ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จสิทธิพระที่นั่งมหาบัลลังก์(ปรารถนาเป็นหนึ่งกุณฑธานเถระ) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    ผมโอนเงินไปให้แล้ว ขาดชื่อของผมครับ กรุณาตรวจดูอีกครั้งด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    เช็คแล้วนะครับ ไม่มีในรายการ PM ส่งข้อความแจ้งโอนหรือแจ้งที่อยู่ไว้เลย
     
  3. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    ชื่อ-ที่อยู่ ส่งทางอินบ๊อกซ์แล้ว
    โอนเงินแล้ว ครับ....พรศักดิ์ 3621630-a02a935a28a197c01f412b4e522bb052.jpg 17792411_10206172066180872_1154604069_n-jpg.4126010.jpg
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์นะครับ วันนี้ห้ามพลาดกันนะ;)
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ร่วมทำบุญบูชา พระเจ้าเหยียบเมืองประจัญบานฝังงั่งล่อฟ้า(ขุนแผนออกศึก)

    วิชาในการสร้างการทำพระขุนแผนนั้น พ่ออาจารย์ท่านบอกกล่าวว่ามีอยู่หลายชนิด แต่ที่เป็นพระสำคัญและหาคนทำได้น้อยและเมื่อทำก็ไม่ทำกันเต็มวิชาจริงๆ นั่นคือพระขุนแผนประจัญบานนั่นเอง ขุนแผนประจัญบานหรืออีกนามที่ทานเรียกขานว่าขุนแผนออกศึก พ่ออาจารย์กล่าวว่าฟังดูแล้วเหมือนทำให้คนไปรบนะ แต่ที่จริงพระนี่เราก็ทำให้คนเขาเอาไปรบจริงๆนั่นแหละ ไม่ใช่ด้วยว่าเป็นการรบเช่นศึกสงครามที่ไหน แต่เป็นการรบเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ ด้วยการดำรงค์ชีพอยู่ในโลกปัจจุบันนี้นอกจากเราจะต้องรบหรือสู้กับผู้อื่นแล้ว เรายังจะต้องสู้กับใจตนเองอีกด้วย ท่านว่าให้ถามใจตัวเองดู หากเราไม่สู้ทุกวันนี้เราจะอยู่ได้หรือไม่ ดังนั้นพระเจ้าเหยียบเมืองประจัญบานหรือขุนแผนออกศึกนี้ท่านว่าไม่ว่าจะศึกไหน จะศึกรัก ศึกชีวิต ปัญหาการทำมาหากิน ศึกทุกอย่างที่เราต้องเข้าไปเผชิญอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ เอาว่าได้ชัย ชนะได้ทุกศึกทีเดียว ท่านว่าแม้แต่ความรักสมัยนี้ยังต้องแย่งกันเลย ไม่มีอะไรที่ไม่มีการแข่งขันหรือได้มาง่ายๆ ดังนั้นขุนแผนออกศึกนี้จึงเป็นพระที่ท่านสร้างเพื่อจะเติมเต็มชัยชนะให้แก่ผู้บูชานั่นเอง


    พิมพ์พระสำคัญไฉน
    ทำไมพระขุนแผน ถึงเป็นรูปขุนแผนขี่ช้าง ดูแปลกตากันหรือไม่ มีขุนแผนสำนักใดทำกันเช่นนี้ พระขุนแผนออกศึกนี้ แต่เดิมพ่ออาจารย์ท่านตั้งใจจะทำเป็นพิมพ์องค์พระพุทธธรรมดา แต่บรมครูมหาพรหมแห่งปัญจสุทธาวาส คือท้าวสหัมบดีนั้นได้เมตตานิมิตรูปมงคลให้ ท่านว่าพิมพ์พระพิมพ์นี้ลึกซึ้งนัก สมกับที่ท่านตั้งใจจะทำวิชาขุนแผนออกศึกจริงๆ พ่ออาจารย์ท่านว่ารูปมงคลนี้สำเร็จด้วยแรงครูมีความหมายต่างๆประดามี และเมื่อสร้างเมื่อทำนั้นคุณครูท่านได้ลงมาประสิทธิ ท่านว่าเป็นของสำเร็จมีฤทธิ์แรงนัก ซึ่งขุนแผนออกศึกนั้นมีอานุภาพสำคัญด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้

    - ช้างเป็นสัตว์มงคล สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์เป็นมหาอุดม ท่านว่าเปลี่ยนชีวิตคนที่ตกต่ำให้บริบูรณ์ขึ้นจนถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข พ่ออาจารย์บอกว่าตรงนี้สำคัญเพราะเมื่อทำพระ องค์บรมพรหมท่านให้เราเสกลงหัวใจพญาช้างปาลิไลย์ ไว้ที่ตัวช้างด้วย ซึ่งพญาช้างปาลิไลย์นี้เป็นมหาโพธิสัตว์ใหญ่อันจะได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล ท่านว่าเป็นมหาสัตว์ที่มีบารมีมาก สามารถรื้อถอนขนถ่ายนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ ดังนั้นพระรุ่นนี้อยู่กับใคร ติดตัวผู้ใดรับรองว่าทุกข์หาย เคราะห์จาง ความเศร้าโศกสิ่งใดบรรดามีจะบรรเทาเบาบางลงตามลำดับ ด้วยว่ามหาสัตว์นั้นจะรื้อขนนำพาชีวิตไปสู่แสงสว่างจนกระทั่งมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์เป็นปกติสุขนั่นเอง

    - ช้างเดินทัพ หมายถึงช้างมีลักษณะก้าวเดินไปข้างหน้า ท่านว่าชีวิตคนใช้ย่อมต้องก้าวหน้า ท่านอธิษฐานฝากครูและมหาโพธิสัตว์เอาไว้ว่าจะให้เขาถอยหลังไม่ได้ ลืมตาตื่นมื้อนี้หรือวุ่นรุ่งพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะลืมตาตื่นวันใดมีแต่ต้องก้าวหน้าต่อไปทุกวันไม่หยุดอยู่กับที่หรือถอยลงเหว ท่านว่าฝากให้มหาโพธิสัตว์ท่านรับเป็นภาระในการสงเคราะห์คนหนนี้

    - ช้างเหยียบเมือง องค์พระขุนแผนออกศึกนั้นเป็นพระที่พ่ออาจารย์ลงวิชาสำคัญไว้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือช้างเหยียบเมือง ท่านว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่ หากเป็นช้างธรรมดาก็มีเดินกันขวักไขว่ถมไป แต่หากเป็นพระคชาธารช้างศึกแล้วการได้เหยียบเมืองหรือเข้าเมืองแล้วนั้น นั่นหมายถึงชัยชนะ พ่ออาจารย์บอกว่าช้างเหยียบเมืองนี้คือวิชาที่หนุนนำพาเราไปสูชัยชนะ ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น เอาว่าต่อไปนั้นแพ้ไม่เป็น จะจีบเขาก็เป็นต่อเขา จะทำงานหรือเข้าแข่งด้านธุรกิจ ด้านการเจรจา จะเข้าสังคม หรือทำสิ่งใดต่างๆบรรดามีก็ตาม ที่มีคู่แข่ง ท่านว่าชนะหมดเห็นชัยชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มทีเดียว

    - พิฆาตไพรี พญาช้างเป็นสัตว์ใหญ่ดุร้าย แม้เดินไปแห่งใดสัตว์น้อยใหญ่ย่อมตระหนกและหวาดกลัวในอานุภาพ ย่อมถอยร่นห่างหนีไม่เอาชีวิตมาใกล้ พ่ออาจารย์ท่านว่าช้างนี้ท่านผูกไว้ดีแล้ว ศัตรูหมู่มารทั้งหลายทำอันตรายเราไม่ได้เขาเกรงพ่อพลายนี้จะกะทืบเสียหมด พระนี้ให้เอาติดตัวไว้อย่าให้ห่างท่านว่าพิฆาตไพรีพินาศราพนาศูร แม้เจ้ากรรมนายเวรจะอาฆาตกันมาแต่ชาติไหนเขาก็เกรงใจเรา ไม่ทำร้ายหรือเล่นตุกติกกับชีวิตเราได้เลย ที่ว่าเกรงใจเรานี้คือไม่ใช่เขาเกรงใจฉัน แต่เขาเกรงใจช้างดุๆเชือกนี้เกรงใจปาลิไลย์บรมโพธิสัตว์นี้

    - ขุนแผนขี่ช้าง ท่านว่าขึ้นขี่คือได้ครอบครอง ดุจว่าตัวคนใช้นั้นต่อไปจะได้ครองแต่ความสุขมีชีวิตสมบูรณืไปด้วยธนสารสมบัติและสุขสวัสดิ์ทุกประการจากคนธรรมดาจะกลายเป็นคนมีวาสนาดุจท้าวพระยาเช่นนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าไม่แต่เพียงเท่านั้น นี่ยังเป็นเล่ห์กลทางเสน่ห์เมตตาด้วย ขุนแผนก็ดุจตัวของเรา ขี่ช้างก็คือการได้ปฏิสัมพันธ์กับคู่ครองที่ดี ซึ่งใครที่ยังไม่มีคู่หรือหวังสูงจะจีบดอกฟ้านั้น ท่านว่านี่เหมาะนัก เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่มีอำนาจวาสนามาก ท่านว่าจะได้เจอคนดีมีอำนาจวาสนาและชักพาให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรือง พ่ออาจารย์ว่าพระรุ่นนี้ดีมาก ใครที่คิดจะเจอแบบเล่นๆ คนที่เค้าจะเข้ามาหลอกเรา มาทำให้เราเสียทรัพย์เสียชื่อเสียงทุกสิ่ง ครูท่านปัดทิ้งไปหมดเลย ท่านว่าเรื่องไม่ดีจะไม่มีโอกาสเกิดแม้แต่เพียงเริ่มทีเดียว


    เมื่อท่านนำไม้ขนุนมาแกะบล๊อคเสกแม่พิมพ์ตามพิธีกรรมเสร็จแล้วท่านว่าจะทำพระสำคัญท่านจึงตั้งใจนำผงสำคัญมาผสม ทั้งว่านยาที่ท่านปลูกและกู้เองตามพิธีกรรมไว้ ซึ่งว่านนั้นจะประกอบไปด้วย ว่านดอกทอง ว่านเสน่จันทร์ ว่านเทพรัญจวน ว่านสาริกาลิ้นทอง ว่านกระแจะจันทร์ ว่านช้างผสมโขลง ว่านขุนแผน ว่านเมตตาใหญ่ ว่านจูงนาง ว่านสาวหลง ว่านนางล้อม ว่านนางเกี้ยว ว่านแสนนางล้อม ว่านห้าร้อยนาง ผงจันทร์ชมด ผงจันทร์ใด ผงจันทร์ดี ผงจันทร์แดง ผงจันทร์ขาว ท่านได้นำผงว่านต่างๆเหล่านี้เป็นมวลสารตั้งต้น และผสมด้วยผงดินเจ็ดปราสาทขอมโบราณสมัยพระเจ้าชัยวรมันซึ่งท่านได้เดินทางไปพลีมา เป็นดินปราสาทบริเวณที่ทำพิธีกรรมท่านว่ามีอาถรรพ์ราชาเวทย์สูงและรุนแรงยิ่งนักอาถรรพ์ตัวนี้จะหนุนคนให้ขึ้นสู่ที่สูง เป็นผู้นำเป็นจอมคน ประเสริฐเลิศยิ่งกว่าคนทั้งหลาย นำมานวดกับผงวิเศษซึ่งได้มาแต่พนมกุเลนมเหนทรบรรพต พ่ออาจารย์บอกว่าผงนี้เราก็ไม่รู้ว่าผงอะไร แต่ไปเจอมาเทวดาเขานิมิตให้ไปขุด เคยนำไปให้ครูบาอาจารย์ดูตอนนั้นท่านว่าจะถวายหลวงพ่อฤาษีไว้ให้ท่านสร้างพระส่วนนึง กับจะเอามาเก็บไว้ทำพระสมเด็จองค์ปฐมส่วนนึงแต่หลวงพ่อท่านปรามไว้ก่อน ท่านว่านี่มันผงนางอัปสร ของนับร้อยนับพันปีนี้ไปเอามาจากไหน ตอนนั้นพ่ออาจารย์ก็เรียนไปว่าได้มาแต่มเหนทรบรรพต ท่านจึงปรามว่าผงนี้ให้เก็บไว้ เขาเอาไว้ทำพระเจ้าชู้ ถ้าไม่ใช่เราแล้วอย่าให้พระรูปใดจับอีก เดี๋ยวจะหมดบุญไม่ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์กันเสียเปล่า พ่ออาจารย์ท่านก็เก็บผงนางอัปสรไว้จนท่านทำพระขุนแผนออกศึกนี้ ท่านว่าท่านเทหมดหน้าตักเลย มีเท่าไหร่ใส่หมด พ่ออาจารย์ท่านว่าผงนางอัปสรนี้เชื่อได้เลยว่าแม้แต่เราก็ทำไม่ได้ เนื่องจากสำเร็จด้วยบรมครูยุคเก่านับพันปีล่วงมาแล้ว ประกอบกับท่านตั้งใจไว้แต่แรกจะไม่ใส่ลงไปในเครื่องมงคลที่เป็นรูปสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา ก็มาโอกาสนี้ที่ได้ทำพระขุนแผนออกศึก ท่านว่าไม่ใช่รูปพระศาสดาแต่อย่างใด ท่านเลยใส่ให้เต็มๆเลย ท่านว่าใช้ผงล้วนๆนวดกับน้ำมันช้างตกมันทีเดียว

    สำหรับองค์พระขุนแผนออกศึกรุ่นนี้นั้น พ่ออาจารย์ว่าท่านทำจนสำเร็จแต่เบื้องต้นแล้วนั่นคือมติฟ้าหรือเจตนาของครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างตามมติของบรมพรหม แล้วก็มาพิมพ์ทรงที่ต้องมีการวางอาถรรพ์เสกแม่พิมพ์ตั้งแต่เริ่ม ตลอดจนกระทั่งมวลสารต่างๆที่ท่านว่ายอดขลังคือขลังเหนือขลัง ท่านว่าแม้ไม่เสกก็ยังขลัง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ท่านว่าตัวท่านเองนั้นทำไม่ได้แน่นอนถ้าไม่ได้แรงครูช่วยเหลือหนุนนำให้พบกับมวลสารต่างๆ นอกจากนี้พระเจ้าเหยียบเมืองประจัญบาน (ขุนแผนออกศึก)นั้น ยังฝังของสำคัญต่างๆลงไปด้วย ดังนี้

    - พญางั่งล่อฟ้า พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าหลายคนมักจะเคยใช้งั่ง แต่ไม่รู้จักงั่งหรือบางคนอาจจะรู้จักก็จะรู้จักโดยส่วนเดียว นั่นคือรู้เพียงว่าพ่องั่งนั้นเกิดมาตามเจตน์จำนงค์ขององค์พระศิวะเจ้า เริ่มจากเป็นชายเข็ญใจ สร้างรากฐานด้วยการมีภรรยาไปเรื่อยๆจากสามัญชนจนถึงเจ้าหญิงแคว้นต่างๆ จนตัวเองยกลำดับกลายเป็นราชบุตรเขย เป็นราชา เป็นมหาจักรพรรดิ์ แหวกกฏเผ่าพรรณวรรณะอย่างสิ้นเชิง เหตุการณ์ต่างๆนี้ทำให้มีคนเคารพท่านจนหล่อรูปท่านมากพกและเผยแพร่กันสืบมา แต่หลังจากนั้นพ่ออาจารย์ว่า เมื่อท่านตาย ด้วยกำลังแห่งองค์พระศิวะเจ้าทำให้รูปกายท่านนั้นกลายเป็นเทพวิญญาณ คอยช่วยเหลือบุคคลที่เคารพท่าน ทีนี้เมื่อมีคนเคารพมากขึ้น ท่านก็มีบารมีมีอิทธิฤทธิ์สูงยิ่งขึ้น จนตอนนั้นเองท่านก็มาพิจารณาตัวเอง ว่าการจะดำรงอยู่ด้วยทิพย์สภาวะโดยปราศจากหน้าที่นั้นเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ระหว่างที่ท่านหันซ้ายทีหันขวาทีคิดว่าจะทำอะไรดีนั้น ตอนนั้นเองพระกาฬก็มาหาท่าน พ่องั่งหรือพญาหง่างนี้ท่านเป็นเพื่อนสนิทเป็นเกลอกันกับพระกาฬแห่งยมโลก ซึ่งเราทั้งหลายจะรู้จักพระกาฬกันเป็นส่วนมากว่าเป็นบริวารของพญายมราช ทีนี้พระกาฬก็ชักชวนท่านให้เข้าสู่แดนยมโลกพาไปฝากตัวกับพญายมราช ซึ่งพญายมราชก็เต็มใจรับอย่างยิ่ง นับจากนั้นพญาหง่างหรือพ่องั่งก็กลายเป็นมือขวาของพญายมตั้งแต่นั้นมา พ่ออาจารย์ท่านว่าพญาหง่างนั้นได้มาหาท่าน บอกกับท่านว่าท่านเห็นนรกมาทุกขุมแล้ว เห็นคนตกนรกหมกไหม้ ทีนี้แม้สวรรค์ท่านก็ไปมาแล้วเนื่องจากท่านเป็นนิรมาณกายแห่งพระศิวะเจ้าจึงมีอำนาจสามารถเข้าสวรรค์ได้ทุกชั้นทุกภพ ท่านจึงปรารถนาจะให้คนที่บูชาท่านได้พ้นทุกข์ พ้นจากอบายภูมิเหล่านี้ พ่ออาจารย์จึงขออนุญาติพญาหง่างว่าจะแกะรูปท่านไว้ ให้ท่านไปช่วยเหลือคนและจะสอนให้เค้าทำความดีซึ่งท่านก็ยอมรับ พ่ออาจารย์จึงได้นำไม้ช่อฟ้าวัดระฆังของสมเด็จโตซึ่งท่านหั่นไว้เป็นชิ้นเล็กๆ ท่านว่าไม้ส่วนนี้แต่แรกท่านไม่คิดจะนำมาใช้เพราะว่ามันเล็กเกินไปนั่นเอง พ่ออาจารย์ท่านนำมาแกะเป็นพ่องั่งหรือพญาหง่าง โดยทำตามที่ท่านบอกคือให้แกะเป็นตัวท่านและยกมือสองมือขึ้นมากวักเข้าหาตัว พ่ออาจารย์ท่านว่าไม้มันเก่ามากหมดยางไปแล้วพอเอามาแกะเป็นองค์เล็กเช่นนี้ยิ่งทำได้ยาก แต่ก็น่าแปลก เพราะปรากฏว่าทำได้และมีความชัดเจนทุกองค์ โดยพ่ออาจารย์ได้เชิญพญาหง่างให้จุติปฏิสนธิลงในรูปนี้และช่วยกันเสกจนเกิดเสียงเกรียวกราว พ่ออาจารย์ท่านว่าท่านเรียกว่างั่งล่อฟ้าเพราะแกะจากไม้ช่อฟ้า แต่พญาหง่างท่านเรียกว่างั่งล่อนางฟ้าตามประวัติชีวิตของท่าน ท่านว่างั่งนี้อยู่ที่ไหนท่านจะไปกวักไปหาไปเรียกสิ่งๆต่างตามที่คนเขาปรารถนาตามที่เขาต้องการให้เขามีความสุขครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านว่าคนเราเมื่อมีความสุขแล้ว เมื่อสำเร็จแล้ว ท่านว่าท่านขอไว้อย่างหนึ่ง นั่นคืออย่าลืมตัว อย่าลืมความทุกข์ เมื่อทุกสิ่งได้แล้ว ดีขึ้นแล้ว ก็ให้เร่งแสวงหาบุญทานการกุศลอันจะทำให้ตนไปจุติในสุขคติโลกสวรรค์เสีย ท่านว่าอยากให้นรกที่ท่านดูแลอยู่นั้นมันว่างเปล่าไม่มีสัตว์ตกไปใช้กรรมเหลือเกิน ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านก็รับว่า พระรุ่นนี้ท่านอธิษฐานจิดตไว้ให้ตกถึงเฉพาะคนที่คู่ควรเท่านั้น คนที่เดินบนสายบารมี ดังนั้นพญาหง่างไม่ต้องเป็นห่วงไป ไม่มีใครลืมตัวแน่นอน

    - ตะกรุดนางอกแตกเต็มวิชา พ่ออาจารย์ท่านว่าครูบาอาจารย์แต่โบราณนั้นท่านมักจะใช้วิชานางอกแตกโดยถือว่าเป็นยอดของเสน่ห์ ซึ่งก็เป็นวิชาที่ก่อให้เกิดประสบการณ์เป็นอย่างมากแก่ผู้นำไปใช้ชนิดหัวกะไดไม่แห้งเป็นหนุ่มทรงเสน่ห์กันทีเดียว แต่จะมีใครรู้บ้างว่าวิชานางอกแตกเหล่านั้น เป็นเพียงวิชาเพียงเศษเสี้ยวหาใช่ตัวเต็มแต่อย่างใด พ่ออาจารย์ท่านว่าแต่ละครูบาอาจารย์นั้นท่านก็จะเรียนมาต่างกันไป บางคนก็ได้ยันต์ตัวผู้ บางคนก็ได้ยันต์ตัวเมีย แล้วก็ใช้กันเฉพาะเท่านั้นแต่เรียกว่าตะกรุดนางอกแตกเสมอกัน ท่านว่ามาครั้งนี้ท่านทำพระสำคัญ คือพระขุนแผนออกศึก ท่านจึงจะลงตะกรุดนางอกแตกเต็มวิชาไว้เสียวาระหนึ่ง ท่านว่าเราลงใส่แผ่นเงิน ลงไปทั้งตัวผู้ตัวเมียทีเดียว ท่านว่าเมื่อลงเต็มวิชานั้นอานุภาพย่อมมากกว่ของเก่าที่ลงครึ่งๆกลางๆอย่างประมาณไม่ได้ ทั้งนี้ท่านว่าให้อาไปใช้เอง จะได้รู้ ได้เห็นเอง ว่าที่เรียกว่า นางอกแตก แหกอกนาง คิดถึงเราปานจะขาดใจนั้นเป็นอย่างไร

    - ผงไม้อาถรรพ์กามสูตร พ่ออาจารย์ท่านได้นำผงไม้อาถรรพ์นี้มาจากแดนเขมรโบราณ ท่านว่าไม้นี่สำคัญนักไม่ได้ทะลึ่งแต่อย่างใด โดยท่านเรียกว่าผงไม้กามสูตร เนื่องจากตอนนั้นท่านได้นิมิตจากเทพธิดาที่รักษาเทวรูปนางอัปสร ซึ่งเป็นนางอัปสรที่กำลังทำการบำเรอเทพเจ้า พ่ออาจารย์ว่าท่านให้เอาท่านไปด้วย พ่ออาจารย์ท่านจึงทำการพลีและตัดไม้ที่เป็นรูปนางอัปสรนั้นมาเสี้ยวหนึ่ง และพอท่านจะกลับไปตัดมาเพิ่มอีกทีก็ปรากฏว่านางอัปสรไม้นั้นได้อันตรธานหายไปแล้วดุจว่าไม่เคยมีปรากฏมาก่อน พ่ออาจารย์ว่าอย่างกับผีหลอกตอนกลางวัน เศษไม้นั้นท่านจึงได้นำมาตะไบทำผงเรียกว่าผงไม้อาถรรพ์กามสูตร พ่ออาจารย์ท่านว่าพกไว้เถิดดีนักทางเสน่ห์เมตตา แม้จะปรารถนาบนบานขอลาภขอสิ่งใดก็ได้ เทพธิดาเขาย่อมช่วยเราเต็มที่ พ่ออาจารย์ท่านว่าอย่าได้ประมาทไป เห็นเช่นนี้แรงกว่าผงพรายผงผีเสียอีก เพราะเป็นของลับแลเป็นของพวกบังบด หากไม่มีวาสนาต้องกัน จะได้เกื้อหนุนกันหาอย่างใดก็หาไม่เจอและไม่มีวันได้ครอบครอง

    - ผ้าเช็ดหน้าขุนแผน เป็นผ้าที่ครูบาวัง วัดบ้านเด่น ทำวิชาอาถรรพ์ลงมนต์วิเศษเอาไว้ พ่ออาจารย์ท่านว่าครูบาวังนั้นเป็นตำนานของวิชาม้าเสพย์นางเลยก็ว่าได้ แต่เหนือกว่าวิชาม้าเสพย์นางก็คือการทำผ้าเช็ดหน้านี้ ถ้าให้เปรียบกันก็ดุจว่าเป็นยอดวิชา ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านเรียกของท่านเองว่าผ้าเช็ดหน้าขุนแผน เป็นผ้าธรรมดาไม่ใช่ผ้าผีหรือผ้าห่อศพแต่อย่างใด แต่เป็นผ้าอาถรรพ์วิชาที่ใช้ซับพระพักตร์พระเจ้าหรือพระพุทธรูป 108 องค์ ก่อนนำมาลงอักขระกระทำวิชาปลุกเสก แม้ผู้ใดได้พกได้ใช้ก็จะมีสง่าราศีดุจขุนแผนทีเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่าวิชาผ้าเช็ดหน้านี้เป็นวิชาที่ครูบาวังท่านหวงแหนมาก ถึงขนาดว่าไม่แม้แต่จะทำบ่อยหรือถ่ายทอดให้ใครเลยทีเดียว ท่านว่าเพราะเป็นมหาเสน่ห์ใหญ่ เป็นมหาเมตตาใหญ่ จะเป็นอันตรายแก่ชนทั้งผองด้วยผู้ใช้ควบคุมอารมณ์ปรารถนาไม่ได้ พ่ออาจารย์ท่านจึงได้ทำการพลีขออนุญาติครูบาวังนำผ้าเช็ดหน้าสำคัญผืนนี้ที่ท่านได้ตกทอดมา ทำการตัดและแปะลงไปที่องค์พระขุนแผนออกศึกของท่านทุกองค์ พ่ออาจารย์ท่านว่าอย่าดูถูกแม้จะเป็นผ้าผืนเล็กๆ แต่ก็มีฤทธิ์เสมอกับผืนใหญ่ที่สมบูรณ์นั่นเลยทีเดียว ท่านว่าผ้าอย่างนี้พลิกแผ่นดินก็หาไม่เจอ


    คาถาบูชา
    นะนะนะ นะมะอันยัง สาระสาติ สาลิสาตัง ปิยังมะมะ นะพุทธังเทพรัญจวนปั่นป่วนจิต นะจงงงโมจังงัง พุทธหลงไหลอ่อนระทวยไปทั้งกายา ธาท้าวพญาเสน่หารักใคร่ ยะหญิงสาวแก่แม่หม้าย ร้องไห้มากอดรัดมัดสวาทติดพิศวาทจับใจ หลงไหลแนบเนื้อ โมธัมมังเห็นหน้ากูนั่งนิ่งอยู่ไม่ได้ ร้องไห้มาหากู


    พ่ออาจารย์ท่านได้ทำการกดพิมพ์เบิกฤกษ์ไว้และทำการเสกมาเรื่อยๆโดยเน้นฤกษ์เสน่ห์และฤกษ์เศรษฐีทั้งหมด ประกอบกับฤกษ์เสาร์ห้าที่ผ่านมาพ่ออาจารย์ท่านก็นำมาเสกครบทุกฤกษ์ ท่านว่าท่านได้แต่เชิญครูบาอาจารย์มาเสกเพราะท่านไม่มีอะไรที่จะเสกเข้าหรือแทรกซึมลงไปได้แล้วนอกจากเจริญเมตตาแผ่ออกไป นื่องจากพระรุ่นนี้ครูท่านทำให้เองทั้งหมด เรียกว่าเป็นพิธีการของโลกทิพย์เลยทีเดียว และท่านก็ถือโอกาศในฤกษ์เสาร์ห้านั้น นำพระขุนแผนออกศึกมาเจิมด้วยน้ำมันช้างผสมโขลงทีละองค์อีกด้วย


    ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านได้สร้างพระเจ้าเหยียบเมืองประจัญบานฝังงั่งล่อฟ้า(ขุนแผนออกศึก)นี้ไว้ทั้งหมด 8 องค์ โดยท่านได้นำไปมอบให้แก่บุคคลที่มีเชื้อสายสำคัญซึ่งร่วมทำบุญมาหนึ่งองค์ ตลอดจนท่านเก็บไว้เองหนึ่งองค์ ดังนั้นจึงเหลือให้ร่วมทำบุญทั้งหมด 6 องค์นั่นเอง


    * เปิดจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าพระของท่านนั้นเป็นพระพิมพ์ชาวบ้าน รูปทรงแปลกตา แต่จะไปสะกดความรู้สึกของผู้ที่มีวาสนาต้องกันด้วยว่าองค์พระนั้นมีเจ้าของทุกองค์ ถ้ามีวาสนาต้องกันก็จะได้ไปบูชา สำหรับผู้ที่สั่งจองนั้นท่านให้แจ้งชื่อนามสกุลมาด้วย เพราะท่านจะทำการเจิมบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในให้อีกคำรบหนึ่ง รายได้จากการบูชาร่วมสมทบทุนการศึกษาเด็กยากไร้ต่อไป


    ร่วมทำบุญบูชา พระเจ้าเหยียบเมืองประจัญบานฝังงั่งล่อฟ้า(ขุนแผนออกศึก) บูชา 4,000 บาท

    C3925353-5.jpg 7_B1.jpg image.jpg SAM_5294.jpg SAM_5295.jpg vessandorn.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2017
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    วันนี้วันหยุด ส่งของไม่ได้นะครับ;)
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    การจุติหลังกึ่งพุทธกาล
    หลายๆคนคงทราบ หรือเคยทราบว่ายุคหลังกึ่งพุทธกาลนี้เป็นยุคที่เทพเจ้าทั้งหลาย ต่างเร่งกันลงมาสร้างบารมี เพื่อทะนุบำรุงรักษาพระศาสนาของสมเด็จพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น และเพื่อช่วยเหลือเหล่ามหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายสร้างบารมีให้สำเร็จกิจตามมโนปณิธาน วันนี้ก็จะนำตำนานการจุติหลังกึ่งพุทธกาลมาให้อ่านกันนะครับ

    ...... ณ เทวสภา อันเป็นที่ประชุมของเหล่าเทพพรหมทั้งหลาย ครั้งเมื่อถึงวันพระใหญ่ 15 ค่ำ องค์พระอินทร์จะได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในที่ประชุม เพื่อแจ้งข่าวการทำบุญของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในชมพูทวีป

    - ครั้งนั้นเป็นเวลาเกือบกึ่งพุทธกาลแล้ว โลกธาตุทั้งหลายมีความวุ่นวายเพราะสรรพสัตว์หมกมุ่นในการทำบาปกรรมแลกิเลสตัณหาทั้งปวง องค์สมเด็จพระอัมรินทราธิราช ทรงตรัสขึ้นว่า


    " ในเวลานี้ เหล่าพระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต่างเร่งรุดลงจุติยังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยดับทุกเข็ญ และความเร่าร้อนแห่งบาปกรรมตัณหาทั้งหลายที่ทวีตัวขึ้นนี้ แต่ละพระองค์ต่างตั้งปณิธานในการสร้างบารมีและช่วยสืบสานต่อให้พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า คงอยู่ครบถ้วน 5,000 ปี บัดนี้ถึงเวลาของเหล่าเทพพรหมทั้งหลายผู้ได้เสวยสุขในสรวงสวรรค์แห่งนี้แล้วที่จักได้กระทำกิจอันทำได้ยาก คือการละความสุขปัจจุบันเพื่อประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป

    ..........เราจักขอเชิญชวนเหล่าท่านเทพและพรหมทั้งหลาย ได้อาสาจุติลงยังมนุษยโลกเพื่อประกอบกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อธำรงพระพุทธศาสนาให้เข้มแข็งและเพื่อช่วยส่งเสริมเหล่าพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายให้ได้สร้างบารมีจนสำเร็จ แต่กิจครั้งนี้ท่านทั้งหลายต้องมีความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อท่านจุติลงแล้ว เทพฤทธิ์ทั้งหลายก็หมดสิ้น ความทรงจำทั้งปวงเป็นศูนย์ ทั้งต้องลงไปเพื่อเสี่ยงบารมีในการต่อสู้กับกิเลสและเหล่ามารทั้งหลายที่จะหลอกล่อท่านไปในทางมืดดำอันจะทำให้ท่านสิ้นสุขไปอีกนานทีเดียว ที่สำคัญ ท่านต้องไปเสวยทั้งบุญและบาปอันทำมาแล้วในภพน้อยใหญ่ทั้งหลาย แต่ในความเสี่ยงนี้ท่านก็ยังมีโอกาสในการประกอบกุศลกิจ บำเพ็ญบารมี อันจักนำท่านกลับคืนสู่สถานสุขแห่งนี้ หรือสูงยิ่งขึ้นไป บัดนี้ขอท่านทั้งหลายได้ตึกตรองกันดูเถิด"


    ทันทีที่พระองค์ตรัสจบลง ก็ต่างมีเทพพรหมมากมายอาสาลงจุติเพื่อประกอบกิจอันสำคัญนี้ในทันที บางพระองค์ก็นำข่าวนี้ไปแจ้งแก่เหล่าเทพบริวาร แล้วก็มีผู้อาสาลงจุติอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนท่านที่ไม่ได้ลงจุติแต่มีความเกี่ยวพันกันด้วยความเป็นพ่อแม่ ครูอาจารย์ พี่น้อง ต่างก็ช่วยกันดูแลผู้ลงจุติ เพื่อให้ทำกิจนี้ให้สำเร็จ คอยตักเตือนกันในรูปแบบต่างๆ ทั้งคอยชักจูงกัลยาณมิตรให้มาชวนกันกระทำความดี ละความชั่ว คอยผลักเดินให้อยู่ในหนทางการรักษาพระพุทธศาสนา ที่สำคัญคือช่วยส่งเสริม ปกป้อง เสริมกำลังใจ ให้พระมหาโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญบารมีได้สูงสุด แต่บางท่านอาจจะเกินวาระกรรมโดนชักจูงสู่หนทางแห่งมารแล้วกตกลงสู่อบายไปอย่างน่าเสียดาย

    ใครมีหน้าที่ ...ก็ถึงเวลาทำหน้าที่ ที่เคยตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ เมื่อถึงกาลเวลาในเเต่ละหน้าที่ แต่ละความตั้งมั่น แต่ละความปรารถนาที่จะเป็น..ให้ทุกกิจนั้นสำเร็จโดยสัมมาทิฐิด้วยเทอญ


    5_Lord-_Buddha.jpg
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ตอบ PM ครบแล้วนะครับ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลงสาระให้ต่อนะครับ ติดตามๆ;)
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ เดี๋ยววันนี้ส่งของแล้วมาติดตามกันต่อนะ
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่พรศักดิ์ ER 8323 7970 6 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ ER 8323 7971 0 TH

    พี่วันชัย ER 8323 7972 3 TH
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    วันนี้ก็ตอบ PM ครบนะครับ ขอติดสาระความรู้ไว้พรุ่งนี้แทน;)
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์นะครับ วันนี้ก็มาพูดคุยกันสบายๆต่อ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเห็นหลายวัด หลายครูบาอาจารย์ยิ่งเป็นทางภาคเหนือ นิยมจะสร้างสี่หูห้าตากันอยู่มาก บางที่ก้ทำเป็นรูปลิงมองดูไกลๆคล้ายหนุมาน เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นหรือมีบูชากันอยู่บ้าง วันนี้ก็จะนำประวัติหรือนิทานของสี่หูห้าตานี้มาลงให้อ่านกัน อันแมงสี่หูห้าตานี้ตามตำนานเค้าว่าเป็นพระอินทร์จำแลงนะครับ

    กาลครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มกำพร้าผู้หนึ่งฐานะยากจนขัดสนมาก แต่ยังมีที่ทำกินเพียงน้อยนิดไว้สำหรับปลูกข้าว มีอยู่
    ปีหนึ่งดูเหมือนว่าฝนฟ้าจะไม่เป็นใจให้ชายหนุ่มมากนัก ต้นข้าวที่ปลูกไว้แห้งตายมากพอสมครว แต่ยังเหลืออยู่บ้าง

    มี พระอินทร์ผู้ศักดิ์สิทธิ์อยากจะลงมาช่วยเหลือชายหนุ่มกำพร้า พ่อ แม่ ให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก จึงแปลงร่างปรากฎเป็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้มาทำลายต้นข้าวที่ยังเหลืออีก ส่วน บังเอิญชายหนุ่มซึ่งได้มาพบเจออันข้าวที่ถูกทำลายก็เกิดความโมโหขึ้นมา ทันทีคิดจะฆ่าสัตว์ตตัวนี้ แต่ก็ไม่มีอาวุธใดและพยายามหาวิธีจะกำจัดให้พ้นๆไปแต่ก็ไม่รู้จะทำด้วยวิธี ใดอีกระยะเวลาผ่านไปจนกระทั่ง ชายหนุ่มจับสัตว์ประหลาดได้จึงพามายังที่พักเป็นกระท่อมหลังเล็กๆได้ผูกไว้ ติดกับต้นเสา พอตกเย็นใกล้จะถึงหัวค่ำชายหนุ่มก็ได้นำอาหารที่มีอยู่ตามประสาคนจนพอมีพอ กินและให้อาหารสัตว์ตัวนั้น มันก็ไม่ยอมกินอาหารแต่อย่างใดแต่มันทำตัวเหมือนว่ากำลังหนาวจัดคงต้องการ ความอบอุ่นมาก ชายหนุ่มจึงหาฟืนแล้วก็ก่อไฟให้มันจนระยะเวลาผ่านไปชายหนุ่มรู้สึกง่วงนอน มากจึงคิดจะกลับไปนอนพักผ่อน พอหันมาอีกทีเห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังจับถ่ายไฟที่ร้อนจัดกินเข้าไป อย่างไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

    จน กระทั่งชายหนุ่มได้เผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็สว่างพอดีและยังรู้สึกงงอยู่มากที่ได้พบสัตว์ประหลาดตัว นี้ แต่ยังพบความแปลกประหลาดไปมากกว่านั้นอีกที่ชายหนุ่มต้องตกตลึงตกใจมาก เมื่อสัตว์ประหลาดนั้นกินถ่านไฟ ซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อนและยังขับถ่ายออกมาเป็นทองคำแท้อีกชายหนุ่มจึงเก็บไป ขายทำให้ร่ำรวย มีฐานะดีขึ้นมาเรื่อยๆ...

    ชาย หนุ่มจึงกลับ มาทบทวนความคิดอีกครั้ง...เออ!.!..ดีนะที่เราไม่ได้จัดการฆ่าสัตว์ประหลาด ตัวนั้นไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนี้
    แสดง ให้เห็นว่าชายหนุ่มกำพร้าผู้นี้ก็ยังมีความเมตตาอยู่บ้างถึงแม้ต้นข้าวที่ ถูกทำลายจนเกิดความเสียหายจนโมโห แต่ก็ยังคิดจะละเว้นชีวิตสัตว์ตัวนั้น

    นิทาน เรื่องนี้ ได้ข้อมูลอ้างอิงมาจากเรื่องเล่าของหลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงค์) อยากให้ทุกคนหมั่นรักษาศีล ภาวนาให้มากๆและมีพรหมวิหาร4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าคนเรายึดถือเหล่านี้ได้ ชีวิตเราจะพบแต่ความสุขตลอดกาล สาธุ


    ส่วนในอีกตำนานหนึ่งเค้าก็เล่าสืบมาแบบนี้

    วรรณกรรมจากคัมภีร์ใบลานของล้านนา และจากนิทานมุขปาฐะที่ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมา มีจำนวนมากมายที่ให้ทั้งความเพลิดเพลินและได้สาระจากคติธรรมคำสอนหรือข้อคิดที่โบราณาจารย์ได้สอดแทรกไว้ นิทานเรื่อง "แมงสี่หูห้าตา" เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่แพร่หลายมาก เป็นที่รู้จักกันดี ชาวบ้านที่เล่ามักบอกว่าเป็นเรื่องที่แสดงเหตุที่มาว่าทำไมผู้ชายจึงรักเมียน้อยมากกว่าเมียหลวง

    คำว่า "แมง" นอกจากจะใช้เป็นคำนำหน้าสัตว์เล็ก ๆ แล้ว ยังใช้เป็นคำนำหน้าสัตว์ใหญ่ ๆ ในเชิงตลกขบขันได้อีกด้วย "แมงสี่หูห้าตา" เป็นสัตว์ใหญ่คล้ายหมี มีหู ๔ หู มีตา ๕ ตา ในความเป็นจริงไม่ปรากฏสัตว์ประเภทนี้ในโลก แต่มีเรื่องเล่าในล้านนามาแต่โบราณกาล และมีการบันทึกในรูปแบบของวรรณกรรมลายลักษณ์ในเอกสารประเภทใบลาน ซึ่งมีปรากฏให้พบเห็นตามวัดโดยทั่วไป ตัวอย่างของเรื่องนี้ได้เนื้อความจากคัมภีร์ใบลานชื่อ "ธัมม์สี่หูห้าตา" ของวัดแช่ช้าง ตำบลแช่ช้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจารด้วยอักษรธรรมล้านนา จำนวน ๑ ผูก (๖๑ หน้าลาน) ผู้จารคือ "พิมมสารภิกขุ" เมื่อจุลศักราช ๑๒๗๖ (พ.ศ. ๒๔๕๗) ความในคัมภีร์ดังกล่าว กล่าวถึงเรื่องแมงสี่หูห้าตาโดยสังเขปดังนี้

    มีเมือง ๆ หนึ่งชื่อเมือง "พันธุมติ" กษัตริย์ผู้ครองเมืองชื่อ "ท้าวพันธุมติ" ซึ่งมีมเหสีอยู่ ๗ องค์ ทิศเหนือของเมืองนี้มีครอบครัวหนึ่งมีสามพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ สองสามีภรรยาเป็นยาจกมีบุตรชายคนเดียว เมื่อบุตรมีอายุ ๗ ขวบ มารดาสิ้นชีวิตลง ต่อมาเมื่ออายุ ๑๑ ขวบบิดาก็สิ้นชีวิต ก่อนสิ้นใจบิดาได้สั่งเสียว่าให้เอาศพฝังไว้ใกล้ ๆ กระท่อม นานเข้าศีรษะของบิดาก็จะหลุดให้นำเอาศีรษะไปสักการะบูชาทุกค่ำเช้าถ้าอายุครบ ๑๖ ปี ให้ผูกศีรษะนั้นลากไปสู่นครพันธุมติ ซึ่งมีภูเขาอยู่ หากศีรษะไปติดข้องที่ใดให้ทำแร้วเป็นกับดักสัตว์ที่นั้น

    เมื่อบิดาสิ้นชีวิตบุตรชายได้ฝังศพไว้ใกล้กระท่อมแล้วไปขออาศัยอยู่กับลุงซึ่งเป็นนายจ่าบ้าน โดยอาศัยเลี้ยงวัวหาฟืนให้เป็นสิ่งตอบแทน จนอายุได้ ๑๖ ปี จึงได้ทำตามที่บิดาสั่งไว้โดยลากศีรษะบิดาไปสู่นครพันธุมติจนไปถึงภูเขา เมื่อลากศีรษะขึ้นภูเขาไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่งศีรษะไปติดข้องอยู่ปากถ้ำ จึงทำแร้วดักสัตว์ใหญ่ ณ ที่นั้นแล้วกลับบ้าน

    รุ่งเช้าเขาไปดูแร้วที่ดักไว้ ปรากฏว่ามีสัตว์ใหญ่ติดอยู่สัตว์นั้นรูปร่างคล้ายหมีมีหูสี่หู มีดวงตาห้าดวง เขาได้ตัดเอาเถาวัลย์ผูกสัตว์นั้นนำกลับมาบ้าน แล้วหาสิ่งกำบังอย่างมิดชิด จากนั้นไปหาหญ้าและใบไม้มาให้กิน สัตว์สี่หูห้าตาไม่ยอมกินเอาแต่นอนหลับ ตกกลางคืนเขาก่อไฟผิง บังเอิญสะเก็ดถ่านไฟกระเด็นออกนอกกองไฟ แมงสี่หูห้าตาก็กินถ่านไฟเป็นอาหาร เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงหาฟืนมาเผาแล้วเอาถ่านไฟให้กินเป็นจำนวนมาก รุ่งเช้าแมงสี่หูห้าตาถ่ายมูลออกมาเป็นทองคำ
    เมื่อพบว่าแมงสี่หูห้าตากินถ่านไฟแล้วถ่ายเป็นทอง เขาจึงหาถ่านไฟให้กินเรื่อยๆ แมงสี่หูห้าตาก็ถ่ายออกมาเป็นทองคำจำนวนมาก เขานำทองที่ได้ไปฝังไว้ทุกวัน

    กล่าวถึงท้าวพันธุมติผู้ครองนครมีราชธิดาองค์หนึ่งชื่อ "สิมมา" อายุได้ ๑๖ ปี มีรูปโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของบรรดากษัตริย์หัวเมืองต่างๆ และมีหลายเมืองต่างส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายเพื่อขอราชธิดาไปเป็นมเหสี ท้าวพันธุมติรู้สึกลำบากใจ จึงหาทางออกโดยกำหนดเงื่อนไขไว้ว่าหากเจ้าเมืองใดสามารถสร้างลินคำ (รางน้ำทองคำ) ตั้งแต่เมืองของตนมาจนถึงวังของราชธิดาได้ก็จะยกราชธิดาให้เจ้าเมืองนั้น เงื่อนไขนี้ไม่มีเจ้าเมืองใดสามารถทำได้

    ฝ่ายชายกำพร้าผู้ยากได้ทราบข่าว จึงไปขอให้ลุงไปทูลราชธิดาของท้าวพันธุมติ ส่วนลุงก็ได้แต่เวทนา วันหนึ่งมีพ่อค้าชาวจีนฮ่อกลุ่มหนึ่งมาพักแรมที่บ้านชายนั้น เขาจึงได้ว่าจ้างให้พ่อค้าเหล่านั้นสร้างลินคำตั้งแต่บ้านตนจนไปถึงวังของราชธิดาสิมมาจนสำเร็จภายในคืนเดียว

    รุ่งเช้าท้าวพันธุมติเห็นลินคำเป็นอัศจรรย์ ก็ให้เสนาอำมาตย์ติดตามไปดู เมื่อพบว่าเจ้าของเป็นใครจึงจัดขบวนแห่ไปรับเอาชายเข็ญใจไปเป็นราชบุตรเขย เมื่ออภิเษกให้เป็นคู่ครองราชธิดาสิมมาแล้ว จึงไต่ถามว่าได้ทองคำมาอย่างไร เขาจึงเล่าเรื่องแมงสี่หูห้าตาให้ฟัง ท้าวพันธุมติจึงให้เสนาไปขุดทองในสวนมาไว้ในพระคลังให้หมดและให้ราชบุตรเขยไปนำแมงสี่หูห้าตามา เขาก็ไปจูงเอามาแต่เมื่อจูงมาชาวเมืองต่างมามุงดู แมงสี่หูห้าตาก็ตกใจวิ่งหนีกลับไปอยู่ถ้ำตามเดิม ท้าวพันธุมติก็ให้ตามเอามาอีก คราวนี้ชาวเมืองต่างมามุงดูเป็นจำนวนมากขึ้น แมงสี่หูห้าตาก็ยิ่งตกใจวิ่งหนีไปอีกท้าวพันธุมติเห็นดังนั้นจึงวิ่งไล่ตามจับจนเลยเข้าไปในถ้ำ ครั้งนี้หินถล่มลงปิดปากถ้ำไว้ โดยที่เสนาวิ่งตามไม่ทันทำให้ท้าวพันธุมติถูกขังอยู่ในถ้ำกับแมงสี่หูห้าตา

    ท้าวพันธุมติถูกขังอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายวันเพราะไม่มีทางออก มีเพียงรูเล็ก ๆ โดยใช้ตาข้างเดียวแนบส่องดูภายนอกได้เท่านั้น ท้าวพันธุมติคิดในใจว่าตนคงต้องตายในถ้ำนี้แน่นอน คงไม่มีโอกาสอยู่กับมเหสีอีก จึงสั่งเสนาไปตามมเหสีทั้งเจ็ดมา เมื่อมเหสีมาแล้วพระองค์จึงขอให้เปิดผ้าถุงให้ดูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย มเหสีตั้งแต่ลำดับที่ ๑ ถึง ๖ ไม่ยอมเปิดผ้าถุงเพราะความอาย แต่มเหสีองค์ที่เจ็ดรู้สึกเห็นใจ จึงยอมเปิดผ้าถุงให้ดู ทันใดนั้นถ้ำอดหัวเราะไม่ได้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาปากถ้ำจึงเปิด พระยาพันธุมติได้โอกาสจึงวิ่งหนีออกมาได้

    เมื่อกลับมาถึงเมือง ท้าวพันธุมติได้อภิเษกให้บุตรเขยเป็นกษัตริย์ครองเมืองแทน จนถึงอายุขัยพระองค์ก็ถึงแก่พิราลัยบุตรเขยผู้เป็นกษัตริย์ได้ครองเมืองโดยธรรม และได้สร้างโรงทานถึง ๖ หลัง เพื่อให้ทานแก่ยาจกคนยากไร้ จากนั้นได้เทศนาสั่งสอนเสนาอำมาตย์และชาวเมืองให้ตั้งอยู่ในธรรมมีมรรคแปดเป็นต้น ชาวเมืองพันธุมติก็ดำรงชีพตามวิสัยอย่างสงบสุข

    เรื่องราวที่มเหสีองค์เล็กเปิดผ้าถุงให้ท้าวพันธุมติดูเป็นเหตุให้สามีทั้งหลายรักเมียน้อยมากกว่าเมียหลวง และถ้ำดังกล่าวได้ชื่อว่า "ถ้ำยุบ" ตั้งแต่นั้นมา ความตอนนี้ในคัมภีร์กล่าวว่า "ส่วนถ้ำอันนั้น ก็ได้ชื่อว่าถ้ำยุบว่าอั้น ตราบต่อเท้าเถิงกาละบัดนี้แล ส่วนท้าวพระยาทังหลายก็ลวดรักเมียปลายเหลือกว่าเมียเค้าตราบต่อเท้าเถิงกาละบัดนี้แล"

    ในแง่ของความเป็นมาเรื่อง "แมงสี่หูห้าตา" นี้มีข้อน่าสังเกตสองประการ ประการแรกอาจเป็นนิทานชาวบ้านที่เรียกว่า "เจี้ย" เล่าสืบต่อกันมาจนได้รับความนิยม ต่อมามีนักศาสนานำมาเขียนผูกโยงกับคำสอนทางศาสนาเพื่อดึงดูดความสนใจ ประการที่สองมีการเขียนลงในใบลานมาก่อน แล้วพระนำมาเทศนาธรรม ชาวบ้านก็ได้จดจำมาเล่าสู่กันฟัง ทั้งสองประการนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการถ่ายทอดทั้งโดยมุขปาฐะและลายลักษณ์ในสังคมพื้นบ้านล้านนามาช้านาน
    ความประทับใจของชาวล้านนาต่อนิทานเรื่องนี้ ทำให้ได้มีการสร้างรูปปั้นของแมงสี่หูห้าตาไว้ที่วัดดอยถ้ำเขาควาย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และชื่อเมือง "พันธุมติ" ก็เกี่ยวโยงกับชื่อเก่าแก่ของเมืองเชียงรายด้วย


    300px-4ear5eye.jpg
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่สิทธิศักดิ์ ER 8323 4121 5 TH

    พี่วิศณุกร ER 8323 4122 9 TH
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ใครจะฝากคถามอะไร ก็ PM ฝากไว้นะครับเดี๋ยวรีบดำเนินการให้
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    เดี๋ยวพรุ่งนี้มาติดตามกันนะครับ ห้ามพลาด;)
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    เดี๋ยวสายๆมาพูดคุยกันนะ
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    พูดคุย

    ช่วงนี้ก็แปลกๆ มีคนจองตะกรุดเวทย์สวรรค์กันเข้ามาเรื่อยๆและเริ่มมีคนถามหาแต่ค่อนข้างถี่ บางครั้งเราก็จำได้ว่าเป็นคนเดิม สั่งแล้ว สั่งอีก แล้วก็สั่งอีก จนวันนี้ได้มีโอกาสที่เค้านัดรับตะกรุดแล้วพอดีเราว่างจึงได้นำไปส่งไม่ได้รอส่งไปรษณีย์ เลยอาศัยโอกาศนี้ได้ถามว่าเอาไปทำอะไรหลายดอก เค้าก็ว่าเอาไปเผื่อลูก เผื่อภรรยา เผื่อพี่ชาย พี่เค้าว่ากับตะกรุดเวทย์สวรรค์นี้เค้าจะทยอยเช่าไปเรื่อยๆจนคนในครอบครัวเค้ามีกันครบทุกคน

    ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจและคิดว่าต้องมีอะไรในกอไผ่นะ ปกติที่เห็นจองกันก็จะครอบครัวล่ะดอก แต่กับพี่ท่านนี้กับระบุว่าต้องการให้ทุกคนในครอบครัวมีไว้คนละดอก เค้าว่าที่ผมทยอยสั่งเพราะเกรงใจพ่ออาจารย์ท่าน ให้ท่านค่อยๆทำไปสบายๆไม่เร่ง ดีกว่าสั่งลงตูมเดียว

    เราก็ถามว่าแล้วดอกที่เช่าบูชาไปนั้นเป็นยังไงบ้าง โอเคมั๊ย พี่เค้าว่าก็โอเค โอเคมากเลย ตามที่เราบอกเขาแต่แรกว่าให้ขอ ตั้งใจขอ ขอเรื่องสำคัญไม่ใช่ขอสะะเปะสะปะ และขอได้เรื่อยๆ จงศรัทธาในคำขอและอย่าหยุดที่จะขอจนกว่าจะได้รับ เค้าว่าตอนนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะผมขอจนมีทุกอย่าง เราก็นั่งคุยขออะไรมีทุกอย่าง จนถามจึงรู้ว่าส่วนใหญ่พี่แกจะของานขอเงินอย่างเดียวเท่านั้นพี่เค้าว่าผมไม่ขอไปเรื่อย เพราะผมรู้ว่าเมื่อมีเงินมันจะมีทุกอย่าง พอได้มาแล้วก็จะเปลี่ยนเงินเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เค้าว่าผมใช้ชีวิตต่างกันเยอะก่อนมีตะกรุดเวทย์สวรรค์กับหลังมีตะกรุดเวทย์สวรรค์ เราก็ถามว่าต่างยังไง พี่เค้าว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่งจริงมั๊ยกรณ์ นี่แหละแรร์ไอเท็ม เราก็คิดตามก่อนตอบว่าถ้าทางโลกก็คงแบบนั้น แต่มันก็ไม่แน่นอนอยู่ดี ถึงมีเงินก็อาจจะเสียใจหรือผิดหวังเรื่องอื่นๆได้ แค่คิดว่าโอกาสเวลาทำอะไรมีมากกว่าคนอื่นนะประมาณนี้

    ก็นั่งให้พี่เค้าเลี้ยงน้ำนั่งคุยซักพักถึงได้กลับ ในความรู้สึกผมที่คุยๆกับหลายคนซึ่งบูชาตะกรุดเวทย์สวรรค์ไป ส่วนใหญ่ ต้องเรียกว่าส่วนใหญ่จริงๆก็ไม่ได้ไปรู้กับเค้าว่าขอกันยังไงขอกันเรื่องเดิมทุกวันมั๊ย แต่จะเอามาเล่าให้เราฟังเฉพาะเวลาเจอโชคใหญ่ๆ ไม่ใช่ความโชคดีจิปาถะ ก็อย่างที่ว่าตะกรุดเวทย์สวรรค์นั้นเป็นตะกรุดดอกเขื่องใหญ่โต มีน้ำหนักมาก จึงไม่มีใครนิยมพกกัน ส่วนใหญ่จะตั้งบูชาในเคหะสถาน เรียกว่าคนสูงเกิน 170 ถ้าพกยังรู้สึกหน่วงๆ แถมยังมีข้อจำกัดต้องไว้ในที่สูงต่ำกว่าเอวไม่ได้เพราะเป็นของสูงมากๆ แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น เห็นพี่ๆบางคนที่รักจะพกกันจริงๆบอกว่าเอาไว้บ้านหรือห่างตัวแล้วไม่มั่นใจ ใจคอไม่ดี คนเหล่านี้เค้าจะหากระเป๋ามาใส่เดินถือไปถือมาชนิดว่าไปไหนไปด้วยทีเดียว

    ตะกรุดนี้นอกจากเรื่องขอแล้ว ก็มีเรื่องแปลกอีกอย่างเหมือนกัน นั่นคือหายได้เอง ทำลายตัวเองก็ได้ จากที่ฟังหลายคนพูดคือ หากขอสิ่งที่เกินไปบ่อยๆตะกรุดจะอันตรธานหายไปเลยก็มี บางคนก็ว่าพอหายไปสักพักก็กลับมาอยู่ที่เดิมนี่คือในกรณีที่โชคดี แต่บางคนหายถาวรก็มี บางรายหนักหน่อยถึงกับตัวตะกรุดหลอมละลายเป็นกองตะกั่วเพราะอุบัติเหตุต่างๆก็มี กันับว่าเป็นเรื่องแปลกๆเกี่ยวกับตะกรุดเวทย์สวรรค์ วันนี้ก็หยิบมาพูดมาเล่าให้กันฟัง


    ผมเชื่อว่าคนที่มีไว้บูชาน่าจะมีลิมิตในการขอ คำว่าขอจนกว่าจะได้รับมันก็บอกเป็นนัยน์ๆแล้วว่าเอาไว้ขอเรื่องสำคัญ ขอซ้ำๆ อย่าหยุดขอจนกว่าจะได้รับ ไม่ใช่ขอจิปาถะ วันละร้อยเรื่อง เชื่ออย่างยิ่งว่าเทวดาหรือครูบาอาจารย์ที่รักษาวิชาหรือสถิตย์ในตะกรุดนั้นท่านก็คงไม่อยากอยู่ด้วยแน่นอน

    image.jpg
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    มีถามและฝากคำถามกันเข้ามาเยอะ ว่าพอจะมีตะกรุดแบบตะกรุดเวทย์สวรรค์ แต่เบาๆขนาดเล็กๆพอห้อยคอได้มั๊ย ก็เอาไว้ติดตามกันนะครับ;)
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้เดี๋ยวส่งของให้และมาพูดคุยกันต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...