พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    บุพกรรมอันใดของพระพุทธองค์ทำให้ใช้เวลา 6 ปีจึงตรัสรู้

    -"เพื่อนไม่เคยทิ้งเพื่อน"

    -คำคำนี้เป็นมิตรสัมพันธ์ที่จะเขียนให้เห็นถึงความรักระหว่างเพื่อนที่มีอยู่ในพุทธกาลอีก

    ลักษณะหนี่ง แต่ที่ต้องกล่าวถึงบุพกรรมของพระพุทธองค์เป็นหัวข้อก็เพราะสาเหตุสำคัญที่

    ทำให้พระพุทธเจ้าของเรากว่าจะตรัสรู้ยากลำบากกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นในชาติที่จะ

    ต้องตรัสรู้ ดังนี้

    -ในอดีตสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระกัสสปพทุธเจ้า" มี"ช่างปั้นหม้อ"คนหนึ่งซึ่งมี

    ความศรัทธาและเคารพ"พระกัสสปพุทธเจ้า"เป็นอย่างยิ่ง "ช่างปั้นหม้อ"จะมาฟังธรรมเป็น

    ประจำอยู่เสมอ อีกทั้งยังคอยอุปัฏฐาก"พระกัสสปพุทธเจ้า"

    -"ช่างปั้นหม้อ"มีเพื่อนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มั่งคั่งชื่อว่า "โชติปาลมาณพ" ซึ่งมี

    วรรณะหรือชาติตระกูลสูงกว่า"ช่างปั้นหม้อ" แต่ทั้งสองก็เป็นเพื่อนรักกัน

    -"ช่างปั้นหม้อ"อุปฐากพระกัสสปพุทธเจ้าอยู่ได้ฟังธรรมบ่อยครั้งและ"ซึมซาบ"ในหลักธรรม

    ต่าง ๆ จนเห็นธรรม จึงปรารถนาที่จะให้เพื่อน"โชติปาล"ได้เข้าเฝ้าพระกัสสปพุทธเจ้าและ

    ฟังธรรมเพื่อให้รู้เห็นธรรมตามกัน

    -เพราะความเป็นเพื่อนที่รักกันมาก "ช่างปั้นหม้อ"พยายามชักชวน "โชติปาล"หลายครั้ง

    "โชติปาล" ก็ไม่ไป จนถึงขนาด"ช่างปั้นหม้อ"ได้ฉุดกระชากลากดึงผมจนทำให้ "โชติ

    ปาล" รำคาญและหงุดหงิดจึงพูดอย่างไม่พอใจต่อช่างปั้นหม้อว่า

    "นักบวชที่ท่านอยากให้ไปพบนั้นเป็นอย่างไร เรื่องของพระโพธิญาณ หรือการตรัสรู้นั้น

    เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แต่ที่ไหน"

    -และเมื่อทั้งสองสิ้นอายุขัย "ช่างปั้นหม้อ" ได้บรรลุอานาคามีไปบังเกิดเป็นมหาพรหมชื่อ

    "ฆฏิการพรหม" อยู่บน "อกนิฏฐาพรหมโลก" ซึ่งไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว

    สามารถทำความเพียรบรรลุเป็น "พระอรหันต์ได้ในภาวะนั้น" ได้

    -ส่วน "โชติปาล" ในชาติที่จะตรัสรู้มาบังเกิดเป็น "เจ้าชายสิทธัตถะ" และเมื่อเสด็จออก

    บวชกว่าจะตรัสรู้ได้ใช้เวลาถึง 6 ปี และต้องลำบากตรากตรำกว่าจะบรรลุ"โพธิญาณ"ก็

    เพราะบุพกรรมที่หลุดคำพูดว่า "เรื่องของพระโพธิญาณหรือการตรัสรู้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น

    ง่าย ๆ แต่ที่ไหน"

    -ความเป็นเพื่อนที่รักกันและผูกพันมาในอดีตชาติ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชที่

    ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา "ฆฏิการพรหม" ก็เสด็จลงมาจากพรหมโลกแล้ว"นำเครื่องอัฏฐบริขาร

    จากสวรรค์มาถวาย"

    -ในคราวที่"พระพุทธองค์" เสด็จลงจากดาวดึงส์ "ฆฏิการพรหม" ก็เสด็จลงมาส่ง"พระ

    พุทธองค์" โดยพุทธประวัติกล่าวว่า "พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากเทวโลกโดยบันไดแก้ว

    ซึ่งอยู่ตรงกลาง พระอินทร์ประคองบาตรของพระพุทธองค์โดยเสด็จลงบันไดทองทาง

    ด้านขวาของบันไดแก้ว ท้าวฆฏิการพรหมกับหมู่พรหมเป็นอันมากเสด็จลงโดยบันไดเงิน

    ด้านซ้าย"

    -ท้าวฆฏิการพรหมเป็นพระพรหมที่เป็นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าของเรา และยังเป็นผู้ที่ช่วยใน

    กิจการหลาย ๆอย่างในพระพุทธศาสนา อีกทั้งพระเถระหลายรูป

    -พระพุทธเจ้าจะตรัสเรียก"ท้าวฆฏิการพรหม" อย่างคุ้นเคย และ เรียกท่านว่า "คนบ้าน

    เดียวกัน".
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ปาฏิหาริย์ภาพของหลวงปู่ญาท่านสวน

    -ผมขอน้อมนำเรื่อง"ปาฏิหาริย์"ของพระภิกษุในพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันองค์หนึ่งมา

    กล่าว เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเองมาแทรกพุทธประวัติและข้อธรรมที่ผมเขียน

    เป็นปกติสักเล็กน้อย

    -ผมรู้เรื่องราวของ "หลวงปู่ญาท่านสวน" มาจาก "นิตยสารพระเครื่องเกจิ" ซึ่งเขียนเรื่อง

    ราวของหลวงปู่โดย"คุณชัยวิทย์ มาลาคำ" ในคอลัมภ์ "พระเกจิร่วมสมัย" ผมจึงถือว่า

    ทั้ง"คุณชัยวิทย์"และ"นิตยสารพระเครื่องเกจิ" เป็นผู้มีพระคุณแก่ผมที่ทำให้ผมทราบเรื่อง

    ราวของหลวงปู่ ซึ่งผมจะให้พรอยู่ในใจ"ขอให้ทั้งคุณชัยวิทย์และนิตยสารพระเครื่องเกจิจง

    เจริญยิ่ง ๆขึ้นไปเทอญ" และในการเขียนครั้งนี้ ผมก็ขออนุญาตเอ่ยอ้างถึงด้วยความเคารพ

    -เรื่องมีอยู่ว่า "ภาพของหลวงปู่ญาท่านสวน" ที่ผมลงไว้นี้ ได้รับแจกติดมากับ"นิตยสาร

    พระเครื่องเกจิ" หลังจากออกพรรษา พ.ศ.2548

    -ผมดูภาพของหลวงปู่แล้ว "หลวงปู่มีอากัปกริยาอมยิ้มอย่างมีความสุขสดใส และทำให้ดู

    ออกว่า หลวงปู่น่าจะใจดีและมีเมตตาสูง"

    -ผมมองภาพนี้คราใดจะรู้สึก "เย็นใจและสดชื่นทุกครั้ง เหมือนเป็นภาพดับทุกข์ทางใจเรา"

    ภาพนี้น่าจะมีอะไรดีอยู่แน่

    -เมื่ออ่านดูในหนังสือ รายละเอียดกล่าวอ้างก่อนที่จะนำมาแจก "ทางนิตยสารพระเครื่อง

    เกจิได้นำไปอาราธนาให้หลวงปู่อธิษฐานจิตปลุกเสกในไตรมาส พ.ศ.2548" ผมจึงเชื่อ

    ว่า "บารมีภาพนี้น่าจะขลังสุด ๆ"

    -ผมติดตามอ่านเรื่องราวของหลวงปู่ก่อนหน้าได้รับภาพ "อยากได้พระหรือวัตถุมงคลของ

    หลวงปู่จากมือของหลวงปู่มาก" แต่ไม่มีโอกาสไปวัดของท่าน เพราะจากบ้านผมที่จังหวัด

    ชัยนาทถึงจังหวัดอุบลราชธานี "มันไกลมาก"

    -คืนหนึ่งฤดูหนาววันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 ผมหยิบภาพนี้มาพร้อมโทรศัพท์มือถือที่

    มีกล้องถ่ายรูป ตั้งใจจะถ่ายภาพรูปนี้เก็บไว้

    -ผมเอามือทั้งสองยกภาพนี้จรดที่ศีรษะ แล้วบอกว่า "ผมอยากได้วัตถุมงคลของหลวงปู่

    มาก แต่ผมไม่มีโอกาส ผมขอถ่ายภาพหลวงปู่จากภาพนี้เก็บไว้ในกล้อง ขอหลวงปู่และ

    ความศักดิ์สิทธิ์ของภาพนี้ โปรดมาอยู่ในภาพที่ผมถ่ายไว้ในกล้องนี้ด้วยเทอญ"

    -ผมตั้งใจจะเอาภาพของหลวงปู่เป็นภาพพื้นหลังหน้าโทรศัพท์มือถือไว้ดู

    -หลังจากอธิษฐานเสร็จ ผมตั้งใจถ่ายภาพของหลวงปู่ทันที

    -ซึ่งภาพถ่ายที่โทรศัพท์มือถือของผมถ่ายไว้ทุกภาพจะถูกบันทึกเก็บไว้ โดยมี วัน-เดือน-

    พ.ศ.-เวลา --.-- น.บันทึกลงด้วยที่ในภาพด้านล่างของภาพทุกภาพที่ถ่ายในแต่ละครั้ง

    ซึ่งมันจะบันทึกได้เพียง 20 ภาพเท่านั้น หากจะถ่ายอีกต้อง"ลบภาพเดิมออก"

    -ผมถ่ายภาพของหลวงปู่ก็จะปรากฎ วันที่19พฤศจิกายนพ.ศ.2548 เวลา 21.35

    น. บันทึกไว้ที่ในภาพหลวงปู่ด้านล่างเป็นตัวเลขรหัส(191125482135) ซึ่งก็ยังไม่มี

    อะไรเกิดขึ้น

    -ผมเหลือบไปเห็นภาพหลวงปู่ทิม วัดพระขาวที่แขวนอยู่ในกรอบข้างฝา ก็คิดจะถ่ายเก็บไว้

    เช่นกัน แต่เมื่อตรวจดูพบว่า"ภาพเต็มทั้ง 20 ภาพแล้ว"

    -ผมจึงต้องทำการลบภาพเดิมที่ถ่ายไว้ โดยผมตั้งใจลบภาพที่ถ่ายเมื่อ วันที่ 19 สิงหาคม

    2548 เวลา 12.23 น.(190825481223) ออก

    -ปกติเมื่อลบภาพ ระหัส(วัน-เดือน-พ.ศ.-เวลา)ที่ถ่ายไว้จะต้องถูกลบไปกับภาพด้วย

    -"แต่ในการลบครั้งนี้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและเหลือเชื่อทำให้ผมถึงกับขนลุกและช็อคไป

    ชั่วขณะ"

    -เพราะปรากฎว่า เมื่อผมกดปุ่มลบภาพในวันที่ 19 ออกแล้ว โทรศัพท์มือถือของผมมี

    เสียงดัง "ครืด ๆ ๆ" (ดัง 3 ครั้ง) หลังจากเสียงดังเงียบไป ปรากฎว่า"มีภาพของหลวงปู่ญา

    ท่านสวนปรากฎขึ้นมาแทนที่ภาพที่ถูกลบไปในทันที แต่ปรากฎว่าเลขที่บันทึกวันเวลาที่

    ถ่ายไว้ไม่ได้ถูกลบไปด้วยโดยยังคงปรากฎเลข 190825481223 อยู่ด้านล่างของ

    ภาพหลวงปู่ที่ขึ้นมาแทนที่"

    -"เกิดอะไรขึ้น" ผมรีบกดไปดูภาพที่ผมถ่ายไว้เมื่อกี้นี้ภาพก็ยังอยู่ แล้วกดย้อนมาดูภาพที่

    ถูกส่งมาจากไหนก็ไม่รู้ สองภาพเหมือนกันคือ"ภาพที่ได้จากนิตยสารพระเครื่องเกจิ"

    -โทรศัพท์มือถือผมมีภาพหลวงปู่บันทึกไว้ 2 ภาพ ผมไม่รู้ว่าภาพนี้มาได้อย่างไรทั้งยังชี้

    ให้เห็นถึงวันเวลาในวันที่ 19 สิงหาคมชัดเจน, ก็วันที่ 19 สิงหาคมภาพนี้นิตยสารพระ

    เครื่องเกจิยังไม่ได้แจกมาให้ผมเลย ผมจะไปมีภาพนั้นมาถ่ายได้อย่างไร

    -ผมเชื่อว่า"เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ที่ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านให้ภาพของท่านมาอยู่ใน

    โทรศัพท์ของเราตามที่เราขอท่านแล้ว" ไม่ใช่ภาพที่เราถ่ายไว้

    -ผมจึงนำภาพปาฏิหาริย์ที่หลวงปู่ส่งมาตั้งเป็นภาพพื้นหลังหน้าโทรศัพท์มือถือ

    -แต่พอหลังจากที่"หลวงปู่ญาท่านสวนมรณภาพประมาณเดือนมีนาคม 2549 โทรศัพท์

    เครื่องนี้ผมก็เสียซ่อมไม่ได้ แต่ผมยังเก็บไว้อยู่ครับ"

    -ยังมีประสบการณ์เกี่ยวกับ "หลวงปู่ดู่,หลวงปู่เกษม,หลวงปู่หงษ์"ฯลฯ ซึ่งผมจะทยอยเขียน

    ลงสอดแทรกพุทธประวัติและข้อธรรมในต่อ ๆ ไปครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12122010619.jpg
      12122010619.jpg
      ขนาดไฟล์:
      667.8 KB
      เปิดดู:
      108
    • 12122010621.jpg
      12122010621.jpg
      ขนาดไฟล์:
      653.8 KB
      เปิดดู:
      96
  3. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    ฆฏิกามหาพรหม

    ใช่เป็นคนเดียว กันกับ แม่กาเผือกของพระพุทธเจ้า5พระองคืหรือเปล่า หรือว่าคนที่เป้นเพื่อนของโชติปาล จะเป็นอีกคนหนึ่ง
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    -ใช่ครับเป็นองค์เดียวกัน

    -ดูตามรูปภาพที่ท่านนำเครื่องอัฏฐบริขารมาถวายพระพุทธเจ้าของเรา

    เป็นรูปของ"ท้าวฆฏิกามหาพรหม"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,327
    ค่าพลัง:
    +19,459
    กราบนมัสการค่ะ พระคุณเจ้า
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับ พระคุณเจ้าด้วยนะคะ ที่ได้นำบทความดีๆ และ ข้อธรรม รวมถึงพุทธประวัติ มาเรียบเรียงให้เพื่อนๆสมาชิกได้อ่านกันค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  6. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    ฆฏิกามหาพรหม

    ใช่ครับเป็นองค์เดียวกัน

    -ดูตามใช่ครับเป็นองค์เดียวกัน

    -ดูตามรูปภาพที่ท่านนำเครื่องอัฏฐบริขารมาถวายพระพุทธเจ้าของเรา

    เป็นรูปของ"ท้าวฆฏิกามหาพรหม"
    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND></FIELDSET>
    รูปภาพที่ท่านนำเครื่องอัฏฐบริขารมาถวายพระพุทธเจ้าของเรา


    เป็นรูปของ"ท้าวฆฏิกามหาพรหม"
    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND></FIELDSET>
    ท่านเพิ่งบรรลุ อนาคามีในสมัยพระพุทธกัสปะเหรอ นึกว่าบรรลุตั้งแต่พระกกุสันโธมาแล้ว
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    -"ขอบพระคุณท่านแล้วขออภัยเป็นอย่างสูง" ผมเป็นฆราวาสครับ แต่มีชื่อ

    เล่นว่า "อุตฺตโม" จริง ๆ คุณพ่อผมบวชเป็นสามเณร 5 พรรษาและบวชเป็น

    พระภิกษุอยู่"วัดสุทัศน์เทพวนาราม"อีก 3 พรรษา "ท่านสอบได้นักธรรมเอก"

    ส่วนคุณแม่ก็เป็นนักบวชที่เรียกว่า "ชีพราหมณ์"ตามภาษาชาวบ้าน 6 ปี

    -ผมจึงค่อย ๆซึมซาบข้อธรรมจากท่าน แล้วก็จากการที่ท่านส่งไปให้พระ

    อาจารย์ต่าง ๆ อบรมสั่งสอน เห็นว่าธรรม "มีคุณประโยชน์จึงนำมาเขียน"

    -ในอดีตผม"เป็นนักดนตรีตำแหน่ง กีตาร์คอร์ด, บางครั้งก็มาเล่นเบส" ผมเป็น

    คนบ้านเดียวกับ "คุณโชคชัย เจริญสุข" นักแสดงที่เกิดพร้อม "คุณศรราม

    เทพพิทักษ์" ในละครทีวีเรื่อง "อรุณสวัสดิ์" ทางช่อง 7 สี เมื่อ ปี พ.ศ.2534

    แล้วผมเป็นคนสอน"เล่นกีตาร์เบื้องต้นแก่คุณโชคชัยเอง" ครับ.
     
  8. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,327
    ค่าพลัง:
    +19,459
    ต้องขออภัยด้วยค่ะ บังเอิญว่า มีพระท่านหนึ่ง ก็ใช่ชื่อยูสเซอร์ คล้ายๆกัน และเคยได้เช่าวัตถุมงคลจากลินไปค่ะ ก็เลยนึกว่าเป็นท่านเดียวกัน หุๆๆๆๆๆ:':)':)'(
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกบทความเลยค่ะ:cool:

     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    -ข้อแรกที่ท่าน"อริยมุนี" มีความเห็นว่า "ท้าวฆฏิกามหาพรหม" บรรลุพระ

    อนาคามีในสมัย"พระกกุสันโธพุทธเจ้า" ก็คงรู้มาจากฟังผู้รู้บอกเล่ามาและ

    ศึกษาจากตำรา

    -ผมก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับท่าน "รู้จากฟังพระภิกษุผู้บอกเล่า,ผู้รู้บอกเล่าและ

    อ่านจากตำราพุทธประวัติ"

    -ก็ต้องยอมรับกันว่า "ท่าน" กับ"ผม" ไม่ได้รู้เรื่องราวเองอย่างแน่นอน ก็อาศัย

    จากตำราที่ผู้เขียนตีความ ผู้บอกเล่าตีความ หรือฟังสืบ ๆ ต่อกันมา ซึ่งบาง

    ข้อมูลก็แย้งกัน บางข้อมูลก็ตรงกัน

    -แต่ผมก็ยึดหลักของข้อธรรมเรื่อง "กาลามมาสูตร" เป็นที่ตั้งว่า...อย่าเชื่อ

    เพราะ....อะไรต่าง ๆ ท่านก็น่าจะทราบมีอยู่ 10 อย่าง แล้วข้อธรรมข้อ

    นี้"สรุปให้เราเชื่ออะไรล่ะ" "ข้อธรรมบอกว่า จงตั้งมั่นอยู่ในหลักเหตุผลไม่ใช่

    หรือ"

    -"ผมก็อาศัยหลักนี้วินิจฉัยเรื่องพุทธประวัติและข้อธรรมมาโดยตลอด" มิได้

    อาศัยจากหลักตำราหรือคำบอกเล่าล้วน ๆ

    -ผมก็ขอยกหลักให้ท่านวินิจฉัยเกี่ยวกับ"คุณสมบัติหรือภารกิจของท้าวฆฏิกาพรหม" ดังนี้

    1.ท้าวฆฏิกาพรหม จะต้องถวาย"เครื่องอัฏฐบริขาร" ให้แก่ พระพุทธเจ้าใน

    ภัทรกัปนี้ทั้ง 5 พระองค์ ถูกไหมครับ

    2.หากผู้ใดบรรลุ "พระอานาคามี" จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก โดย

    สามารถทำความเพียรบรรลุธรรมเป็น "พระอรหันต์"ในภาวนั้นเลย ถูกไหมครับ.

    3.อายุของพรหมมีจำกัด บางครั้งถ้าหมดบุญก็ต้องกลับมาเกิดในวัฏฏสงสาร

    ถูกไหมครับ

    4.ภัทรกัปของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ยาวนานเพียงใดท่านไม่รู้หรือ

    5.ถ้า"ท้าวฆฏิกาพรหม" ยังอยู่ในภาวะที่หมดบุญได้ "จะเป็นพระอนาคามี"ได้

    หรือ

    6.พระกกุสันโธพุทธเจ้าอายุขัย 40,000 ปี,พระโกนาคมนพุทธเจ้าอายุขัย-

    30,000 ปี และ พระกัสสปพุทธเจ้า อายุขัย 20,000 ปี รวม 3 พระองค์

    90,000 ปี ก็ต้องตั้งคำถามว่า"หากท้าวฆฏิกาพรหม บรรลุอนาคามีตั้งแต่พระ

    กกุสันโธแล้ว อีก 50,000 ปีให้หลังในสมัยพระพุทธเจ้าอีก 2 พระองค์ทำไม

    ยังไม่บรรลุอรหัตตผล

    7.ข้อมูลเด็ดที่เหมือนค้านกันเองในข้อมูลของผม คือ เมื่อท้าวฆฏิกาพรหมเป็น

    ผู้ที่ถวายเครื่องอัฏฐบริขารให้แก่ "พระกัสสปพุทธเจ้า" ทำไมยังมาเกิดเป็น

    มนุษย์"ช่างปั้นหม้อ"ที่เป็นเพื่อนกันกับ"โชติปาล"(พระพุทธเจ้าของเรา) อีก ใน

    สมัยเดียวกัน ซึ่งพุทธประวัติเกี่ยวกับชาดกเรื่องของ "โชติปาลกับช่างปั้น

    หม้อ"มีอยู่แน่นอน เพราะเป็นเรื่องบุพกรรมข้อสำคัญที่ทำให้พระพุทธเจ้าของ

    เรากว่าจะตรัสรู้ต้องใช้เวลาถึง 6 ปี ท่านลองหาอ่านดูแล้วท่านจะรู้ว่า"มันค้าน

    กัน" แล้วชาดกนั้นยังได้กล่าวถึง"ช่างปั้นหม้อ"บรรลุอนาคามีบังเกิดเป็นพรหม

    ชื่อ "ฆฏิกาพรหม"

    -ผมนำเอาข้อ 5 กับ ข้อ 6 มาวินิจฉัยตีปัญหาในข้อ 7 ได้ความว่า

    "ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้าซึ่งเป็นระยะยาวนาน 50,000 ปี(รวมอายุขัย 2

    พระองค์) ท้าวฆฏิกาพรหม หลังจากทำหน้าที่ถวายเครื่องอัฏฐบริขารแก่พระกัส

    สปพุทธเจ้าแล้ว รัศมีของท่านเศร้าหมองลงและหมดบุญมาจุติเป็น "ช่างปั้น

    หม้อ"ซึ่งเป็นเพื่อนกับ"โชติปาล" และได้ฟังธรรมล้วน ๆ จึงได้บรรลุอานาคามี

    กลับไปจุติเป็น"ฆฏิกาพรหม" อีกครั้งหนึ่ง แล้วจะต้องรอทำหน้าที่ถวายเครื่อง

    อัฏฐบริขารให้แก่"พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าก่อน" ท่านจึงจะเข้า"นิพพาน"

    -ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ "ท้าวฆฏิกาพรหม"จะบรรลุพระอนาคามีในสมัยพระ

    กกุสันโธพุทธเจ้าตามที่ท่าน "อริยมุนี" เข้าใจ

    -ท่านจะเชื่อตามตำราหรือผู้บอกกล่าวท่านอยู่ตามเดิม หรือ "เชื่อตามเหตุผลที่

    ผมวินิจฉัยมาหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ท่าน" แต่ผมยังเป็นมิตรกับท่านเสมอและยัง

    น้อมรับคำชี้แนะจากท่านอยู่ครับ

    -ขอบพระคุณมากครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2010
  10. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    อนุโมทนาสาธุ..ครับ :cool: กราบหลวงปู่ญาท่านสวนด้วยความเคารพยิ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • %2520001~1.JPG
      %2520001~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.8 KB
      เปิดดู:
      66
  11. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ว่ากันถึงเรื่องพระพรหมแล้ว ผมเองก็อยากจะรู้เหลือเกินครับ ว่าพระพรหมในศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์เป็นองค์เดียวกันหรือป่าว หากคนละองค์แล้วแตกต่างกันอย่างไรครับ....?:cool:
     
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    -ขอบพระคุณครับ

    -ภาพของหลวงปู่ญาท่านสวนของคุณอั๋นวัดสามสวยมาก อักขระที่ลงดู

    แล้วขลัง "ผมสามารถหาบูชาภาพนี้ได้ที่ไหนบ้างครับ"
     
  13. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    -ท่านถามได้ดีมากครับ

    -อย่างที่ผมเคยบอกคุณอั๋นวัดสามไปแล้ว"ผมรู้เรื่องของพราหมณ์น้อยมาก"

    -แต่เมื่อผมนำมาไล่เรียงดูแล้ว พบความต่างอยู่ 2 เทพเจ้า

    -คือ "โลกสวรรค์ของศาสนาพุทธเรา ไม่เคยกล่าวถึง "พระนารายณ์ กับ พระ

    อิศวรเลย"

    -จะกล่าวที่เหมือนกัน คือ "พระพรหม" มีพระพรหมเหมือนกัน แล้วก็

    "พระอินทร์" ต้องไปดูรายละเอียด"ตำราของศาสนาพราหมณ์" ดู ผมก็อาจ

    จะตอบได้

    -ขอบคุณครับ.
     
  15. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    พระพรหม

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อั๋นวัดสาม [​IMG]
    ว่ากันถึงเรื่องพระพรหมแล้ว ผมเองก็อยากจะรู้เหลือเกินครับ ว่าพระพรหมในศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์เป็นองค์เดียวกันหรือป่าว หากคนละองค์แล้วแตกต่างกันอย่างไรครั
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เคยใด้ยินท่านผู้รู้ เคยบอกว่า เป็นองค์เดียวกัน แต่ความเชื่อของพราหมณ์กับของพุทธต่างกัน ก่อนที่องค์สมเด็จประทีปแก้วจะตรัสรู้ นั้น ก่อนหน้านั้นพวกนักบวช ฤษี ที่บำเพ็ญเพียรใด้ชาญ4บ้างชาญ8บ้าง จะเข้าถึงพรหมโลกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเจอพรหมก็นึกว่าสูงสุดแล้ว แล้วยังเข้าใจผิดว่าท่านสร้างโลกอีก จึงแต่งตำราสั่งสอนกันมา และพยายามทำสมาธิเพื่อเข้าร่วมกับ พรหม จนองค์สมเด็จ พระทศพลใด้ตรัสรู้ จึงแก้ความหลงผิดในจุดนี้ และไปเทศให้พรหมที่หลงผิดฟังจนบรรลุโสดาบัน กลายเป็นพระพรหม(คือเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น) ซึ้งแต่ก่อนท่านเข้าใจผิดคิดว่าตนเองประเสริฐสุด เป็นสยัมภู เป็นผู้สร้าง ใม่มีใครประเสริฐเท่า กระทั่งสมัยนี้ที่อินเดียการนับถือพรหมว่าสูงสุดก็ยังคงมีอยู่ สมัยที่พระสารีบุตรจะเข้าสู่ปรินิพพาน ใด้มีพรหมเข้ามาเยี่ยมท่านโยมแม่ถามว่านั่นใครมาหาอีกละ รัสมีสว่างไสวมาก ท่านบอกว่าก้พระเจ้าของโยมแม่ใงที่โยมแม่บูชาบ่อยๆๆ โยมแม่ถามว่า เจ้ายิ่งใหญ่ กว่าเท้ามหาพรหมอีกรึ ขนาดลูกชายเราพรหมยังมาหา พระศาสดาจะยิ่งใหญ่ขนาดใหน ก็เลยละมานะฟังธรรมจนบรรลุโสดาบัน (ผิดถูกยังไงก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วย)
     
  16. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ถ้าหากเป็นตามข้อความสีแดง แล้วทำไมท่านจึงเป็นผู้อาราธนาขอให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว คิดว่าธรรมที่พระองค์ทรงรู้นั้นดูยากไปสำหรับมนุษย์จนคิดว่าจะไม่ทรงตรัสสั่งสอนใคร(ผิดถูกประการใดขอผู้รู้โปรดอธิบายให้กระจ่างด้วยครับ).....?
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    -ขอบพระคุณท่าน "อริยมุนี" ครับที่กรุณาช่วยผมตอบ

    -ผมนึกถึง "ท้าวพกาพรหม" ตามพระชัยมงคลคาถาบทที่ 8 ที่พระพุทธองค์มี

    ชัยเหนือ "ท้าวพกาพรหม"ได้ทันที

    -"ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลา

    นิ"

    -และ"พระเหนือพรหม"ที่หลวงปู่ดู่ท่านสร้างไว้ก็ปางนี้ครับ.
     
  18. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    สหัมบดีพรหม

    ถ้าหากเป็นตามข้อความสีแดง แล้วทำไมท่านจึงเป็นผู้อาราธนาขอให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว คิดว่าธรรมที่พระองค์ทรงรู้นั้นดูยากไปสำหรับมนุษย์จนคิดว่าจะไม่ทรงตรัสสั่งสอนใคร(ผิดถูกประการใดขอผู้รู้โปรดอธิบายให้กระจ่างด้วยครับ).....?<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พรหมที่ผมพูดถึงนี้คือพรหมของพราหมณ์ คือมหาพรหม ส่วนพรหมที่อาราธนา องสมเด็จพระทศพล คือท้าวสหัมบดีพรหม ซึ้งท่านเป็นพระอนาคามี(เป็นพระอริยเจ้าขั้นที่3) ส่วนพรหมของพราหมณ์คือมหาพรหมเพิ่งมาบรรลุโสดาบัน หลังจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว พรหมใม่ใช่มีแค่องค์2องค์นะครับ มีเป็นแสนล้านองค์หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ใด้ เพราะพรหมมีหลายชั้นเหลือเกิน ตามแต่ความละเอียดของชาญที่ท่านใด้ และความเป็นอริยะเจ้า(โสดาบัน_ถึงอนาคามี) ฤษีสมัยก่อนพุทธกาลส่านใหญ่จะใด้ชาญ4กัน เป็นส่วนใหญ่ ก้จะสามารถติดต่อกับมหาพรหมใด้ แต่ก็ใม่สามาถติดต่อชั้นที่สูงกว่านี้ใด้ ก้เลยเข้าใจว่าพรหมสูงสุด มหาพรหมเนื่องจากมีอายุยาวนานมากก็เลยเข้าใจผิด ว่าตนประเสริฐสุด เป็นความหลงผิด โดยใม่รู้ว่า ชั้นสูงกว่าตัวเองยังมีอีก จนองค์สมเด็จพระพิชิตมาร เทสนาจึงเลยใด้เป็นพระอริยเจ้า เลยรู้ว่าตัวเอง หลงผิดมานาน ส่วนพระอิศวร หรือศิวะตามตำราเก่าๆๆก็ว่าเป็นพรหมเหมือนกัน แต่อยู่ชั้นใหนนั้นใม่รู้(ว่าตามตำรา) ส่วนท่านผู้รู้เคยบอกว่า พระศิวะคือพระอินทร์ อินเดียสมัยโบรานนั้นบับถึอพระอินทร์รองจากพระพรหม ประเทศยังชื่อว่าอินเดียเลย ถึอว่าเป็นเมืองพระอินทร์สร้าง เขาเรียกว่าพระอินสวน แต่ต่อมาใด้เพี้ยนเป็นอิศวร ก้เลยกลายเป็นเทพอีกองค์หนึ่ง คนที่นับถือเทพองค์ใหนต่างก็พยายาม ยกเทพของตนเป็นใหญ่ ดังนั้นในศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าจะกล่าวถึงแต่พระอินทร์ และพระพรหม (ผิดถุกประการใดก้ขออภัยมานะที่นี้ด้วย)
     
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    -ท่านบรรยายได้ค่อนข้างชัดเจนมากครับ..ผมและเพื่อนสมาชิกร่วมทั้งท่านผู้

    อ่านคงได้ความรู้จากท่านอีกมากเลยครับ ขอบพระคุณอย่างสูงครับ.
     
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ต้นเหตุแห่งการจองเวรของพระเทวทัต

    -พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงพระชาติที่ พระเทวทัตกำเม็ดทรายชูขึ้น พร้อมกับกล่าวคำ

    อาฆาตว่า "หากจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ คือ ภพชาติที่เจ้าและข้าจะต้องเกิดอีก ข้าก็จะ

    ขอติดตามจองล้างจองผลาญเจ้าไปจนถึงที่สุดจนกว่าจะเข้านิพพานกันไปข้างหนึ่ง"

    -เป็นเรื่องของ"เสรีววาณิช" เรื่องอดีตชาติของพระองค์กับพระเทวทัตในสมัยที่เกิดเป็น"พ่อ

    ค้าด้วยกัน" เพื่อเทศนาโปรดพระภิกษุสาวกว่า

    -ในอดีตกาลนับย้อนกลับไป 5 กัปจากภัทรกัปนี้ มีพ่อค้าเร่ 2 คน อาศัยอยู่ในเมืองเสรีวะ

    พ่อค้าทั้งสอง แม้ว่าจะมีอาชีพเร่ขายเหมือนกัน แต่กลับมีอุปนิสัยใจคอแตกต่างกัน

    -วันหนึ่ง พ่อค้าทั้งสองต่างนำสินค้าของตนข้ามแม่น้ำไปยังเมืองอัฏฐปุระ เพื่อจำหน่าย

    และซื้อของนำกลับมาขาย

    -เมืองอัฏฐปุระมีหมู่บ้านหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของอดีตเศรษฐี ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงแต่ยายกับ

    หลานสาว 2 คนอยู่อาศัย ต้องตรากตรำรับจ้างเลี้ยงชีพพอประทังชีวิตไปวัน ๆ

    -พ่อค้าคนแรกเร่ขายสินค้าผ่านมาถึงบ้านดังกล่าวในตอนเช้า หลานสาวเห็นเครื่องประดับ

    สวย ๆ ก็อยากได้จึงอ้อนวอนยายให้ซื้อให้ แต่ทั้งบ้านมีเพียงสมบัติเป็น "ถาดเก่า"คร่ำคร่า

    ใบหนึ่ง

    -หลานสาวจึงขออนุญาตยายนำมาแลกกับเครื่องประดับ และนำมาให้พ่อค้า

    -เมื่อพ่อค้ารับถาดมาถือ รู้สึกว่ามีน้ำหนักมากผิดปกติถาดธรรมดา จึงลองเอาเข็มขีดถาดดู

    จึงรู้ว่าเป็น"ถาดทองคำมีมูลค่านับแสน"

    -แต่เพราะความโลภจัดคิดจะได้ของฟรี จึงแสร้งบอกว่าถาดใบนี้ไม่มีราคาและโยนถาดทิ้ง

    ลงพื้น พร้อมกับเดินจากไปพลางคิดว่าจะกลับมาเอาถาดใบนั้นทีหลัง

    -พอตกบ่าย พ่อค้าอีกคนก็มาขายสินค้า ยายและหลานก็ส่งถาดให้พ่อค้าเพื่อขอแลกกับ

    เครื่องประดับชิ้นหนึ่งเช่นเดิม เมื่อพ่อค้าตรวจดูและพบรอยขีดของพ่อค้าคนแรกจึงรู้ว่า

    เป็นถาดทองคำ

    -ด้วยความที่มีใจเป็นธรรมและซื่อสัตย์ จึงบอกความจริงกับยายและหลานไป

    -ทั้งสองยายหลานตกลงแลกสินค้าตามแต่จะได้กับถาดทองคำยายได้เอ่ยขึ้นว่า

    "ถาดเก่า ๆ กลายเป็นถาดทองขึ้นมาได้ก็เพราะท่าน ฉะนั้นก็จงตีราคาเอาเองเถิดท่าน

    พ่อค้า"

    -พ่อค้าใจซื่อจึงยกสินค้าและเงินทั้งหมดที่ตนมีอยู่ให้แก่ยายหลานคู่นี้ ขอเอาไว้เพียง

    ตาชั่งและเงินติดตัวพอเป็นค่าเรือกลับเมืองของตนเท่านั้น..แล้วก็ลาจากยายและหลานไป

    ท่าเรือเพื่อกลับบ้าน

    -ส่วนพ่อค้าคนแรกที่ใจคด เมื่อเดินทางออกมาจากบ้านยายหลานใจก็จดจ่ออยู่แต่ถาด

    ทองคำ พ่อค้าแสร้งรอเวลาพักหนึ่งก็จึงย้อนกลับไปหายายและหลาน ทำทีท่าว่ามี

    เมตตาจะให้แลกเครื่องประดับสัก 1 ชิ้นกับถาดเก่า

    -แต่กลับถูกยายกล่าวตำหนิ และบอกว่าตนได้แลกถาดทองคำกับสินค้าของพ่อค้าใจ

    ซื่อไปแล้ว

    -พ่อค้าใจคดได้ยินดังนั้นก็เกิดความเสียใจถึงกับเป็นลมหมดสติไปพักใหญ่

    -พอฟื้นขึ้นมานึกเสียดายถาดทองคำจนควบคุมสติไม่อยู่ วิ่งไล่ตามพ่อค้าใจซื่อไป เมื่อ

    ตามมาถึงท่าน้ำเห็นเรือที่พ่อค้าใจซื่อนั่งอยู่ลอยลำอยู่กลางแม่น้ำ จึงร้องตะโกนให้คนแจว

    เรือจ้างย้อนกลับมารับตน

    -แต่พ่อค้าใจซื่อรู้ทันจึงสั่งให้คนแจวเรือจ้างเร่งแจวเรือเร็วขึ้นอีก

    -พ่อค้าใจคดเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยิ่งแค้นหนักขึ้น มือทั้งสองกำเม็ดทรายชูขึ้น พร้อมกับ

    กล่าวคำอาฆาตว่า "หากจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ คือ ภพชาติที่เจ้าและข้าจะต้องเกิด

    อีก ข้าก็จะขอติดตามจองล้างจองผลาญเจ้าไปจนถึงที่สุดจนกว่าจะเข้านิพพานกันไปข้าง

    หนึ่ง"

    -ดวงจิตที่เร่าร้อนด้วยเพลิงโทสะอันรุนแรง บีบคั้นหัวใจพ่อค้าใจคด จนหัวใจแตกสลาย

    ธาตุไฟแตกกระอักเลือดขาดใจตายอยู่ตรงนั้น

    -จิตที่ผูกเวรนี้ เมื่อละโลกไปแล้วก็ตกสู่นรกอเวจี ทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานานแสนนาน

    -ส่วนพ่อค้าใจซื่อได้กลับบ้านตน นำถาดทองไปขายตั้งตัวทำการค้าร่ำรวยเป็นเศรษฐีและ

    ได้ทำบุญทำทานอยู่จนตลอดชีวิต

    -นับตั้งแต่นั้นมา พ่อค้าทั้งสองหากเกิดมาพบกันชาติใด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ พ่อ

    ลูกกัน หรือเป็นญาติกันก็ตาม พ่อค้าใจคดในชาตินั้น ๆ จะตามล้างผลาญพ่อค้าใจซื่อ

    ตลอดมาทุก ๆ ชาติ จนชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

    -พ่อค้าใจคด กำเนิดเป็น พระเทวทัต

    -พ่อค้าใจซื่อ เสวยชาติ เป็น พระพุทธเจ้าของเรา

    -แรงอาฆาตพยาบาทที่พ่อค้าใจคดกระทำต่อพ่อค้าใจซื่อทุก ๆ ชาติ พ่อค้าใจคดก็ตกนรก

    ทุกชาติครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • b14.jpg
      b14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      55
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...