ระดับอุปจาระสมาธิกายกับจิตแยกจากกันหรือยังคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย M_Y, 2 ธันวาคม 2013.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ตอบ ปกตินะครับ.เพราะว่าเป็นผลมาจากฝึกนั่นหละครับ.คุณเห็นภาพพระ
    ได้เท่าไรโอกาสที่จะเห็นนามธรรมอื่นๆได้ชัดก็พอๆกันแต่ว่ามันจะต่างกัน
    ที่สภาพแวดล้อมการเห็นเล็กน้อย.และก็แสดงว่าคุณเคยฝึกได้มาก่อน.
    แต่ว่าปัญหาของการฝึกแบบนี้คือมัน ขึ้นๆลงๆครับ.เค้าถึงให้มาเน้นวิปัสสนา
    มากๆหรือพยายามพิจารณาความตายเป็นอารมย์ไงครับ
    .แต่มันก็เป็นการเริ่ม
    ต้นที่ดีครับ..เพียงแต่การที่จะรักษาสภาพความเป็นทิพย์อย่างนี้ได้.มันจะแปร
    ผันตามระดับกิเลสเราด้วยครับ.ซึ่งมันขึ้นๆลงๆ เป็นปกติของมัน.ถ้าจะให้มาคง
    ที่ก็ต้องค่อยๆเอากำลังสมาธิจากการฝึกสร้างภาพ.แล้วเข้าสู่โหมดวิปัสสนาให้ได้.ไม่ว่าโหมดไหนก็ดี ถ้าระดับอุปจารสมาธิออกมาจิตมันจะฟูอยู่ต้องมาแบบ
    เดินปัญญาลืมตาซั้าบ่อยๆ.แต่ถ้าได้ในระดับสูงแบบนั้นธรรมดา
    มันจะตัดกิเลสเรื่องนั้นได้เร็ว.แต่ในโหมดสร้างภาพจะไม่ต่างจากระดับอุปจารสมาธิกรณีที่เหลือก็เหมือนกัน...



    พูดถึงเรื่องความตาย ตลอดเวลาดิฉันไม่เคยไปทำร้ายสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ สงสารคนอื่น และก็เซนซิทีฟ เรื่องนี้มากๆ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันคะว่า เราไปทำกรรมอะไรมา ถึงต้องมารู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเห็นคนและสัตว์ตายซ้ำๆซากๆ ครั้งล่าสุด ตำรวจก็มาเอาแมวของดิฉันไป โดยดิฉันไม่รู้ว่าถ้าให้แมวกับตำรวจไป พวกเขาจะเอามันไปฆ่า โดยดิฉันพูดประชดตำรวจว่า อยากเอาไปก็เอาไปให้ หมด แมวทั้งหมด ห้าตัว เพราะความที่ไม่รู้ และทางหญิงชาวต่าชาติที่ดูแลดิฉันเขาก็บอกให้ยกแมวให้ตำรวจไป เพราะมาระราน เก็บค่านั้นค่านี้อยู่เป็นประจำ

    ซึ่งดิฉันมาทราบจากจดหมายทีหลังว่า ทางควบคุมสัตว์เขาลงความเห็นให้กำจัดแมวทั้งหมด ดิฉันไม่รู้ว่าเราจะบาปหรือเปล่า ที่ให้แมวตำรวจไปแล้วเขาฆ่ามันตายหมดเลย คนอื่นๆเขาก็บอกให้ลืมเรื่องแย่ๆพวกนี้ไปซะ แต่ดิฉันไม่รู้ว่าเรามีส่วนทำให้เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นหรือไม่ แต่รู้สึกเหมือนกับว่าถ้าไปอยู่กับใครคนและสัตว์ ก็จะตายหมด ตอนนี้ดิฉันกำลังเคร่งกับเรื่องกสิณก็ไม่มีความเคลียดเรื่องพวกนี้แล้วคะ แค่กลัวบาปเฉยๆ

    ดิฉันจะเริ่มวิปัสสนาตอนกลางวันและทำกสิณตอนกลางคืนคะ
     
  2. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ขอถามเรื่องเข้าฌาณแล้วลงน้ำนี้มันเพราะอะไรคะ อันนี้ดิฉันเคยเขียนในห้องอภิญญา xp คะ คือมันดิ่งลงไปในน้ำทะเลและหัวเราคว่ำลงแทนที่มันจะดิ่งขึ้นไปบนอากาศนะคะ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เล่าให้คุณ Duss ฟังนะ.ประเด็นแรกการพิจารณาความตายเป็นอารมย์ประมาณ
    ให้เห็นจิต(ย้ำว่าจิตเห็นนะครับ ต้องมาจากการวิปัสสนา)
    ส่วนที่เค้าพิจารณาบ่อยเป็นแนวทางให้จิตเห็นได้จริงในอนาคต
    เพื่อให้จิตเห็นว่าร่างกาย นี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา
    เรื่องความพรัดพรากจากของที่รัก เป็นทุกข์ แต่ว่าหลีกเหลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องธรรมดา.
    แม้แต่จิตเราเองซักวันหนึ่งก็ต้องพรัดพรากจากร่างกายนี้ และการพิจารณาเพื่อน้อมให้ไม่ยึดร่างกาย
    เป็นประเด็นหลักเพื่อไปทางด้านการละสักกายะทิฐิ จนจิตเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์จริงๆได้ในอนาคตนั่นหละครับ
    เค้าถึงจะไม่อยากเกิดอีก.นอกจากเรื่องไม่มีกิเลสนะครับ ประมาณนี้นะ..

    ส่วนเรื่องการตายของน้องแมวนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราหรอกครับแต่ถ้าเราไปเกี่ยว
    ข้องด้วยกับเหตุสุดวิสัยอย่างนี้มันจะเกี่ยวกับเราและส่งผลกระทบกับเราได้ครับ.
    เพราะการที่เราได้เลี้ยงได้ดูแลอาจเพราะน้องแมวเคยเป็นบริวารเก่าเรามาหรือไม่ก็
    เคยมีสัมพันธ์กับเรามาและอยู่ในช่วงเดินทางของวิบากกรรมเก่าเค้าอยู่.การที่น้องแมว
    เค้าโดนนำไปฆ่าอาจเป็นไปได้ว่า.ในอดีตชาติน้องแมวก็คงฆ่าคนนั่นมาไม่ว่าจะชาติใด
    ชาติหนึ่ง.หรืออาจจะเป็นการสร้างกรรมใหม่ของคนที่นำไปฆ่าก็ได้.ซึ่งประเด็นนี้เราไม่
    ควรให้ความสำคัญและไม่ควรใส่ใจ.แต่เรื่องการรู้สึกเสียใจบ้าง.เสียความรู้สึกบ้างหรือ
    รู้สึกผูกพันธ์ตลอดจนโทษตนเองว่าเป็นสาเหตุนั่นเป็นเรื่องปกติที่สามารถคิดได้ทุกๆคน
    แบบอารมย์ชาวโลกทั่วไปปกติที่พอมีใจเมตตาครับ.
    .ประเด็นนี้ให้อุเบกขาแต่ว่าอุเบกขาแบบรับรู้พอครับ

    ส่วนเรื่องที่จะแบ่งเวลาฝึกในช่วงนี้และแบบนี้นะดีแล้วครับ.
    .ส่วนเรื่องจมน้ำพอดีจำไม่ได้ครับว่าเคยอ่านที่คุณ เคยโพสหรือเปล่า
    .แต่พอบอกได้ว่ามันเป็นผลต่อเนื่องจากที่เคยฝึกกสิณน้ำมาในอดีต
    ส่วนตัวคิดว่าในอดีตคุณน่าจะเห็นนิมิตรกสิณน้ำน่าจะประมาณนี้นะ
    ประมาณว่าน้ำที่เห็นมันยังไม่เป็นสีใส และยังมีสีอื่นๆปนอยู่ด้วย...
    มันจะเป็น ใน
    แบบของน้ำที่จะเห็นได้ก่อนที่จะเห็นน้ำแบบใสปิ๊งครับ.
    แล้วอารมย์จิตช่วงนั้นมันคล้ายกับอารมย์ที่เคยเห็นน้ำเหมือนของ
    จริงได้ในอดีตที่เราเคยฝึก.แต่ว่ากำลังสติเรามีไม่เพียง
    พอที่จะควบคุมจิตเราได้.ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้สำหรับคนที่เคยฝึกกสิณมา
    แล้วไปฝึกอย่างอื่นๆ หรือคนที่ฝึกหลายๆอย่าง.ส่วนตัวเรียกว่า ช่วงที่จิตหลงอารมย์..
    คือมันหลงไปอารมย์เดิมๆที่เคยฝึกมาก่อน
    เนื่องจากอารมย์ ณ ปัจจุบันมีบางจังหวะใกล้เคียงกันกับเมื่อก่อน
    .และมักจะหลงไปในลักษณะที่ทำอะไรไม่ได้.
    ถ้ากำลังสติมากหน่อยก็อยู่ใกล้กับทะเล.
    แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทำอะไรไม่ได้เหมือนกันครับ.
    และเกิดได้แม้ว่าเราจะไม่ได้โน้มคำภาวนาในกสิณกองนั้นๆ
    และนิมิตรพวกนี้ใกล้มากไปจะจมแบบที่เป็นนั่นหละครับคือบังคับอะไรไม่ได้.
    หรือไม่ก็โดนดูดไปยังสถานที่อื่นๆที่ไม่รู้จักได้ ห่างมากไปก็ไม่มีกำลังพอในการบังคับนิมิตร.
    อยู่ในระดับเดียวกันก็ได้แต่ดูอย่างเดียวอีก.
    .พวกนี้มันต้องมีระยะห่างพอสมควรครับ.

    .สังเกตุไหมครับลองเทียบกับนิมิตรพวกที่เป็นวงกลมมันจะคล้ายกัน
    ตัวอย่างนะ.ลองมองเปลวไฟแล้วหันไปที่อื่นๆดูครับ.
    ถ้าเราลืมตาฝึกถ้านิมิตรมันไกลไปมันจะวิ่งไปวิ่งมา
    .พอมาใกล้ๆเราหน่อยเราถึงจะพอทำให้นิมิตรนิ่งๆได้.
    พอใกล้ชิดตาเรามากไปจิตเราจะสงบแต่มันจะเกิดเหตุการณ์อย่างอื่น
    หรือพวกนิมิตรอื่นๆมาแทรกอีก.พวกนี้ต้องอาศัยการฝึก
    และประสบการณ์ในการเข้าถึงบ่อยๆจะทราบได้เองครับ..
    และเรื่องที่คุณเล่ามาเป็นเรื่องระหว่างของการฝึกที่สามารถเจอได้ทุกคนครับ.

    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  4. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    คุณ นพกานต์คะ ขอถามคะ อยากทราบว่าผีที่ตายก่อนอายุไข
    แล้วศพไม่ได้เผาหรือทำพิธีแบบพุทธแต่ฝังไว้ที่สุสานที่เมืองฝรั่ง
    อยากทราบว่า ถ้าเราเอาศพนั้นย้ายมาเมืองไทย
    และฝังไว้ในสวนหลังบ้านที่เมืองไทย
    ผีนั้นจะตามกลับมาเมืองไทยด้วยหรือเปล่าคะ
    คือผียังไม่ได้ไปเกิดนะคะ ดิฉันสามารถสื่อถึงได้นิดหน่อย
    ตอนทำกสิณรูปของผีตอนที่ยังมีชีวิตยู่ คือ ปกติเค้าแทบจะ
    ไม่มาสื่ออะไรมาก แต่ที่รู้ว่ายังไม่ไปเกิดก็เพราะมาแสดงตัวให้เห็น
    เวลาครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เฉพาะมาเตือนเหตุการณสำคัญๆเช่น
    ก่อนที่ดิฉันจะโดนคนรู้จักขอยืมเงินจำนวนมาก
    ดิฉันคิดว่าปีหน้าหรือเร็วๆนี้จะขายบ้านแล้วไปอยู่เมืองไทย
    ก็เลยสงสัยว่าผีจะตามไปได้ไหม เลยอยากนำศพไปด้วย
    แบบที่ยังไม่เผานะคะ เอาไปทั้งโลง
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ความจริงไม่จำเป็นต้องเอาศพมานะครับและก็ไม่ควรทำด้วยครับ
    จะกลายเป็นดาบสองคม.ถ้าทำอย่างนี้จะตัดหนทางการไปสู่ภพภูมิ
    อื่นๆของวิญญานได้รวมทั้งการได้ไปเกิดตามบุญบารมีของสะสมของเค้า
    และจะกลายเป็นว่าทำให้ทั้งเราทั้งเค้ามีแผลแบบคาดไม่ถึงครับ
    กรณีวิญญานถ้าถึงวาระเปลี่ยนภพภูมิของเค้าซึ่งจำเป็นที่เค้า
    จะต้องตัดทุกสิ่งทุกอย่างและปล่อยวางทุกๆเรื่องๆ.
    มันจะเป็นตัวดึงไม่ให้ใจเค้าเป็นกลาง

    เพราะสาเหตุยังยึดติดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่.จะทำให้เค้ายังคงต้องวนเวียน
    อยู่ในสิ่งที่เค้ายึดติดอยู่ได้.และที่สำคัญเค้าจะรับอานิสงค์หรือผลบุญ
    สะสมส่วนที่ยังไม่ได้รับเนื่องจากเหตุการตายแบบสุดวิสัย
    ที่มีคนหรือใครก็ตามอุทิศส่วนกุศลให้เค้าในระหว่างที่ยัง
    ไม่ถึงวาระจะเปลี่ยนภพภูมิตามอายุร่างกายจริงๆบนโลก
    และเป็นกำลังบุญตัวสำคัญที่จะช่วยส่งไปยังภพภูมิที่ดีกว่าได้.
    แม้ว่าจะเผาไปแล้วในอนาคตแต่ช่วงนั้นใจจะ
    ห่วงอยู่ซึ่งค่อนข้างอันตรายมากๆ.ส่วนตัวเราอาจไม่เท่าไร.แต่มันจะเท่าไร
    ทันทีถ้าเรายึดติดเหมือนกันคือกลายไปอยู่ในภูมินั้นได้ถ้าเราเผลอนะ..
    .ที่บอกไม่จำเป็นเพราะเค้ามาหาเราได้อยู่แล้วครับเป็นปกติต่อให้อยู่สุด
    ไกลแค่ไหนถ้าภูมิจิตเค้ายกระดับขึ้นเรานั่งในห้องพระเค้าก็เข้ามาหาได้ครับ..
    .เนื่องจากการมาของเค้าเป็นพลังงานคงค้างรูปแบบปกติที่จะมาในแบบ
    ที่เคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนเค้าไปได้อัตโนมัติและกลับร่างได้ปกติ
    (หรือไม่ก็สถานที่ดวงวิญญานออกจากร่างครั้งแรกหรือไม่ก็บ้านหรือสถานที่ๆ
    เค้าเคยมีความผูกผัน)

    หรือตอนนี้ถ้าภูมิจิตสูงขึ้นเค้าก็อยู่ในที่ๆของเค้าอยู่.
    ส่วนกรณี..ถ้าสมมุติว่าจะเอาศพมาจริงๆนะซึ่งอาจมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก

    ..เมื่อศพมาถึงที่ๆจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วให้.
    จุดเทียนน้ำหนัก บาทแล้วขอบารมี.ครูบาร์อาจารย์หรือท่านที่เรา
    นับถือให้ช่วยตามวิญญานมาที่ศพ.แสงไฟจะเหมือนแสงสว่างนำทาง
    ให้วิญญานมาได้เองภายในระยะก่อนที่เทียนจะดับแต่
    กรณีแบบนี้ต้องมั่นใจว่าเค้าไม่วิบากกรรมตรงนี้คอยขวาง
    และมั่นใจว่าเรามีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิที่
    ท่านจะช่วยเราจริงๆด้วยครับ..
    ปล.สุดท้ายก็ลองตัดสินใจประการพิจารณาดูดีๆแล้วกันครับ.
    เป็นหนึ่งทางเลือกในการแนะนำ.มีหลายๆวิธีอยู่ครับ
    .เราเอาวิธีที่สดวกสุด ได้ผลเหมือนๆกันจะดีกว่า
    อีกอย่างเรามองผลกระทบบางมุมที่เราอาจคาดไม่ถึงที่จะส่งผลไม่ว่ากับ
    ตัวเราหรือวิญญานด้วยครับแม้ว่าเราจะมีฐานมาจากเจตนาที่ดีก็ตาม..

    ประมาณนี้ครับ..​
     
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ทุกวันนี้บ่อยครั้งตอนเที่ยงคืนดิฉันก็จะจุดเทียนกลิ่นแตงกวา
    อัฟริกันผสมดอกบัวหน้ารูปเขาที่เป็นรูปที่เอาไปวางหน้า
    ศพตอนงานศพนะคะ ฝรั่งเค้าก็มีความเชื่อเรื่องจุดเทียน
    นำวิญญาณก็คล้ายๆไทย คะ มีคนเขาบอกมา
    ดิฉันก็เลยจุดตามนั้นแทบทุกคืน เวลาซื้อของกินมา
    อย่างพิซซ่าน้ำผลไม้ก็เรียก เขาให้กินทุกครั้ง
    ปกติเขาเป็นผีที่เงียบมาก ไม่ค่อยแสดงอะไร
    แต่ถ้าคราวไหนที่มีเรื่องสำคัญๆจริงๆ เขาถึงจะมาเตือน
    นะคะ ทีแรกตอนเขายังมีชีวิตอยู่เขาบอกว่า
    ถ้าตายให้ดิฉันทำเป็นอัฐิเอาไปไหนด้วย ถ้าไปไหน
    เค้าก็จะไปด้วย แต่เหตุมาเกิดเมื่อน้องสาวของเขาตาย
    หาสาเหตุไม่เจอ จิตเค้าก็ตกหวบ และก็เลยพูด3 วัน
    ก่อนเขาตายว่า เขาเปลี่ยนใจ ถ้าเขาตายขอให้ญาติ
    ฝังเขาไว้หลุมเดียวกับน้องเขา แล้วก็บอกดิฉันว่าไม่
    ต้องห่วง ยังไงถ้าวิญญาณมีจริง ไปไหนเขาก็จะไปด้วย
    เพราะเขาบอกว่า ในโลกนี้นอกจากน้องของเขา
    เขารักดิฉันเท่าๆกับแม่ของเขาเลย ดิฉันก็รักเขาเท่าพ่อเท่าแม่เลยคะ
    อาจจะพิเศษกว่าด้วย ถ้าพูดแบบไม่โกหกตัวเองก็รักมากยิ่งกว่า
    ค่าใช้จ่ายและกระบวนการย้ายศพมาเมืองไทยก็สูงมาก
    แต่ถ้าขายบ้านได้ ยังไงก็มีเงินพอที่จะขนส่งศพมาเมืองไทย
    ยังไงก็จำทำตามที่แนะนำเรื่องศพ


    ส่วนเรื่องฝึกกสิณ ดิฉันอยากทราบว่าคุณนพกานต์เห็นนิมต
    ตาเปล่าบ่อยมากไหมคะ แบบที่เราไม่ได้กำหนด มันวาบขึ้นมมาเอง
    ช่วงนี้ดิฉันเห็นวงกลมใสบางสีออก ส้มอ่อนๆใหญ่
    วาบขึ้นมาบางคราว บางทีก็มี วงกลมสีน้ำเงินเข้มออกคล้ายๆ
    หินอัญมณีสีน้ำเงิน และด้านในมันก็มีเม็ดๆ เหมือนเพชร
    หลายเม็ดอยู่ข้างใน ช่วงนี้มองอะไร ทำอะไรนิดหน่อย
    พวกวงแสงประหลาดๆ พวกนี้ก็เกิดบ่อยมาก

    เมื่อคืนเข้าฌาณแล้วก็เดินไปตามถนนเล็กๆชายทุ้ง
    ซึ่งมีทุ้งหญ้าใหญ่มากโล่งๆ ที่ขอบทุ้งมีต้นไม้แบบไม้เมืองฝรั่งขึ้น
    แต่ตรงทุ้งนั้นโล่ง มีดอกไม้ สีเหลือง สีแดง ขึ้น ทั่วไปประปราย
    แต่ที่กลางทุ้งมีปราสาท ใหญ่มากทรงคล้ายยุคมิดดีวออล ของฝรั่งเศส
    สิ่งนึงที่สะดุดตามากคือ มีต้นไม้ที่มีรากใหญ่โตเหมือนต้นไม้ยักษ์
    ทะลุที่ผนังปราสาทขึ้นไปเสียดฟ้า

    เป็นเหมือนที่คุณนพบอกพอเราเพ่งภาพกสิณก็ผ่าขึ้นมาเหนือปราสาทคะ
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดิฉันชอบสถานที่ในนิมิตมาก มันสวยงาม
    ไม่มีที่ใดในโลกเป็นแบบนั้น อยากทราบว่า ถ้าหลังจากที่เราตายไป
    จะมีโอกาสได้ไปอยู่ในสถานที่แบบในนิมิตไหมคะ
     
  7. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พอจะเห็นความรู้สึกว่างๆสักแว๊บไหมครับ ขณะออกจากนิมิต
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ตอบ ประเด็นสุดท้ายนะครับ..ถ้าเราไปติด ณ สถานที่นั้นๆในกรณีแบบนี้
    โอกาสที่เราจะไปอยู่ตรงนั้นสูงมากครับ.และภูมิที่ไปอยู่ตรงนั้น.จะมีกลุ่ม
    ที่เป็นภูตคือพวกชุดดำๆไม่เรียบร้อยลอยได้..หรือไม่ก็กลุ่มวิญญานที่อยู่
    มานานแสนนานแต่พอมีกำลังเนื่องจากอยู่มานานแต่ว่าไปเกิดไม่ได้เนื่อง
    จากอานิสงค์ไม่ถึงที่จะรับได้.หรือไม่ก็พวกโอปาติกะ ประเภทแปลกประหลาด
    เหาะได้ บินได้ แต่ว่าน่าตาดูน่าเกลียดทั้งหลาย..และไม่ก็พวกกลุ่มอสูรกาย
    ที่เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ .หรือไม่ก็เป็นสัตว์ไปเลยแต่ว่าพวกนี้ดีตรงพอมีฤิทธิ์
    ถ้าอ่านดีๆนะ..ที่แนะนำไปข้างบนกรณีที่คุณเจอ ปัจจุบัน.คือกรณีที่ขวางตอนที่เรากำลัง
    จะสร้างกำลังจิตได้..ถ้าคุณผ่านคือ คุณสร้างกำลังจิตโดยตัดสภาพแวดล้อมได้
    คุณก็จะมาถึงในจุดที่เรียกว่า สามารถใช้ฤิทธิ์ได้ในนิมิตร.พอคุณมาถึงจุดนี้
    สิ่งที่คุณจะเจอก็คือ พวกภูมิที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี่หละครับไม่ว่าประเภท
    ใดประเภทหนึ่ง.ไม่เกินนี้เด่วเค้าจะมาเองแบบไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เจอนะครับเพราะเค้าจะไปรอเราล่วงหน้าก่อนเผลอๆ
    ขาเรายังแตะพื้นเค้าก็เข้ามาแล้วครับ
    .ตอนนี้อ่านไว้ก่อนก็ได้ครับ .เด่วอนาคตถ้าจะทำได้จะทราบเอง.
    ซึ่งเป็นด่านต่อมาครับที่เราจะต้องเจอเป็นปกติ ก่อนที่จะไปถึง
    ขั้นฝึกรวมกสิณในกลุ่มมหาภูตได้ เช่นไฟรวมน้ำ
    และ ฝึกสร้างกำลังจิตแบบรวมกสิณ เช่น ต้องใช้กสิณกองใดบ้างเพื่อผ่านด่านทดสอบทำนองนี้
    .และเรื่องการทดสอบการใช้ฤิทธิ์ในเหตุหรือสถานะการณ์ที่เหมาะสม
    ..เป็นด่านต่อมาก่อนที่จะดึงพลังงานมาใช้งานในทางรูปธรรม
    ได้จริงๆแบบสัมผัสได้ครับ.ถ้าพอมาถึงขั้นนี้ได้จะพอมีกำลังสมาธิ
    พอสมควร ภูมิต้านทานภายนอกก็พอมีและก็ระดับกิเลสที่น้อยลงไปด้วย
    เอาว่าค่อยๆไปทีละขั้นๆก่อนนะครับ.ไม่ใช่ประเด็นยิ่งใหญ่อะไรมากมาย
    แค่เล่าใหัฟังล่วงหน้าเฉยๆ...

    ปล. ประมาณนี้หละครับ.
     
  9. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    มีความสุขมาก ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีความสุขอย่างมากช่วงนี้
    มาเล่าเรื่องการฝึกเตโชกสิณวันนี้เกิดปาฏิหารบางอย่างคะ
    ดิฉันลองฝึกแบบไม่ใช่สร้างนิมิตเอาเองคะคราวนี้ปิดไฟหมด
    บ้านมืดแล้วก็จุดเทียนหน้ารูปผู้ตาย และบอกเขาว่าจะฝึก
    เตโชกสิณนะขอให้ช่วยให้มันง่าย และทำได้ดี พอจุดเสร็จ
    เพลงจากเครื่องเสียงมันก็ดับ เลยเดินไปคืนทั้งๆที่มืดๆนั้นแหละคะ
    เชื่อไหมคะ ดิฉันไม่ได้สร้างนิมิตอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำ
    พี่แกมาเองเลยเป็นลูกไฟสีแดงดวงใหญ่ประมาณกว่าหัว
    ตุ๊กตาปรากฏไปทุกทีที่ดิฉันมอง ไม่ว่าจะตรงเครื่องเสียงที่
    เราไปกดปุ่ม มันขึ้นมา ในความมืดเลยคะ ดิฉันรีบขอบคุณใหญ่
    ไม่รู้หรอกว่าใครทำให้ดิฉันเห็น ดิฉันก็ทึกทักเอาว่ารูป
    ผู้ตายนั้นแหละ และก็มองไปที่รูปเขาและก็พูดว่า ขอบคุณนะ
    ฉันฝึกเนี้ยเพื่อเธอจะได้บุญไปด้วยนะ เท่านั้นแหละ
    ลูกไฟดวงเล็กสีม่วงก็มากระพริบที่รูปเขาแป็บนึงและหายไป

    หลังจากนั้นก็มาเพ่งไฟที่เทียนหน้ารูป ภาพกสิณมาเอง
    ขณะหลับตา เป็นดวงรีๆสีแดง แต่เล็กกว่า ดวงใหญ่
    กลมๆเท่าหัวตุ๊กตาที่ลอยตามไปยังเครื่องเสียงคะ
    พอดีวันนี้เทียนหมดเล่มแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาใหม่
    แต่ยังไง ภาพก็ติดตาแล้วคะแต่ในมโณนะคะ นึกก็
    ออกได้ทุกเมื่อ แต่ว่า อยากให้ เค้ามาแบบมดวงกลมๆ
    เท่าหัวตุ๊กตาที่ ลอยตาม และมาเองทั้งๆที่ไม่ได้สร้างนิมิตนะคะ
    ยังไงจะต้องอัดมันเข้าไปให้ได้ทั้งเดือนทุกวัน
    ป.ล มาเล่าแชร์ประสบการณ์คะ
     
  10. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    แสงสว่าง หรือ โอภาส คือวิปัสสนูปกิเลสที่อยู่ในอุปจารสมาธิ เห็นได้ทั้งตกภวังค์และไม่ตกภวังค์ใช่หรือป่าวค่ะ
    อันนี้ยังไม่ถึงฌาน ถ้าเห็นแสงแต่ไม่ตกภวังค์ แสดงว่ามีสติดีมากใช่มั้ย สามารถผ่านได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มกราคม 2014
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    วิธีสังเกต วิปัสสนูปกิเลส สำหรับผู้ติดวิปัสสนูปกิเลส จะไม่มี

    เพราะ เวลาผู้ใดติดวิปัสนูปกิเลส จะไม่มีทาง รู้ตัวว่า ติดอยู่

    คือ วิปัสสนูปกิเลสนั้น จะปรากฏพร้อมกับ นิกันติ ความพอใจอย่างมาก
    จนกระทั่ง บุญบาป ใครบอกอะไรก็ไม่รับ

    ดังนั้น

    เวลาเราเกิดความรู้สึกสงสัยว่า กลัวว่า เกรงว่า จะติดวิปัสนูปกิเลส

    ให้รู้มาที่ "นิวรณ์" ธรรม ที่กำลังปรากฏ เข้ามาเลย

    เอา นิวรณ์ธรรม ทีมัน เหยียบย่ำ ทำลาย เรา ยกขึ้นมาดู ไปเลย

    แล้วจะเห็นว่า

    เวลาจิตเรามี กำลังสมาธิมาดี ศีลมาดี ปัญญาใคร่ครวญมาดี

    แล้ว มันไม่อยากให้เรา อาศัย ความดีเหล่านั้น สมาทาน ให้อาจหาญ

    ลูกเล่นง่ายๆ ของ กิเลส มันจะมาด้วย นิวรณ์

    ดังนั้น

    สังเกตไปด้วยว่า ฌาณก็ดี แฌณก็ดี ญาณก็ดี .....มันยังขาด ส่วนที่ เรียกว่า " จิตตั้งมั่น "

    ถ้า จิตตั้งมั่นยังไม่เกิด ธรรมเอก ไม่เกิด นิวรณ์ จะเข้ามากระทืบเรา ปิดบัง
    เราให้ เสียทรัพย์ ที่เรากำลังได้ดิบได้ดี

    ตรงนี้

    ให้พยายามจำแนก แยกแยะ สมาธิที่เป็นของศาธารณะ มีในทุกศาสนา
    กับ สิ่งที่เป็น สัมมาสมาธิ(จิตตั้งมั่น) ว่า มัน คนละ รสกัน

    ถ้าเกิดอาการ สำคัญว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรากำลังกอบโกยอยู่
    นั้นเป็นสัมมา นิวรณ์ธรรมจะปรากฏ เป็นพระร้าย แกล้งเรา อย่างน่าแค้นใจ

    พอได้ ธรรมเอก รู้รส จิตตั้งมั่น(สัมมาสมาธิ) ไม่ใช่ ฌาณ แฌณ แล้ว

    ค่อยว่ากันต่อเรื่อง วิปัสสนูปกิเลส

    ตอนนี้ยังไม่มี ยังอีกไกล
     
  12. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2014
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แนะนำว่า อย่าไปใส่ใจ ตรงที่ " หลังจากรู้ แล้วจะเกิดอะไร "

    ให้ยกสิ่งที่ รู้นั้น เป็นเพียง ธาตุ อย่างหนึ่ง ที่เรา สังเกต ได้ รู้รสได้
    เหมือนดั่ง ตาเห็นรูป

    เหมือนดั่ง เรดาร์จับสัญญาณแปลกปลอมได้

    ให้เห็นเป็นเพียง ธาตุ ของแปลกปลอม

    แม้กระทั่ง ตัวที่กวาดไปรู้ แล่นเข้าไปรู้ หากสังเกตดีๆ เราจะเห็น
    มันกวาด มันเคลื่อน มันเลือนหายด้วย

    แล้วที่เหลือ เหลืออะไร

    จะเหลือเป็น สัญญาบางๆ อย่างหนึ่ง กับ ความพอใจ อีกอย่างหนึ่ง

    อรูปฌาณนั้น พึงทราบว่า หากไม่เจริญสติให้ถูกวิธี มันจะไป คา
    อยู่ที่ ลหุสัญญา กับ ความพอใจบางๆ นั้น

    หากสำคัญผิด คิดว่า เป็นนิพพาน จะเกิดการ แล่นเข้าไปจับ

    มีการเคลื่อน มีการขยับ มีการโหยหา มีการโน้มน้อม มีเข้า มีออก

    อะไรก็ตาม หากมีเคลื่อน มีเข้า มีออก พึงทราบว่า นั่นเป็น ธาตุ วัตถุธรรม

    เมื่อกำหนดรู้ทุกข์ ยุบลงเห็นเป็น ธาตุ วัตถุธรรม มันจะไม่ไปสนใจ
    ว่า มันให้อะไร

    แค่ มันเกิด ก็จะทราบทันทีว่า โง่ได้เกิดขึ้นแล้ว

    ทีนี้ มันจะมีเรื่อง เคลื่อนเข้าไปเพื่อประโยชน์อะไร ตรงนี้ ต้อง
    เอามาพิจารณา คุณ และ โทษ

    ถ้าไม่ยกพิจารณา คุณ และ โทษ จะเกิดการ มุ่งไปทางเดียว ซึง
    ไม่ใช่การ แล่นไปของจิตที่มี ปัญญาสัมปยุต

    แต่ถ้า ยกพิจารณาคุณ และ โทษได้ จะรู้ว่า กาลเทศะ ในการ
    เคลื่อนมีหรือไม่มี ถ้าไม่มี เคลื่อนไปอย่างไร้กาลเทศะ อันนี้
    ให้พึงทราบว่า เรือหาย แน่นอน

    เหมือน พระอลากดาบษ สบถ!! ร้องไห้ เพราะ ทราบชัดว่า จิตเคลื่อน
    ไปอย่างไร้กาลเทศะ ซึ่ง จะรู้ด้วยว่า ทำอะไรไม่ได้ ห้ามจิตไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2014
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้า เคลื่อนเข้า เคลื่อนออก ฉลาดเข้า ฉลาดอยู่ ฉลาดออก

    จะไม่ปรารภว่า ออกมาแล้ว ก็ไม่รู้อะไร

    เพราะ ถ้าเป็น ของจริง ทำตาม กาละเทศะ จิตมีเหตุจึงเข้า
    จะทราบว่า มันเข้าเพื่อออกไปรู้ สุดละเอียด กลับออกมา
    ต่างหาก

    จิตถ้ามีกำลังอรุปฌาณตามความเป็นจริง จะได้ ความรู้สารพัด
    ที่ลึกซึ้งกลับออกมาด้วย

    แต่ถ้าเข้าไปแล้ว ออกมา แล้ว เอ๋อ อันนั้น มันผิดตั้งแต่ ตอน
    เข่น ข่ม เค้นๆ บีบๆ ให้เข้า

    ความเบรอ จึงเกิดจากการ ทำลายไขสมองตัวเอง ด้วยการเพ่ง
    อะไรบางอย่าง อันนี้ ก็มี ไม่ใช่ไม่มี


    อนึ่ง พึงทราบว่า การเพ่งไปที่วัตถภายในกาย บางอย่างก็เป็น
    การฝึกกสิณบางอย่าง ...ซึ่ง จะต้องสังเกต ความห่าง ความโปร่ง
    สบาย ไม่หนัก ไม่แน่น จะต้องเกิด พร้อมการขมวดแน่น ที่เกิดขึ้น
    ด้วย ( ตรงนี้ บรรยายยาก มันแน่น แต่มันก็ โปร่ง เบา หวิว อันนี้ ไม่เสียหาย )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2014
  15. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    การนั่งสมาธิอย่างถูกต้องร่างกายทุกส่วนต้องผ่อนคลาย สายตามองตรงๆไม่เกรง ไม่บีบกล้ามเนื้อ หลังตรงสบายๆ ไม่มีส่วนไหนรู้สึกแน่นรวมถึงใจด้วย
    การพยายามบิ้วส์อารมณ์ บีบบังคับ นั้นไม่ใช่ การเพ่งจนเครียดนั้นไม่ใช่
    ทุกอย่างเป็นไปอย่างสบายๆ คุณนิวรณ์ยังไม่รู้จักฉันดีพอ

    แต่ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่า มันเป็นอจินไตย สงสัยไปแค่นั้น ความสงสัยบางครั้งก็ยังหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ข้าพเจ้าขอยุติความสงสัยแต่เพียงเท่านี้
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อนึ่ง พึงทราบความ ตามปฏิสัมภิทามรรค ( ขอนุญาติ สรุปย่อ ตามสังขาร ขันธ์5 )

    คนเรามักจะได้ยินเรื่อง รูปฌาณ อรูปฌาณ แล้ว สำคัญไปเรื่อง สมาบัติ

    สมาบัติ จะเป็นเรื่อง การอยู่ จุมปุ๊กแช่ใน ฌาณ แช่ในฌาณไหนก็ได้ หากแช่
    ได้ก็มักจะเรียกว่า สมาบัติ

    สมาบัติ บางสำนัก ปฐมฌาณแช่ไม่ได้ จะแช่ได้ต้อง ฌาณ4 ถึงจะ บอกว่า เป็น สมาบัติได้

    ทีนี้

    ในปฏิสัมภิทามรรค พระอรหันตสุขวิปัสโก ท่าน สัมผัสฌาณได้ ครบ 8 รส ไหม

    ถ้าไปผลิกตำรา เอาตำรามาแทะ แล้วเอามา เขวี้ยวงใส่หน้ากัน ให้พวก นิยม
    สมาบัติที่เป็นฌาณ4 ฟังแล้ว หมั่นไส้ รังเกลียด ไม่อยากเผย ปฏิสัมภิทามรรค
    บางวรรค บางตอน ที่ พระสุขวิปัสโก รู้เห็น แตะ ต้อง ชิมรส วิโมกข8 ได้ครบ

    เราก็พึงทราบไปเลยว่า

    พระสุขวิปัสโก นั้น สัมผัส แตะ รสได้ ฌาณครบ 8 รส เพียงแต่ ไม่ฉลาด
    ในการโน้มเข้าไปอยู่แช่

    จะมีการเคลื่อนของจิตผ่าน 1 2 3 4 5 6 7 8 ได้ตามการเคลื่อน

    จะอาศัย การเกิดดับของ ฌาณลำดับก่อนหน้า เป็นตัว เรดาร์ ตรวจจับ
    ความ แตกต่างของ ธาตุ หรือ วัตถุธรรม

    ดังนั้น

    พระสารรีบุตร ที่คนดูถูกว่า เป็นสุขวิปัสโก ท่านถึงได้ เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธนได้
    หนึ่งลมหายใจได้ แสนโกฏิขณะ เข้าออก แสนโกฏิรอบ

    ซึ่ง ก็จะมีการ ดูถูกอีกว่า เป็น ขณิกะ เท่านั้น

    แหม .............ท่านเป็นถึง อรหันต์ มันจะไม่มี สำเร็จ อัปปณา เลยรึ

    ดังนั้น

    ระวังความเข้าใจเรื่อง สมาบัติ ที่ไป ทับถมคำว่า อัปปณา

    ระวังการเข้าไปรู้รส แต่ เพราะ ฟังธรรมมาผิด เลยไม่ ยกรส ที่รู้ขึ้นเห็น
    เป็นความเกิดดับ เป็นผัสสะ ยกขึ้นรู้

    และถ้าน้อมไป " ดับภพ คือนิพพาน " เป็น ผัสสะ เพื่อให้เกิดการเห็น
    " สัญญาเกิด และ เป็นการดับไปของสัญญา " พระสารีบุตร จะได้นั่ง
    ยิ้ม แล้วท่าน ปราวนาตัวด้วยว่า มาอยู่บนศรีษะเราได้เลย ช๊อบ ชอบ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้า กาย กายคตา ยัง รู้ลงมาเป็น กล้ามเนื้อ เลือด ลม อันนั้น แปลว่า

    ไม่รู้กาย

    กายที่โปร่ง โล่ง เบานั้น จะไม่มีการมารู้ที่ กล้ามเนื้อ เลือด หรือ ลม เด็ดขาด

    หากมารู้ที กล้ามเนื้อ เลือด หรือ ลม นั่นแปลว่า ยังไม่รู้จัก สมาธิ เลย

    ถ้า อยากทราบว่า เอ้าแล้ว กายมันอยู่ไหน จะให้รู้ที่อะไร แนะนำ ปิติ เป็นแนวต้าน

    รู้ปิติให้มากๆ แล้ว จะค่อยเห็นเองว่า เอ้า กาย โปร่ง โล่งเบา มันคือ จัง " ซี้ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2014
  18. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    เรากำลังสื่อถึงการเริ่มมานั่งสมาธิ ต้องวางแขนขาท่านั่งยังไง ต่างหากล่ะ
    อิอิคิดไปไกลเชียวนะ ราตรีสวัสดิ์จ้า
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ท่านผู้มีอายุ..โปรดให้โอกาส อสุรกาย..ร่าย-แทะ-เล็มคัมภีร์ บ้างครับ
    (จาก แม่ทัพ เทียวย้ำ อิอิ:'()
     

แชร์หน้านี้

Loading...