พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

กลับมาแล้วครับ คุณน้องนู๋ ไปเยี่ยมพี่เม้ามาครับ ตามธรรมเนียมของการไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่ต้องนำของติดไม้ติดมือไปด้วย...

 

พระสวยดีครับ ขอโมทนาบุญที่มาร่วมช่วยเหลือโครงการโดยพระราชดำริกันครับ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“แซ่” ชาวจีนกำเนิดขึ้นแต่หนไหน
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079633
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 กรกฎาคม 2551 19:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=237 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=237> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ชาวจีนในปัจจุบันนิยมใช้แซ่ตามบิดา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> แซ่ (姓) คือคำเรียกนามสกุลของชาวจีน ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับไทยคือลูกใช้แซ่ตามพ่อ แต่ต่างกันที่แซ่ของชาวจีนจะวางไว้หน้าชื่อ ส่วนของไทยหรือชาติตะวันตกจะวางไว้หลังชื่อ

แซ่นั้นเริ่มกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคสังคมแรกเริ่มของจีน แต่ในเวลานั้นชาวจีนยกมารดรเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการสืบวงศ์ตระกูลจึงสืบสายจากทางแม่ ลูกที่มาจากแม่คนเดียวกันจะอยู่กันเป็นกลุ่ม และไม่สามารถแต่งงานกันภายในกลุ่มได้ จะต้องแต่งข้ามกลุ่ม ต่อมาเพื่อให้มีการแบ่งแยกกลุ่มอย่างเด่นชัด จึงได้มีการกำหนดให้ใช้แซ่กำกับแต่ละวงศ์ตระกูล

ในชาติวงศ์ที่สืบสายจากแม่นั้น ลูกชายหญิงจะได้รับถ่ายทอดแซ่จากแม่ และแน่นอนว่าคนแซ่เดียวกันไม่สามารถแต่งงานกันได้

โดยมีแซ่ จี （姬） จี๋ （姞） ซื่อ (姒) เจียง (姜) เป็นแซ่หลักในสมัยนั้น สังเกตุได้ว่าแซ่เหล่านี้มีตัวอักษร 女 (หนี่ว์) ซึ่งแปลว่า “ผู้หญิง” กำกับอยู่ด้วย เป็นการยืนยันให้เห็นว่า แซ่เริ่มมีขึ้นในช่วงยุคสังคมที่สืบวงตระกูลจากสายแม่

ตามบันทึก “ทำเนียบร้อยแซ่” ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งว่าด้วยเรื่องแซ่นั้น ระบุแซ่ไว้ทั้งสิ้น 494 แซ่ เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการรวบรวมแซ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันปรากฏว่ารวมได้ไม่ต่ำกว่า 8,000 แซ่ แต่ปัจจุบันที่ชาวจีนใช้กันจริงๆ มีประมาณ 3,000 แซ่เห็นจะได้ แบ่งเป็นแซ่เดี่ยวและแซ่ 2 พยางค์ ซึ่งแซ่เดี่ยวจะมีเยอะกว่า อย่างในบันทึกทำเนียบร้อยแซ่นั้นมีแซ่เดี่ยว 434 แซ่ มีแซ่ 2 พยางค์แค่เพียง 60 แซ่เท่านั้น

โดยแซ่ 2 พยางค์ที่เห็นบ่อยที่สุดในปัจจุบันได้แก่ จูเก๋อ (จูกัด) โอวหยัง ซือหม่า ตวนมู่ กงซุน เป็นต้น ส่วนแซ่เดี่ยวที่พบมากที่สุดในปัจจุบันได้แก่แซ่หวัง ตามสถิติล่าสุดที่สำรวจมามีชาวจีนใช้แซ่หวังทั้งสิ้น 93 ล้านคน ตามติดด้วยแซ่หลี่ 92 ล้านคน และแซ่จาง 88 ล้านคน ขณะที่อีก 7 แซ่ ซึ่งรวมถึง เฉิน,โจว,หลิน มีจำนวนผู้ใช้แซ่ละ 20 ล้านคน

และด้วยการที่ชาวจีนมีแซ่นิยมใช้อยู่เพียงไม่กี่ร้อยแซ่ จึงทำให้ปัจจุบันเริ่มเกิดปัญหา “ชื่อแซ่ซ้ำ” ดังนั้นจึงได้เริ่มมีการเสนอวิธีการแก้ปัญหาด้วยการให้ลูกใช้แซ่ผสมระหว่างพ่อกับแม่ อาทิ พ่อแซ่ “จู” แม่แซ่ “โจว” ก็ผสมกันเป็นแซ่ “จูโจว” หรือ “โจวจู” เป็นต้น
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE class=tborder id=post1342096 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 09:23 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1828 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1342096", true); </SCRIPT>
สมาชิก



เข้ามาครั้งล่าสุด: เมื่อวานนี้ 09:46 PM
วันที่สมัคร: Jul 2006
อายุ: 43
ข้อความ: 4,226
Groans: 18
Groaned at 1 Time in 1 Post
ได้ให้อนุโมทนา: 5,056
ได้รับอนุโมทนา 45,668 ครั้ง ใน 4,338 โพส
<IF condition="">
</IF>พลังการให้คะแนน: 3283



</TD><TD class=alt1 id=td_post_1342096 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->มารอพี่เม้าที่"ห้องพระวังหน้า.."อยู่หลายวัน เลยนำมาให้ทัศนาว่า เป็นมือผีทำหรือเปล่าครับพี่...































<!-- / message --><!-- attachments -->
</TD></TR></TBODY></TABLE>


*********************************************

สำหรับพระสมเด็จ พี่ไฟดูดบอกมาว่า มีการถกเถียงและฮือฮากันมากๆ เช่น มีลูกชายของเซียนใหญ่คนนึง มาถามว่า พระสมเด็จองค์ที่พี่ไฟดูดได้มา(จากผมฟรีๆ) นั้นได้มายังไง ได้มาอย่างไร ได้มาเท่าไหร่ พี่ไฟดูดบอกว่า ได้มาฟรีๆ แต่ลูกชายของเซียนใหญ่บอกว่า เป็นไปไม่ได้ มีใครที่จะให้กันฟรีๆ ถกเถียงกันมานาน จนกระทั่งพี่ไฟดูดบอกว่า นำพระทวาราวดีแลกมา เรื่องจึงสงบ แถมขอเช่าต่อในหลัก.......

อย่างที่คุณยายผีป่ามาเล่าให้ฟังว่า ถ้าพระในมือไม่มี ต่อให้เป็นของแท้ และสิ่งที่ได้สร้างกฎเกณฑ์ไว้ ต้องไม่มีการยอมรับและตีเป็นพระเก๊(มือผี) แน่นอน

ผมจะบอกว่า พระสมเด็จนั้น จริงๆมีมาก แค่ผู้สร้างก็มีถึง 13 ทีมผู้สร้าง จะไม่มากได้อย่างไร ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 มีความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาในทุกๆด้าน นำแค่สองเรื่องนี้(และหาข้อมูลจากหนังสือที่เชื่อถือได้)มาวิเคราะห์(ขอย้ำว่าให้วิเคราะห์ ไม่ใช่นำมาจากการอ่านหนังสือที่ไม่น่าเชื่อถือ) ก็จะทราบดี

แค่นี้พอก่อนครับ

 

ผมคิดถึงน้องคนนึงมากๆเลย น้องคนนี้ไม่ได้แวะมาหลายวันแล้ว อย่าง้อน อย่างอนเลยน๊ะ เอ่เอ้

 

ขอนิมนต์ครับ

 

เพิ่งแวะเข้ามา เจอของฝากจากคุณเพชร ที่ห้องพระครูบา
บอกได้คำเดียว ตะลึงตึงตึงครับ
ยิ่งขยายดูมวลสาร พิมพ์ทรง แล้ว บอกได้หลายคำซ้ำๆกันว่า
สุดยอดๆ ดูได้ทั้งวันไม่เมื่อยลูกกะตาเลยจริงๆ
นี่ขนาดไม่เห็นของจริงนะ ถ้าเห็นของจริงคงคลั่งไปแล้ว

คุณเพชร เข้าใจเอามาล้อล่อ นะครับนี่ 555+
โอย น้ำลายย้อยออกมาเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ ต้องเอาพลาสเตอร์ปิดปากไว้ครับ

 

<TABLE class=tborder id=post1342096 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 09:23 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1828 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1342096", true); </SCRIPT>
สมาชิก



เข้ามาครั้งล่าสุด: เมื่อวานนี้ 09:46 PM
วันที่สมัคร: Jul 2006
อายุ: 43
ข้อความ: 4,226
Groans: 18
Groaned at 1 Time in 1 Post
ได้ให้อนุโมทนา: 5,056
ได้รับอนุโมทนา 45,668 ครั้ง ใน 4,338 โพส
<IF condition="">
</IF>พลังการให้คะแนน: 3283




</TD><TD class=alt1 id=td_post_1342096 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->มารอพี่เม้าที่"ห้องพระวังหน้า.."อยู่หลายวัน เลยนำมาให้ทัศนาว่า เป็นมือผีทำหรือเปล่าครับพี่...































<!-- / message --><!-- attachments -->


พระชุดนี้ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขาเพิ่งทำออกมาเหรอคุณเพชร (อิอิ) ทำไมสวยสุดซึ้งทั้งรูปธรรมและนามธรรม ครับ มือผีทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ แสดงว่า มีพรสวรรค์ทางศิลป์ และ พลังพลวัตรทางจิตสูงส่งน่าดู
มือผีท่านนี้มีนามกรว่าไร ใคร่อยากรู้จักจะไปสมานไมตรี ขอพระแบบนี้มาขึ้นคอครับ
</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

อีกนิดครับ
ดูพระชุดนี้แล้ว ยิ่งดูๆไป ทำไมถึงทำกับเบ้าตาผมด้าย
น้ำตาซึมออกมาเลยครับ พลังมหาเมตตามากระทบ
ตามมาด้วยขนแขน standup ไม่ได้ปวดฉ่งปวดฉี่แต่อย่างไรนะครับ
เอ๊ะ...ผมใช้ภาษาผิดไปหรือเปล่า

 

อ่าว..!!! พี่เม้า ตกลงไม่ใช่มือผีหรือครับ หรือว่าเป็นมือผีที่เหมือนจริงมาก...

 

ไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างไร
เพราะผมไม่มีอาชีพทำโฆษณา
เห็น/สัมผัสอย่างไร ก็ว่าไปอย่างนั้น
อย่าไปถือสาอะไรให้มากนัก
คิดว่าฟังนิยายนายเม้าท์ ก็แล้วกันนะครับ

 

ถามจริงๆนะครับ ปกติพี่เม้าเป็นคนที่บ่อน้ำตาตื้นง่ายๆหรือเปล่าครับ อิ..อิ...

 

เป็นมือผีที่เหมือนจริงๆครับคุณเพชร
คงหลอกตาเซียนได้บ้าง แต่หลอกตาสีตาสาไม่ได้หรอกครับ 5555++

 

<TABLE class=tborder id=post1342804 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 09:21 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #18535 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>MOUNTAIN<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1342804", true); </SCRIPT>
สมาชิก ยอดนิยม


</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 32 คน ( เป็นสมาชิก 8 คน และ บุคคลทั่วไป 24 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>:::เพชร:::, aries2947+, kwok, nongnooo+, sithiphong+, จิตต์ปภัสสร, ทองอ้วน </TD></TR></TBODY></TABLE>
ไร้รูป ไร้รอย...บรื๊อออ....

 

ปกติ เป็นโรคบ่อน้ำตาตันครับ..เอิ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>

 

ผมต้องไปขอคุณเพชรมั่งแล้วเนี่ย
อย่าลืมผมด้วยนะครับคุณเพชร

เกือบลืมอีกเรื่อง การอ่านข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มไหน ต้องหัดเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี อีกทั้งประวัติของผู้ที่เขียนหนังสือ ง่ายที่สุดก็คือ การดูพฤติกรรมที่ผ่านๆมาว่า ผู้เขียนหนังสือเป็นอย่างไร จุดประสงค์การเขียนหนังสือเล่มนั้นๆคืออะไร ผลที่ได้จากการเขียนหนังสือได้อะไร หรือเป็นการประชาสัมพันธ์ตนเอง,พระเครื่องของตนเอง ผมเองรู้หลายๆเรื่องแต่ไม่สามารถที่จะนำมาออกอากาศได้


.

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 15 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ภราดรสันติ </TD></TR></TBODY></TABLE>


ช่วงนี้บุคคลทั่วไป 15 คน น้อยกว่าวันก่อนนะครับ

.

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สังคายนา 3,386 ตำรับไทย “ไม่ใช่แค่เผ็ด แต่มีทีเด็ดที่สุขภาพ”</TD></TR></TBODY></TABLE>
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNew...=9510000080780
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กรกฎาคม 2551 08:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พริก พระเอกของอาหารไทย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>“กินอะไรเล่าเธอถึงได้งามแสนงาม งามล้ำเกินใคร…”
“กินข้าวกับน้ำพริกสิจ๊ะ ถึงได้สะได้สวย บ้านน้องใช่ร่ำใช่รวย มีแต่กุ้งแต่หอย เก็บผักตักน้ำตามประสา...”

เสียงคลอเพลงจากเครื่องเล่นเพลงดังต่อกันระหว่างเพลง กินอะไรถึงสวย และเพลงกินข้าวกับน้ำพริกแว่วมาบอกอารมณ์ของผู้เปิดเพลงสอดประสานกับเสียงตำน้ำพริกของครัวข้างๆ กลิ่นหอมของน้ำพริกกะปิโชยมาแตะจมูก ในใจก็นึกถึงเนื้อความถ้อยคำในเพลง กับเรื่องราวที่เพิ่งได้รับได้ยินมา

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องแกงต้มยำที่เปี่ยมด้วยสรรพคุณทางยา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>อย่างไรก็ตาม ในยุคโลกาภิวัตน์ที่อารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไม่สนใจในอาหารไทยพื้นบ้านเท่าใดนัก และหันไปเสพติดกับรสชาติของอาหารฟาสต์ฟูดจากเมืองฝรั่งแทน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารไทยพื้นบ้านเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำรสชาติในยุคปัจจุบันยังแปรเปลี่ยนออกไปจากเดิมที่บรรพบุรุษได้คิดค้นเอาไว้อีกด้วย

** น้ำพริก ภูมิปัญญาอาหารไทย
ผศ.ศรีสมร คงพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทย และ ผอ.โรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ บอกว่า น้ำพริกเป็นอาหารที่แสดงถึงภูมิปัญญาของคนไทย อันเป็นองค์รวมของอาหารสุขภาพ โดยพริกช่วยให้เจริญอาหาร ส่วนเครื่องแนมที่เป็นผักนานาชนิดนั้นยิ่งทำให้กินได้เยอะ เพราะผักต่างชนิดกันก็ทำให้รับรู้รสของน้ำพริกแตกต่างกัน นี่คือเสน่ห์ของความเป็นธรรมชาติในอาหารไทย ที่มีความหวาน เปรี้ยว เค็มและเผ็ดโดยไม่ต้องเติมเครื่องปรุงมากมาย ดังนั้น คำกล่าวที่ว่ากินข้าวกับน้ำพริกแล้วสวยนั้นเป็นความจริงแน่นอน

“ไม่เพียงแต่เป็นอาหารสุขภาพที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ เท่านั้น อาหารไทยยังมีสรรพคุณทางยาเป็นอย่างดี จากเครื่องเทศในแกง หรือส่วนประกอบของน้ำพริกผัด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม กระชาย มะเขือพวง มะขาม ฯลฯ”

“ยกตัวอย่างน้ำพริกแค่ถ้วยเดียวให้คุณค่าทางโภชนาการที่ครบ แต่ถ้ากินแนมคู่กับผักต่างๆ โดยเฉพาะผักพื้นบ้าน เช่น เพกา มะเขือ มะระขี้นกขมิ้นอ่อน ผักบุ้ง สะตอ ยิ่งได้ประโยชน์ ผักพื้นบ้านมีคุณค่าทางสมุนไพรมีวิตามินเอ วิตามินซี และมีเส้นใย ช่วยให้ระบบย่อยและขับถ่ายดี ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส สารเบต้าแคโรทีนช่วยต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคที่เกิดจากการบริโภคผิดลักษณะ เช่น มะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง และริดสีดวงทวาร” ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารให้ข้อมูล

...และด้วยสภาพอากาศบ้านเราที่เป็นเมืองร้อน แน่นอนว่าอาหารไทยต้องมีส่วนประกอบเป็นพริกเป็นหลัก นี่เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของคนโบราณที่นำสรรพคุณทางยาของพริกมาใช้อย่างชาญฉลาด โดยอาศัยความเผ็ดร้อนของพริกขับเหงื่อให้ออก เนื้อตัวจะได้ไม่เหนียว ทำให้สบายเนื้อสบายตัว

“หากเราไปเยือนพื้นถิ่นใดก็ต้องรับประทานอาหารของคนที่นั่นด้วยถ้าอยากให้ร่างกายสบายเป็นปกติ ร่างกายจะได้นำมาใช้ปรับตัวได้” ผศ.ศรีสมร แนะนำ

นอกจากนี้ ถ้าสังเกตจะเห็นอีกว่าของอยู่ของกินบ้านเรามีมาตามฤดูกาล ตำรับที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงทั้ง 12 เดือนจึงมีวัตถุดิบเพียงพอที่จะสร้างเมนูหลากหลายให้กับข้าวไทย นับตั้งแต่ประเภทแกง เครื่องแนม ปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ผัด ยำ พล่า เครื่องจิ้ม อาหารจานเดียว อาหารว่าง และเครื่องดื่ม เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่า หน้าหวัดจะไม่มีผลไม้แก้หวัด หรือหน้าร้อนจะไม่มีผลไม้หรือเครื่องดื่มดับร้อนและหน้าหนาวจะไม่มีอาหารเพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย
...นี่คือคุณค่าของอาหารไทยที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่ทราบความจริง

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>น้ำพริกไข่ปูอาหารสุขภาพที่แนมด้วยผักหลากชนิด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>** สร้างสำรับตำรับใหม่
อย่างไรก็ตาม ด้วยส่วนประกอบหลักที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้อาหารไทยกลายเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ แต่กระนั้นอุปสรรคของอาหารไทยอย่างหนึ่งคือ การขาดการบันทึกที่เป็นระบบ กุ๊กหรือพ่อครัว แม่ครัวยังขาดความเข้าใจที่ถ่องแท้ในการปรุงอาหารไทยในเชิงคุณค่าและองค์ประกอบของอาหารที่เปี่ยมด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพ

รศ.ดร.นพดล เจียมสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยีเอสเอ็มอี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตัวแทนคณะศึกษารวบรวมตำรับอาหารและเครื่องดื่มแบบไทยทั้ง 4 ภาค บอกว่า กว่า 6 ปีนับจากปี 2545 พบอาหารไทยกว่า 3,386 ตำรับที่ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งยังไม่นับรวมกับตำรับก้นครัวที่ยังไม่เป็นที่รู้จักทั่วไป จากนั้นก็ทำการคัดเลือกและปรุงเป็นตำรับใหม่โดยประยุกต์ส่วนผสมที่มีอยู่ตามฤดูกาลเพิ่มความแปลก เพื่อให้ลิ้นที่ไม่คุ้นชินได้ลิ้มชิมลอง

สำหรับตำรับอาหารไทยใหม่ขอเสิร์ฟของหวานเรียกน้ำย่อยสักสองถ้วย ถ้วยแรกคืองาดำอัชบาลเป็นของหวานที่ทำจากเผือกมีงาดำและน้ำอัชบาลซึ่งเป็นน้ำโบราณทำจากการผสมกันของน้ำลำไย น้ำรากบัว และน้ำพุทรา เมื่อรวมกันแล้วทั้งงาดำและน้ำอัชบาลจะช่วยบำรุงร่างกาย ถ้วยที่สองคือ น้ำผึ้งกล้วย เป็นน้ำสีเหลืองอ่อนน่ากิน ทำจากกล้วยให้เกลือแร่และกรดอะมิโน วิตามินบีสูง เพิ่มประโยชน์และความสดชื่นให้ร่างกายด้วยการผสมกับน้ำว่านหางจระเข้

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>น้ำพริกอ่อง อาหารพื้นเมืองถิ่นเหนือ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>ตำรับอาหารคาวประเภทแกงก็ไม่น้อยหน้า เรียงจากต้มยำหัวจุกสับปะรด แกงส้ม ข้าวหลามไส้แกงที่นำเยื่อไม้ไผ่มาสร้างความหอมให้ข้าวแกงธรรมดาๆ แกงเลียง และน้ำพริกที่เรียกว่าเป็นอาหารนางเอกของไทยก็มีไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกเผาผลไม้โดยเพิ่มเนื้อเงาะมาเป็นส่วนประกอบของพริกเผาเพื่อให้รสชาติต่างออกไป น้ำพริกอ่องราดเต้าหู้ พัฒนาการของน้ำพริกพื้นเมืองสู่การเป็นซอสแกล้มในอาหารจานอื่น

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.นพดล บอกว่า ตำรับใหม่ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นการนำอาหารต้นตำรับมาประยุกต์กับฤดูกาล ส่วนหนึ่งก็เพื่อต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีสินค้าการเกษตรล้นมือ ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาและจัดระบบตำรับอาหารไทยไม่ให้อยู่แต่ในตำรา และการสืบทอดผ่านก้นครัวเท่านั้น เพราะการเสิร์ฟสำรับใหม่มิได้จงใจทำลายตำรับเดิม เพียงแต่เพิ่มความหลากหลายในสากลเท่านั้น

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>น้ำพริกกะปิ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>ด้าน เชฟวิชิต มุกุระ Executive Thai Chef จากโรงแรมโอเรียนเต็ล ให้คำแนะนำว่า การนำวัตถุดิบหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่ของดั้งเดิมมาเพิ่มเติมนั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่อง รูป กลิ่น ต้องถอดมาจากเดิมโดยไม่ทำลายรสธรรมชาติของอาหารไทย จึงจะทำให้อาหารไทยยังคงเป็นอาหารไทยอยู่ เพราะทุกวันนี้อาหารไทยได้เปลี่ยนไปมาก ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมที่แพร่หลายทำให้อาหารไทยในต่างประเทศได้รับความนิยม แต่เชฟที่ปรุงส่วนใหญ่เป็นคนไทยน้อยมาก ดังนั้นจึงเกรงว่าอาหารไทยจะกลายเป็นเพียงแฟชั่น มิใช่จุดประสงค์ของการสืบทอดอีกต่อไป

“เราต้องเร่งสร้างพ่อครัว แม่ครัวที่จะสามารถสืบทอดภูมิปัญญาการทำอาหารไทยเอาไว้ เพราะเท่าที่เห็นในต่างประเทศร้านอาหารไทยมีพ่อครัวแม่ครัวที่เป็นคนไทยจริงๆ น้อยมาก ถ้าคนที่เข้าใจอาหารไทยได้ทำอาหารไทย มันก็จะไม่ใช่แค่แฟชั่น องค์ประกอบต่างๆ ที่คนโบราณเพียรสร้างก็จะไม่สูญเปล่า ต่อไปถ้าคนทั่วไปจะนึกถึงอาหารไทยจะไม่ใช่แค่ความเผ็ดร้อน แต่จะต้องนึกถึงอาหารสุขภาพ และภูมิปัญญาที่ยาวนาน” เชฟแห่งโอเรียนเต็ลให้ความคิดเห็นปิดท้าย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

อาข้างบ้านและลุงข้างบ้านนำมาให้ชมกันครับ



คุณเพชร ,คุณnongnooo อย่าลืมผมนะครับ