พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post313479 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">วันนี้, 04:33 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #358 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>MOUNTAIN<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_313479", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดนิยม

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:51 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 1,472 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 2,886
    Thanked 4,605 Times in 1,173 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 646[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_313479><!-- message --><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>ลิ้นกับฟัน
    โดย.พระธรรมกิตติวงศ์ </CENTER>

    <DD><DD>การอยู่ด้วยกันก็ดี การทำงานร่วมกันก็ดี ย่อมจะมีเรื่องที่จะต้องถกเถียงหรือทะเลาะกันบ้างตามธรรมดา ของคนที่ยังมีกิเลส จะให้สงบราบรื่นตลอดไปนั้นเห็นจะไม่ได้ เพราะคนเราต่างจิตต่างใจ มีความต้องการมีความคิดเห็นต่างกัน การเห็นแย้งกันเป็นเรื่องปกติ

    และถ้าจะว่าไปแล้ว การเห็นแย้งนั้นอาจเป็นสิ่งดีก็ได้เพราะการเห็นแย้งทำให้ฉุกคิดได้ ทำให้ต้องทบทวนใหม่ แม้จะเสียเวลาไปบ้าง ก็อาจทำให้รอบคอบขึ้น ไม่หละหลวมเหมือนว่าตาม ๆ กันไปโดยไม่มีข้อโต้แย้งอะไร

    แต่การถกเถียงกันหรือการโต้แย้งกันเพื่อเอาชนะคะคานกันนั้น เป็นเรื่องที่เสียเวลา เป็นเรื่องไร้สาระ และก่อให้เกิดความเสียหายโดยส่วนเดียว การถกเถียงกันที่อยู่ในกรอบเท่านั้นจึงจะเป็นประโยชน์
    [/FONT]</DD>
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    *************************************************

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของคุณ ( ต่อ 6 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p


    สรุปเหตุผลข้อใหญ่ที่แสดงถึงขอบเขตจำกัดหรือจุดติดตันของอิทธิปาฏิหาริย์ ตลอดถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งไม่นับเป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวข้องกับจุดหมายของพุทธธรรม และไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินพุทธมรรคา ไม่อาจเป็นที่พึ่งอันเกษมหรือปลอดภัยได้เหตุผลนั้นมี 2 ประการคือ<O:p</O:p
    1. ทางปัญญา อิทธิปาฏิหาริย์เป็นต้น ไม่อาจทำให้เกิดปัญญาหยั่งรู้สัจธรรม เข้าใจสภาธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงได้ ดังตัวอย่างเรื่องพระภิกษุมีฤทธิ์เหาะไปหาคำตอบเกี่ยวกับสัจธรรมทั่วจักรวาลจนถึงพระพรหมผู้ถือตนว่าเป็นผู้สร้างบันดาลโลก ก็ไม่สำเร็จ และเรื่องฤาษีมีฤทธิ์เหาะไปดูที่สุดโลกพิภพหมดอายุก็ไม่พบ เป็นตัวอย่าง
    2. ทางจิต อิทธิปาฏิหาริย์เป็นต้น ไม่อาจกำจัดกิเลสหรือความดับทุกข์ได้จริง จิตใจมีความขุ่นมัว กลัดกลุ่ม เร่าร้อน ถูกโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หลุดพ้นเป็นอิสระได้ แม้จะใช้ฌานสมาบัติกดข่มระงับไว้ ก็ทำได้เพียงชั่วคราว กลัดออกมาสู่การเผชิญโลกและชีวิตตามปกติเมื่อใดกิเลสและความทุกข์ก็หวนคืนมารังควาญได้อีกเมื่อนั้น ยิ่งกว่านั้น อิทธิปาฏิหาริย์อาจกลายเป็นเครื่องมือรับกิเลสไปก็ได้ ดังพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง
    <O:p</O:p
    <O:p

    (เป็นความเชื่อ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของคุณ ( ต่อ 7 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p


    ต้นกำเนิดของวัตถุมลคล

    เรื่องมีว่า คราวหนึ่งเจ้าชายโพธิ ( โพธิราชกุมาร ) สร้างวัดแห่งหนึ่งเสร็จใหม่ จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวกไปฉันที่วังนั้น เจ้าชายได้ให้ปูลาดผ้าขาวทั่วหมดถึงบันไดขั้น 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงวัง ก็ไม่ทรงเหยียบผ้าจนเจ้าชายโปรดให้ม้วนเก็บผืนผ้าแล้วจึงเสด็จขึ้นวังและได้ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุเหยียบผืนผ้า ต่อมามีหญิงผู้หนึ่งซึ่งแท้งบุตรใหม่ ๆ ได้นิมนต์พระมาที่บ้านของตน แล้วปูผ้าผืนหนึ่งลงของร้องให้พระภิกษุทั้งหลายเหยียบเพื่อเป็นมงคล ภิกษุเหล่านั้นไม่ยอมเหยียบ หญิงนั้นเสียใจ และติเตียนโพนทะนาว่าพระภิกษุทั้งหลาย ความทราบถึงพระพุทธองค์ จึงได้ทรงวางอนุบัญญัติอนุญาตให้ภิษุทั้งหลายเหยียบผ้าได้ ในเมื่อชาวบ้านของร้อง เพื่อเป็นมงคลแก่พวกเขา พุทธบัญญัตินี้น่าจะเป็นข้ออ้างอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พระสงฆ์โอนอ่าอนผ่อนตามความประสงค์ของชาวบ้านเกี่ยวกับพิธีกรรมและสิ่งที่เรียกว่าวัตถุมงคล ต่าง ฟ ขยายกว้างออกไป เปิดรับเครื่องรางของขลังและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เข้ามามากมาย จนบางครั้งรู้สึกว่าเกินขอบเขตอันสมควร อย่างไรก็ตาม ถ้าเข้าหลักการที่กล่าวมาข้างต้นดีแล้ว และปฏิบัติตามหลักการนั้นด้วย ปฏิบัติให้ตรงตามพุทธบัญญัตินี้ในแง่ที่ว่าทำต่อเมื่อเขาขอร้องด้วย ความผิดพลาดเสียหายและความเฟ้อเลยเถิดก็คงจะไม่เกิดขึ้น
    <O:p</O:p


    ขยายความตามอรรถกถา
    <O:p</O:p

    เจ้าชายโพธิไม่ทรงมีโอรสหรือธิดา ได้ทรงปูผ้าลาดให้พระพุทธองค์เหยียบเพื่อบนบาทโอรสและธิดา พระพุทธองค์ทรงทราบจึงไม่ยอมเหยียบผ้า และทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุทั้งหลายเหยียบผืนผ้า เพื่อประสงค์จะอนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์ในภายหลัง เพราะในพุทธกาลมีภิษุที่รู้จักจิตผู้อื่นอยู่มาก ภิษุเหล่านั้นย่อมเหยียบหรือไม่เหยียบได้ตรงตามความคิดของชาวบ้านเจ้าของผ้านั้น แต่นานไปภิกษุหลังพทธกาลทำไปโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ ชาวบ้านก็จะติเตียนว่าพระสมัยนี้ไม่เก่งเหมือนอย่างสมัยก่อน จึงทรงบัญญัติเป็นการช่วยคุ้มครองภิกษุรุ่นหลังทั้งหลาย และอธิบายต่อไปว่าในกรณีที่หญิงแท้งไปแล้ว หรือมีครรภ์แก่ เขาขอเพื่อเป็นมงคลจึงเหยียบได้ อีกประการหนึ่งที่ทรงไม่เหยียบผ้าของเจ้าชายโพธิ ก็เพราะทรงรักษามรรยา เพราะพระองค์เสด็จมาถึงยังไม่ได้ชำระล้างพระบาท จึงไม่ทรงเหยียบ เพราะไม่ประสงค์ให้ผ้าเปื้อนสกปรก ( มีอนุบัญญัติต่อไปด้วยว่า ถ้าภิกษุล้างเท้าแล้ว อนุญาตให้เหยียบได้ ) ส่วนกรณีของหญิงแท้งบุตรนั้นทรงยกเว้นให้เพราะเขาขอร้องโดยมีเหตุผลว่าต้องการมงคล มงคลเป็นคนละอย่างกับปาฏิหาริย์ แต่นำมารวมไว้ในที่ด้วย เพราะเมื่อพูดในทางปฏิบัติแล้วก็มีข้อพิจารณาคล้ายคลึงกัน แต่โดยความหมาย อิทธิปาฏิหาริย์เป็นเรื่องความสามารถพิเศษของตัวผู้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์เอง ส่วนมาคลที่มาได้หลายแง่ เช่น อาจเชื่อว่าบุคคลหรือสิ่งที่ให้มงคลนี้ มีความศักดิ์สิทธิอิทธานุภาพหรืออำนาจพิเศษเป็นของตนเองก็ได้ อาจเชื่อว่าบุคคลหนือ....นั้นเป็นสื่อหรือทางผ่านของอำนาจศักดิ์สิทธิ์เร้นลับอยู่ต่างหากก็ได้ หรืออาจเชื่ออย่างประณีตขึ้นมาอีกว่าบุคคหรือสิ่งนั้นทรงไว้ซึ่งคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]งามความดีงาม ความสุข</st1:personName> ความบริสุทธิ์ จึงเกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นมงคลขึ้นมาในตัวเอง อย่างชาวบ้านจำนวนมากเชื่อต่อพระสงฆ์เป็นต้น ก็ได้ มงคลนี้มีส่วนไปเกี่ยวข้องกับติรัจฉานวิชามิใช่น้อย ( ติรัจฉานวิชาเป็นคนละเรื่องกับอิทธิปาฏิหาริย์ ) เพราะคนเห็นติรัจฉานวิชาบางอย่างเป็นที่มาของมงคล ติรัจฉานวิชานั้นถ้าภิกษุใช้เป็นเครื่องเลี้ยงชีพแสวงหาลาภ จัดเป็นมิจฉาชีพ ( โดยมากรวมอยู่ในเรื่องมหาศีล ) เคยได้ยินคนบางคนอ้างตนเป็นพุทธศาสนิกชนโดยชี้ที่พระพวงเบ่อเริ่มในคอ ความจริงเป็นการเข้าใจผิด เพราะนั่นมิใช่เอกลักษณ์ของพระศาสนา การถือศีลและปฏิบัติธรรมต่างหากจึงจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนโดยแท้ เพราะโจรมันก็แขวนพระได้เช่นกัน และหากจะกล่าวให้ถึงแก่นแล้ว โดยทางทฤษฎีอาจจะตกใจตลึงงัน ว่าพระเครื่องที่นิยมกันอยู่บางชนิดนั้นเป็นอวิชาโดยตรง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ชนชาวพระเครื่องมิได้เฉลียวใจ จะชี้ให้เห็น ตามตำนานกล่าวว่า พระรอดซึ่งสร้างขึ้นสมัยพระนางจามเทวี พระฤาษีนารอทเป็นผู้เสกสรร พระคงลำพูน ฤาษีคงเป็นผู้เสกสรร พระผงสุพรรณ ฤาษีทิวาลัยดป็นผู้เสกสรรก็ฤาษีหรือโยคีเป็นพวกนอกพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จัดเป็นเดียรถีย์ทั้งสิ้น แล้วจะเป็นเรื่องของพุทธได้อย่างไร เพราะเรื่องเช่นนี้มิได้กล่าวสนับสนุนในพุทธบัญญัติ เพียงการเหยียบผ้ายังกลายเป็นเรื่องสำคัญ
    <O:p</O:p
    ฉะนั้นการที่เรียกกันว่าพระเครื่องมีพระพุทธคุณจึงเป็นสั่งไร้เหตุผล หากจะเรียกว่าไสยคุณก็จะเป็นการซ้ำกับคำว่าคุณไสยไป จะเรียกติรัจฉานคุณก็ไม่สุภาพบาดหมางจิตใจสำหรับผู้ยังไม่มีพื้นฐานที่จะศึกษาธรรม น่าจะใช้คำว่า
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    <TABLE class=tborder id=post315768 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>Chayutt<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_315768", true); </SCRIPT>
    ชยุต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:54 AM
    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: สมุทรสาคร
    อายุ: 34
    ข้อความ: 251 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 457
    Thanked 1,648 Times in 256 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 204[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_315768><!-- icon and title -->รูปขันธ์ที่แท้จริงของหลวงปู่เทพโลกอุดร
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    หลวงปู่เทพโลกอุดร (หลวงปู่ใหญ่)

    จากหนังสือ “มิติแห่งโลกวิญญาณ และการสร้างบารมี”
    โดย “พ.ธรรมรังสี” หรือ พระศิวพล วชิโร</B>

    ...ซึ่งเรื่องของหลวงปู่ใหญ่ หรือพระครูเทพผู้วิเศษนี้ ตรงกับคติความเชื่อของชาวจีนโบราณที่นับถือกันว่ายังมีพระอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษดำรงขันธ์อยู่มาแต่ครั้งพุทธกาลเป็นจำนวนมาก โดยชื่อว่า"คณะ 18 อรหันต์" หรือ “จับโป้ยหล่อหั้น” มีพระปิณโฑโล่ หรือ พระปิณโฑลภารทวาชเถรอรหันต์เป็นประธาน สถิตอยู่ ณ.อมรโคยานทวีป (เป็นอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนขนาบอยู่กับโลกของเรา) พร้อมด้วยพระอรหันต์ที่เป็นศิษย์จำนวนถึง 60,000 รูป บางครั้งก็ไปพำนักอยู่ที่เขาคันธมาทน์ ณ.ป่าหิมพานต์

    พระอภิญญายุคหลังพุทธกาลส่วนใหญ่ก็เป็นศิษย์ของท่านทั้งนั้น เพราะท่านได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ให้เจริญอิทธิบาทภาวนา ดำรงขันธ์อยู่เพื่อดูแลค้ำจุนพระพุทธศาสนาจนกว่าจะครบ 5,000 ปี (เรื่องเจริญอิทธิบาทภาวนานี้ เป็นวิสัยของผู้สำเร็จฌานสมาบัติชั้นสูง บรรลุซึ่งอภิญญา แม้แต่พระฤาษีที่มีฤทธิ์มากๆ ก็สามารถอยู่ได้หลายพันปีหรือเป็นหมื่นปี แต่ส่วนใหญ่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ) และมีพระพุทธดำรัสตรัสพยากรณ์ไว้แล้วว่า
    “พันปีแรก จะมากด้วยพระอรหันต์จตุปฏิสัมภิทาญาณ
    พันปีที่ 2 จะมากด้วยพระอรหันต์อภิญญา 6
    พันปีที่ 3 จะมากด้วยพระอรหันต์วิชชาสาม
    พันปีที่ 4 จะมากด้วยพระอรหันต์สุขวิปัสสโก
    พันปีที่ 5 จะมากด้วยพระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน”
    ซึ่งนี่ก็ใกล้จะเข้าสู่ยุคแห่งวิชชาสาม กำลังจะสิ้นยุคแห่งพระอภิญญาแล้ว และต่อไปสติปัญญาคนจะทรามลง กิเลสคนจะมากขึ้น หลงไหลในวัตถุมากขึ้น แก่งแย่งกันมากขึ้น ลุ่มหลงกันมากขึ้น ทำลายธรรมชาติมากขึ้น และเมื่อทำลายธรรมชาติมากขึ้น ก็เกิดภัยพิบัติมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เริ่มปรากฎแล้ว และจะหนักมากขึ้นเรื่อยๆ)

    ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระองค์ก็ได้ทรงพบกับหลวงปู่ฯ และมีพระราชศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับหมอบกราบแทบบาททั้งสองของหลวงปู่ฯ พร้อมกับทรงจุมพิตที่บาททั้งสอง และตรัสว่า
    “การได้เห็นซึ่งพระคุณท่าน ซึ่งเป็นพระอรหันต์แต่ครั้งพุทธกาล ทำให้หม่อมฉันได้ระลึกถึงซึ่งพระพุทธคุณเป็นอย่างยิ่ง เสียดายนักที่หม่อมฉันไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่กระนั้นการได้พบพระคุณเจ้า ก็ทำให้หัวใจของหม่อมฉันพองโตเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

    และพระองค์ยังได้ทรงดำรัสถามพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯว่า
    “เพราะเหตุใดพระคุณท่านจึงดำรงขันธ์อยู่จนถึงปัจจุบัน”

    ซึ่งหลวงปู่ได้ตอบไปว่า
    “การที่อาตมาภาพดำรงขันธ์อยู่จนทุกวันนี้ ก็เนื่องด้วยได้รับพระพุทธบัญชาให้อยู่ดูแลพระศาสนาจนกว่าจะครบ 5,000 ปี”

    นอกจากที่พระเจ้าอโศกมหาราชจะได้ทรงพบกับหลวงปู่แล้ว พระองค์ยังเป็นศิษย์ของพระอุปคุตมหาเถรเจ้าอีกด้วย (พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระผู้เป็นประธานสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 กับพระโสณะ พระอุตตระ ที่เป็นพระธรรมทูตสายสุวรรณภูมิสมัยพระเจ้าอโศกฯ ก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ และบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกกับบทอาการวัตตาสูตร ก็เกิดขึ้นโดยเหล่าพระอรหันต์จตุปฏิสัมภิทาญาณในสมัยนั้นร่วมกันร้อยกรองขึ้นตามพุทธบัญชา เพื่อเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์มิให้พลาดไปสู่อบายภูมิและตกทอดมาสู่เมืองไทยครั้งสมัยทวาราวดียุคสุวรรณภูมิ ใช้สวดเพื่อสืบชะตาบ้านเมือง สืบอายุ กลับชะตาร้ายให้เป็นดี แก้สรรพเคราะห์ และสมปราถนาทั้งปวง ซึ่งนิยมสวดมากครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เปิดกรุได้ที่เมืองสวรรคโลก) ซึ่งปัจจุบันนี้ท่านพระอุปคุตก็ยังดำรงขันธ์อยู่ เพราะท่านก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ด้วยเช่นกัน

    ศิษย์ของหลวงปู่ฯมีทั้งพระไทย พระจีน พระธิเบต พระพม่า พระมอญ พระลาว พระศรีลังกา พระอินเดีย ฯลฯ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือ ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ หรือ ท่านพระโพธิธรรม ปรมาจารย์แห่งลัทธิเซน (ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ คอยช่วยหลวงปู่ฯ ดูแลศาสนาในจีนและญี่ปุ่น เหมือนพระอุปคุตที่ช่วยหลวงปู่ฯดูแลศาสนาในลาว เขมร พม่า และไทย) ถ้าประเทศไทยในปัจจุบัน ก็มี
    หลวงปู่มั่น พระบูรพาจารย์แห่งสายกรรมฐาน ,หลวงปู่กบ วัดเขาสาริกา, หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด, หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค, หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน, หลวงปู่กอง วัดสระมณฑล, หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง, หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน,ฯลฯ

    ลักษณะแห่งรูปขันธ์ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯจริงๆนั้น ในคัมภีร์อโศกาวทานระบุว่า
    “มีกายดุจพระปัจเจกพุทธเจ้า ผมยาวเลยบ่า ผิวหนังย่นชราแต่ผ่องใส เล็บมือยาว หนวดเครายาวดุจฤาษี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหูกับหนังตาทั้งสองหย่อนยานมาก ยามเหาะเหินประดุจพญาหงส์ ยามก้าวย่างดุจพญาราชสีห์ ยามเปล่งวาจาพลังเสียงมีตบะอำนาจมาก แม้พระเจ้าอโศกฯเองยังไม่กล้าทัดทาน จีวรที่ครองก็เก่าคร่ำคร่า มีสีกรักเข้ม”

    พระในสายของหลวงปู่ฯ จะเป็นพระอภิญญาล้วนๆ เนื่องจากท่านเป็นผู้นำสายอภิญญาในยุค ”พันปีที่ 2 จะมากด้วยพระอภิญญา” นั่นเอง ศิษย์ของท่านมีทั้งนอกดงและในดง เรียกว่า “คณะพระโลกอุดร” แปลว่า “พระเหนือโลก” ถ้าเป็นพระนอกดง จะแสดงฤทธิ์มากไม่ได้ เพราะจะทำให้คนติดฤทธิ์ และศิษย์ของหลวงปู่ฯก็มีหลายระดับ แต่ถ้าเป็นพระในดง ศิษย์ของหลวงปู่ฯจะมีอภิญญาสูงมาก เช่น
    1. หลวงปู่อิเกสาโร (หลวงปู่เดินหน) แห่งเทือกเขาตะนาวศรี
    2. หลวงปู่โพรงโพธิ์ อาจารย์ของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า , หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน, หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์, หลวงปู่เชย วัดราษฎร์บำรุง
    3. หลวงพ่อพระอุปคุต อาจารย์ของหลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลฯ, หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดประสิทธิธรรม จ.อุดรธานี, ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน, หลวงปู่บุดดา ถาวโร, หลวงพ่ออุตตมะ , ท่านพ่อลี วัดอโศการาม และสำเร็จลุน เป็นต้น
    4. หลวงปู่แจ้งฌาน แห่งเขาใหญ่ ดงพญาเย็น
    5. หลวงตาดำในดง ฯลฯ
    คาถาที่ถ่ายทอดมีมากมายหลายบท (เพราะคาถาเป็นคู่มือในการฝึกอภิญญาเบื้องต้น เป็นอุบายในการฝึกสมาธินั่นเอง) แต่ที่นิยมกันมากก็คือ “บทมงกุฎพระพุทธเจ้า” ที่ใช้บทนี้ก็เพราะท่านมาสั่งอาตมาเอง และเคยพาอาตมาไปดูแผ่นศิลาทองคำจารึกพระคาถาบทนี้ที่ทางเข้าพระทุสสเจดีย์บนพรหมโลก ชั้นอกนิฏฐาปัญจสุทธาวาส ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก

    บทที่ท่านพระอาจารย์ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ หรือ ท่านอภิชิโตภิกขุ ศิษย์ของหลวงตาดำในดงรูปหนึ่ง นำมาถ่ายทอดเพื่อใช้รักษาโรคก็คือ
    “สมุหะคัมภีรัง อะโจระภะยัง อะเสสะโต โส ภควา พุทโธหยุด ธัมโมหยุด สังโฆหยุด โรคภัยทั้งหลายจงหยุด หยุดด้วย นะโมพุทธายะ”

    หรือหากใครอยากพบท่านก็สวดบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกบ่อยๆ แล้วอธิษฐานเอา หรือจะสวดบทพระอาการวัตตาสูตรก็ดี มีอานุภาพและอานิสงส์สูงมาก เวลาสวดถ้าสมาธิดีๆ จะเห็นรังสีทองคำสว่างจ้าพุ่งลงมาจากเบื้องบน เป็นกระแสบารมีของพระรัตนตรัย และของเบื้องบนตั้งแต่พระนิพพานและพรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้งห้า ลงมาคลุมทั่วบริเวณที่เราสวดอยู่…

    (ท่านใดอ่านแล้ว เกิดมีคำถามขึ้นในใจ ก็โทรไปถามท่านเอาเองนะครับที่ 06-9895355
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรที่ทุกๆท่านได้เห็นกันในรูปนั้น เป็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร องค์ที่ 3 ในคณะโลกอุดร (คณะโลกอุดร มี 5 องค์ตามลายเซ็นผม) หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร องค์ที่ 3 นั้นคือหลวงปู่อิเกสาโร (ท่านมีหลายชื่อ เช่นหลวงปู่โพรงโพธิ์ ,หลวงพ่อดำ ฯลฯ) ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ,หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ,หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก ส่วนหลวงปู่แจ้งฌาณนั้น ท่านเป็นครูฝึกของคณะโลกอุดร ถ้ามีผู้ที่จะเรียนกับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ท่านจะให้ไปเรียนกับครูฝึกเสียก่อน เมื่อฝึกสำเร็จในขั้นนั้นๆ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ท่านจะมาเป็นผู้ที่ทดสอบว่าผ่านในขั้นนั้นหรือไม่ ส่วนครูฝึกที่ผมทราบอีกท่านหนึ่งก็คือท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)ครับ

    ข้อมูลจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร (ท่านเองได้พบหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ในนิมิตรทั้ง 5 องค์แล้ว และพระหลานชายท่านได้พบหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ด้วยตาเนื้อ ทั้ง 5 องค์เช่นกัน)
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เป็นชาวเนปาล มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่ใช่เป็นพระสมัยพุทธกาล ในคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ท่านเป็นพี่ชายหลวงปู่พระโสณเถระเจ้าแต่สำเร็จอรหันต์หลังหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ด้านอภิญญานั้นเท่ากับหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ท่านเป็นน้องชายของหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า หลวงปู่พระโสณเถระเจ้าท่านสำเร็จอรหันต์ก่อนหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

    หลวงปุ่ใหญ่ก็คือหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าครับ ไม่ใช่คนละองค์ แต่เป็นองค์เดียวกัน

    หลวงปู่ขรัวขี้เถ้านั้นก็คือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา และหลวงปู่หน้าปานก็คือหลวงพ่อโอภาสี วัดบางมด ครับ

    สำหรับเรื่องรูปลักษณ์ของหลวงปู่นั้น ผู้ที่ได้พบหรือได้เห็นนั้น อาจจะไม่ได้เห็นรูปลักษณ์หรือหน้าตาที่แท้จริงของหลวงปู่ ในวิชาเบื้องต้นของสำนักโลกอุดรนั้น ต้องเรียนเรื่องการแปรธาตุ ดังนั้น หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรสามารถเปลี่ยนแปลงหน้าได้ตลอดเวลา ส่วนรูปหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรที่ทุกๆท่านเห็นกันจนชินตานั้นเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ซึ่งเป็นองค์ที่ 3 ในคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร นั้น ท่านเป็นพระธรรมทูต ซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ โดยคำอารธานาของพระเจ้าอโศกมหาราช ในปี พ.ศ.235 ซึ่งถ้าไม่มีคณะของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร(คณะโสณ-อุตร) เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิแล้ว อาจจะไม่มีพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็เป็นได้

    พระอุปคุตเถระเจ้า ท่านไม่ได้เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า) พระอุปคุณเถระเจ้า ท่านสำเร็จอรหันต์ก่อนหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าและหลวงปู่พระโสณเถระเจ้าครับ

    หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ท่านสำเร็จอรหันต์ก่อนหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ส่วนหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าท่านสำเร็จอรหันต์หลังหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า แต่ว่าหลวงปู่จะสำเร็จเมื่อไรนั้น ท่านอาจารย์ประถม ท่านเองก็ไม่ทราบเพราะว่า รู้ไปก็ไม่ทำให้ตัดกิเลส,ตัดสังโยชน์ได้ อาจารย์ประถมท่านบอกว่าจะรู้ไปทำไม ไม่เกิดประโยชน์อันใด

    หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า เวลาที่ท่านไปพบหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ท่านจะเรียกหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าว่าหลวงพี่ ส่วนหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) ,หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) และหลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน) ท่านจะเรียกหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าว่าหลวงพ่อ

    ส่วนท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ หรือ ท่านพระโพธิธรรม ปรมาจารย์แห่งลัทธิเซน ท่านก็ไม่ใช่ลูกศิษย์สายหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

    ท่านพระอาจารย์ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ หรือ ท่านอภิชิโตภิกขุ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า) ท่านอภิชิโตภิกขุนั้น เป็นอาจารย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาครครับ

    หลวงปู่มั่น พระบูรพาจารย์แห่งสายกรรมฐาน
    หลวงปู่มั่น ท่านไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

    หลวงปู่กบ วัดเขาสาริกา, หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด
    หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ท่านคือหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า องค์ที่ 4 ในคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ส่วนหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมดนั้น ท่านคือหลวงปู่หน้าปาน องค์ที่ 5 ในคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

    หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค, หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน
    หลวงปู่สี และหลวงปู่หมุน ผมเองไม่ทราบว่าหลวงปู่ทั้งสองท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรหรือไม่ครับ

    หลวงปู่กอง วัดสระมณฑล
    หลวงปู่กอง นั้น เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ

    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง
    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุงนั้น เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ไปเรียนกับหลวงปู่เนียม วัดน้อย หลวงปู่เนียม วัดน้อย ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า แต่ว่าหลวงพ่อฤาษีฯนั้น ไม่ได้เรียนในหลักสูตรของสำนักโลกอุดร แต่ไปเรียนกับหลวงพ่อปาน ในเรื่องอื่นครับ

    หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    หลวงพ่อจรัญ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) ครับ



    ส่วนประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น ผมเคยนำมาลงในกระทู้นี้หลายครั้งแล้วครับ ก็ไม่อยากนำลงซ้ำอีก แต่ว่าอาจจะหาอ่านกันลำบาก เนื่องจากกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้... นี้ ยาวไปสักหน่อย ผมจะนำมาลงให้อ่านกันอีกครั้ง แต่หลังจากจบ "เรื่องของคุณ" แล้วนะครับ


    โดยส่วนตัวเรื่องราวของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น ผมเองก็ได้ติดตามอ่านจากผู้เขียนหลายๆท่าน แต่ก็มาสรุปจากหนังสือที่ท่านอาจารย์ประถม และท่านพันเอกชม สุคนธรัตน์ เขียนครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของคุณ ( ต่อ 8 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p



    ไสยคุณ
    <O:p</O:p

    ไสยคุณหรือคุณไสย เป็นอวิชาชนิดหนึ่งของพวกเดียรถีย์นอกพระศาสนา มีมาประมาณ 5,000 ปีก่อนพระพุทธศาสนา เป็นยุคของศาสนาพรหมาดึกดำบรรพ์กำลังเฟื่องคู่กับศาสนาเทพของอิยิปต์ ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 จะอุบัติขึ้นในโลก คือพระมหาทีปังกรเจ้า หลักฐานดังกล่าวมีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบโตล่าห์ ของสำนักปุริสราชาแห่งหิมาลัยบรรพต พระคัมภีร์นี้ได้ลอกจากแผ่นศิลาซึ่งคนโบราณบันทึกไว้ ได้รับความรู้จากท่านอาจารย์โยคี ฮาเล็บถ่ายทอดสู่ พ.ต.อ.ชลอ อุทุกกาช์ ทำให้คิดไปว่ายิ่งศึกษายิ่งสับสน คือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในดลกจนถึงรณะนี้มีอยู่ด้วยกัน 28 พระองค์นับแต่องค์ที่ 4 ถึงองค์ที่ 28 ยังไม่ถึง 7,500 ปี ฟังดูก็นามีเหตุผล แต่อรรถ........จารย์ไทยหรือแขกไม่ทราบ ช่างเป็นนักคำนวณจนแทบไม่อยากเขียนเรื่อง กล่าวว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์บำเพ็ญเพียรเป็นกัป เป็นมหากัป เป็นอสงไขยปี คือตั้งเลข 1 แล้วต่อท้ายด้วยเลขสูญ 140 เลขสูญ มนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ถ้ำยังไม่เกิดและอสงขัยปียังไม่ถึงอสงไขยกัป อสงไขยไม่ถึงมหากัป มากเกินไป บางพระองค์ทรงใช้เวลาถึง 40 อสงไขย กับเศษอีก 100,000 มหากัปกาลเวลาดังกล่าวนี้ อุปมายังมีจอมบรรพตภูเขาใหญ่ความกว้างและส่วนสูงวัดได้หนึ่งโยชน์ ลองคำนวณดู 40 เสนเป็นนึ่งโยชน์ 25 เส้นเป็นหนึ่งกิโลเมตร 40 เส้นเป็นหนึ่งไมล์ 1 โยชน์ 16 กิโลเมตรมีที่ไหนกันภูเขาในโลกนี้มีเพียงจำนวนหมื่น ๆ ฟิตเท่านั้น ครั้งถึงกำหนด 100 ปี มีเทวดาผู้วิเศษถือผ้าทิพย์อินละ......อ่อนประดุจควันไฟลงมือเช็ดถูกยอดเขาหนหนึ่ง บางตำราว่าเช็ดเพียงแผ่ว ๆ พอครบร้อยปีก็ทำอย่างนี้อีกจนกว่าเขาใหญ่นั้นจะเรียบราบเสมอพื้นดินจึงนับเป็นหนึ่งมหากัป แล้ว 4 อสงไขยกับเศษ 100,000 มหากัปจะยาวนานสักเท่าไร แล้วระยะที่รออยู่ร้อยปีเกิดมีหญ้าใบไม้หล่นทับถมสูงขึ้นมาอีก 1 วา ทำอย่างไรเขานั้นจึงจะเรียบลงได้ ฟังพระพุทธองค์ดีกว่า ท่านบอกว่าอย่าพึงเชื่อถือว่ามีกล่าวอยูในตำรา อย่าเชื่อว่าสมณนั้นเป็นอาจารย์ของเรา ผมนับถือพระพุทธองค์สุดที่จะกล่าว ท่านทราบดีว่าต่อไปโดนดีเข้าจนได้ ทำไปทำมาศาสนาพรหมดึกดำบรรพ์เกิดก่อนพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 ยังน่าเชื่อถือว่า ขนาดมนุษย์ปักกิ่งหน้าก็ก็จะเป็นลิงอยู่แล้ว ถ้าแกมีวิทยายุทธคงบันทึกไว้ตามถ้ำตามหลืบบ้าง แต่ก็หาไม่ แล้วนี่แก่กว่ามนุษย์ปักกิ่งเป็นแสนล้านเทาจะไหวหรือคุยกันต่อไปดีกว่าครับ ศาสนาพรหมดึกดำบรรพ์เจริญสุดขีดก็เหมือนเสื่อมสุดขีดเช่นกัน เพราะประชาชนสมัยนั้นถูกผู้ใช้วิทยาคมเช่นฆ่าได้รับความเดือดร้อนป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จึงพากันไปเฝ้าพระมหาทีปังกรเจ้าขอให้พระองค์ช่วยบำบัดปัดเป่าเภทภัยจากเหล่าเดียรถีย์ร้าย ด้วยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวเป็นบาทคาถามอบให้ปวงชนนำไปท่องบ่นบริกรรม เมื่อได้นำมาปฏิบัติตามคำแนะนำของมหาโพธิสัตว์เจ้า เหตุการณ์ที่เลวร้ายก็บรรเทาเบาบางลง เพราะเกิดการกระดอนสะท้อนย้อนกลับไปหาผู้ที่ให้เวทมนต์ทำร้ายผู้อื่นจนเคยตัว ไม่กล้าทำร้ายผู้อื่นโดยพร่ำเพื่ออีกต่อไป พวกโยคีจึงจดจำพระคาถาต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน แต่ไม่ยอมขยายว่าพระคาถานี้มีข้อความอย่างไร ผู้ที่จะทราบคงมีแต่ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ โดยร่ำเรียนสืบทอดจากโยคีฮาเล็บ<O:p</O:p
    เรื่องอำนาจคุณไสยหรือวิทยาคม อวิชารัจฉานนี้ เกิดมีขึ้นในประเทศไทยสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา ประมาณปี พ.ศ. 2186<O:p</O:p
    ปรากฏตามประวัติศาสตร์ทางกฎหมายลักษณะบัดเสร็จ ปี ค.ศ. 1146 และพระธรรมนูญ ค.ศ. 1344 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2186 บทที่ 14 ได้จัดตั้งกระทรวงแพทยาคม เพื่อชำระคดีผู้กระทำผิด เกี่ยวกับคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]<font color=" /><st1:personName ProductID="ไสย เสน่ห์ยาแฝด"><FONT color=blue><FONT face=Tahoma>ไสย เสน่ห์ยาแฝด</st1:personName><FONT color=blue><FONT face=Tahoma> ฝังรูปฝังรอย ด้วยวิทยาคม และมีบทลงโทษผู้กระทำผิดในการใช้คุณไสย และวิทยาคมทำร้ายผู้อื่นทางอาญา กระทรวงแพทยาคมนี้ มีผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมเป็นตุลาการ มีหน้าที่สอบสวนพิจารณาโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์เรื่องคุณไสยโดยเฉพาะ เรื่องราวในประว้ติศาสตร์ทางกฎหมายได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าหญิงถูกคุณไสย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สั่งให้สืบหาตัวพวกเกจิอาจารย์ที่ปล่อยคุณทางวิทยาคม บรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายเกรงจะได้รับโทษทางอาญา จึงพากันทำลายตำราเรื่องการกระทำคุณไสยเป็นอันมาก<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชาคุณไสยเหล่านี้ สืบเนื่องมาจากวิชาลึกลับดั้งเดิมพวกโยคี คือ ติรัจฉานวิชาต่าง ๆ เช่น
    <O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>1. <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชานัพานาฟี<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>2. <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชานาฟิอิ<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>3. <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชาวูดู
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma><O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชาลึกลับทั้ง 3 ประเภทนี้ได้ปรากฎในยัชุรเวทและอาถรรพเวทของศาสนาพราหมณ์<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma><O:p</O:p

    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>(เป็นความเชื่อ <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>– ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)



    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>.<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของคุณ ( ต่อ 9 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p


    <O:p</O:p

    <O:p</O:p


    ประเภทของคุณไสย<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    1. ลมเพลมพัด การเล่าเรียนอวิชาช้ำทำร้ายผู้คน มีกำหนดปล่อยเพื่อความชำนาญหรือตามกฎข้อบังคับของแต่ละสำนักอาจารย์ เมื่อผู้ใดดวงตก มีเคราะห์กรรม หรือมีวิบากสืบเนื่องจากการนี้ ก็จะถูกคุณไสยที่ถูกปล่อยมาตามลมตามแล้งโดยปราศจากเจตนา เข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่คาดฝัน และผมได้ประสพมาด้วยตนเอง คือเมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ ผมจะไม่นอนกับคุณแม่ จะนอนมุ้งเดียวกับคุณยายและจำความได้ว่าที่บ้านมีแต่คนโดนของถูกคุณไสย เห็นคุณยายท่านนำแป้งเสกมานวดเคล้ากับน้ำมนต์พอกที่ตรงเจ็บปวดก่อนนอนครั้นรุ่งเช้าก่อนล้างหน้าจะแกะแป้งที่พอกออก ผมก็นั่งดูอยู่ทุกคราว จะพบขนหมูป่าเส้นหยาบ ๆ และขนเม่นน้อยใหญ่บ้างขนก็มีลักษณะหงิกงอน่าเกลียดและมากับแป้งมนต์ และต้องพอกอยู่เสมอจนกวาอาการจะบรรเทาเบาลางลง ท่านว่ามันวิ่งได้และเกิดอาการเจ็บปวด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ และทางบ้านได้เคยนิมนต์หลวงพ่อวัดสัตหีบมาทำการรักษาคุณไสยถึงบ้านพัก ผมก็นั่งดูอยู่ด้วย เห็นท่านใช้ปิ๊บใส่น้ำเดียวไฟกลางบ้านพอควันขึ้นท่านก็ใช้น้ำนั้นเสกลาดลงบนตัวคนไข้ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า มีอาการดิ้นไปตามแรงของสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัว เห็นสิ่งหนึ่งผุดออกจากศรีษะของน้าสาวลักษณะคล้ายเนยเป็นก้อนขนาดปลายนิ้วก้อย แต่ก็ไม่หายขาดทีเดียว และต้องตายด้วยโรคนี้เป็นที่ทรมานน่าสงสาร ของมันแก่กล้ามันยิ่งสู้หนัก <O:p</O:p
    2. คุณคน ผู้ใช้วิชานี้จะเสกของใหญ่ให้เป็นของเล็กแล้วปล่อยให้บินไปสู่ที่ ๆ ต้องการเล่ากันหมอต่อหมอนี้แหละ เกิดคันไม้คันมือขึ้นมาก็ทดสอบกันบ้างเป็นบางครั้ง ทั้ง ๆ ที่บ้านอยู่ห่างกันคนละถิ่นฐานกันยังกระทำถึงกันได้ เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในด้านอวิชามาร หมอคนหนึ่งใช้หัวควายที่ตายจนเหลือเพียงหัวกะโหลกชาวโพลนเห็นแกนั่งเสกจนเหลือนิดเดีวเหมือนตุ๊กตา แล้วปล่อยไปยังหมออีกคนหนึ่ง หมอคนนั้นก็ไม่ใช่เล่นมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอและสามารถถรับไว้ได้ปล่อยคืนเจ้าของเดิมไป บางครั้งคนที่มี......ประพฤติทางนี้ ตนเองไม่เชื่อไมกลัวตัวเองก็อาศัยเรือเป็นที่พำนักตามคลองหลอดในสมัยก่อน เพื่อนบอกว่าวันนี้จะลองของนะแต่ไม่ทำให้เอ็งตายหรอก ทำให้เห็นว่าเป็นของจริงเท่านั้น แล้วก็ปล่อยคุณเนื้อวัวมาโปะที่หัวเรือ วันหลังจึงตามมาถามข่าว เพื่อนที่อาศัยเรือบอกว่าดีว่ะกำลังถังแตกได้เนื้อวัวมาแกงกินอร่อยดี คือ มีเคล็ดอยู่ว่า ถ้าของนั้นไม่เข้าสู่ตัวตนหากนำไปรับประทานเป็นเคล็ดแก้ในการป้องกันกระทำยำยีได้ สับปะเหร่อบางคนเมื่อเผาศพคนทีตายด้วยการถูกกระทำและถ้าเป็นชิ้นเนื้อจะเก็บไว้กินโดยไม่รังเกียจและผมได้รับฟังจากท่านมหามนูญ ยวดยิ่ง ข้าราชการกรมศุลกากร เมื่อครั้งทานยังอยู่ในสมณเพศสำนักวัดเทพศิรินทรวาส เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีชายผู้หนึ่งเป็นชาวอิสาญเดินเข้ามาในวัดตรงไปหาท่านที่กุฏิ ขณะนั้นท่านกำลังนั่งสนทนากับพระเณรในวัดหลายองค์ด้วยกัน ชายคนนั้นบอกความประสงค์ว่าจะกลับภาคอิสาญและไม่มีเงินค่ารถหวังจะมาขอเงินจากท่าน ๆ ก็พยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงจนชายผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ ขู่ว่าจะทำคุณไสยใส่ท่านท่าก็หัวเราะและไม่ยอมเชื่อ ชายผู้นั้นจึงหยิบรองเท้าแตะของท่านมาข้างหนึ่งแล้วเสกอยู่พักหนึ่งรองเท้าแตะนั้นหกตัวลงเหลือเท่าปลายนิ้วก้อยและจะดีดใส่พระเณรเหล่านั้น ท่านจึงยอมเชื่อว่าวิชาเช่นนี้มีอยู่จริง<O:p</O:p
    อวิชามารนี้ หากมองอย่างผิวเผินคล้ายจะเก่งกว่าพระคณาจารย์ที่ว่าเก่ง ๆ เสียอีกซ้ำไป เช่นในคราวหนึ่งหลายปีมาแล้วมีการพุทธาภิเษกพระเครื่องที่วัดสว่างฟ้า อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ทางวัดได้เชิญอาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]อิน ไม่ทราบนามสกุล</st1:personName> ดูเหมือนจะอยู่ทางจังหวัดอยุธยา มาร่วมเป็นพิธีกร ขณะที่การปลุกเสกดำเนินไปไม่นานพระพิธีธรรมจตุวรรคสวดยังไม่ทันได้ครึ่งจบ กระเป๋าบันจุพระเครื่องของท่านเจ้าคุณวัดอ่าศิลา ซึ่งนำมาเข้าพิธีด้วยวิ่งเกรียวกราวคล้ายหนูวิ่งไล่กัน ครั้นเสร็จพิธีทางวัดขอให้อาจารย์อินลองแสดงให้ดูใหม่ อาจารย์อินบอกว่าก็ได้แต่ให้ตัดสายสิญจ์ออกให้หมดก่อนมิฉะนั้นพระประธานจะกระดอนออกจากแท่นชุกชี ทางวัดจึงจัดการตามสั่งและนำพระปิดตาของวัดใส่พานแว่นฟ้าให้อาจารย์อินลองแสดงให้ดู ปรากฏว่าพระเครื่องนั้นบินออกจากพานแว่นฟ้าขึ้นสู่อากาศเกือบจรดเพดานพระอุโบสถบินตามกันเป็นกลุ่มแลคล้ายฝูงแมลงผึ้ง สักพักพระก็ล่วงลงสู่พื้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าพระเครื่องนั้นมีอิทธิฤทธิ์ขึ้น มันคนละเรื่องจะเสกในไม้ให้บินก็ได้และมันก็คงเป็นใบไม้หาใช่ของขลังอะไรไม่<O:p></O:p>
    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2496 ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี มห้กระทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องที่วัดเขาไชยสน พัทลุง และที่ดังมากคือพระพิมพ์นาคปรกเทพนิมิต คือเสกจนพระดิ้นได้และแปรรูปเป็นพญานาคเมื่อสวดบทภุชงค์บริพัตร เมื่อสร้างเสกจนจบครบพิธีกรรม ฟ ไตรมาส จะทำการส่งไปถึงหิ้งบูชาของผู้ที่ประสงค์จะรับพระก็ได้ ครั้นแล้วได้ปลูกศาลเพียงตาขึ้นและนำพระพิมพ์ทั้งหลายไปทิ้งไว้เป็นระยะทางไกลประมาณ 5 กิโลเมตรโดยทิ้งลงในลำคลอง ในเรื่องนี้มีผู้ที่เชี่ยวชาญทางจิตได้นั่งพิจารณาด้วยญาณแลเห็นพระเครื่องวิ่งอยู่ใต้น้ำเหมือนฝูงปลาเสร็จแล้วกระโดดขึ้นบนศาลเพียงตา หรือที่อาจารย์<st1:personName ProductID="ฉลอง เมืองแก้ว">ฉลอง เมืองแก้ว</st1:personName> นำตะกรุดไปทิ้งกลางทะเลห่างจากฝั่งประมาณ <st1:metricconverter ProductID="2 กิโลเมตร">2 กิโลเมตร</st1:metricconverter> แล้วเรียกวิ่งเข้าสู่ฝั่ง กระแสจิตระดับนี้สามารถเรียนคุณไสยได้ คือสมาธิระดับกลาง ฉะนั้นการที่เราไปเห็นเกจิอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งนำพระเครื่องใส่ในบาตรแล้วปลุกจนพระเครื่องนั้นวิ่งเกรียวกราว อย่าตื่นเต้นนัก มันคงละเรื่องคนละวิชา มิใช่จะทำให้พระนั้นขลังหนักขึ้นไปผู้ที่ทำได้เขาเรียกว่าเล่นกล หลอกกันนี่หว่า คือทำให้คานที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเห็นเข้าแล้วเกิดศรัทธา ทีนี้มาลองพลังจิตของมุสลิมดูกันบ้าง เช่นหม่อนเจ้าเฉลิมศรี จันทรทัต ได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นให้พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ฟัง มีใจความว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2460 เสด็จพีอของท่านได้สร้างวัดใหม่ขึ้นที่บางลำพู วันหนึ่งขณะที่ช่างกำลังก่อสร้างอยู่ดี ๆ ได้ปรากฎกาฝูงใหญ่พากันบินตรงมายังวังที่กำลังก่อสร้างส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ไปหมด คนทั้งหมดต่างพากันมองดูกา ขณะเดียวกันนั้นปรากฏมีลวดหนามสำหรับขึงกั้นรั้วลอยมาในอากาศ ตรงเข้าพันเสาวังตรงช่องลมห่างจากชายคาลงมาเล็กน้อย ขณะที่ลวดหนามตวัดพันเสาบังเกิดเสียงในอากาศคล้ายคนใช้ไม้เรียวหวดไปมาดังเควี้ยว ๆ ผู้คนในวังพากันแตกตื่นโกลาหล รอจนเหตุการณ์สงบลงแล้ว จึงได้ช่วยกันแกะลวดหนามออกจากคอเสานำมาวัดได้ความยามถึง <st1:metricconverter ProductID="40 เมตร">40 เมตร</st1:metricconverter> คิดเป็นนำหนักหลายกิโลกรัม สืบสวนได้ความว่ามีผู้ไม่หวังดีว่าจ้างพวกมุสลิมใช้วิชาคุณไสยมาทำร้าย แต่แพ้บารมีท่านต่อมาเกิดมีเปลวหมูลอยมาตกในวังอีกนำไปชั่งหนักถึง <st1:metricconverter ProductID="3 กิโลกรัม">3 กิโลกรัม</st1:metricconverter> แสดงว่าคนที่รับจ้างกระทำวิชามารร้ายรายนี้มิใช่ชนชาวมุสลิม เพราะมุสลิมจะไม่ยอมแตะต้องกันมันหมู น่าจะเป็นลาวหรือเขมรเสียหลายส่วน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (เป็นความเชื่อ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของคุณ ( จบ ) โดยปรัศนี ประชากร

    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    3. คุยผี เป็นคุณไสยที่ใช้วิญญาณช่วยจะเป็นวิญญาณคนหรือวิญญาณสัตว์ก็ได้ ปรากฏตามบันทึกของ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ มีว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ. 2500 เหตุเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยครอบครัวชาวประมงครอบครัวหนึ่งเป็นลูกจีนเกิดในประเทศไทย หัวหน้าครอบครัวชื่อนาย.......นับถือคริสต์ศาสนา ภรรยาของยานเองเกิดทะเลาะมีปากเสียงกับภรรยาของเพื่อนบ้านชาวมุสลิม ซึ่งมีอาชีพทำการประมงเช่นกัน หลังจากเกิดเหตุได้ 3 วันจนถึงวันที่ 4 เวลา 18.00 น.เศษ เหตุการณ์ประหลาดได้ปรากฏขึ้นที่บ้านของนายเฮง กล่าวคือมีควันสีขาวคล้ายกลุ่มหมอกลอยเข้ามาทางประตูบ้าน พอควันจางปรากฏเห็นหนูสีขาวตัวใหญ่ขนาดแมววิ่งเข้ามาในบ้าน ขณะที่หนูวิ่งไปในทิศทางใดจะปรากฏหมอกควันขาวกระจายไปทั่วตัวหนูนั้น และหากหมอกควันไปกระทบผู้ใดเข้าจะเกิดอาการคล้ายวิกลจริตชั่วระยะหนึ่ง เช่นหัวเราะหรือร้องไห้ขึ้นมาเฉย ๆ ปราศจากเหตุผล คนในบ้านของนายเฮงทั้งครอบครัวและลูกจ้างมีอยู่ด้วยกัน 30 คน เกิดอาการวิกลแก้ผ้าร้องรำทำเพลงตะโกนโหวกหวากกลั่นไปหมดถึง 20 คน นายเฮงเกิดการตกใจสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยเหลือ โอมายกิอดเฮลต์มี เรียกจนปากแหกถึงใบหูท่านก็ทำไขสือเสียไม่ลงมาช่วยเพราะนับถือพระคริสต์แต่ไม่รู้จักพระคริสต์จะเอาสื่ออะไรมาช่วย สู้ผมนอกศาสนาคริสต์ยังจะดีกว่า คือรู้จักก๊อดหรือพระเจ้านั้นหลังพระพุทธกาล 500 ปี ไม่มีมาเกี่ยวข้อง ก๊อดคำนี้มาจากคำว่า โกฐิฏะ มหาโกฐิฏะเป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ 4 ไม่มีชื่อในประภทฉฬภิญญาหรืออภิญญาหก ได้จารึกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแคว้นยูรูซาเล็ม จารึกไปถึงทะเลทรายแล้วหายสาบสูญไป เข้าใจว่าทนความลำบากยากเข็นของธรรมชาติไม่ไหว และอาหารการขบฉันน่าจะไม่สะดวกเท่าที่ควร และดับขันธ์นิพพานในที่สุดได้จารึกคำสอนลงในแผ่นศิลา เมื่อพุทธกาลล่วงไปได้ 500 ปี จึงมีผู้ค้นพบคำสอนดังกล่าวแล้วตั้งเป็นศา...พระเจ้า และในบัญญัติสิบประการมีข้อความบางตอนคล้ายคลึงกับศีลในพุทธศาสนา ผั้ไม่เข้าใจคิดไปว่าเป็นการลอกเลียนศาสนาพุทธ ความจริงไม่ใช่เท่านั้น เรื่องนี้เป็นความลับของโลกและได้ความรู้จากพระอริยคุปธาร ได้พบกับกายทิพย์ของท่านที่หนองหาร จ.สกลนครและสนทนากันจึงทราบความเป็นมาดังกล่าวแล้ว<O:p</O:p
    อาการวิกลจริตของคนในบ้านจะเป็นอยู่เพียง 2-3 ชั่วโมง เมื่อหนูขาวหายไป อาการวิกลจริตของคนป่วยในบ้านจะเริ่มดีขึ้น ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมงก็จะปกติดังเดิม อาการที่เกิดขึ้นแก่ครอบครัวนายเฮงติดต่อกันถึง 7 วัน ไม่มีผู้ใดแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ บังเอิญลูกศิษย์ของโยคีฮาเล็ม ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ทางจังหวัดสมุทรปราการดืทราบเรื่องเข้าก็ไปเยี่ยมครอบครัวนายเฮง และพานายเฮงมาหาท่านอาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]โยคีฮาเล็ม ขณะนั้น</st1:personName> พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์กำลังนั่งคุยกับอาจารย์อยู่พอดีท่าอาจารย์โยคีได้นั่งตรวจดูทางฌานสมาบัติแล้ว ได้บอกว่าพวกมุสลิมแกล้งเอา และให้นายเฮงไปจับหนูขาวมาให้ท่าน โดยท่านทำยันต์ผ้าขาวให้นายเฮงไปปิดไว้ที่หน้าประตูบ้าน ต่อมาอีก 2-3 วัน ขณะที่ พ.ต.อ.ชลอ นั่งคุยกับอาจารย์เห็นนายเฮงพร้อมด้วยบริวารราว 20 คน ได้มาเยือนท่านอาจารย์โยคี และได้นำกลุ่มด้ายดิบเป็นรูปหมูแต่ไม่มีเท้ายาวประมาณ 10 นิ้วฟุตมาวางต่อหน้าท่านอาจารย์โยคี และบอกกับท่านอาจารย์ว่าจับหนูขาวได้แล้วแต่มันกลายเป็นผ้าดิบไป นายเฮงเล่าต่อไปว่าในวันต่อมาจากวันที่ได้รับผ้ายันต์จากท่านอาจารย์ไป ได้นำยันต์ไปปิดไว้ที่ขอบประตูตอนบน และประชุมสมาชิกในครอบคัวและเพื่อนบ้านใกล้เคียงคอยสังเกตุการณ์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ครั้นถึงเวลาประมาณ 18.15 น. ปรากฏกลุ่มควันขาวแป็นกลุ่มหมอกขึ้นที่หน้าประตูบ้านก่อน ครั้นแล้วกลุ่มควันได้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในบ้านและมีหนูขางตัวเดิมลอยเข้าประตูมา พอผ่านประตูซึ่งมีผ้ายันต์ติดอยู่ หนูขาวตัวใหญ่ก็มีอันเป็นไป กล่าวคือตกลงหน้าประตูนั้นเอง และยืนตัวสั่นอยู่สักครู่หนึ่งก็ล้มลงนอนหงาย และตัวหนูหายวับไป กลายเป็นกลุ่มด้ายดิบผูกเป็นรูปหนูขึ้นแทน นายเฮงกับพวกในบ้านพากันไชโยโห่ร้องกันสนั่นหวั่นไหว และโดดเข้าเก็บกลุ่มด้ายดิบรีบเช่ารถยนต์พาพรรคพวกและครอบครัวมาแสดงความเคารพท่านอาจารย์โยคีในคืนนั้น ต่อมาได้ทราบว่าเหตุการณ์ในบ้านของนายเฮงเป็นปกติสุขตลอดมา ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่าที่ใช้ด้ายดิบแปลงเป็นหนูนั้น เขาใช้วิชานัพนาพีผสมกับวิชาวูดู และวิญญาณของผีและวิญญาณของหนูพากลุ่มด้ายดิบให้ลอยเคลื่อนที่เข้ามาในบ้าน เพื่อก่อความโกลาหลพอสมควรและผู้ใช้วิชาลึกลับจะเรียกหนูขาวกลับไป และจะปล่อยกลับมาอีกในเวลาย่ำค่ำ หากแก้ไม่ตกอาจจะเกิดวิกลจริตกันทั้งบ้าน ส่วนผ้ายันต์ซึ่งท่านอาจารย์โยคีได้ให้นายเฮงไปปิดประตูบ้านนั้น เป็นมนต์ถอนวิชาลึกลับเรื่องนี้หนูจึงกลับกลายเป็นกลุ่มด้ายดิบตามเดิม ฝ่ายผู้ใช้วิชาลึกลับกลั่นแกล้งผู้อื่นนั้นเมื่อรู้ตัวว่ามีผู้ที่มีวิชาเหนือกว่าตนแล้ว เพราะหนูไม่กลับไปหา จึงมีความกลัวไม่กล้าทำอีก ผู้ที่แก้ของนี้หากไม่มีศีลธรรมอาจส่งของกลับไปหาผู้ปล่อย และผู้ที่ปล่อยของจะถึงแก่ความตายในทันที แต่ท่านอาจารย์โยคีไม่ได้ส่งหนูกลับไป และสั่งให้นายเฮงนำกุ่มด้ายดิบไปฝังดินเสีย และสั่งสอนไม่ให้จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก นับแต่วันนั้นเป็นต้นมานายเฮงและครอบครัวทั้งหมดหันมานับถือพุทธศาสนาและทำบุญเข้าวัดเช่นเดียวกันพุทธศาสนิกชนทั่ว ๆ ไป<O:p</O:p
    4. คุณยา ท่านอาจารย์โยคีฮาเล็บได้เล่าให้ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ฟังว่า การใช้วิชาลึกลับในประเทศไทยยังไม่รุนแรงเท่าประเทศอินเดีย มีการทดลองกับคนจริง ๆ ว่าผู้ศึกษาจะมีความสำเร็จถึงขั้นใด ตัวท่านเองเคยติดตามคณะเกจิอาจารย์ไปดูการทดลองกับเขาด้วย เหตุเกิดในเขตเมืองกัลกัตตาเวลาเที่ยงตรง เกจิอาจารย์บอกล่วงหน้าว่าจะใช้วิชาคุณยาแก่หญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านของเกจิอาจารย์ผู้จะทำการทดลองเพียง <st1:metricconverter ProductID="10 เมตร">10 เมตร</st1:metricconverter> มองเห็นหน้ากันชัดเจน ขณะทดลองนั้น เกจิอาจได้ให้หญิงแม่ลูกอ่อนเดินออกมายืนหน้าบ้านของตนก่อน ผู้ที่ไปร่วมทดลองจะได้เห็นเหตุการณ์ถนัดตา พอดี.....ผู้เคราะห์ร้ายเดินอุ้มลูกออกมายืนอยู่หน้าประตูบ้านของนางพอดี เกจิอาจารย์ผู้นั้นเริ่มหยิบขมิ้นผงใส่โถแล้วนำมาวางตรงหน้าเริ่มบริกรรม สักครู่ขมิ้นผงนั้นก็ปลิวขึ้นสู่อากาศเป็นปล่อง และมุ่งตรงไปที่ศรีษะของหญิงเคราะห์ร้ายนั่น พอขมิ้นหมดโถหญิงนั้นก็ล้มลงชักดิ้นชักงอ โลหิตไหลออกจากปากจมูกเปรอะไปหมด และขาดใจตายในเวลาต่อมา ชั่วครู่เดียวลูกน้อยกระเด็นไปนอนร้องไห้อยู่ทางหนึ่ง อาจารย์โยคีเล่าว่ารู้สึกสังเวชสลดใจเหลือเกิน ที่เห็นผู้มีวิชาใช้วิชาลึกลับฆ่าคนปราศจากความผิดไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ชั้นเดิมท่านตั้งใจว่าจะไม่ศึกษาหาความรู้ถึงวิชาลึกลับนี้เป็นอันขาด ภายหลังเมื่อประสพเหตุการณ์ด้วยตนเองเช่นนี้ ท่าจำไปศึกษาเพิ่มเติมวิชาลึกลับเหล่านี้ไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อประสพเคราะห์กรรมดังกล่าวมาแล้ว<O:p</O:p
    อีกครั้งหนึ่งเมื่อท่านอาจารย์โยคีก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ท่านได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ได้พบสำนักเกจิอาจารย์สำนักหนึ่งเป็นชาวมุสลิม มีอาชีพรับจ้างทำร้ายผู้อื่นด้วยวิชาลึกลับ และตั้งตนเป็นอาจารย์รับสอนผู้อื่นที่จะมาเรียนวิชานี้ โดยเรียกค่าสอนเป็นเงิน เมื่อศิษย์ผู้ใดเรียนสำเร็จวิชาแล้วจะต้องทดลองวิชาให้อาจารย์ดู เพื่อให้เป็นที่แน่ใจก่อนจะออกไปหากิน ครั้นอยู่มวันหนึ่งมีผู้มาแจ้งกับท่านอาจารย์โยคีว่าบ่าย 3 โมงเย็นวันนี้ เขาจะทดลองวิชาวูดูและนัพนาพีกัน โดยใช้ยินหมแกไปกินคน อาจารย์โยคีได้ติดตามคณะทดลองไปสังเกตการณ์ด้วยว่าจะเป็นความจริงเพียงไร ปรากฏว่าเกจิอาจารย์คณะนั้นได้เดินทางร่วมกันด้วยกันรวม 4 คน อาจารย์ 1 ศิษย์ 3 ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านกำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่อย่างชุลมุนทั้งหญิงและชายสรวมใส่เสื้อผ้าหลากสี ตัวอาจารย์ใหญ่ทำทีเป็นนั่งพักผ่อนใต้โคนต้นไม้ห่างจากผู้คนประมาณ <st1:metricconverter ProductID="10 เมตร">10 เมตร</st1:metricconverter> พอนั่งลงเรียบร้อยเกจิอาจารย์ก็ชี้มือไปยังชายผู้หนึ่งสรวมเสื้อโพกศรีษะขาว ให้ศิษย์ผู้หนึ่งทดลองวิชา ศิษย์คนหนึ่งในคณะเริ่มบริกรรมมนต์ประมาณ 10 นาที ชายผู้นั้นก็ร้องโอ๊ยแล้วล้มลงสิ้นใจตาย และเขาให้ศิษย์อีก 2 คน ทดลองวิชากับหญิงและเด็กผู้ชายอย่างละคน ศิษย์คนที่ 2 และคนที่ 3 ก็ลงมือปฏิบัติการอย่างศิษย์คนแรก ปรากฏว่าต่อจากนั้นประมาณ 15 นาที ปรากฎว่าหญิงคนหนึ่งและเด็กชายคนหนึ่งได้ล้มขาดใจตายเช่นเดียวกับชายคนแรก ครั้นทดลองเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็อนุมัติให้ไปทำมาหากินโดยลำพังได้<O:p</O:p
    แผ่นดินจีนนอกกำแพงใหญ่มีการนับถือศาสนามุสลิมกันมาก ประกอบด้วยชนหลายเผ่าแย่งที่ทำกิน แย่งทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงปศุสัตว์ในทะเลทราย ( กล่าวในสมัยโบราณ ) แน่นอนที่สุดอวิชาชนิดนี้ย่อมเกิดมีขึ้น และแพร่กระจายไปในหมู่ชนชาวนักเลง ชิงความเป็นใหญ่ด้วยมิจฉาทิฐิ ฆ่าฟันกันไม่มีการหยุดผู้ชนะคือผู้อยู่ผู้แพ้คือผู้ตาย จึงเกิดมีทั้งวิชามารและวิชาฝ่ายธรรมะ นับแต่ประเทศจีนตอนใต้จากบู่ซัว หรือสิงสองยอด ( คือสิบสองเจ้าไทย ) ไปจรดแคว้นซินเกียงภาคเหนือและทิเบต ภิกษุนักพรตทุกสำนักต่างฝึก.......วิชาป้องกันตัวโดยจัดเป็นหลักสูตร ไมยกเว้นแม้ในพงไพรป่าลึกและเกาะในทะเลที่ห่างไกลผู้คน หากจะการศึกษาของการฆ่าคนยกตัวอย่างให้ดู นับว่าไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะใช้ได้ เพราะการศึกษามีกำหนดเป็นขั้นตอนถึง 10 ขั้นตอน ฝึกฝนตั้งแต่เยาววัยจนถึงระยะเวลา 20 ปี จัดอยู่ในขั้นที่ 2-3 หากเป็นวิชาขั้นสูงอาจยังไม่ได้ขั้นที่ 1 ด้วยซ้ำไป ฝึกกันจนถึง 60 ปี จัดเป็นขั้นปรมาจารยหรือหัวหน้าสำนัก และยิ่ง......นี้ยังมีอีก การฝึกของสำนักมาตรฐานเช่นนักพรตช่วนจินก้า หรือนักพรตบู๊ตึงซัว นิยมใช้พลังลมปราณดาวเหนือเป็นมาตรฐาน นอกนั้นใช้วิชากสิณฝึกปรือเป็นวิชาพิเศษเช่นการฝึกเตโชกสิณทำให้เกิดความร้อนจนสามารถเผาไหม้วัตถุหรือทำอันตรายผู้คนได้รังสีที่แผ่ออกเป็นสีแดงขั้นต่ำสุดเรียกฝ่ามือทรายแดง สูงสุดเรียกสุริยันสยบฟ้า ถ้าฝึดด้วยโลหิตกสิณเรียกฝ่ามือโลหิต ถ้าฝึกจากความร้อยระอุของทะเลทรายเรียกฝ่ามือสุริยัน ถ้าสถานที่ฝึกมีอากาศหนาวเย็นจัดเช่นการฝึกของลานะในทิเบตเรียกลุ้ยเท้งอิ้นหรือประทับหัตถ์ใหญ่ จะมีรอยดำเกรียมสำหรับผู้ถูกกระทำร้าย นอกนั้นก็ดัดแปลงเอาจะเป็นนฝ่ามือเย็นเช่นยินหมอกก็ใช้นิลกสิณออกพลังสีเขียว พวกที่อยู่ในดินแดนที่หนาวจัดฝึกได้ผลมาก พลังหยุ่นหลังดึงดูด พลังผลักดัน จนถึงพลังรีลักษณ์คือเพ่งจนเป็นสูญยากาศอากาศเกิดช่องว่างเมื่อดึงพลังกลับคืนอากาศที่ล้อมอยู่ภายนอกจะหมุนตัวและบีบทำลายวัตถุต่าง ๆ จนมีสภาพเป็นผุยผง สำหรับการฝึกของสำนักเส้าหลินมักใช้พลังร้อนเป็นหลัก ส่วนฝ่ายมารฝึกโดยวิธีลัดจากฝ่ามือพิษต่าง ๆ เช่นฝ่ามือซากอสุภะ มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ฝ่ามือพิษโดยสะพิษร้ายต่าง ๆ มาสะสมในกายตัวทีละน้อยจนเกิดการต้านทางอยู่ได้ มีรังสีดำและใช้ทำร้ายศัตรูขนาด......ออกจากทวารทั้ง 7 เช่นกันต่อมาวิชาที่ว่านี้เสื่อมลงปราศจากการถ่ายทอด และหมดลงเมื่อสงครามฝิ่นเรียกว่ากบฏอกเซอร์ หรือกบฏมวย จะเอฝ่ามือไปสู้ปืนใหญ่ของอังกฤษมันสู้ไม่ไหวแน่ เอากันว่าของเช่นนี้มีจริง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สงวนลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (เป็นความเชื่อ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร และท่านพันเอกชม สุคนธรัตน์


    กาลามสูตร


    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <O:p</O:p

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <O:p</O:p
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<O:p</O:p
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <O:p</O:p
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<O:p</O:p
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <O:p</O:p
    6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<O:p</O:p
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <O:p</O:p
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<O:p</O:p
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <O:p</O:p
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา<O:p</O:p
    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง <O:p</O:p
    ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสอง<O:p</O:p

    พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามีในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งราชวงศ์สุโขทัยปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ1600ปีมีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชยท่านมาเกิดเป้นครูบาบุญทาแต่เป็นเรื่องของความฝันไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดและมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้น ผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่านมีชื่อว่าb
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสาม<O:p</O:p

    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร
    <O:p</O:p

    พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ท่านไม่ใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกันผู้ที่อวดรู้เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งนอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้วยากที่ผู้อื่นจะดูออกท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่านี่คนหรือผีกันแน่เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน"สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคยถามท่านอภิชิโตว่าตามที่เขาลือกันว่าหลวงปู่สุขวัดปากคลองและหลวงพ่อเงินวัดบางคลานซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดรไม่มรณะภาพจริงอาจารย์เคยพบบ้างไหมท่านตอบว่าไม่เคยพบเป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดรมีอยู่หลายสายด้วยกันและยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดงสายในดงคือไปศึกษาความรู้จากองค์ท่านสายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจเป็นทั้งฆราวาสและบรรพชิตเช่นอาจารย์พัวแก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชมสุคันธรัตเป็นต้นพยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับอย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาปหลวงปู่ท่านเคยตำหนิว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขายถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว
    <O:p</O:p
    องค์ที่หนึ่งพระอุตรเถระหรือหลวงปู่ใหญ่ คือบรมครูเทพโลกอุดรลักษณะรูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำจึงมีฉายาว่า หลวงพ่อดำมีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้าบรรลุอภิญญาหกแต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโชคือวิชชาสามซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณแต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาญานเช่นกันท่านได้วางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่าวิทยาศาตร์ทางใจมิใช่วิชาไสยศาสตร ์และมิใช่มายากลศิษย์ในดงนอกดงสามารถแปรธาตุได้เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปานวัดคลองด่านหลวงปู่สุขวัดปากคลองท่านอภิชิโตภิกขุอาจารย์พัวแก้วพลอยอาจารย์ฉลองเมืองแก้วหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง ฯลฯเป็นต้นท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรมใจดีประกอบด้วยเมตตามีอารมณ์ขันหากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมฑูตซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิแหลมทองคงได้แก่พระโสณเถระซึ่งท่านเป็นน้องชาย ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตรแต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชายบทบาทของพระอุตรเถระจึงไม่ค่อยมีปรากฏและพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเช่นกันมิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไรปฏิสัมภิทาญาณสี่มีดังนี้
    <O:p</O:p
    1. อัตถปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในอรรถเข้าใจถืออธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และ เข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมีเข้าใจผล<O:p</O:p
    2. ธรรมปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในธรรมเข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อขึ้นได้สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ<O:p</O:p
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในภาษาและรู้จักใช้ถ้อยคำตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ<O:p</O:p
    4. ปฏิภาณสัมภิทาความแตกฉานในปฏิภาณมีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีหรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉินหรือกล่าวตอบโต้ได้ทันท่วงที<O:p</O:p
    ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมากเพียงนึกถึงท่านท่านจะบอกให้นิมิต "เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มาเรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่งในการตรวจพระพิมพ์ของท่านซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติบอกว่าอาจารย์ท่านคือหลวงปู่ดำเสกให้เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียรคำไสสว่างชีปะขาวผู้ทรงคุณกำหนดจิตดูท่านอาจารย์บอกว่าพระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่งต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้าปรากฏว่าเหมื่อนกันทุกประการ
    <O:p</O:p
    องค์ที่สองพระโสณเถระหรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่งเว้นวิชาแพทยใจดีเยือกเย็นประกอบด้วยเมตตาธรรมชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร
    <O:p</O:p
    องค์ที่สามพระมูนียะหรือพระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพหลวงปู่เดินหนล้วนเป็นองค์เดียวกันมีบุคลิกภาพอันสง่างามปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบันเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุเป็นผู้คงแก่เรียนชอบเจริญอศุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูกพูดน้อยค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุแต่ก็ไม่ดุเป็นอาจารย์หลวงพ่อเงินบางคลาน หลวงปู่สุขวัดปากคลองห่มจีวรสีหมองคล้ำหากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกสายาวจรดเอวทีเดียวแสดงว่าอิเกสาโร” (เกสาแปลว่าเส้นผม)ท่านมีบทบาทไม่น้อยตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่นๆด้วยซ้ำไป
    <O:p</O:p
    องค์ที่สี่พระณานียะฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องจังหวัดนครปฐมท่านมีรูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่นมีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดีนิมิตไม่แน่นอนอาจเป็นรูปพระภิกษุ ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบแต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบท่านมาสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมคือขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเถ้าสู่เถ้าผงคลีสู่ผงคลีดินจะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอกที่สุดก็มรณะภาพและศิษย์นำใส่โลงศพรอวันเผาหลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอยเลยไม่มีการฌาปนกิจศพ
    <O:p</O:p
    องค์ที่ห้าพระภูริยะหลวงปู่หน้าปานบางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้มแดงเคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกษุท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอทล่องหนย่นทางเก่งถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซึกซ้ายแก้มซ้ายจะแดงถ้าเปลี่ยนเป็นอมทางแก้มขวาทางด้านขวาจะแดงจึงเกิดถกเถียงกันไม่รู้จบท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ามาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกันโดยอาศัยร่างท่านมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดท่านเป็นภิกษุทรงศีลเมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่าพระมหาชวนได้ตายไปแล้วอาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ

    สงวนลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร




    จบประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร โดยย่อครับ

    เหตุที่ต้องสงวนลิขสิทธิ์นั้น ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านไม่ต้องการให้ใครนำบทความของท่านไปทำมาหากิน ไปค้าขาย แต่ท่านต้องการที่จะเผยแพร่ให้บุคคลทั้งหลายที่นับถือหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ได้ทราบว่า หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ท่านเป็นใคร มาจากไหน ท่านสอนอะไรครับ
    .<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2006
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ขอบคุณครับ คุณสิทธิพงษ์ สำหรับเรื่อง "คุณ"
    และ ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร และท่านพันเอกชม สุคนธรัตน์


    ผมบันทึกไว้แล้ว มีเวลาจะอ่านให้จบ
    เป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์มากๆ
    หาอ่านที่ไหน ไม่ได้จริงๆ
    เพราะความอุตสาหะของคุณสิทธิพงษ์แท้ๆ จึงทำให้เราได้อ่านกัน

    โมทนาสาธุครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทอง


    และกระทู้เรื่องราววัดภูเหล่าเงินฮาง จ.อุบล กับการสร้างองค์ปฐม สมปราถนาได้ทันใจ

    คุณนักเดินทางได้แจ้งกับผมมาว่า มีผู้ที่ร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์ไปนั้น พระพิมพ์ที่ส่งให้เกิดแตกหักในระหว่างการส่งพระพิมพ์ไปให้ หากท่านใดที่ได้รับพระพิมพ์แล้วแตกหักหรือชำรุด ผมขอความกรุณาให้ส่งคืนมายังคุณนักเดินทางด้วยครับ และผมเองจะให้คุณนักเดินทางส่งพระพิมพ์ไปให้ใหม่

    วันนี้ คุณนักเดินทางได้ซื้อกล่องที่สำหรับใส่พระพิมพ์ไปแล้ว ผมจะให้คุณนักเดินทางส่งพระพิมพ์ไปให้ใหม่ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่จัดส่งพระพิมพ์ไปให้ไม่ดีนักครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post316775 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">วันนี้, 07:02 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #730 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>นักเดินทาง<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_316775", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 07:08 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2005
    อายุ: 38
    ข้อความ: 802 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 2,454
    Thanked 3,800 Times in 663 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 575[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_316775><!-- message -->เรียนท่านที่ได้บูชาวัตถุมงคลไป หากพระพิมพ์ที่ผมส่งไปแตกหักชำรุด ขอความกรุณาแจ้งผมมาด้วยครับ ผมจะส่งไปให้ใหม่ และอยากจะให้ส่งพระที่แตกหักคืนมาที่ผมตามที่อยู่ที่ซอง ขอบคุณครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    แหม...ทำเหมือนผมเลยครับเพราะอ่านไม่ทันเลยต้อง save ไว้ก่อน เร็วกว่า
    ต้องนับถือคุณหนุ่มจริงๆ ที่สามารถหาข้อมูลมาได้และกล้าฟันธงถึงตัวบุคคลท่านต่างๆ ที่เป็นศิษย์หรือมิใช่ของหลวงปู่ ผมที่ได้เข้ามาร่วมบุญในเว็ปนี้ก็เพราะกระทู้นี้แหละครับ ต้องขออนุโมทนาบุญต่างๆกับคุณหนุ่มด้วยครับ.
    (verygood)
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ เรื่องราววัดภูเหล่าเงินฮาง จ.อุบล กับการสร้างองค์ปฐม สมปราถนาได้ทันใจ

    <TABLE class=tborder id=post316835 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">เมื่อวานนี้, 09:39 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right>#731 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>Narong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_316835", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 07:40 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2006
    ข้อความ: 295 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 3,262
    Thanked 3,137 Times in 286 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 352[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_316835><!-- message -->ได้รับภาพล่าสุดจากคุณสัญฐ์ ให้ชมกันพลางๆก่อนะครับ

    ศาลาอเนกประสงส์
    [​IMG]


    การเดินทางไปร่วมบุญที่วัดภูฯ กับน้องโยยังมีที่นั่งรอคนร่วมเดินทางอีกนะครับ ได้คุณนักเดินทาง เป็นหัวหน้าทีมหมายเลขหนึ่งแล้วครับ ใครจะเป็นหมายเลข ๓ ถึง ๙ ครับ น้องโยหมายเลขสองครับ เชิญครับท่านที่สนใจร่วมเดินทางไปร่วมบุญในครั้งนี้ ติดต่อที่น้องโยได้ครับ
    <!-- / message --><!-- attachments -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2006
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ เรื่องราววัดภูเหล่าเงินฮาง จ.อุบล กับการสร้างองค์ปฐม สมปราถนาได้ทันใจ

    <TABLE class=tborder id=post317112 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">วันนี้, 11:49 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #733 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>oyoyo554<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_317112", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 07:26 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2004
    สถานที่: กรุงเทพฯ
    ข้อความ: 393 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 5,697
    Thanked 2,669 Times in 346 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 377[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 id=td_post_317112><!-- message -->ขอกราบโมทนาบุญกับพี่ณรงค์ พี่พัชนีและทุกท่านที่มีส่วนร่วมกันสละปัจจัย ทำให้งานเพื่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ใกล้สำเร็จลงทุกที

    ส่วนเรื่องการเดินทางนั้น พรุ่งนี้จะจองรถตู้แล้วค่ะ หากท่านใดประสงค์จะร่วมเดินทางไปในงานกฐินของวัดภูเหล่าเงินฮางและได้ร่วมพิธีสมโภชองค์พระปฐมบรมศาสดา สมเด็จองค์ปฐม และได้ร่วมกันถวายเสนาสนะ หนังสือพระไตรปิฎก ครั้งหนึ่งในการได้อัตภาพความเป็นมนุษย์ หากมีโอกาสได้ร่วมในงานกฐินครั้งนี้ เป็นมหาบุญมหากุศล หากท่านใดไม่ติดขัดงานบุญที่ใด ก็ขอเรียนเชิญนะคะ เหลือที่นั่งเพียง 7 ที่เท่านั้นค่ะ
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...