง ความต้องการเป็นฝ่ายถูกเสมอ ความต้องการความรักความใส่ใจอย่างเด็กๆ หรือความทุกข์ทางอารมณ์ทุกรูปแบบ อะไรก็ตามที่มันเป็น จงรับรู้ถึงความจริงของขณะนั้น และกอดสิ่งที่คุณรู้นี้ เพื่อที่คุณจะได้ไม่โต้ตอบ แล้วความสัมพันธ์จะกลายเป็น "อาสนะ" สำหรับการฝึกทางจิตวิญญาณ…

    ยังมีบททดสอบอีกมากมายในชีวิต ที่จะทำให้เรารู้ว่า "สติ" จงรักภักดีอยู่กับใจ หรือติดปีกบินหนีไปเที่ยว (อีกแล้ว)
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://hilight.kapook.com/view/13589

    การป้องกันและรักษาสำหรับผู้ถูกแก๊สน้ำตา



    <CENTER>
    [​IMG]

    แปลและเรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

    อุปกรณ์เบื้องต้นในการปฐมพยาบาล ซึ่งคุณสามารถนำมาบริจาคเป็นอุปกรณ์รองรับในการปฐมพยาบาลแก่ทีมแพทย์ได้

    น้ำ (ควรนำมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อใช้ในการดื่ม ล้างแผล หรือล้างตา)

    ถุงมือไวนิล (ใช้ป้องกันเลือดและสเปรย์พริกไทย)

    เหรียญและบัตรโทรศัพท์(ใช้เมื่อต้องการโทรศัพท์ฉุกเฉิน)

    กระดาษ,ปากกา,เทปกาว,ปากกามาร์คเกอร์

    อุปกรณ์รักษาบาดแผล เช่น ที่ปิดแผล, ผ้ากอซขนาด 2x2 และ 4x4, เทปใส และ ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาปฏิชีวนะ อื่นๆ

    ผ้าอนามัยแบบสอดขนาดเล็ก(เหมาะสำหรับการห้ามเลือดกำเดา)

    ที่กดลิ้น

    เสื้อสะอาดที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก (ใช้สำหรับเปลี่ยนในกรณีที่โดนแก๊สอย่างหนัก)

    ที่บังแดด หรือ เสื้อกันฝน (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ)

    ยารักษาโรคต่างๆ เช่น ยาบรรเทาอาการช็อกหรือบาดเจ็บ

    ขนมขบเคี้ยว

    ผงไอซิ่งเค้ก หรือ ลูกกวาดชนิดแข็ง (ใช้สำหรับเพิ่มน้ำตาลในเลือด)

    ยาแอสไพริน, ยาไอบูโปรเฟน (ยาต้านการอักเสบ)

    สวมใส่อย่างไรดี ?
    สวมใส่รองเท้าที่ใส่สบายและปกป้องเป็นอย่างดี

    สวมใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมผิวหนังทั้งหมด เพื่อป้องกันแสงแดดจากดวงอาทิตย์ และ สเปรย์พริกไทย

    อุปกรณ์ป้องกันดวงตา เช่น แว่นกันแดด แว่นว่ายน้ำ หรือ หน้ากากป้องกันแก๊ส

    แว่นตาหรือหน้ากากป้องกันแก๊ส ควรมาพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจ เพื่อป้องกันการต่อสู้ที่ใช้อาวุธทางเคมี

    เสื้อกันฝน หรือ หมวกกันแสงอาทิตย์ (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ)

    ถุงมืออย่างหนา ในกรณีที่ต้องจับถังแก๊สน้ำตา fresh clothes in plastic bag (in case yours get contaminated)

    เสื้อผ้าตัวใหม่ที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก (ในกรณีที่โดนสารปนเปื้อน)

    หมวกแก็ปหรือหมวกที่ใช้ป้องกันแสงอาทิตย์และอาวุธทางเคมี

    ควรนำอะไรไปบ้าง ?
    น้ำบรรจุในขวดที่มีหัวสเปรย์ ใช้สำหรับดื่ม หรือล้างหน้าและตา

    energy snacks ขนมขบเคี้ยวที่ให้พลังงาน

    ข้อมูลที่ระบุตัวตนหรือข้อมูลที่สามารถติดต่อในกรณีฉุกเฉินได้
    เงิน ในกรณีที่ต้องใช้สำหรับโทรศัพย์, อาหาร, หรือ ยานพาหนะ
    นาฬิกา,กระดาษ, ปากกา เพื่อสามารถระบุเหตุการณ์แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อย่างแม่นยำ

    น้ำ หรือ ครีมป้องกันแดดที่เป็นแอลกอฮอล์

    ยาประจำตัว

    ใบสั่งยาจากแพทย์

    ผ้าอนามัย (หากจำเป็น) หลีกเลี่ยงผ้าอนามัยแบบสอด เนื่องจาก คุณอาจไม่ได้เปลี่ยนในกรณีที่ถูกจับ (หากไม่เปลี่ยนผ้าอนามัยแบบสอดมากกว่า 6 ชั่วโมง จะเพิ่มอัตราเสี่ยงอาการติดเชื้อในกระแสเลือด)
    ACTION FASHION FAUX PAS
    สิ่งที่ไม่ควรปฎิบัติ
    ไม่ควรทาวาสลีน, ออยล์ที่มีส่วนผสมของแร่, สารป้องกันแดดหรือมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของออยล์ บนผิวหนัง เนื่องจากสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการจับสารเคมี

    ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ เพราะคอนแทคเลนส์อาจจับสารเคมีเข้าไปภายในลูกตาได้

    ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับที่สามารถจับฉวยได้ง่าย เช่น ตุ้มหู อัญมณีต่างๆ เน็คไท หรือ ปล่อยผม

    ไม่ควรเข้ากลุ่มประท้วงเพียงลำพัง ทางที่ดีที่สุดควรไปกับกลุ่มใกล้ชิด หรือเพื่อนที่รู้จักคุณ

    อย่าลืมนอนหลับ รับประทานอาหารให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้เยอะๆ เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในการประท้วงได้ แก๊สน้ำตา) และเสปรย์พริกไทย

    แก๊สน้ำตา (หรือ CS,CN,CX)และเสปรย์พริกไทย ( OC) คือ ส่วนผสมของสารเคมี ที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ในการสลายม็อบและฝูงชน มีคุณสมบัติที่ทำให้เยื่อบุภายในช่องปากและโพรงจมูกเกิดอาการระคายเคือง หน่วยงานป้องกันด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่า แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย มีส่วนผสมของตัวทำละลายที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง หรือ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมได้ และถ้าหากตัวทำละลายเหล่านี้มีความเป็นพิษสูง ก็จะก่อให้เกิด ภาวะสับสนทางจิต, ปวดศีรษะ, ปวดขา, หัวใจเต้นแรง,ภาพหลอน, ปัญหาประจำเดือน, การแท้ง, และผลกระทบต่อปอดและระบบย่อยอาหาร
    จะเกิดอะไรขึ้นหากโดนแก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย ?
    ทั้งแก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยจะส่งผลให้ผิวหนังระคายเคือง ปวดไหม้ น้ำไหลออกมาจากตา จมูก ปาก รวมทั้งทางเดินหายใน สเปรย์พริกไทย นั้น ถือเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตสำหรับเจ้าหน้าตำรวจทั้งหลาย เนื่องจาก มันมีคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดโดยฉับพลัน และขจัดออกจากผิวหยังได้ยาก
    อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ อาการต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ความเจ็บปวดจากแก๊สน้ำตาจะหายไปหลังจากสัมผัสแล้วประมาณ 5-30 นาที ส่วนสเปรย์พริกไทยนั้น อาจใช้เวลามากกว่า คือประมาณ 20 ถึง 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแต่ละบุคคลด้วย
    การป้องกัน
    สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงส่วนใหญ่ แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยจะออกฤทธิ์เพียงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคน มันอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตเป็นเวลาที่นานกว่า ซึ่งบุคคลที่มีลักษณะอาการต่อไปนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย
    Conditions
    บุคคลที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หรือ ถุงลมโป่งพอง เป็นต้น

    เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    สตรีมีครรภ์ หรือ สตรีที่ต้องการตั้งครรภ์

    ผดุงครรภ์

    บุคคลที่เป็นโรคผิวหนัง เช่น สิวอักเสบ เรื้อน หรือมีปัญหาที่ดวงตา

    บุคคลที่สวมคอนแทคเลนส์ อาจเสี่ยงต่อสารเคมีที่จับภายใต้เลนส์

    วิธีป้องกันตัว
    หลีกเลี่ยงการใช้ออยล์ โลชั่นและ ผงซักฟอก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีคุณสมบัติในการจับสารเคมี ควรซักเสื้อผ้า สระผม และอาบน้ำ ด้วยสิ่งชำระสกปรกที่ไม่มีส่วนผสมของผงซักฟอก จะปลอดภัยที่สุด
    แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของน้ำหรือแอลกอฮอล์ (ไม่ควรใช้ครีมที่มีออยล์เป็นส่วนผสม)

    ควรสวมเสื้อผ้าที่ปกคลุมผิวหนังที่สุด รวมทั้งสวมหมวก เพื่อป้องกันแสงอาทิตย์

    หน้ากากป้องกันแก๊สเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันใบหน้าได้ดีที่สุด ซึ่งต้องเลือกที่ฟิตและปกปิดใบหน้าพอดี หรือ อาจใช้แว่นป้องกันที่มีแลนส์กันแตก, เครื่องช่วยหายใจ , อุปกรณ์ปิดจมูกและปาก

    จะรับมืออย่างไร ?
    ควรอยู่ในความสงบเพราะถ้ายิ่งตื่นตกใจก็จะยิ่งทำให้เกิดความระคายเคือง ลึหายใจช้าๆ และ ระลึกไว้ว่า อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพี่ยงชั่วคราวเท่านั้น

    หากเห็นว่ามีการยิงแก๊สน้ำตาหรือสเปรย์พริกไทยหรือมีสัญญาณเตือน ควรรีบสวมอุปกรณ์ป้องกัน หากเป็นไปได้ ให้เคลื่อนหนีและอยู่ในตำแหน่งเหนือลมให้เร็วที่สุด

    หากสัมผัสแก๊สน้ำตาหรือสเปรย์พริกไทย ให้รีบสั่งน้ำมูก, บ้วนน้ำ, ไอ และ พ่นน้ำลาย พยายามอย่ากลืน

    หากสวมคอนแทคเลนส์ พยาถอดคอนแทคเลนส์ออกหรือให้คนอื่นช่วยถอดออก ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะอาด และ นิ้วมือไม่มีสิ่งปนเปื้อนด้วย


    ข้อมูลจาก
    http://www.starhawk.org<WBR>/activism/teargas.html

    </CENTER>
     
  13. wichitt

    wichitt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +4,132
    โดยปกติทุกครั้งที่ผมใข้บัตรเครดิต ผมก็จะเก็บสลิปไว้ นอกจากนั้นผมก็จะลงรายการการใช้บัตรไว้ทุกครั้งในไฟล์ excel เพื่อใช้ในการตรวจสอบกับ statement ที่แจ้งมาทุกครั้งครับ ก็อยากให้พวกเราทำเหมือนผมเหมือนกันหากเกิดปัญหาอะไรจะได้มีหลักฐานครับ
     
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ตอนนี้อาราธนาพระพิมพ์พุทธประวัติ ที่ได้มาจากพี่หนุ่มขึ้นคอเรียบร้อยแล้วครับ
    ขออนุโมทนาบุญกับพี่หนุ่มด้วยนะครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รายละเอียดพระพิมพ์และวัตถุมงคล ที่มอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว 102 บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 189-0-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ ( http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=68899 ) จะอยู่ในหน้าแรกของกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

    ส่วนยอดคงเหลือ ผมจะแจ้งให้ทราบในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิและกระทู้พระวังหน้า ฯเป็นระยะครับ (เป็นลิ้งค์ทั้งสองกระทู้ครับ)
     
  17. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ดอกอะไรไหว้พระดีที่สุด

    เป็นคำถามที่หลวงปู่ทองดี อนีโฆ ได้ถามพระบวชใหม่ตอนงานฝังลูกนิมิตวัดใหม่ปลายห้วย พระแต่ละรูปก็ตอบตามแต่ท่านจะคิดได้

    หลวงปู่ท่านเฉลยว่า

    ดอกที่ไหว้พระดีที่สุด ก็คือ ดอกบัว ทำไมถึงว่าดอกบัวไหว้พระดีที่สุด ดอกบัวมาจากโคลนตมมีแต่สิ่งโสโครก เปรียบเหมือนตัวเราที่มาจากท้องพ่อท้องแม่ที่มีแต่เลือดแต่หนอง พยายามทะยานเติบโตมาถึงบูชาพระได้ ใบบัวเหมือนสิ่งที่แยกออกจากกาย ใบบัวนี่น้ำสาดไปเท่าไรมันก็ไม่ยอมจับยอมติด น้ำขึ้นบนใบบัว แต่คนเรานี่พอใจเข้าไปจับอารมณ์ เมื่อจับในอารมณ์ก็เลยเกิดแผลง่ายอย่างยิ่งยวด มีใบบัวเท่านั้นที่มันไม่ยอมจับกิเลส

    ใจคือใบ

    กายคือดอก

    ดอกบัวมีค่าที่สุด เราเอากายเรานี่เอาใจเรานี่ถวายดีที่สุด เปรียบเหมือนดอกบัวกับใบบัวที่ขึ้นจากน้ำ รูปกับนามต้องแยกออกจากกัน โดยนามไม่จับกิเลส รูปมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น พอนามจับกิเลสมันก็ปรุงแต่งออกมาที่รูป

    เกิดมันก็ดับ เสียงเกิดเข้าหู เกิดขณะพูด ดับขณะหยุด เราพิจารณาไปเรื่อยๆ บางทีเราต้องการที่จะทำ เราทำถึงไหน ดีชั่วรู้ตัว รู้ตัวเราแค่ไหน รู้ตัวแบบโง่ๆหรือแบบฉลาดๆ บางทีฉลาดอวดโง่ โง่อวดฉลาด หลายคนบางทีไม่อยากเจ็บไม่อยากไข้อยากหนีความเจ็บปวด แต่มันก็หนีความเป็นธรรมดาไปไม่พ้นหรอกลูก พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นของธรรมดา มีอยู่ทางเดียวคือการเจริญมหาอิทธิบาทสี่ มหาที่จะไปอิทธิบาทสี่ เกิดมหาอิทธิบาทสี่

    ที่มาhttp://www.sawangburi.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=639#5675
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันนี้ได้อัญเชิญพระธาตุสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวา และพระธาตุโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้ายถวายหลวงปู่ทองดี อนีโฆ เจ้าอาวาสวัดใหม่ปลายห้วย เพื่อบรรจุองค์พระสารีบุตร และองค์พระโมคคัลลานะที่กำลังจัดสร้างอยู่ หลวงปู่ได้ให้พรว่า "บุญที่สร้างนี้ดีแล้ว ขอให้สร้างบุญต่อไปเรื่อยๆ คราใดที่ทำบุญ เมื่อนั้นขอให้นึกว่าหลวงปู่ได้ร่วมบุญด้วย"
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010124.JPG
      P1010124.JPG
      ขนาดไฟล์:
      205.9 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010121.JPG
      P1010121.JPG
      ขนาดไฟล์:
      124.5 KB
      เปิดดู:
      32
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ภาพหลวงปู่อิเกสาโรองค์ใหญ่ที่วัดใหม่ปลายห้วยกำลังจัดสร้างกันอยู่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอขมาพระรัตนตรัย
    การถวายพระธาตุสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวา และพระธาตุโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้ายนี้ หากข้าพเจ้า ได้กระทำการพลั้งพลาด และเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยด้วยประการทั้งปวงแล้วนี้ ขอสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากุกกุสันโธ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง ๕ พระองค์ หลวงปู่สมเด็จโต พรหมรังสีโปรดได้อดโทษ และอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งแต่วันนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

    ขออารธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทพ เทพยดา อาจารย์ทั้งหลายๆสืบๆกันมา โดยมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่พระฤาษีคุรุบาบาจี หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด

    ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากการถวายพระธาตุสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวา และพระธาตุโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้ายแด่หลวงปู่ทองดี อนีโฆ เจ้าอาวาสวัดใหม่ปลายห้วยเพื่อบรรจุองค์พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะที่กำลังดำเนินการจัดสร้างในครั้งนี้ ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทพ เทพดา อาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมาโดยมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่พระฤาษีคุรุบาบาจี หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด พระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ เทพเทวาทั่วสากลพิภพ ขอพระยายมราช และท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ จงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

    ขออุทิศส่วนกุศลนี้แด่บูรพกษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา จวบจนถึงบูรพกษัตราธิราชในราชวงศ์จักรีอันมีสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ ๑ จนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชรัชกาลที่ ๙ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนารทวังหน้าองค์ที่ ๑ ในราชวงศ์จักรี จนถึงกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ วังหน้าองค์ที่ ๕ ในราชวงศ์จักรี

    ขออุทิศส่วนกุศลนี้แด่เทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาพระวังหน้า พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ทุกๆองค์ ทุกๆพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ครอบครอง พระอริยสงฆ์ที่ได้เสกพระพิมพ์ทุกๆองค์ เจ้าของสถานที่ พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ววังหน้า และวัดพระแก้ววังหลวงที่ใช้เป็นสถานที่ในการปลุกเสกองค์พระ ช่างสิบหมู่ทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในการสร้างพระวังหน้า และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ขออุทิศส่วนกุศลนี้แด่เทพเทวาที่ปกปักรักษาพระเครื่องของวัดท่าซุง ทุกๆพิมพ์ ทุกๆองค์ที่ข้าพเจ้าได้ครอบครอง รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรขององค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงที่องค์หลวงพ่อฤาษีฯได้เคยล่วงเกินมาแต่ชาติไหนๆก็ดี จนถึงชาติสุดท้ายนี้ที่ยังไม่ถึงสิ้นอาสวะวัฏสงสารขอได้มาโมทนาส่วนบุญส่วนกุศลนี้

    ขออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินมาแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี จะด้วยเจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ใช่ญาติ หรือไม่ใช่ญาติก็ดี ขอจงได้อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน

    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ หากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงไร ขอความคล่องตัว และขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ<!-- / message --><!-- sig -->

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->

    หลวงปู่ทองดี เป็นพระที่รู้วาระจิตของลูกศิษย์ หรือบุคคลที่ไปกราบนมัสการท่าน เป็นเพราะบทอุทิศส่วนกุศลที่ผมใช้เป็นปกตินี้เองหรือไม่ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ให้พรแบบข้างต้น เหมือนหลวงปู่ทราบว่า ผมได้ระลึกถึงหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรตลอดเวลา เวลาทำบุญก็มักจะอุทิศแบบนี้ ท่านจึงมาร่วมด้วยทุกครั้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...