พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ปกติการแขวนพระของในกลุ่มลูกศิษย์อาจารย์ประถมจะใช้วิธีเจาะรู หรือเลี่ยมเปิด เลี่ยมเปิดอาจมีข้อด้อยตรงที่เนื้อพระอาจเสียดสีกับหน้าอก ถ้าคนเหงื่อเยอะ นานๆไปเนื้อพระอาจสึกหรอได้

    ผมมีอีกแนวทางครับ ได้ไอเดียจากเพื่อน คือ กรอบสำเร็จรูปนี่แหละ แต่เราแกะพลาสติกหน้าหลังออก ก็เหมือนกับเลี่ยมเปิดเลยแหละครับ แต่เนื้อพระจะไม่โดนตัวเรา ป้องกันการชำรุดของเนื้อพระ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ คุณเอกธนัช ได้ร่วมบุญกับการร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทอง โดยโอนเงินเข้าบัญชีของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บัญชีออมทรัพย์ 203-0-06304-5 ชื่อบัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาพนมสารคาม จำนวนเงิน 2,500 บาท ส่วนพระพิมพ์(ผงยาวาสนา คะแนน) ผมจะจัดส่งให้นะครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองได้รับ Fwd Mail จากเพื่อนคนหนึ่ง เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ

    เพื่อนแท้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ชายคนหนึ่งมีเพื่อนเกลออยู่3 คน
    เกลอคนที่1 เขารักมาก ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเกลอคนนี้
    เกลอคนที่2 เขารักรองลงมาจากคนแรก
    เกลอคนที่3 เขาไม่สนใจ และไม่เคยทำอะไรเพื่อเกลอผู้นี้เลย

    ต่อมาในไม่ช้าไม่นาน เขาก็ได้ตายลง
    ความที่จิตเขาผูกพันกับอยู่กับเกลอคนที่หนึ่ง เขาจึงไปหา
    แต่เกลอคนนี้ไม่ไยดีเขาเลย เขาพูดด้วยก็ไม่ยอมเจรจาตอบ
    เขารู้สึกเสียใจมาก
    และนึกเสียดายว่าขณะที่มีชีวิตอยู่เขาไม่ควรทุ่มเทเพื่อเกลอคนนี้

    จากนั้นเขาจึงไปหาเกลอคนที่ 2
    เกลอผู้นี้ดีกว่าเกลอคนแรกตรงที่ตามไปส่ง เมื่อเขาเดินทางไปปรโลก
    แต่ส่งเพียงครึ่งทางก็กลับ
    คงมีแต่เกลอคนที่ 3 เท่านั้นที่ติดตามเขา
    และร่วมเดินทางไปกับเขาตลอดเส้นทาง ไม่เคยทอดทิ้งเขาแม้เพียงอึดใจเดียว

    หลังจากอ่านจบขอถามนะว่า รู้ไหมว่าเกลอคนที่ 1 , 2 และ 3 เป็นใครกันบ้าง
    ลองคิดกันก่อนนะ แล้วค่อยดูเฉลย

    เกลอคนที่1 คือ ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
    เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา
    แถมเราพูดด้วย มันก็ไม่พูดกับเรา
    เกลอคนที่2 คือ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง
    เพราะพอเราตาย เขาก็ทำบุญให้เรา ทำศพให้ แปลว่า เขาไปส่งเราแค่ครึ่งทาง
    เกลอคนสุดท้าย คือ บุญกับบาป
    เมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
    ยกเว้นเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น ที่จะตามเราไป
    เพราะฉะนั้น เราต้องเอาใจใส่เกลอคนที่3 ให้มากโดยเฉพาะ
    คนที่ ชื่อนายบุญ ส่วนนายบาป เราต้องหนีให้ไกล
    อย่าได้เอาไปเป็นเพื่อนร่วมทางโดยเด็ดขาด

    จำไว้ว่าใครที่มัวหลงใหลเอาใจแต่เกลอคนที่หนึ่งจึงเป็นคนโง่

    หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้างไหม ? <O:p</O:p

    ถ้าจะดี อ่านจบแล้วช่วยส่งต่อให้คนที่ยังไม่ตื่นตัวอีกหลายๆคนด้วย<O:p</O:p
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง ตอนที่ 6<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การใช้พระเครื่องสมัยเดิม<O:p</O:p

    เรื่องการอมพระ คาดพระ พกพระใส่ไถ้ใส่ถุง นับเป็นเรื่องล้าสมัย คนสมัยเก่ามีเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการใช้พระเครื่องมากมาย ได้รับประสิทธิผลเป็นส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้การพกพระติดตัวนำไว้กับบ้านก็ใช้ได้ เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือเห็นว่าเป็นการพูดเล่นมากกว่า เพราะขนาดแขวนคอเป็นพวงยังเห็นไปไม่รอด แต่เป็นเรื่องจริงเขาเรียกว่าการใช้พระ โดยการอธิษฐาน ผู้อธิษฐานจะต้องมีสมาธิจิตอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ย่อมได้ผลจริง มีบุคคลหนึ่งไม่ได้ถามชื่อได้รับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมรดกตกทอดอยู่องค์หนึ่ง ปกติบุคคลผู้นี้ไม่นิยมการแขวนพระ แต่มีความเคร่งครัดกว่าผู้ที่แขวนพระมากมายนักคือก่อนที่จะออกจากบ้านไปกิจธุระทุกครั้งจะไม่ลืมจุดธูปบูชาพระสมเด็จฯ เพื่อขอความแคล้วคลาดปลอดภัยคุ้มครองชีวิต วันหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 3 นัดที่ตัวเป็นรอยไหม้ 3 รอยและไม่ได้รับอันตราย สมัยเมื่อพระคุณเจ้าธัมมวิตกโก ยังมิได้ทำการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องและเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน มีนายตำรวจบางคนไปขอของดีจากท่าน พระคุณเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มีของดีอะไรแจก หากนับถือพระคุณเจ้าเพียงให้รำลึกถึงฉายาว่า ธัมมวิตกโก โกก็พอคุ้มกันภยันตรายได้ ต่อมานายตำรวจผู้นั้นไปตามจับผู้ร้ายสำคัญจังหวัดเพชรบุรีที่ป่าตาลแห่งหนึ่งเกิดต่อสู้กันตัวต่อตัว คนร้ายมีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่านายตำรวจกดคอนายตำรวจไว้จะเชือดด้วยมีปาดตาลอันคมกริบ นายตำรวจเห็นจวนแจได้สติจึงรำลึกถึงพระคุณเจ้า ธัมมวิตกโก เท่านั้นเองผู้ร้ายถึงแก่อาการจังงังเงื้อมีดปาดตาลค้างนายตำรวจผู้นั้นจึงใช้วิชายูโดล๊อคคนร้ายไว้ได้ และถามด้วยความสงสัยว่าตอนนั้นทำไมไม่ลงมือเชือดคอฉัน ผู้ร้ายตอบว่าจะเชือดได้อย่างไรกันครับ พระที่ไหนไม่ทราบมายืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมคิดอะไรไม่ออกเรื่องนี้ทราบจากปากคำนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกันส่วนตัว บางคนว่าเหรียญที่อัดพลาสติกจนแน่นก็ใช้ได้ เช่น เหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อมเหรียญหลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว เขาว่าอย่างนั้น มันออกจะขัดแย้งกับการแผ่พุ่งของรังสีตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซักไปคงได้ความเช่นเดียวกับการอธิษฐานโดยไม่ต้องนำพระติดตัว เข้าศาสตร์เดียวกับผู้ที่ใช้พระสมเด็จโดยไม่ต้องนำพระติดตัวไม่ใช่ว่ารังสีการคุ้มครองสามารถพุ่งทะลุพลาสติกออกมาได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดไปอีกนาน ประเภทนี้เป็นการใช้พระเดี่ยวทั้งสองราย การใช้พระในสมัยก่อนนอกจากการอธิษฐานอาราธนาโดยเคร่งครัดแล้วยังมีการผูกกลึงการคัดถอน โบราณถือว่าเวทย์มนต์คาถานั้นมีการสูบหรือคัดถอนได้เมื่อเกิดดีต่อดีมาเจอกันก็จำเป็นต้องคัดถอนกันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นการต่อสู้ระยะประชิดตัวในการรบสมัยโบราณจึงมีการตายกันไม่น้อยทั้ง ๆ ที่ต่างก็มีของดี ดังคำกลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการคัดของดีจากคู่ต่อสู้ดังนี้<O:p</O:p
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมีคำถามที่จะถาม ไม่รอให้เรื่องรังสีจิตจบดีกว่า ลองตอบกันดูนะครับ

    เอกสารอ้างอิงที่ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี ท้วม บุนนาค มีอะไรบ้างและท่านอาจารย์ประถม อาจสาครท่านได้มอบหนังสือเล่มดังกล่าวให้กับหอสมุดแห่งชาติ จำนวน กี่เล่ม

    ผมมีพระพิมพ์ไพ่ตองเล็กจำนวน 1 องค์ มอบให้กับผู้ที่ตอบถูกเป็นท่านแรกเท่านั้นครับ และคำตอบที่ท่านตอบต้องไม่มีการแก้ไขนะครับ ถ้าตอบแล้วคิดว่ายังตอบไม่ถูกให้ตอบใหม่ ผมจะยึดคำตอบที่ถูกที่สุดเป็นเกณฑ์ครับ


    ขอให้ทุกๆท่านโชคดี และเข้ามาตอบเร็วๆนะครับ


    .<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2006
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้รับเมล์จากเพื่อน เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ

    ทำไงดีขับรถตอนน้ำท่วม

    ข้อแรก ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องกลัวว่า
    รถจะดับหรือปล่าว หรือจะมีปัญหาอะไรตามมา เช่น น้ำจะเข้ารถหรือปล่าว
    แล้วจะเกิดผลเสียต่ออุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่
    แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีละ

    ข้อ 1 คือ ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตาม
    เพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำ
    ที่ผมบอกอย่างนี้ ก็เพราะว่า เมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน และอย่าลืมสิครับ
    ว่าเรากำลังลุยน้ำลึก อย่างที่ผมเจอวันนี้ ก็คิดว่า น่าจะเกินระดับพัดลม
    เพราะฉะนั้น ถ้าเราขืนเปิดพัดลมละก็ สิ่งที่จะตามมาคือ
    ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วคุณลองคิดดูว่า อะไรจะเกิดขึ้น
    นั่นก็คือ เครื่องจะดับเอาง่าย ๆ

    หรือ ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ ซึ่ง
    เราก็ไม่รู้หรอกว่า ขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัด
    ไม่ว่าจะเป็น ขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่ง สิ่งของพวกนี้
    มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหัก
    ซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า เราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน


    เพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหา

    ข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้


    ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ครับ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุด
    เท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้น


    ข้อ 3 คือ ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะเห็นผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักจะ


    เร่งเครื่องแรง ๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะกลัวเครื่องดับ
    เพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ
    แท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น
    เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน
    และสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ครับ
    ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียครับ เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสีย
    แล้วคุณสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบา
    แรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆ




    ต่อให้คุณจอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อคุณเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ทรถ
    ผมกล้าพูดได้เลย ทีเดียวติดครับ (กรณีนี้ ที่ผมกล้าพูดว่า รถสามารถสตาร์ทติด


    คือ น้ำท่วม แค่ท่วมท่อไอเสียนะครับ ไม่ใช่ท่วมฝากระโปรงนะครับ) แต่
    สำหรับรถคาบู ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าถ้าถึงขั้น น้ำท่วมท่อไอเสียแล้วมันจะสตาร์ทติดหรือไม่ แต่สำหรับเครื่องหัวฉีด
    สบายใจได้ครับ


    4. ควรลดความเร็วลง เมื่อ กำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมา
    เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น อย่างที่ผมบอก
    ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา
    มันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้
    หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือ

    ข้อแรก พยายาม ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมา
    มันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมาก
    ถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก

    สำหรับ เกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรก
    เพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรก

    อีกข้อนึงคือ ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตาม
    เพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก
    ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจครับ
    ก็สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะ
    ถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมาคือ มันจะผุ

    และหลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไร ไปดูกันต่อค่ะ !!!

    1. ล้างรถ รวมถึง การฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วย
    รวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่าง ๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือ
    บริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมด
    เพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้น มันใหญ่หลวงนัก


    หนัก ๆ หน่อย ไฟอาจไหม้ได้

    ในคู่มือยังบอกเลยครับว่า รถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ ( CAT)
    ไม่ควรจอดรถไว้บริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นสูง เพราะอุณหภูมิของเจ้า


    Catalytic Converter นั้น มันค่อนข้างสูงมาก ๆ

    2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่า มันมีสีผิดปกติหรือไม่ คือ
    ถ้ามีลักษณะคล้ายสี ชาเย็น นั่นแสดงว่า
    ต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้
    ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจ
    เพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึก ๆ มา
    มันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์
    และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง

    3. เช็คลูกปืนล้อ ซึ่ง พูดง่าย ๆ ว่า เจอน้ำทีไร
    ลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูง ๆ อันนี้ทำใจไว้ได้เลย ว่า
    อาจต้องเปลี่ยน แต่ โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็ว ก็เพราะสาเหตุที่ว่า
    จอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำ โดยปกติ จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
    แต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเสียเงินได้เลย

    4. ตรวจสอบ พื้นพรมในรถ ว่า เปียกชื้นหรือไม่ เพราะ
    หลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร


    เพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือ กดแรง ๆ ดู
    หรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือปล่าว

    ถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลารื้อพรมกันเลยละครับ
    เพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าคุณไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียง เอาผ้าซับ ๆ
    ให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริง ๆแล้ว มันก็แห้งเหมือนกัน แต่
    สิ่งที่คุณไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถของคุณ
    ซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่า น้ำมันมีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้ง
    มันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้

    ในรถยังมีระบบปรับอากาศ
    ที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ


    ได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียน กลับไปกลับมา อยู่ในรถของคุณ
    นั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะคุณก็สูดเอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไปตลอดเวลา
    จะว่าไปแล้ว รถสมัยนี้ค่อนข้างออกแบบมาดี ลุยน้ำไม่ค่อยดับกันหรอกครับ

    ถ้าทำอย่างที่ผมบอกนะครับ ผมว่า จากสายตา วันนี้ผมลุยน้ำลึกไม่น่าต่ำกว่า 50 ซม
    เพราะรถรุ่นใหม่ ๆ จะย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้า ECU


    ไว้ในตำแหน่งที่สูง พูดง่าย ๆ ว่า อยู่ในรถกันเลยหละ รวมถึงกล่องฟิวส์ต่าง ๆ
    ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง เพื่อป้องกันน้ำท่วมนี่เหละครับ



     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเรื่องนะครับ

    ยาพิษในใจ

    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
    เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่
    เมื่อเธอแต่งงานจึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี...
    ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้ากับแม่สามีได้เลย
    ใช่สิ
    บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้
    ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา


    วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน
    ลี่ลี่และแม่สามีทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน
    แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ตามธรรมเนียมจีน สะใภ้จะต้องก้มหัว
    และเชื่อฟังแม่สามีในทุกเรื่องราว
    นำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง


    ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึง
    จึงตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
    เธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อนรักของพ่อที่ขายสมุนไพรหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
    เธอจึงถามว่า
    พอจะหายาพิษอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลในคราเดียวได้ไหม
    คุณหวางคิดอยู่ชั่วขณะในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า
    "ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและเชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ"
    ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า "ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง"


    คุณหวางหายไปหลังร้าน และกลับมาภายในเวลาชั่วครู่พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือ
    เขากล่าวกับลี่ลี่ว่า
    "ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
    แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษนี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ
    เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย
    หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน
    สารพิษนี้จะได้ค่อย ๆ สะสมอยู่ในตัวเธอ ...
    ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดี ๆ และเชื่อฟังเธอด้วย


    วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อแม่สามีตายลงจะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ
    อย่าลืมนะ...ห้ามเถียงเธอ
    แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด"
    ได้ยินดังนั้น ลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนัก
    จึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวางเพื่อกลับไปเตรียมอุบายสังหารแม่สามี


    วันและคืนผ่านไป...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่สามีทุกวันเว้นวัน
    เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง
    เชื่อฟังและดูแลเธอเหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง


    เวลาล่วงไปได้หกเดือน
    ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
    ลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก
    ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยตลอดหกเดือนนี้
    แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี
    ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
    เธอเริ่มรักลี่ลี่เหมือนกับลูกสาวแท้ ๆ
    ของตัวเอง...เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่า
    ลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุดและยากจะหาใครมาเสมอเหมือน


    บัดนี้ ลี่ลี่ และแม่สามีรักกันดุจแม่-ลูกจริง ๆ
    แล้ว...ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น


    วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
    เธอละล่ำละลัก "คุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะ
    หนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ... คุณลุงรู้มั้ยคะว่า
    ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก
    ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริง ๆ ของหนู


    หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษของหนูเลย..."

    คุณหวางพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
    ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวลาว ลุงไม่เคยให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
    สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...
    ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก
    และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้วด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้เท่าทัน - มะเร็งเต้านมชนิดใหม่

    อาการเป็นผื่นแดงที่เต้านม

    คล้ายการระคายเคืองธรรมดาของแม่ที่ให้นมบุตร


    การตรวจหามะเร็งด้วย mammogram แสดงผลปกติ

    หมอให้ทายาปฏิชีวนะ แต่อาการกลับแย่ลง หมอจึงให้ตรวจด้วย
    mammogram อีกครั้ง คราวนี้พบก้อนเนื้อมะเร็งที่กำลังขยายเร็วมาก

    เขาเริ่มการรักษามะเร็งด้วย "คีโม" (chemotherapy)

    และการฉายรังสีเพื่อยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง

    หลังจากการรักษาอย่างเข้มข้น 9 เดือน เขาก็หายดี


    แต่มะเร็งก็กลับมาอีก โดยครั้งนี้เกิดที่ตับ

    เขาเข้ารับการรักษา 4 ครั้ง

    แต่แล้วก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตช่วงสุดท้า ยอยู่อย่างสบายโดยไม่ต้องทรมานจากอาการข้างเคียงจากการทำคีโม

    เขาอยู่ได้ 5 เดือน

    ก่อนเสียชีวิตเขาได้ทิ้งข้อความนี้ไว้ให้กับผู้หญิงทุกคน


    ผู้หญิงทุกท่าน โปรดตื่นตัวกับอาการอะไรก็ตามที่ไม่ปกติ

    และรีบรับการรักษาแต่เนิ่นๆ


    Paget's Disease เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง

    ซึ่งไม่ค่อยพบบ่อยนัก จะเกิดภายนอกที่หัวนมและบริเวณรอบๆ

    ลานนม ดูเหมือนเป็นผื่นแดง (rash)

    ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นคล้ายแผลและตกสะเก็ดแข็งรอบๆ

    ซึ่งเขาก็ไม่คิดเลยว่าจะเป็นมะเร็งไปได้เพราะไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร

    เพียงแต่รู้สึกรำคาญเพราะบางทีจะคันๆ แสบๆ จึงได้ไปหาหมอ

    แต่ทายาที่หมอผิวหนังสั่งแล้วก็ไม่หาย

    และหมอก็ไม่ได้เตือนถึงความเป็นไปได้ของมะเร็ง


    ฉันเชื่อว่า

    ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงไม่คิดว่าผื่นที่หัวนมจะกลายเป็นมะเร็งไปได้

    ตอนที่ฉันเป็น

    ก็เริ่มจากตุ่มแดงตุ่มเดียวคล้ายสิวที่ลานนม

    ซึ่งดูไม่น่ากลัวอะไร คิดว่าเป็นเพียงผิวหนังอักเสบเล็ก

    ๆ น้อย ๆ ทำให้ไม่คิดจะหาหมอเพื่อรับการรักษา


    อาการเป็นอย่างไร


    1. ผิวระคายเคืองออกแดง มีน้ำเหลืองออก ถึงตกสะเก็ด

    ที่บริเวณหัวนม คันและแสบร้อน (ของฉันคันและแสบไม่มาก

    และไม่มีหนองไหล เพียงแต่เป็นสะเก็ดรอบนอกด้านหนึ่ง)

    2. แผลบนหัวนมจะไม่หา ย (ของฉันเป็นบริเวณลานนม

    มีบริเวณเป็นสีขาวๆ หนาๆ ที่กลางหัวนม)


    3. โดยทั่วไป จะเป็นที่หัวนมข้างเดียว การตรวจพบ

    ต้องตรวจทางกายภาพ และทำ mammogram

    เต้านมทั้งสองข้างทันที

    แม้อาการระคายเคืองนั้นจะดูเหมือนแค่ผิวอักเสบธรรมดา

    หมอควรจะสงสัยว่าเป็นมะเร็ง หากมีอาการเพียงข้างเดียว

    หมอควรตรวจเนื้อเยื่อเพื่อให้มั่นใจ


    ข้อค วามนี้สำคัญ และควรส่งต่อไปให้มากที่สุด

    อาจช่วยรักษาชีวิตบางคนได้


    มะเร็งเต้านมที่ฉันเป็นลุกลามไปถึงกระดูก

    หลังจากการรักษาด้วยคีโมอย่างแรง ฉายรังสี 28 ครั้ง

    และใช้ยา หากฉันรู้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่มะเร็งเริ่มแรก

    บางทีมะเร็งอาจไม่ลุกลามมากขนาดนี้


    จากFwd Mail ครับ
    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, littlelucky, pechklang </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มีเข้ามาอยู่แค่ 3 คนเอง สงสัยหลวงตาย้า คงเข้ามาอ่านไม่ทันละมั้งเนี่ย

    โชคดีทั้งสองท่านนะครับ หากว่ากำลังค้นหาคำตอบอยู่ คำตอบก็อยู่ในกระทู้นี้ละครับ แต่ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้น แค่ 56 หน้า เป็นกำลังใจให้ทั้งสองท่านนะครับ
    .
     
  11. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    คำถามแรก เอกสารอ้างอิงที่ใช้ จำนวน 5 เล่มครับได้แก่

    1.1.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 13
    2.ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
    3.ประวัติเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี
    4.พระราชประวัติวัง
    หน้า และ
    5.ประวัติเจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่าฉบับนายณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม เอกสารอ้างอิงนั้น มีอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ (เทเวศร์) ครับ

    คำถามที่ 2
    หนังสือเล่มนี้ท่านอาจารย์ประถม ท่านได้นำไปมอบให้กับหอสมุดแห่งชาติ จำนวน ๒ เล่มครับ (ที่อยู่เทเวศน์)

     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สุดยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวครับ
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]<!-- / message --><!-- sig -->

    __________________
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถูกต้องนะครับ ยินดีด้วยครับ

    <TABLE class=tborder id=post203336 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="FONT-WEIGHT: normal">26-02-2006, 12:44 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #313 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_203336", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดนิยม

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:51 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 5,843 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 3,327
    Thanked 16,535 Times in 3,035 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2277[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_203336><!-- message -->สำหรับพระวังหน้านั้น เป็นพระที่สร้างขึ้นเมื่อปลายรัชกาลที่ 4 จวบจนสิ้นสมัยท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พ.ศ.2428 <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมได้ศึกษาประวัติของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร มาจากหนังสือหลายๆเล่ม หลายผู้เขียน จนกระทั้งสุดท้าย ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับท่านอาจาย์ประถม อาจสาคร ซึ่งท่านก็มีความเมตตาที่ได้สอนให้ผมได้รู้จักกับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ผมได้หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ซึ่งเขียนโดยท่านอาจารย์ประถม อาจสาครและท่านพันเอกชม สุคนธรัต ท่านได้บอกว่า หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร นั้น ในคณะท่านมี 5 องค์ (ตามประวัติโดยย่อของหลวงปู่ที่ผมได้ลงในกระทู้นี้) ท่านอาจารย์ประถม ท่านเล่าให้ฟังว่า เวลาที่หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า มาหาหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้านั้น หลวงปู่พระโสณเถระเจ้าท่านจะเรียกหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าว่า หลวงพี่ ส่วนพระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร ที่มีรูปหลวงปู่นั่งมรณภาพในถ้ำ เป็นรูปโครงกระดูก) หรือหลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรือหลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า มาหาหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้านั้น จะเรียกหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าว่าหลวงพ่อ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนพระพิมพ์ของหลวงปู่นั้น ท่านอาจารย์ประถม ท่านเล่าให้ฟังว่า พระของหลวงปู่ นั้น เริ่มมีการจัดสร้างขึ้นตั้งแต่ที่ เนปาล มีกรุของพระพิมพ์ของหลวงปู่อยู่ในภูเขาหิมาลัย (ท่านอาจารย์ประถมท่านเคยนำพระของกรุนี้ ตรวจสอบด้วยตนเองและนำไปให้ผู้ทรงญาณอีกหลายท่านตรวจสอบ ผลปรากฏว่าบางท่านเห็นเป็นภูเขาสูงที่มีน้ำแข็งปกคลุม บางท่านบอกว่าเข้าไปในถ้ำแล้วหนาวมาก ผลที่ตรวจสอบนั้นตรงกันหมด) ต่อมาก็มีการสร้างพระพิมพ์ขึ้นหลังจากที่คณะของหลวงปู่ได้เดินทางเข้ามายังสุวรรณภูมิ จนในสมัยรัชกาลที่ 4 (หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ท่านเห็นว่าท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเคยมีความเกี่ยวพันกันในอดีตมา หลวงปู่ท่านก็มาหาท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในปัจจุบันท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านเป็นหนึ่งในห้าของครูฝึก เมื่อมีการฝึกตามระดับขั้นแล้วหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ,หรือหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า หรือหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านจะมาเป็นผู้ที่ทดสอบกับศิษย์ว่า ผ่านในขั้นนั้นแล้วหรือยัง) จวบจนพ.ศ.2428 ซึ่งเป็นปีที่ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคต หลังจากนั้นก็มีการสร้างพระพิมพ์ของหลวงปู่อีก แต่ในช่วงหลังนี้ หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่เสกให้ พระพิมพ์ที่เราๆท่านๆคุ้นตานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพระพิมพ์ที่ยืนปิดตาบ้าง , นั่งอยู่ตอไม้บาง , นั่งสมาธิมีบาตรบนมือท่านบ้าง ,นั่งบนตอไม้มือปิดหน้าบ้าง และยังมีอีกหลายพิมพ์ การจัดสร้างนั้น หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านให้ลูกศิษย์ของท่านเป็นคนทำพระพิมพ์ขึ้นแล้วท่านเป็นผู้ที่เสกให้ แต่การสร้างนั้นเป็นการสร้างพระพิมพ์ในยุคหลังแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ครูฝึกของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น มี 5 องค์ แต่ท่านอาจารย์ประถม ท่านบอกว่าทราบนามของครูฝึกเพียง 2 ท่านคือหลวงปู่แจ้งฌาณ กับท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ อีก 3 ท่านไม่ทราบนาม ในบางครั้งผู้ที่ได้พบหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่หลวงปู่ แต่ได้พบครูฝึกของหลวงปู่ก็เป็นได้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนท่านกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเจ้านั้น ในสมัยท่านไม่ปรากฏการจัดสร้างพระพิมพ์ขึ้น เนื่องจากว่า ท่านอาจารย์ประถม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าจาก <O:p</O:p
    1.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 13 <O:p</O:p
    2.ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ<O:p</O:p
    3.ประวัติ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี<O:p</O:p
    4.พระราชประวัติวังหน้า<O:p</O:p
    5.ประวัติเจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี(ท้วม บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่า ฉบับนายนัฐวุฒิ สุทธิสงคราม<O:p</O:p
    อีกทั้งต้องศึกษาศิลปะของพระพิมพ์ว่ายุคใหนลักษณะเป็นอย่างไร และต้องตรวจทางด้านนาม (ตรวจว่าใครเป็นผู้เสกหรือเสกที่ไหน)ด้วยครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากเอกสารอ้างอิงดัง(เป็นเอกสารอ้างอิงในหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี ท้วม บุนนาค) กล่าวนี้ พอที่จะบ่งบอกได้ว่า การสร้างพระพิมพ์ในยุครัตนโกสินทร์ของวังหน้านั้น มีการจัดสร้างขึ้นในปลายรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ส่วนทางวังหลวงนั้นมีการจัดสร้างขึ้นในปลายรัชกาลที่ 4 จวบจนปลายรัชกาลที่ 6 ท่านอาจารย์ประถม ท่านเคยบอกผมว่า วังหน้า ร.1 ถือดาบ วังหน้า ร.5 ถือพู่กัน ท่านกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเจ้านั้น พระองค์ท่านเก่งมากในเรื่องของการศึกสงคราม แต่ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านเก่งมากในเรื่องของศิลปะทุกแขนง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกทั้งหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เขียนโดยปรัศนี ประชากร ซึ่งเป็นนามปากกาของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ได้วิเคราะห์ชีวประวัติของเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วิเคราะห์การสร้าง ,มวลสารต่างๆ ,เรื่องช่างสิบหมู่ ,มีการจำแนกวรรณพระพิมพ์สมเด็จวังหน้า สมเด็จพระปัญจศิริ ,พิธีการพุทธาภิเษกของวังหน้า และอีกหลายๆเรื่องครับ แต่ถ้าท่านใดสนใจที่จะได้นั้น ผมคงต้องให้ท่านไปซื้อกับท่านอาจารย์ประถมเองครับ ผมเองเคยไปขอซื้อจากท่านเนื่องจากเพื่อนขอซื้อ ท่านบอกว่า ให้คนที่อยากได้ มาซื้อกับท่านเอง ผมก็เลยจนแต้มครับ หนังสือเล่มนี้ท่านอาจารย์ประถม ท่านได้นำไปมอบให้กับหอสมุดแห่งชาติ (ที่อยู่เทเวศน์) 2 เล่มครับ ลองไปหาอ่านกันได้ แต่ข้อมูลในหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เขียนโดยปรัศนี ประชากร นี้ จะนำลงในเว็บไซด์ของหลวงปู่ด้วยในโอกาสต่อไปครับ<O:p</O:p

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขอเก็บลายเซ็นเดิมของผมไว้ก่อนนะครับ เผื่อต้องใช้ข้างหน้า

    การบริจาค ดวงตา , อวัยวะ , ร่างกาย ให้สภากาชาดไทย
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=32274

    สภากาชาดไทย
    http://www.redcross.or.th/home/indexthai.php4

    มูลนิธิชัยพัฒนา
    http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php

    โรงพยาบาลสงฆ์
    http://www.dms.moph.go.th/priest/

    วัดพระบาทน้ำพุ..อ่อนแรง รายจ่าย 3.5 ล้าน/เดือน
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=14617


    *************************************************

    คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้... & ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร & มหากฐินสามัคคีวัดบ่อเงินบ่อทอง วันที่29 ตุลาคม 2549 & ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทอง บัญชีของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บัญชีออมทรัพย์ 203-0-06304-5 ชื่อบัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาพนมสารคาม
    เรื่องราววัดภูเหล่าเงินฮาง จ.อุบล กับการสร้างองค์ปฐม สมปราถนาได้ทันใจ&กฐิน14-15 ตค.49 ชื่อบัญชี พระอ่อนสา ฐิติคุโณ ธนาคาร กรุงเทพฯ จำกัด สาขา กิโลศูนย์ เลขบัญชี 340-4-11629-9
    ประชาสัมพันธ์งานบุญ"งานบุญคุณแผ่นดิน"จัดขึ้นวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2549 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่อบัญชี "บุญคุณแผ่นดิน" สาขาตลาดเจ้าพรหม บมจ.ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาอยุธยา บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 059-1-88984-9http://www.boonkunpandin.com
     
  16. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ขอแซวรับเช้าอรุณหน่อยครับ เพื่อนที่ส่ง mail เรื่องนี้มาให้คุณ Sithiphong เนี่ย มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเลยใช่มั้ยครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่ผมนำบทความมาลงส่วนใหญ่ร้อยละ 99 เป็นผู้ชายครับ ผู้หญิงไม่ค่อยมีครับ

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิดินถวายวัดบ่อเงินบ่อทองบัญชีของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บัญชีออมทรัพย์ 203-0-06304-5 ชื่อบัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาพนมสารคาม


    คุณสงวนชัย เพื่อนคุณหมู ได้ร่วมทำบุญสร้างกุฎิดิน บริจาคเงินทำบุญจำนวน 2,000 บาท ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ


    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง ตอนที่ 7<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    </O:p
    วันเหนียว<O:p</O:p
    เป็นวันเหนียวเฉพาะตนโดยอัตโนมัติแต่ไม่ทราบว่าเป็นวันอะไรแน่ พยายามสอบถามได้ความเพียงว่าให้สังเกตดูหากวันไหนถ่ายอุจจาระจมก็วันนั้นแหละ ไม่ต้องมีอะไรก็เหนียว ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่นิยมการใช้พระแม้แต่เรื่องลงกระหม่อมสักยันต์ก็ไม่เคย วันหนึ่งถูกสุนัขกัดอย่างแรงไม่เข้าเป็นที่แปลกใจ บางคนเกิดฟลุคไปรดน้ำมนต์แล้วถูกรุมตีไม่เป็นไรอาจารย์องค์นั้นก็ดังไปพักหนึ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้ามีพระติดตัวก็เข้าใจว่าหลวงพ่อช่วย เอวันหลังทำไมไม่แน่
    <O:p</O:p
    วันเปื่อย<O:p</O:p
    เมื่อมีวันเหนียวก็ย่อมมีวันเปื่อยเป็นของคู่กัน อย่าทะนงตนและอย่าสงสัยเรื่องเกิดขึ้นภายในครอบครัวนี่แหละครับ วันหนึ่งผมไปพบท่านเจ้ากรมแผนที่คนปัจจุบันที่บ้านสะพานจงประสาน อ. เมืองชลบุรี พอเห็นหน้าท่านก็ทักทันที แหมพระของพี่ถมเหนียวชะมัดตาจิ๋วถูกสุนัขกัดเย็บตั้ง 8 เข็มทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก จึงเรียนถามท่านว่า สุนัขมันกัดวันอาทิตย์ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่าใช่ ผมก็ไม่กล่าวกระไร ท่านบอกว่ายังทะลึ่งพาไปคลินิกเห็นถอดพระออกจากคอ ถามว่าถอดทำไม่ ตาจิ๋วตอบว่าเข็มแทงไม่เข้าครับ นี่มันประกอบด้วยกฎแห่งกรรม คือนายจิ๋วเมื่อเล็ก ๆ มีนิสัยซุกซนชอบแหย่สุนัขข้างบ้าน เอาใบกระดาษแหย่ให้มันกัดมันโกรธและมีความอาฆาตพอมีโอกาสเจอกันที่ถนน มันตรงเขากัดอย่างไม่เลี้ยงมันดุจริง ๆ ขนาดกัดสุนัขด้วยกันมันกินเนื้อสุนัขตัวที่ถูกมันกัด แต่นายจิ๋วก็มีนิสัยเป็นนักสู้ไม่ถอยหนีรู้สึกตัวว่าถูกกัดเข้า ก็รีบนึกถึงหลวงพ่อตอนนี้ไม่เข้าและชักมีดจะแทงสุนัขพอดีเจ้าของออกมาห้ามจึงเลิกกันไป พอไปถึงคลินิกเย็บแผลเกิดไม่เข้ายังความฉงนสนเท่ห์ให้กับนายแพทย์ยิ่งนัก รำพึงว่าไม่น่ากัดเข้าเลย และก็พระองค์นี้ถูกกัดมามากครั้งแล้ว สบายมากไม่เป็นไรเลยนี่แหละครับเขาเรียกวันเปื่อย และอาจจะเป็นเฉพาะชั่วยามในคราวเคราะห์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง ตอนจบ<O:p</O:p

    ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)<O:p</O:p
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันตาย
    <O:p</O:p
    คนเราย่อมมีที่ตายของตน อาจมีคนแย้งว่าที่ตายของคุณแม่อยู่ที่ซอยลอยมา ถ้าอยู่ซอยจงประสานเห็นทีจะไม่ตายกระมังนี่เป็นการตายปกติสามัญ อยู่โรงพยาบาลอยู่ที่ไหนก็ตาย ที่ตายที่ว่านี้เป็นการตายไม่ปกติ เช่นหายโหง ตายแบบอุบัติเหตุมันมีที่ของมัน เพื่อนผมคนหนึ่งทำงานองค์การรถไฟ ไปราชการสงครามประเทศเกาหลีไม่มีพระกับเขามันก็ไม่ตายเพราะไม่ใช่แดนตายของเขา คนที่มีพระเต็มคอก็ตายเขาเลยไม่ยอมเชื่อพระตัวเอง เช่นว่านี้มีอยู่หลายเรื่อง
    <O:p</O:p
    1. มีนักเลงทางตำบลบางทรายผู้หนึ่งเกเรและเพาะศัตรูไว้มากมาย แกมีพระประจำตัวอยู่ 3 องค์ คือ พระร่วงสนิมแดง 1 ประปิดตาเมฆพัดหลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก 1 พระคงสีดำ จังหวัดลำพูน 1 มีปืนเบรานิงค์ตราปืนขนาด 7.65 หนึ่งกระบอกพกติดตัวอยู่เสมอ ก่อนจะออกตลาดทุกครั้งจะต้องแวะไปที่กุฏิท่านวินัยธรรม (เภา)ให้เห็นพระเสียก่อน และมักจะลองของบนกุฏิทุกครั้งด้วยปืนคู่ชีวิต คือยิงใส่ตัวเอง 3 ครั้งก่อนจะเดินทาง คิดว่าหากเป็นวันเปื่อยก็เพียงแค่เสียแขน ถ้าไปโดนวันเหนียวเข้า ยิง 3 นัดก็ไม่ออก โดนวันธรรมดาก็ออกกระสุนปืนเด้งจากแขนเพียงเป็นจุดไหม้เท่านั้น จึงจะเป็นที่มั่นใจและออกเดินทางได้และเข้าวันหนึ่งหลังจากทดลองตัวเองด้วย 3 นัดไม่เป็นไรก็ต้องถูกยิงตายที่ตำบลท่าถ่านต้องถูกมือดีคัดของและประกอบกับเป็นวันตาย ที่ตายด้วย หากไม่ออกมามันก็ไม่ตาย
    <O:p</O:p
    2. หลวงพ่อวัดหนองบัวลาดหญ้าเมืองกาญจน์เก่งทางตะกรุดฝาบาตร ท่านทรงฌานสมาบัติ วันหนึ่งมีกระทาชายสองนายมาหาท่านที่กุฏิเพื่อขอตะกรุดฝาบาตรจากท่านคนละดอก ท่านพิจารณาอยู่สักพัก แล้วสั่งว่าวันนี้ขออย่าลองของ กระทาชายทั้งสองนายพอรับของจากหลวงพ่อก็ดีใจลืมคำพูด สัญญาความจำรู้เพียงว่าของหลวงพ่อเคยลองได้ คนหนึ่งมีดาบเล่มยาว อีกคนหนึ่งมีมีดซุยขนาดใหญ่เรียกกันว่ามีดการะเกด ต่างผลัดกันแทงผลัดกันฟันเป็นที่สนุกสนาน พอถึงทางแยกสามแพร่งคนที่ถือดาบถูกคนมีมีดการะเกดแทงเต็มเหนี่ยวทะลุหลังถึงหน้าอกขาดใจตายตรงนั้นเอง ทำให้ต้องเสียเพื่อนรักและตัวเองต้องติดตะรางเพราะความประมาท
    <O:p</O:p
    3. เสือร้ายมาตายรัง เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง เพราะเสือร้ายมาตายที่วัดหลวงพ่อและเป็นศิษย์ก้นกุฏิเสียด้วย เรื่องเกิดขึ้นทางจังหวัดภาคเหนือจะเป็นอุตรดิตถ์หรือชัยนาทจำไม่ได้ ทำให้หลวงพ่อเสียหน้า มันถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ล่ามาตลอดทางถูกยิงไม่เป็นไร พอถึงโคนต้นมะขามใหญ่วัดที่เคยขุนข้าวสุก ก็ถูกยิงล้มดิ้นสิ้นใจ หลวงพ่อออกมาดูบอกกับคนทั้งหลายว่าที่ตายของมันอยู่ตรงนี้ คนไม่ยอมเชื่อท่านสั่งให้ลากศพพ้นจากต้นมะขามเพียงหนึ่งวาแล้วให้ยิงด้วยปืนพร้อมกัน 7 กระบอกให้ยิงตามความพอใจไม่ต้องนับปรากฏว่าไม่ออก ท่านให้เอาหอกและจอบตราจระเข้ซึ่งมีความคมขนาดสับรากมะขามขาดลองฟันดู ก็ไม่เข้า พอลากคนถึงโคนมะขามปรากฏว่าทั้งยิงทั้งฟันเข้าหมด ทดลองถึง 3 ครั้ง คนจึงเชื่อและหลวงพ่อขอร้องว่าสงสารอย่าทรมานแก่สังขารอันปราศจากวิญญาณอย่างน้อยมันก็ตายไปแล้ว
    <O:p</O:p
    นี่แหละครับมันเป็นเรื่องลี้ลับนอกเหนือการส่องแว่นค้นหาตำหนิและโค๊ทจริง ๆ เรื่องอะไรทั้งหลายไม่น่างง มันมีสูตรมานานแล้วมิใช่เพิ่งมี หากไม่ศึกษาก็ไม่ทราบ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์
    (เป็นความเชื่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...