พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประดับธงช้างฉลอง 100 ปี เสด็จประพาสยุโรปฯ ปกป้องสยาม
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=143803&NewsType=1&Template=1

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top>วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ถือเป็นวันที่ มีความหมายอย่าง ยิ่ง ด้วยตรงกับ วันปิยมหาราช และตรงกับปีครบรอบ 100 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2450-2550) เพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น

    ด้วยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย ในการปกป้องรักษาผืนแผ่นดินสยามให้หลุดพ้นจากสภาพเมืองขึ้น และคงความเป็นเอกราชเพื่อให้ลูกหลานชาวไทยได้มีแผ่นดินอยู่สืบไปกระทั่งทุกวันนี้...

    พิพิธภัณฑ์ธงสยาม โดย อาจารย์พฤฒิพล ประชุมผล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธงสยาม จึงได้จัดทำ โครงการติดตั้งเสาธงเพื่อประดับธงสยาม หรือธงช้างที่สูงที่สุดในประเทศไทย บนดาดฟ้าของอาคารพิพิธภัณฑ์ ธงสยาม ซึ่งถือเป็นเสาธงที่ ทันสมัยที่สุดในโลกแบบหนึ่ง สามารถเก็บเชือกไว้ภายในเสาธงได้วัสดุที่ใช้เป็นไฟเบอร์กลาส มาตรฐานยุโรป ยอดเสาประดับด้วยลูกแก้วเคลือบทองด้านใน โดยเมื่อติดตั้งแล้วจะมีความสูงโดยรวมจากพื้นดินประมาณเกือบ 30 เมตร

    อาจารย์พฤฒิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า พิธีอัญเชิญธงสยาม (ธงช้าง) ขึ้นสู่ยอดเสาซึ่งจะมี ขึ้นในวันนี้ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 จะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดย อาจารย์ปรียานุช นาคคง อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อำนวย การพิพิธภัณฑ์ของจิ๋วและเลขา ธิการมูลนิธิพิพิธภัณฑ์ไทย พร้อม ด้วย อาจารย์กรรณิการ์ ชีวภักดี
    ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์การกระ จายเสียงและหอจดหมายเหตุกรมประชาสัมพันธ์ ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์โสตทัศน์แห่งชาติ จะร่วมกันทำการอัญเชิญธงช้างที่วางอยู่บนพานทองขึ้นผูกกับเชือก

    จากนั้น อาจารย์ดรุณีนาถ นาคคง ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์ ไทย ผู้ได้รับรางวัลพระราชทานบุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรมและรางวัลเพชรสยาม พร้อมด้วย อาจารย์เอนก นาวิกมูล ผู้ที่ได้รับรางวัลสังข์เงิน รางวัลเพชรสยาม นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ นักเขียน และเป็นผู้อำนวยการบ้านพิพิธ ภัณฑ์ ที่ทุกคนรู้จักกันดี จะร่วม กันอัญเชิญธงช้างขึ้นสู่ยอดเสา มีการยิงสปอตไลต์จาก 2 ข้างของอาคาร โดยลำแสงจะพุ่งสู่ธงสยามที่ประดับอยู่บนยอด ดูสวยงามจับใจไทยทั้งหล้า พร้อมกันนั้น ภายในงานจะมีการจัดตั้งรูปหล่อองค์พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องบูชา และพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อให้ทุกท่านที่มาร่วมงานได้ร่วมกันกราบไหว้สักการะรำลึกถึงพระมหากรุณา ธิคุณของพระองค์ท่านด้วย

    นับเป็นอีกหนึ่งความ จงรักภักดีที่ประชาชนชาวไทยร่วมใจจัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ พร้อมรำลึกถึงพระมหากรุณา ธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 5 เนื่องในโอกาสสำคัญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 122.JPG
      122.JPG
      ขนาดไฟล์:
      12.6 KB
      เปิดดู:
      1,994
    • 123.JPG
      123.JPG
      ขนาดไฟล์:
      68.5 KB
      เปิดดู:
      1,877
    • 124.JPG
      124.JPG
      ขนาดไฟล์:
      19.1 KB
      เปิดดู:
      191
    • 125.JPG
      125.JPG
      ขนาดไฟล์:
      47.2 KB
      เปิดดู:
      190
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/news_detial.php?s_tag=01act03231050&day=2007-10-23&sectionid=0130


    วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10818

    ปิยมหาราชานุสรณ์


    โดย วสิษฐ เดชกุญชร



    เพราะรู้ว่าวันอังคารนี้ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม อันเป็นวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ของเราชาวไทย ผมจึงย้อนกลับไปอ่านพระราชประวัติของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

    อ่านแล้วก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจอีกที่ได้รู้ว่า ในช่วงเวลา 42 ปี ของการครองราชย์นั้น แม้จะต้องทรงเผชิญกับอุปสรรคน้อยใหญ่นานาประการ ทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ แต่พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นก็ได้ทรงทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์มหาศาลแก่เมืองไทยและคนไทยในรัชสมัยของพระองค์ และหลายอย่างยังเป็นมรดกตกทอดมาจนถึง และเป็นประโยชน์แก่เมืองไทยและคนไทยในปัจจุบันด้วย

    เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ พระชันษาได้เพียง 15 เพราะฉะนั้น การปกครองบ้านเมืองจึงอยู่ในมือของขุนนาง (คือข้าราชการในสมัยนี้) ซึ่งมี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้นำ ตระกูลบุนนาคเป็นตระกูลที่มีบารมีและอิทธิพลมากในสมัยนั้น เพราะนอกจากจะเป็นราชนิกุล (คือเป็นญาติกับสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 1) แล้ว หลายคนในตระกูลยังรับราชการและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์สูงถึงเป็นเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยากันเป็นแถว อำนาจการปกครองจริงๆ นั้นอยู่ในมือของขุนนาง จนกระทั่งเมื่อทรงเจริญพระชนมายุถึง 20 พรรษา มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2414 ได้ทรงรับพระราชภาระในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์จริงๆ งานหนักชิ้นแรกของพระองค์จึงได้แก่การฟื้นฟูพระราชอำนาจการปกครอง เพื่อให้กลับคืนมาสู่พระมหากษัตริย์

    นอกจากขุนนางแล้ว ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งก็คือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ "วังหน้า" ซึ่งหมายถึงพระมหาอุปราช ในสมัยนั้นคือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระโอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งแม้จะทรงเป็นพระอนุชา แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยกย่องให้มีฐานะเท่าพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง วังหน้าหรือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สนับสนุน และเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ให้โอนทั้งข้าราชการพลเรือนและทหารในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ไปขึ้นกับกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทั้งหมด โดยไม่ลดกำลัง ทำให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญมีอำนาจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระมหากษัตริย์

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มปฏิรูปสังคม ศาล และการคลัง จึงต้องทรงเผชิญอุปสรรคใหญ่สองอย่างนั้นทันที การเลิกทาสที่ในปัจจุบันยกย่องว่าเป็นการพระราชทานอิสรภาพและสิทธิมนุษยชนให้แก่คนไทยนั้น จึงมิได้เป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากปัญหา เพราะทั้งขุนนาง (ซึ่งใช้ทาส) และเจ้าของทาสไม่เห็นด้วย การปรับปรุงระบบศาลและรวมศาลเข้าด้วยกัน ก็มีผู้ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะก่อนหน้านั้นศาลหลายชนิดกระจายกันอยู่ในกรมต่างๆ และขุนนางในกรมเหล่านั้นก็ได้ประโยชน์จากศาลเหล่านั้น ยิ่งการปฏิรูปการคลังอันเป็นการลิดรอนประโยชน์ที่ขุนนางและวังหน้าเคยได้จากภาษีอากรด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ขุนนางไม่พอใจ และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญก็ทรงไม่พอพระทัยด้วย วังหน้านั้นเคยมีอำนาจ ตั้งเจ้าภาษีของตนเองได้

    แม้จะทรงมีปัญหาและอุปสรรค แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงย่อท้อ แต่ทรงอาศัยความรู้และสติปัญญาของพระราชวงศ์และขุนนางที่ทรงเลือก เดินหน้าปฏิรูปการปกครองจนสำเร็จ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงกับทรงเรียกว่าเป็นการ "พลิกแผ่นดิน" หรือปฏิวัติ ทรงเพิ่มจำนวนกรมอันเป็นส่วนราชการสูงที่สุดในสมัยนั้นจาก 6 เป็น 12 กรม ต่อมาใน พ.ศ.2435 กรมเหล่านั้นก็กลายเป็นกระทรวง ใช่แต่เท่านั้น ยังทรงริเริ่มให้มีการทดลองระเบียบราชการใหม่และโปรดให้มีการฝึกผู้ที่จะเป็นเสนาบดี (คือรัฐมนตรี) ด้วย

    ในส่วนภูมิภาคนั้น ก็ทรง "พลิกแผ่นดิน" เช่นกัน ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากแบบราชาธิราช (empire คือจักรวรรดิ) มาเป็นพระราชอาณาเขต (kingdom หรือพระราชอาณาจักร) แล้วรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งสิ้น ที่เคยแยกกันดูแลโดยสามกรม คือ กรมกลาโหม กรมมหาดไทย และกรมท่า ให้เข้ามาไว้ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว แบ่งภาคการปกครองออกเป็นมณฑลเทศาภิบาล โดยแต่ละมณฑลมีสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้บังคับบัญชาบริหาร และทรงนำระบบเงินเดือนมาใช้แทนการ "กินเมือง" ที่ใช้กันมาแต่โบราณกาล

    ความมีสายพระเนตรไกลนั้น จะเห็นได้จากการออกพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.2440 จัดระเบียบการปกครองส่วนภูมิภาคใหม่จากเมืองลงไปจนถึงหมู่บ้าน และที่ยืนยันว่าทรงเห็นความสำคัญของประชาชนระดับรากหญ้า ก็คือการตั้งสุขาภิบาลตำบลบ้านตลาด-ท่าฉลอมขึ้น อันเป็นที่มาของเทศบาลในปัจจุบัน

    การเสด็จ "ประพาสต้น" ซึ่งเป็นการเสด็จฯ เยี่ยมประชาชนแบบใกล้ชิด แต่ลำลองและไม่ทรงเปิดเผยพระองค์ ทำให้ทรงทราบถึงปัญหาในชีวิตความเป็นอยู่ของเขาอย่างแท้จริง ไม่ต้องสงสัยว่า คงจะได้ทรงนำข้อมูลที่ทรงได้มานั้น มาประยุกต์เป็นหลักในการปฏิรูปอย่างแน่นอน

    พระราชปณิธานที่จะนำระบอบประชาธิปไตยมาสู่ประเทศไทยนั้น จะเห็นได้จากพระราชดำรัสที่พระราชทานในที่ประชุมเสนาบดีใน พ.ศ.2453 (ปีที่เสด็จสวรรคต) ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า "...ฉันจะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้แก่พลเมือง ในทันที่ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ ในขณะสืบตำแหน่งกษัตริย์ กล่าวคือ ฉันจะให้เขาให้ปาลิเมนต์และคอนสติติวชั่น..."

    "ปาลิเมนต์" คือ parliament (รัฐสภา) "คอนสติติวชั่น" คือ constitution (รัฐธรรมนูญ)

    พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อเมืองไทยและคนไทยนั้น สมควรที่คนไทยควรจะรำลึกถึงและสนอง มิใช่ด้วยการนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาและบนบานศาลกล่าวขอโชคขอลาภจาก "เสด็จพ่อ ร.5" แต่ด้วยการพยายามทำหน้าที่ของแต่ละคนให้สมบูรณ์ เพื่อสืบทอดพระราชปณิธานที่จะปฏิรูปและทำเมืองไทยให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/16/WW55_5509_news.php?newsid=192932


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>อย.ดำเนินคดีผลิตภัณฑ์ 'ออกซิเจนน้ำ' อวดอ้างรักษาโรค
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>16 ตุลาคม พ.ศ. 2550 22:38:00
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180 align=left bgColor=#ffffdd border=0><TBODY><TR><TD class=difcursor vAlign=top align=middle width=180>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    อย.ดำเนินคดีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เอโดซี” อ้างเป็นออกซิเจนน้ำ ข้อหาโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต และโฆษณาอาหารเป็นเท็จ อ้างรักษาสารพัดโรค แต่ยังจำหน่ายได้ เพราะขึ้นทะเบียนถูกต้อง
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวว่า ได้แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัท สยามไบโอเทคและอุตสาหกรรมเภสัช จำกัด ผู้ผลิต และบริษัท วินเนอร์ ไวน์ เวิร์ลด จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เอโดซี” ที่อวดอ้างว่าเป็นออกซิเจนน้ำ จำหน่ายในราคาสำหรับสมาชิก 950 บาท ราคาขายปลีก 1,250 บาท ขนาดบรรจุ 15 มิลลิกรัม
    อ้างมีสรรพคุณรักษาโรคเรื้อรังได้หายขาด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผ่านระบบการขายตรง มีผู้บริโภคหลงเชื่อจำนวนมาก
    แต่หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ไม่สามารถรักษาโรคได้ จึงดำเนินคดีในข้อหาโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาหาร มาตรา 41 มีโทษตามมาตรา 71 ปรับไม่เกิน 5,000 บาท และข้อหาโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงให้หลงเชื่อโดยไม่สมควร ตามมาตรา 40 มีโทษตามมาตรา 70 ต้องจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    ทั้งนี้ ในส่วนภูมิภาคหลายจังหวัดก็ได้มีการดำเนินคดีกับผู้แทนขายตรงผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในข้อหาเดียวกัน ส่วนผลิตภัณฑ์เอโดซี ยังจำหน่ายได้ เพราะได้ขึ้นทะเบียนกับ อย.ถูกต้อง ได้รับเลขสารบบ-อาหารที่ 10-1-30547-1-0037 มีส่วนประกอบของจมูกข้าวสาลี ผงโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง ผงมะละกอ สารสกัดจากแครอท สารสกัดจากงาดำ สารสกัดจากผักชี ผงผักโขม และสารสกัดจากถั่วขาว
    “อย.สั่งระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอโดซีแล้ว การค้นบริษัทจัดจำหน่ายพบข้อความที่กล่าวถึงคุณประโยชน์ คุณภาพหรือสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งข้อความเหล่านั้นยังไม่ได้รับอนุญาตให้โฆษณา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง”
    นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ อย.อยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ว่าด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยให้แสดงข้อความว่า “ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค” ที่ฉลากอาหาร จึงขอให้ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในลักษณะที่อวดอ้างว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค
    โดยเฉพาะการโฆษณาขายตรง เพราะอาจเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากโดยไม่จำเป็น และอาจเสียโอกาสในการรักษาโรคอย่างถูกต้อง
    นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวด้วยว่า การแก้ปัญหาระยะยาวจะปรับแก้ พ.ร.บ.อาหาร เพิ่มโทษกรณีโฆษณาอวดอ้างเกินจริง หากมีการกระทำผิดให้เป็นผู้รับผิดชอบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องให้ผู้บริโภครับทราบผ่านสื่อต่างๆ อีกทั้ง อย.อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อผลิตเสริมอาหารที่เข้าข่ายทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคทราบต่อไป หากเห็นการโฆษณาในลักษณะอวดอ้างสรรพคุณในรูปแบบขายตรง การจัดประชุม การโฆษณาทางเว็บไซต์ สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศหรือสายด่วน อย.1556 เพื่อตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bangkokbiznews.com/jud/taste/

    t-break
    <!--lead-->



    <!--lead-->กาแฟหลายรส...
    ออสโซ่ บูโค่

    ในที่สุด กาแฟสดพรีเมียมสัญชาตินอก ก็เพิ่งฉลองสาขาที่ 100 ในเมืองไทยไปไม่นาน...
    สตาร์บัคส์ (Starbucks) ไม่เพียงเปิดครบ 100 แห่ง ในเมืองไทย หากยังรุกคนจีนด้วยไปเปิดสาขารับกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่ง นั่นอาจหมายถึง ผู้คนนิยมดื่มกาแฟรสชาติที่โปรดปราน แม้จะจ่ายแพงสักหน่อย หากคิดว่าคุ้มและเป็น "ประสบการณ์"
    กาแฟยี่ห้อนี้ขายทั้งกาแฟ ประสบการณ์ และบรรยากาศในร้านกาแฟ คอกาแฟต่างเข้าใจดี และปีนี้ สตาร์บัคส์ มีอายุครบ 25 ปี โดยแนะนำตัวครั้งแรกในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1996 ถึงปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองอายุครบเบญจเพส โอกาสดีเช่นนี้ สตาร์บัคส์ขอแนะนำกาแฟชนิดพิเศษ 3 ชนิด ได้แก่ 1. Starbuck Anniversary Blend กาแฟรสชาติพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟบ่ม (Aged) 2. Starbuck Espresso Roast และ 3. Black Apron Exclusives Sumatra Siborong Borong
    ก่อนจะทำพิธีคอฟฟี่ เทสติ้ง กาแฟทั้ง 3 ชนิดนี้ คุณรจนา หอมสิน สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ แอมบาสเดอร์ พาไปร่วมทดลองประสบการณ์ "กลิ่น" ของผลไม้และเครื่องเทศต่างๆ เป็นชนิดสดที่เตรียมมาให้คอกาแฟลองสูดกลิ่นแท้ๆ ของผลผลิตตามธรรมชาติ ให้จดจำไว้ แล้วลงมือชงกาแฟ 3 ชนิด โดยไม่บอกว่าเป็นชนิดใด ชงแล้วค่อยๆ สูดกลิ่นหอมสดชื่นของกาแฟสด ค่อยๆ จิบตามวิธีที่ผู้รู้เรื่องกาแฟแนะนำ แล้วให้ลองทายดูว่า เป็นกาแฟชนิดไหน มีกลิ่นของผลไม้เครื่องเทศอะไรบ้าง
    เช่น กลิ่นของส้มสดแมนดาริน กีวีสด ลูกเบอร์รี่ ผลเกรพฟรุ้ต สตรอว์เบอร์รี ถั่วลิสง เห็ดสด มะนาว และเครื่องเทศ การดมกลิ่นต่างๆ เหล่านี้เพื่อแยกแยะรสกาแฟที่มีชื่อเรียกตามแหล่งผลิตต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ Nutty Citrus Earthy Herbal Sweet Berry Fruity และ Lemony
    หลังจากทดลองดมกลิ่นผลไม้กับเครื่องเทศแล้ว จมูกรับกลิ่นจะรับรู้ถึงกลิ่นประเภทต่างๆ บางทีแค่ดมก็รู้สึกถึงรสชาติ แต่เมื่อให้ดมกลิ่นของกาแฟที่ชงสดใหม่ บางทีต้องใช้ความสามารถพิเศษไม่น้อย ซึ่งผู้รู้เรื่องกาแฟบอกว่า โดยปกติมนุษย์สามารถรับรู้ถึงกลิ่นและแยกแยะได้ถึง 90% และอโรมาในกาแฟนั้นมีกลิ่นและรสชาติหลากหลาย กาแฟไม่ได้มีแต่รสขมเท่านั้น
    หลังจากลองสูดดมกลิ่นกาแฟหลังชงเสร็จ คุณรจนาก็เฉลยว่า ใครได้กลิ่นถั่วจากรสชาติกาแฟนั่นหมายถึงกาแฟที่มาจากโคลัมเบีย กาแฟที่มีกลิ่นผลไม้และกลิ่นส้มมาจากเคนยา แอฟริกา กาแฟที่มีกลิ่นเหมือนเห็ดสด ออกแนว Earthy และผสานกลิ่นสมุนไพร นี่คือกาแฟ Anniversary Blend จากอินโดนีเซีย
    ทำไมกาแฟจากต่างทวีปถึงมีกลิ่นและให้รสชาติแตกต่างกัน คุณรจนาอธิบายว่า ก็เพราะผืนดินและภูมิอากาศสร้างกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้อนถิ่น โดยพื้นที่ปลูกกาแฟส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเส้นศูนย์สูตรที่ 23 องศา 27 ลิปดาเหนือและใต้ เช่น กาแฟจากแถบละตินอเมริกา ประเทศโคลัมเบีย ให้รสชาตินุ่ม สดชื่น ดื่มง่าย ให้ความรู้สึกถึงรสชาติของโกโก้และถั่ว กาแฟจากต้นกำเนิดแอฟริกาจะมีกลิ่นและรสชาติของผลไม้เมืองร้อนจำพวกส้มและโกโก้ มีรสเข้มขึ้น เช่นกาแฟจากเคนยา ส่วนแถบอาระเบียในทวีปแอฟริกา รสชาติของกาแฟค่อนข้างหลากหลาย มีกลิ่นของลูกเบอร์รี่ เครื่องเทศหายาก ผลไม้เมืองร้อน กลิ่นหอมของมะนาว เกรพฟรุ้ต ดอกไม้และช็อกโกแลต กาแฟจากแถบนี้จึงมีความโดดเด่นเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก ส่วนกาแฟจากเอเซียและแปซิฟิกตอนใต้ จะให้รสชาติของเครื่องเทศสมุนไพร มีน้ำหนักมาก มีความเข้มข้น สูดดมให้ดีจะได้กลิ่นของเห็ดสดบวกสมุนไพร คำเฉลยคือกาแฟจากภูมิภาคต่างๆ และกาแฟชนิดพิเศษในโอกาสฉลอง 25 ปี คือ ชนิดแรกเป็นกาแฟที่นำเสนอครั้งแรกเมื่อปี 1996 เป็นกาแฟหายากจากอินโดนีเซีย มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ซับซ้อน เต็มอิ่ม ให้ความสดชื่น ชนิดที่สอง เอสเพรสโซ่ โรสท์ กาแฟหัวใจสำคัญที่ใช้ทำเครื่องดื่มกาแฟหลายชนิด ส่วนแบล็ค เอพรอน เอ็กซ์คลูซีฟ สุมาตรา สิโบรอง โบรอง คัดสรรพิเศษจากกลุ่มเมล็ดกาแฟหายากของโลก ด้วยปลูกในปริมาณจำกัดจากไร่กาแฟขนาดเล็กจากเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นเมล็ดกาแฟที่ผ่านการรับรองตามแนวทาง C.A.F.E. Practices หรือแนวทางการรับซื้อเมล็ดกาแฟที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คราวหน้า... ก่อนจะดื่มกาแฟสักแก้ว ลองสูดดมความสดชื่นและค่อยๆ รับรู้รสชาติของกาแฟ ที่ไม่มีเพียงมีกลิ่นกาแฟกับรสขม ลองทายดูสิว่า...กาแฟแก้วโปรดของคุณมาจากแผ่นดินใด อาจจะมีกลิ่นผลไม้ เครื่องเทศ ถั่ว กีวี ....@
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="96%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text_15_link vAlign=top height=25>รหัสเอทีเอ็ม 4 หลัก [ ฉบับที่ 838 ประจำวันที่ 20-10-2007 ถึง 23-10-2007] </TD></TR><TR><TD class=text_13_gray>
    > กุญแจเซฟเงินส่วนตัว


    ท่านทราบหรือไม่ว่า เลขรหัส 4 หลัก ที่ท่านใช้ถอนเงินจากเครื่องเอทีเอ็ม ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2007
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=7703

    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=text_15_link vAlign=top height=25>
    รอบรู้เรื่องเครดิต [ ฉบับที่ 837 ประจำวันที่ 17-10-2007 ถึง 19-10-2007]
    </TD></TR><TR><TD class=text_13_gray>
    > สารพันปัญหาหนี้​


    คำถามคำตอบเกี่ยวกับเครดิตบูโรและเคล็ดลับการสร้างความแข็งแรงให้กับสุขภาพทางการเงินยังมีต่อเนื่องมาจนถึงสัปดาห์นี้

    - สถาบันผู้ให้สินเชื่อจะทราบว่าดิฉันมีเงินฝากหรือทรัพย์สินจำนวนเท่าไร จากเครดิตบูโร หรือไม่?

    ตอบ : ข้อมูลที่เครดิตบูโรจัดเก็บมีเพียงชื่อ นามสกุล หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือน ปีเกิด ที่อยู่ และประวัติการขอ การได้รับอนุมัติสินเชื่อ การชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่ได้รับจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกเท่านั้น โดยไม่มีข้อมูลเงินฝากหรือรายได้ เงินเดือน หรือทรัพย์สินอื่นๆ แต่อย่างใด

    - อยากทราบว่า ค้างชำระเป็นเวลานานเพียงไร ชื่อจึงถูกจัดเข้าไปอยู่ในแบล็กลิสต์ ของบริษัทข้อมูลเครดิต?

    ตอบ : ข้อมูลสินเชื่อทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นการชำระตรงเวลาหรือชำระล่าช้า สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตมีหน้าที่ตามกฎหมายในการนำส่งข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าเข้ามาในฐานข้อมูลของบริษัททุกๆ สิ้นเดือน บริษัทมิได้เป็นผู้ระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นแบล็กลิสต์(Blacklist) แต่อย่างใด บริษัทเป็นเพียงผู้บันทึกพฤติกรรมการชำระที่เกิดขึ้นจริงในทุกๆ เดือน

    หากบัญชีใดมีการค้างชำระ รายงานข้อมูลเครดิตก็จะถูกบันทึกว่าค้างชำระเป็นจำนวน เงินเท่าใด และค้างชำระเป็นระยะเวลานานเท่าไร บริษัทมิได้ทำหน้าที่พิจารณาให้หรือไม่ให้สินเชื่อแต่อย่างใด สถาบันการเงินที่ขอเรียกดูข้อมูลจะเป็นผู้พิจารณารายงานข้อมูลเครดิตดังกล่าว ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ อาทิ รายได้ หลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อตัดสินใจอนุมัติหรือไม่อนุมัติสินเชื่อ ภายใต้นโยบายการให้สินเชื่อที่แตกต่างกันไปของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง โดยสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะไม่ได้รายงานให้บริษัททราบว่าเหตุผลในการตอบรับหรือปฏิเสธการให้สินเชื่อ

    - มีใครบ้างที่มีสิทธิ์เข้ามาดูข้อมูลเครดิตของผมจากเครดิตบูโร

    ตอบ : ผู้ที่สามารถเรียกดูข้อมูลเครดิตได้ มีเฉพาะเจ้าของข้อมูล และสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัทที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของสินเชื่อเท่านั้น โดยสามารถยื่นคำขอตรวจสอบเครดิตได้ที่ ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ชั้น 2 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ และทางไปรษณีย์ ทั้งนี้ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้

    - ทำไมสถาบันการเงินแจ้งว่าไม่อนุมัติสินเชื่อให้ดิฉัน ด้วยเหตุผลว่าติด Blacklist ของเครดิตบูโร และ ดิฉันควรทำอย่างไรดี?

    ตอบ : การพิจารณาให้สินเชื่อนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง บริษัทมิได้มีส่วนในการวางกรอบพิจารณาการให้หรือไม่ให้สินเชื่อแต่อย่างใด และมิได้เป็นผู้จัดหรือระบุว่าข้อมูลเครดิตของเจ้าของข้อมูลนั้นเป็นแบล็กลิสต์ (Blacklist) จนเป็นเหตุทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อ บริษัทเพียงแต่เป็นผู้รวบรวมประวัติข้อเท็จจริงตามพฤติกรรมการชำระสินเชื่อของเจ้าของข้อมูล

    หากท่านได้รับการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินใดก็ตามที่เป็นสมาชิกของบริษัท โดยอ้างเหตุมาจากการได้รับรู้ข้อมูลของท่านจากบริษัทข้อมูลเครดิต ตามกฎหมายระบุว่า สถาบันการเงินนั้นจะต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างเป็นทางการโดยเป็นหนังสือแจ้งเหตุผลการปฏิเสธสินเชื่อให้ชัดเจนว่าเป็นผลมาจากข้อมูลเครดิตของบริษัท ซึ่งท่านสามารถนำหนังสือปฎิเสธการขอสินเชื่อดังกล่าวมายื่นขอตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ที่บริษัท ภายใน 30 วันนับจากวันที่ท่านได้รับหนังสือปฏิเสธ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบแต่อย่างใด

    - ข้อมูลในเครดิตบูโรจะเก็บย้อนหลังกี่ปี และเก็บนานแค่ไหน?

    ตอบ : ข้อมูลของบุคคลธรรมดาและข้อมูลของนิติบุคคล กฎหมายกำหนดไว้ว่าให้เก็บไว้ในระบบประมวลผลได้ไม่เกิน 3 ปีและ 5 ปีตามลำดับ นับแต่วันที่สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกรายงานข้อมูลมายังบริษัท

    - สำหรับบัญชีที่ท่านได้ปิดเรียบร้อยแล้วบริษัทจะจัดเก็บไว้เพียง 3 ปีกรณีข้อมูลของบุคคลธรรมดาและ 5 ปีกรณีข้อมูลของนิติบุคคล

    - สำหรับบัญชีที่ท่านยังไม่ได้ปิดสมาชิกจะรายงานข้อมูลการชำระให้แก่บริษัททุกๆ สิ้นเดือน โดยข้อมูลของเดือนใหม่จะเข้าไปแทนที่ข้อมูลเดือนเก่าๆ อย่างต่อเนื่อง และข้อมูลเก่าที่มีระยะเวลาเกินกว่าที่ระบุไว้จะไม่ถูกจัดเก็บ

    - ผมค้างค่าผ่อนรถจักรยานยนต์มากว่า 6 งวด หากผมไปโปะหรือชำระยอดที่ค้างทั้งหมด ข้อมูลของผมจะล้างออกไปจากเครดิตบูโรหรือไม่?

    ตอบ : เมื่อมีการชำระหนี้เสร็จสิ้นทั้งหมดในเดือนใดสถาบันผู้ให้สินเชื่อก็จะรายงานว่าไม่มีภาระหนี้คงเหลือแล้วในเดือนนั้น โดยข้อมูลการค้างชำระเดิมไม่ได้ถูกลบออกไป แต่จะจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น ไม่ได้หมายความว่าชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วข้อมูลจะถูกลบออกไป เพียงแต่จะปรากฏข้อมูลใหม่ว่าได้ชำระเสร็จสิ้นแล้ว

    อย่างไรก็ตาม คุณควรที่จะติดต่อผู้ให้สินเชื่อเพื่อหาทางที่จะชำระยอดค้างให้เรียบร้อย เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการขอสินเชื่อครั้งต่อๆ ไป

    - หากไม่จ่ายค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิต ข้อมูลจะถูกนำส่งบริษัทข้อมูลเครดิตหรือไม่?

    ตอบ : ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งเข้ามาที่บริษัทข้อมูลเครดิตด้วย เพราะข้อมูลในรายงานข้อมูลเครดิตจะไม่ได้แยกว่าเป็นหนี้จากการใช้บัตรเครดิต หรือหนี้จากค่าธรรมเนียม แต่ถ้ามีการขอยกเว้นในภายหลังก็ต้องแจ้งเรื่องให้สถาบันผู้ออกบัตรแก้ไขข้อมูล แล้วส่งมาที่บริษัทข้อมูลเครดิตอีกครั้ง

    - เมื่อปีที่แล้ว เคยขาดส่งค่างวดรถยนต์ แต่ตอนนี้ผมวางแผนจะยื่นขออนุมัติสินเชื่อบ้าน ยังมีโอกาสจะซื้อบ้านอีกครั้งไหม และต้องทำอย่างไรจึงจะกู้ซื้อบ้านได้โดยไม่มี ปัญหาครับ?

    ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าได้มีการชำระสินเชื่อที่เคยค้างชำระย้อนหลังหรือไม่ แม้จะเคยชำระสินเชื่อล่าช้าไม่ตรงเวลา อาจเนื่องมาจากมีปัญหาด้านการเงิน ให้เข้าไปเจรจากับสถาบันการเงินที่ให้กู้เพื่อที่จะลดหนี้หรือยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป และเมื่อท่านได้มีการชำระคืนเรียบร้อย งวดการชำระคืนดังกล่าวจะถูกบันทึกลงในรายงานข้อมูลเครดิตเช่นเดียวกับประวัติการขาดชำระ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการชำระสินเชื่อของคุณ ซึ่งทางสถาบันการเงินที่คุณยื่นขอสินเชื่อในอนาคตจะนำไปประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ อาทิ รายได้ประจำ หลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น อีกครั้ง ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=7714

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=94><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=8><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=25></TD></TR><TR><TD background=../images/bg75.gif height=25></TD></TR><TR><TD height=25></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=160>[​IMG]</TD><TD vAlign=center><TABLE height=94 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=35></TD></TR><TR><TD class=text_white_11 background=../images/bg75.gif height=25></TD></TR><TR><TD vAlign=top height=34><!-- <iframe frameborder=0 scrolling=no width="525" height="25" src="f_display.php" name="search_bar"></iframe> --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><!-- <tr> <td> </td> </tr> --><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="4%"></TD><TD width="96%"><!-- connect database --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=right></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD class=text_15_link vAlign=top height=25>
    เงินชราภาพ 3 เปอร์เซ็นต์...ใช้ยามชรา [ ฉบับที่ 837 ประจำวันที่ 17-10-2007 ถึง 19-10-2007]
    </TD></TR><TR><TD class=text_13_gray>
    ทุกวันนี้จากสภาพเศรษฐกิจที่ผันแปรตลอดเวลาและสภาพของสังคมที่เน้นความเจริญ นิยมชมชอบกับวัตถุนิยม​
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=86093&page=15

    <TABLE class=tborder id=post770909 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 11:04 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#283 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>hero_ultra<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_770909", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 49 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 26 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 319 ครั้ง ใน 47 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_770909 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->บันทึกไว้ เรื่องวังหน้า....

    ตอนปี 2538 ครั้งนึงนั่งเล่นบนกุฏิศรัทธานิมิตร นั่งคุยกับลูกศิษย์ด้วยกันชื่อเสรีเป็นกระเหรี่ยง เสรีบอกได้ยินพวกคนมาทำบุญที่วัดบอกว่าครูบาเมื่อก่อนเป็น ร.5 ผมถามว่า..จริงเหรอ เสรีบอก..ไม่ใช่หรอก พวกลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้พูดไปเรื่อย ผมถามว่า..จริงๆแล้วท่านเป็นใคร เสรีบอก...ไม่รู้เหมือนกัน

    วันหลังมีโอกาส ได้หนังสือรูปเจ้านายในอดีตมา เอามาให้ครูบาดู ดูครูบาจะชอบมาก ผมถามว่า ครูบาในหนังสือเล่มนี้ ครูบาเหมือนใคร ครูบาไม่ตอบ ผมชี้รูปร.5 ครูบาบอกไม่เหมือน แล้วท่านก็ชี้รูป ร.4 ท่านบอกองค์นี้เหมือน แล้วท่านก็พลิกรูปดูต่อ พอถึงรูปพระปิ่นเกล้า ครูบาชี้บอก องค์นี้เหมือนกว่า
    แล้วท่านก็ถาม วิชัยชาญ อยู่ไหน.. วิชัยชาญ อยู่ไหน ตอนนั้นผมไม่รู้จักใครชื่อวิชัยชาญ พอดีเปิดไปเจอพอดี ท่านบอก นี่ไง(วิชัยชาญ) รูปนี้ เหมือนที่สุด

    หลังจากนั้น มีโอกาส เอารูปของพระปิ่นเกล้า คู่กับ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญใส่กรอบรูปไปถวายท่าน ครูบาตอนได้รับ ท่านยิ้มๆ ท่านเล่าเรื่องให้ฟังอีก เป็นภาษากระเหรี่ยงฟังไม่ออก ให้พวกกระเหรี่ยงฟังในห้องนอน อยู่กันสัก20กว่าคนได้ จำได้ว่ามีสุรินทร์ด้วย ถามสุรินทร์ว่าครูบาเล่าอะไร ให้สุรินทร์แปลให้ฟัง วันนั้นท่านเล่าเรื่องนี้นานมาก ครูบาเอารูปที่ถวายให้คนไปแขวนไว้ที่ห้อง

    ครูบาบอกลูกศิษย์ว่า ..เมื่อ(ชาติ)ก่อน กูไม่ใจดีแบบ(ชาติ)นี้


    ตอนหลังท่านถามผมอีกว่า รู้จักอีกคนที่อยู่พระตะบองไหม ผมบอกชื่ออะไรครับ ครูบาบอก..ลืมไปแล้ว จำชื่อไม่ได้ มันนานมาแล้ว

    ภายหลังก็ไม่ได้คุยกับครูบาเรื่องนี้อีกเลย เรื่องมันผ่านมานานแล้วจริงๆ รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    <!-- / message -->



    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ***************************************************

    ก็ต้องมายืนยันในคำพูดเดิมๆ


    [​IMG]

    จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช

    ไม่ใช่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ เนื่องจากกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านยังมิได้ทิวงคตจริง แล้วจะไปเกิดใหม่ได้อย่างไร

    ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ในคำพูดเดิมครับ

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2007
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหตุที่ต้องยืนยัน เนื่องจากข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ได้ประสบกับตนเอง มีหลายๆเรื่อง แต่จะไม่นำมาเล่าลงบนบอร์ด เพราะว่าบางเรื่องรู้แล้วก็ไม่มีประโยชน์กับท่านผู้อ่าน ส่วนที่มีประโยชน์ผมได้ลงไปหลายครั้งแล้วครับ

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กทม.เผยอีก 8 ปี กรุงเทพฯมีโอกาสจมน้ำ
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000125524
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 ตุลาคม 2550 10:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> กทม.เผย กรุงเทพฯมีโอกาสจมน้ำในอีก 8 ปี หลังสถาบันเวิลด์ วอตช์ ออกมาระบุว่า กทม. เป็น 1 ใน 21 เมือง จาก 33 ประเทศ ที่จะจมน้ำในปี 2558 ขณะที่สั่งให้ทุกหน่วยงานเตรียมรับมือน้ำทะเลหนุนสูงระหว่างวันที่ 27-28 ต.ค.นี้

    รศ.ดร.บรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงปริมาณน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่ไหลเข้าสู่ กทม. ว่า เมื่อวานนี้ (22 ต.ค.) ปริมาณน้ำอยู่ที่ 3,003 ลบ.ม./วินาที น้อยกว่าวันก่อนที่มีปริมาณ 3,082 ลบ.ม./วินาที แต่ระดับน้ำรวมเฉลี่ยสูง 1.75 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง แม้ในพื้นที่ กทม.ชั้นใน ยังไม่พบปัญหาน้ำท่วม แต่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ พบว่ามีปัญหาน้ำเอ่อล้นเข้าบ้านเรือนประชาชน ซึ่ง กทม.ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง ระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้ โดยได้ให้สำนักการระบายน้ำ กทม. ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนนอกแนวคันกั้นน้ำให้ระมัดระวัง และเคลื่อนย้ายสิ่งของรวมถึงปลั๊กไฟขึ้นไว้ในที่สูง

    ส่วนกรณีที่สถาบันเวิลด์ วอตช์ ออกมาระบุว่า กทม. เป็น 1 ใน 21 เมือง จาก 33 ประเทศ ที่จะจมน้ำในปี 2558 นั้น อาจมีความเป็นไปได้ เพราะปัจจุบันบางพื้นที่ที่ไม่เคยถูกน้ำท่วมก็เริ่มมีน้ำท่วมขัง เกิดจากการพัฒนาพื้นที่ปิดทางน้ำไหล และการขุดบ่อน้ำบาดาล จนทำให้พื้นดินทรุดต่ำ ซึ่ง กทม.ต้องศึกษาเพื่อเปลี่ยนระบบแก้ปัญหาน้ำท่วมใหม่ โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออก มีการทำเขื่อนกั้นน้ำอยู่แล้วให้ทำคันระบบปิดล้อมย่อยในแต่ละพื้นที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดทั้งหมด คาดว่าจะสามารถทำได้ในปีนี้

    สำหรับการเตรียมการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่แนวเขื่อนที่อาจได้รับผลกระทบในช่วงที่น้ำทะเลหนุน กทม.ได้จัดทำเขื่อนและกั้นแนวกระสอบทรายสูง 2.50 เมตร ป้องกันน้ำท่วมเอ่อล้นเข้าบ้านเรือนประชาชน และได้จัดทำสะพานไม้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการสัญจร

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันปิยมหาราช - 23 ตุลาคม
    http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_01315.php
    <SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT><!--START-->

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ความเป็นมา :
    เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั่วขอบขัณฑสีมาปวงประชาราษฎร์ถือว่าพระองค์คือพระราชบิดาแห่งตนและประเทศชาติ รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็นวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01315_002.jpg
      01315_002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26 KB
      เปิดดู:
      5,925
    • 01315_004.jpg
      01315_004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.7 KB
      เปิดดู:
      5,611
    • 01315_005.jpg
      01315_005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22 KB
      เปิดดู:
      6,225
    • 01315_006.jpg
      01315_006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.5 KB
      เปิดดู:
      5,472
    • 01315_003.jpg
      01315_003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.8 KB
      เปิดดู:
      6,151
    • 01315_007.jpg
      01315_007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20 KB
      เปิดดู:
      1,775
    • 01315_008.jpg
      01315_008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.6 KB
      เปิดดู:
      45
    • 01315_009.jpg
      01315_009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8 KB
      เปิดดู:
      51
    • 01315_011.jpg
      01315_011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.9 KB
      เปิดดู:
      50
    • 01315_012.jpg
      01315_012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.6 KB
      เปิดดู:
      50
    • 01315_013.jpg
      01315_013.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.1 KB
      เปิดดู:
      1,729
    • 01315_014.jpg
      01315_014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.1 KB
      เปิดดู:
      1,345
  12. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันออกพรรษา
    http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_02931.php
    <SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT><!--START-->

    [​IMG]


    วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11หรือราวเดือนตุลาคม


    วันออกพรรษา เป็นวันที่พุทธบริษัททั้งชาววัดและชาวบ้าน ได้พร้อมใจกันกระทำบุญกุศลต่าง ๆ ตามคติประเพณีที่เคยประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาแต่โบราณกาล เช่นมีการตักบาตรเทโว หรือเรียกตักบาตรดาวดึงส์ เป็นต้น “วันออกพรรษา” มีสาเหตุเนื่องมาจาก “วันเข้าพรรษา” ที่มีมาแล้วเมื่อวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ อันเป็นวันที่พระภิกษุทั้งหลายอธิษฐานใจเข้าอยู่พรรษาครบไตรมาส คือ ๓ เดือน ตามพระพุทธบัญญัติ โดยไม่ไปค้างแรมค้างคืนนอกสถานที่ที่ท่านตั้งใจอยู่ไว้ เมื่อมีวันเข้าพรรษาก็จำเป็นต้องมีวันออกพรรษา ซึ่งวันออกพรรษา ซึ่งวันออกพรรษาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (เพ็ญเดือน ๑๑) ของทุกปี วันออกพรรษา เป็นวันสุดท้ายแห่งการจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ได้จำพรรษาครบกำหนดไตรมาส

    ตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะจาริกไปพักค้างคืนที่อื่นได้ ไม่ผิดพระพุทธบัญญัติและยังได้รับอานิสงส์ (ผลดี) คือ
    ไปไหนไม่ต้องบอกลา ๑
    ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด ๑
    ลาภที่เกิดขึ้นแก่ท่านมีสิทธิ์รับได้ ๑
    มีโอกาสได้อนุโมทนากฐินและได้รับอานิสงส์ คือได้รับการขยายเวลาของอานิสงส์นั้นออกไปอีก ๔ เดือน


    อนึ่งมีชื่อเรียกวันออกพรรษาอีกอย่างหนึ่งว่า “ วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา” มีความหมายว่าพระภิกษุทั้งหลายทั้งพระผู้ใหญ่และพระผู้น้อย ต่างเปิดโอกาสอนุญาตแก่กันและกัน ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้มีคำกล่าวปวารณาเป็นภาษาลี ว่า “สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ” แปลว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี การที่พระท่านกล่าวปวารณา (ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน) กันไว้

    [​IMG]ในเมื่อต่างองค์ต่างต้องจากกันไปองค์ละทิศละทางท่านเกรงว่าอาจมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น โดยตัวท่านเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือมองไม่เห็นเหมือนผงเข้าตาตัวเอง แม้ผลจะอยู่ชิดติดกับลูกนัยน์ตา เราก็ไม่สามารถมองเห็นผลนั้นได้ จำเป็นต้องไหว้วานขอร้องผู้อื่นให้มาช่วยดูหรือต้องใช้กระจกส่องดู เพราะฉะนั้น พระท่านจึงใช้วิธีการกล่าวปวารณาตัดไว้เพื่อท่านรูปอื่นได้เห็นหรือแม้แต่ได้ยินได้ฟัง เรื่องดีไม่ดีไม่งามอะไรก็ตาม ให้กล่าวแนะนำตักเตือนได้โยไม่ต้องเกรงใจกันทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยด้วยเจตนาดีต่อกัน คือ พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้ และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถกล่าวชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยที่พระผู้ใหญ่คือผู้มีอาวุโส ท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง การกล่าวปวารณา เท่ากับเป็นการช่วยระมัดระวังข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีของพระรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดน้อยๆ นี้ที่จะลุกลามก่อความเสื่อมเสียไปถึงพระหมู่มาก และลุกลามไปถึงพระพุทธศาสนาอันเป็นจุดศูนย์ที่ใหญ่ได้ ท่านจึงใช้วิธีป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าการแก้ไขในภายหลัง ตัวอย่าง วันออกพรรษาหรือวันมหาปวารณาที่พระภิกษุทั้งหลายกระทำเช่นนี้ เป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหายไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรือออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา ส่วนพิธีของฆราวาสนั้นควรจะนำเอาพิธีปวารณาของพระท่านมาใช้ดูบ้าง ซึ่งจะมีผลดีที่เกิดขึ้นแก่กลุ่มชนที่อยู่รวมกัน ไม่ว่าครอบครัวและสังคมต่าง ๆ

    มีพิธีกรรมของฆราวาสที่เกี่ยวเนื่องกันในวันออกพรรษานี้ก็ได้แก่การบำเพ็ญบุญกุศลต่าง ๆ เช่น การทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรม ณ วัดที่อยู่ใกล้เคียง มีการทำบุญอันเป็นประเพณีที่นิยมกระทำกันมานานแล้วในวันออกพรรษา ซึ่งเรียกว่า “ ตักบาตรเทโว หรือเรียกชื่อเต็มตามคำพระว่า “เทโวโรหนะ” แปลว่าการหยั่งลงจากเทวโลก หรือการตักบาตรนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ตักบาตรดาวดึงส์” และการตักบาตรเทโวนี้ จะกระทำในวันขึ้น ๑๕ เดือน ๑๑ หรือวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ก็ได้สุดแท้แต่จะเห็นพร้อมกัน การทำบุญตักบาตรเทโวนี้ ท่านจัดเป็นกาลนาน คือ หนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง และการกระทำบุญเช่นนี้ โดยยึดถือว่าเป็นวันคล้ายกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อก่อนพุทธศักดิ์ราช ๘๐ ปี พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนา “พระสัตตปรณาภิธรรม” คือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดพระพุทธมารดา (ซึ่งทรงบังเกิดอยู่ในสวรรคชั้นดุสิต) ครั้นครบกำหนดการทรงจำพรรษาครบ ๓ เดือน พระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้วเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาสู่มนุษย์โลก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ โดย เสด็จลงทางบันไดแก้วทิพย์ ซึ่งตั้งระหว่างกลางของนับไดทองทิพย์อยู่เบื้องขวาบันไดเงินทิพย์อยู่เบื้องซ้ายและหัวบันไดทิพย์ที่เทวดาเนรมิตขึ้นทั้ง ๓ พาด บนยอดเขาพระสิเนรุราช อันเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนเชิงบันไดตั้งอยู่บนแผ่นศิลาใหญ่ใกล้ประตู เมืองสังกัสสนครและสถานที่นั้นประชาชนถือว่าเป็นศุภนิมิตรสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็น “พุทธบูชานุสาวรีย์” เรียกว่า “อจลเจดีย์”

    การประกอบพิธีในวันออกพรรษา

    การประกอบพิธีในวันสำคัญนี้ เหล่าพุทธศาสนิกชนจะนิยมทำบุญกุศลเป็นกรณีพิเศษ เช่น ตักบาตรในตอนเช้า ถวายสังฆทาน ไปทำบุญที่วัด ถวายภัตตาหาร ฟังพระธรรมเทศนา และมีการตักบาตรเทโวในวันรุ่งขึ้น

    ข้อปฏิบัติทั่วไปสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันออกพรรษา

    1.ทำบุญตักบาตรในตอนเช้า

    2.ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา

    3.ทำความสะอาดบ้านเรือน สถานที่ราชการ มีการประดับธงชาติและธงธรรมจักร

    4.ตามสถานที่ราชการสถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยายฉายสไลต์ หรือบรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษา ฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป







    ขอบคุณที่มา : สำนึกรักบ้านเกิด<!--END-->
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมจะลงเรื่องพระสมเด็จ ซึ่งเป็นบทความจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ไว้ครับ
    แต่ผมไม่เห็นด้วยในหลายๆเรื่องครับ


    คุณนายสติ ผมลงให้ดูนะครับ เรื่องพระสมเด็จกรุบางน้ำชน (ปีระกาป่วงใหญ่)

    ************************************************

    http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1

    การปลอม
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับเรื่องที่เราพูดคุยกันภายในกลุ่ม ภายในกระทู้นี้ เริ่มมีผู้ที่นำออกไปใช้กันหลายๆอย่าง เช่น คำว่า "โมทนาสาธุทิพย์" หรือ "มหาโมทนาสาธุทิพย์" หรือการนำเสนอวิธีเรื่องของการทำบุญ คณะเราต้องยินดีกันนะครับ เป็นจุดเริ่มของความดีที่เผยแพร่กันออกไป โดยมีคณะเราเป็นผู้นำในความคิดต่างๆกัน

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ใครไม่อาว ผมอาวเองครับ เดี๋ยวจะใส่กรอบขึ้นคอซะจะได้รู้แล้วรู้รอดไป ถ้ามันตาย ก็ให้มันตายคาพระพิมพ์ "ปีระกา" องค์ละ 300.-นี่ล่ะว๊ะ จะได้หมดกังวล ตรวจเอง รู้เอง แขวนเอง ถ้ามันตายเอง ช่างหัวมันเว้ย...
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอมอบจันทร์เจ้าเอยให้คุณ thanyaka ที่อยู่เชียงใหม่ และพ่อบ้านที่มีลูกๆ ทุกคน

    http://palungjit.org/showthread.php?t=83891
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    จำที่เราประมูลพระเครื่องกันได้ไม๊ ขนาดประมูลเพื่อสาธารณประโยชน์ "พระ"ท่านยังไม่ทรงโปรด และไม่อยากอยู่ในองค์พระเลย นับประประสาอะไรกับ"เซียน"ที่ประกวดกัน เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง ตามสนามเนี่ย จะเหลือ"พระ"จริงๆที่ท่านยังอยู่ซักกี่องค์ หรือไม่มีเลย

    การประกวดพระนี้ ต่างมีเหตุผลทั้งสิ้น การพูดให้ตัวเองถูก หรือดูเข้าท่า ก็พูดได้ทั้งนั้นครับ "พระ" หรือ "เซียน" โปรดการประกวดกันแน่!!!
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    แค่เรื่องปูนเปลือกหอย ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านสร้างพระพิมพ์เอง , เรื่องของผงวิเศษที่เขียนกัน 5 ประการ
    แค่เพียง 3 เรื่อง ก็ขำกลิ้งแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่นๆ

    คนที่เขียนหนังสือหรือตั้งกฎเกณฑ์ เขียนหรือตั้งกฎเกณฑ์เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน ความรู้ก็ไม่มี อาศัยดูพระเยอะๆ แล้วตั้งกฎเกณฑ์เพื่อขายพระว่า ต้องมีลักษณะแบบนี้ เนื้อนี้ ถ้าเป็นแบบอื่น เนื้ออื่นก็ต้องตีเก๊ พระพิมพ์จะได้มีน้อย จะได้มีราคา แต่หารู้ไม่ว่า พระสมเด็จบางองค์เนื้อหาแท้ แต่ไม่มีอะไรข้างในเลย ก็มีมาก แถมสร้างพระพิมพ์ก็ไม่เป็น แต่บอกได้ว่าต้องสร้างอย่างไร นั่งเทียนได้เก่งแฮะ

    เลือกดูกันเองนะครับ แล้วแต่วาสนาบารมีของแต่ละคน

    ถ้าโชคร้ายได้พระสมเด็จองค์เป็นล้าน เนื้อแท้แต่ข้างในเก๊

    ถ้าโชคดีได้พระสมเด็จถูกๆหรือฟรี เนื้อแท้ ข้างในแท้ แถมไม่ใช่แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านอธิษฐานจิตองค์เดียว จะมีองค์ผู้อธิษฐานจิตองค์อื่นๆด้วยเช่น หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หรือหลวงปู่แสง หรือท้าวเวสสุวรรณ หรือคณาจารย์วัดมหาธาตุ หรือคณาจารย์องค์อื่นๆ ฯลฯ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถูกต้องนะครับ

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...