วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จะเห็นว่าในความง่ายมีความละเอียดปรากฏอยู่ด้วย หากจิตเราละเอียดพอ

    จากนั้น

    เราก็พิจารณาในอารมณ์ของการแผ่เมตตาให้จิตของตนเองโดยการให้จิตของเราถูกหล่อเลี้ยงด้วยบุญอันเป็นอารมณ์ของ ความสุข กุศล ปิติ ความอิ่มเอมใจ ซึ่งในการแผ่เมตตานี้หากเรากำหนดอารมณ์ได้อิ่มเต็ม ชุ่มชื่นได้มากเท่าไร จิตเราเองก็จะยิ่งมีกำลังในการแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นได้มากเท่านั้น

    อุปมาดังเราเองหากมีทรัพย์มากก็ย่อมแจกจ่ายกระจายทานออกไปทั่วถึง แต่การแผ่เมตตานี้ก็คือการรำลึกถึงบุญกุศลที่เรราสร้างบำเพ็ญมา และกำหนดให้รวมตัวกันมาหล่อเลี้ยงดวงจิตให้ปรากฏปิติความอิื่ิมเอมใจอย่างเต็มที่จนล้น

    จากนั้นเราจึงกำหนดให้บุญที่เราแผ่นี้เป็นรัศมีสีทองจากดวงจิตของเราออกไปยังทุกๆดวงจิตรอบๆ ตัวเรา กระจายออกไปเรื่อยๆจนสุดหมื่น โลกธาตุ ตลอดจน ทั้งสามภพภูมิ

    -การตั้งจิตในกุศลในบารมีที่บำเพ็ญ นั้น ประกอบไปด้วยการตั้งในบารมีทั้งสามสิบทัศนฺ์ การทรงกรรมฐานใน ทาน และจาคะ อนุสติ อันมีอานิสงค์นับแต่สวรรค์สมบัติ(จากการให้ทาน) ไปจนถึงนิพพานสมบัติ(จากอารมณ์จิตในการให้เพื่อละวางกิเลสความโลภ และการยึดมั่นถือมั่น)

    -การเจริญเมตตานั้นเป็้นการทรงอารมณ์ใจในพรหมวิหารสี่ อันมีอานิสงค์สูงมากมายมหาศาล
    เป็นผู้ตื่นเป็นสุข ใจสบาย จิตสบาย
    เป็นผู้หลับเป็นสุข ฝันเป็นศุภนิมิตรอันดีงาม
    เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งปวง
    เป็นที่รักของเทวดา พรหม
    เป็นที่รักของ อมุษย์(จากบุญที่เราแผ่ให้ ปรับภพภูมิให้และจะไม่ทำอันตรายเรา)
    ไม่เป็นอันตรายจากศาสตราวุธทั้งปวง
    ไม่เป็นอันตรายจากน้ำ ไฟ ลม ธรณี
    ไม่เป็นอันตรายจากยาพิษ
    หล่อเลี้ยงฌานสมาธิให้ตั้งมั่น
    หล่อเลี้ยงศีลให้บริสุทธิ์ (ดังนั้นจึงควรควบศีลานุสติทุกครั้งที่เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ เพื่อให้ได้อานิสงค์ของศีลเพิ่มอีก)
    ตายแล้วย่อมจุติยังพรหมโลก

    -การกำหนดรัศมีจากความเมตตาเป็นแสงสว่างสีทองกระจายออกไป เป็นอโลกสิณควบกสิณสีทอง อันมีอานิสงค์ให้เกิด ทิพยจักษุญาณ และอภิญญา

    -และด้วยอานิสงค์ของอาโลกกสิณ การปรากฏภาพของโลกธาตุ และภพภูมิทั้งหลายในจิต เป็นมโนมยิทธิ ด้วยอำนาจของทิพยจักษุญาณ


    เมื่อจิตเจริญเมตตาอัปปันณานฌานแล้ว จิตก็จะตื่นขึ้นจากภายใน สู่ จิตเดิมแท้อันประภัสสร ตื่นสู่โพธิจิตสำหรับท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิและ สามารถยกจิตสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ได้โดยง่าย เนื่องจากเห็นคุณประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์ที่จะเข้าถึงพระนิพพาน

    สำหรับบุคคลทั่วไปก็จะทำให้เข้าใจเรื่งการเสียสละเพื่อส่วนรวม

    และหากทรงอารมณ์ใจเอาไว้ได้เป็นปกติ ทั้งยามหลับ ยามตื่น จิตก็จะปรากฏความสุข ความชุ่มเย็น อยู่ตลอดเวลา กำลังใจในการสร้างกุศลจะเป็นปกติ ความคิดในการละเมิดศีลก็จะไม่มีในจิตของเรา มีแต่การเอื้อเอ็นดูสงเคราะห์กันเป็นสำคัญ

    กิเลสจะเบาบางลงไปด้วยอำนาจแห่งพรหมวิหารสี่ ด้วยเมตตาเจโตวิมุติ การบรรลุหลุด พ้นด้วยจิตอันเจริญเมตตา

    ในขณะจิตอารมณ์นี้ เราสามารถพิจารณาตัดสังโยชน์สิบ เป็นการเจริญวิปัสสนาญาณไปเลยก็ได้

    แต่เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

    เราก็เอากำลังของเมตตาฌานนี้ มาอธิฐานจิต ในฌานสมาธิ

    ในการให้อภัยทานอันเป็นการอโหสิกรรมต่อหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นการตัดสายโยงใยของกรรมที่เป็นเครื่องเหนี่ยวยั้งความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมและการก่อภพชาติสืบไป

    นอกจากนั้น ยังเป็นวิปัสสนาการตัดกิเลสในสายโทสะ อัน มีความอาฆาต พยาบาท เป็นต้นให้ เล็กลง เบาลง อารมณ์แห่งความชั่วที่มีความรุนแรงบรรเทาลง ตัดลงด้วยอำนาแห่งเมตตาฌาน

    จากนั้น อธิฐานจิตขอขมากรรมต่อพระรัตนไตร พ่อแม่ เจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้กรรมที่มาตัดรอนและขัดขวางความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรม บรรเทาลงด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌาน

    นอกจากนี้ ยังทำให้จิตนอบน้อม อ่อนโยน ละ คลาย มานะทิษฐิ เพื่อที่ การปฏิบัติธรรมต่อไป พระท่านจะได้เมตตาสงเคราะห์ได้เต็มที่

    จากนั้นอธิฐานจิต ถอนคำอธิฐานมิจฉาทิษฐิและอวิชชา คุณไสยทั้งปวงออกไปจากจิตใจ เพื่อเป็นการชำระล้างจิต ให้สะอาดจากอนุสัยบางตัวที่ซ่อนลึกในจิตใจ

    จุดสำคัญคือการล้างมิจฉาทิษฐิเพื่อปรับจิตเข้าสู่สัมมาทิษฐิ


    จากนั้น

    จึงอธิฐานรวมบารมีความดีที่เราสร้าง ที่เราบำเพ็ญ กรรมฐานที่เราเคยฝึกมานับแต่อดีต ตราบจนอนาคตให้มารวมตัวกัน เพื่อให้หนุนบารมีของเราในปัจจุบันนี้ให้สูงขึ้น ท่านที่อ้างว่าไม่มีบารมีพอก็จะเข้าใจและไม่เป็นข้อติดขัด ผ่านไปได้

    นอกจากนี้ก็เป็นการรำลึกในบารมีสามสิบทัศน์ ทาน และจาคานุสติกรรมฐาน

    จากนั้นการตั้งจิตอธิฐานมหาโมทนาบุญของมวลสรรพสัตว์ทั้งปวง เพื่อให้อำนาจแห่งโมทนามัยบุญมาปรากฏนั้น

    นั่นคือการเจริญมุทิตาจิตอันไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ นั่นเอง

    ซึ่งกำลังบุญนี้จะสะท้อนไปหนุนความดีของมวลสรรพสัตว์ทั้งปวงให้สูงขึ้นไปด้วย

    จากนั้นจึงตั้งจิตอธิฐานในไตรสรณะคมม์ และการอธิฐานจิตตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ

    อันเป็นจุดเริ่มต้นในมรรคมีองค์แปด เพื่อให้ธรรมจักรแห่งธรรมเริ่มหมุนในดวงจิต เข้าสู่ธรรม

    ส่วนการตั้งไตรสรณะคมม์นั้น เป็นองค์แห่งพระโสดาบันที่จิตตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวในการยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สรณะ สูงสุดตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นการละวิจิกิจฉาให้สิ้นจากใจ

    ดังนั้นผลและอานิสงค์แห่งการปฏิบัตินั้น มุ่งปรารถนา ให้ผู้ฝึก

    -ได้ฌานสี่
    -เกิดเมตตาจิต มนุษยธรรม
    -ทรงพรหมวิหารสี่
    -มีกำลังใจและจิตสำนึกทำเพื่อส่วนรวม
    -ละความพยาบาทอาฆาตจากใจ (ซึ่งจะตัดตอนความประมาทพลั้งทำอนันตริยกรรมลงไปได้)
    -เจริญมุทิตาจิต ยินดี และโมทนาในความดีของท่านผู้อื่น
    -พลิกจิตสู่ความเป็นสัมมาทิษฐิ
    -ตั้งมั่นในไตรสรณะคมม์
    -หากเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิ็๋ก็พึงยกจิตขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อปรารถนารื้อขนสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพาน

    หากพิจารณาให้ดี ปฏิบัติให้ได้ให้ถึง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตนและต่อส่วนรวมได้มาก

    ปฏิบัติง่าย จิตสบาย อานิสงค์สูง ยังประโยชน์มากดังนี้

    "ขอท่านทั้งหลายจงพิจารณาตริตรอง ในธรรมทั้งปวงให้ถี่ถ้วน เจริญปัญญาในเมตตาสมาธิ ครั้นเล็ง เห็นประโยชน์อันพึงมี พึงเกิดขึ้น ก็ขอจงปฏิบัติให้ยิ่ง ให้ลึกซึ้งถึงจิต เพื่ออานิสงค์แห่งการปฏิบัติืที่สมบูรณ์ บริบูรณ์เต็ม

    ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาธิคุณแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ปรากฏมานับแต่อดีต ปัจจุบัน ตลอดจนที่จะปรากฏต่อไปในอนาคต ขอจงส่งผลให้ธรรมรัตนมณีโชติจงส่องสว่างกลางใจของสาธุชนทุกท่านผู้เป็นสัมมาทิษฐิและปรากฏผลอัศจรรย์แห่งการปฏิบัติได้กระจ่างใจทุกๆคนด้วยเทอญ"
     
  2. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุ อนุโมทนาค่ะ

    ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ได้เมตตาอธิบายการปฏิบัติธรรมให้ละเอียดลึกซึ้ง จนจิตได้คิดพิจารณาตามที่อาจารย์อธิบายทำให้เข้าใจในการปฏิบัติมากขึ้นค่ะ
     
  3. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    <TABLE width=750 bgColor=#fef9e9 border=0><TBODY><TR><TD align=justify></B>

    [​IMG]

    ไฟล์ สำหรับโหลด ฟัง --- แนะนำการปฏิบัติธรรม โดย อ.คณานันท์ ทวีโภค ค่ะ
    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    [FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=#4b0082][COLOR=#4b0082][FONT=Arial][IMG]http://audio.palungjit.org/images/attach/mp3.gif[/IMG] [URL="http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22970"][FONT=Verdana][COLOR=green][B]วิชชา โดยอาจารย์ คณานันท์.mp3[/B][/COLOR][/FONT][/URL][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
    [COLOR=black][B][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=#4b0082][COLOR=#4b0082][FONT=Arial][IMG]http://audio.palungjit.org/images/attach/mp3.gif[/IMG] [URL="http://palungjit.org/attachments/a.306621/"][FONT=Arial][B][COLOR=darkgreen]เมตตาอัปมาณฌาณ โดย อ.คณานันท์[FONT=Lucida Sans Unicode].mp3[/FONT][/COLOR][/B][/FONT][/URL][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/B][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=#4b0082][COLOR=#4b0082][FONT=Arial][B][IMG]http://audio.palungjit.org/images/attach/mp3.gif[/IMG] [/B][URL="http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22959"][SIZE=3][FONT=Lucida Sans Unicode][COLOR=green][B]01-อานาปานสติ-ภาคเช้า.mp3[/B][/COLOR][/FONT][/SIZE][/URL] [COLOR=#008000]<> คลิกเพื่อโหลดค่ะ[/COLOR] [/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=#4b0082][COLOR=#4b0082][FONT=Arial][IMG]http://audio.palungjit.org/images/attach/mp3.gif[/IMG] [URL="http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22960"][SIZE=3][FONT=Verdana][COLOR=green][B]02-กสิน อรูปฌาน มโนมยิทธิ-ภาคบ่าย.mp3[/B][/COLOR][/FONT][/SIZE][/URL] [/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]


    [B]ไฟล์สำหรับโหลด " อ่าน "[/B][COLOR=darkorange] ---[/COLOR] [B]แนะนำการปฏิบัติธรรม โดย อ. คณานันท์ ทวีโภค ค่ะ[/B]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    [​IMG] [COLOR=darkgreen][B]http://palungjit.org/attachments/a.596339/[/B][/COLOR]
    [​IMG] [COLOR=green][B]http://palungjit.org/attachments/a.596340/[/B][/COLOR]

    [COLOR=#000000][FONT=Verdana][COLOR=#000000][FONT=Verdana][COLOR=#4b0082][COLOR=#4b0082][SIZE=2][COLOR=darkslategray]( รวบรวมโดยคุณ namsompun ค่ะ )[/COLOR][/SIZE] [/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]

    กระทู้สำหรับอ่าน วิชชาฯ ความรู้ --- แนะนำการปฏิบัติธรรม โดย อ. คณานันท์ ทวีโภค
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    [​IMG] http://palungjit.org/threads/วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ.44604/ [​IMG]
    [​IMG] รวบรวมสาระความรู้การปฏิบัติธรรม จากกระทู้วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ [​IMG]



    [​IMG]


    อ.คณานันท์ ทวีโภค ( Kananun ) จะจัดแนะนำสมาธิ ที่ เกาะลอย สวนลุมพินี ทุกเดือน
    หากไม่ติดธุระอะไร และ ได้เดินสาย แนะนำสมาธิ แทบ ทุกภาค ค่ะ ท่านใดที่อยู่ต่างจังหวัดติดตามดู
    รายละเอียดการสอนที่ต่างจังหวัดได้ในกระทู้นี้ค่ะ --------------------------------------------
    [​IMG] http://palungjit.org/threads/แจ้งข่าว-กิจกรรมการสอนสมาธิของพี่เล็ก-kananun.164984/page-16



    [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    ภาพ ณ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ในโครงการ " พลังจิตตานุภาพ ครั้งที่ 1 "


    สำหรับพี่น้องชาว ภาคใต้ ท่านใด ที่ต้องการเข้าร่วมฝึกปฏิบัติธรรม ใน โครงการ " พลังจิตตานุภาพ "
    ณ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ใน วันที่ 4 - 8 กรกฎาคม 2552 นี้ เชิญ ดูรายละเอียดได้ หรือ ลงชื่อ ได้ที่ กระทู้

    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE width=750 bgColor=#fef9e9 border=0><TBODY><TR><TD align=justify>


    [COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][IMG]http://i170.photobucket.com/albums/u277/saviska/010-21.gif[/IMG][/COLOR][/FONT][/COLOR]



    [COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][B][COLOR=darkgreen][COLOR=yellowgreen]"[/COLOR] ขอท่านทั้งหลายจงพิจารณาตริตรอง ในธรรมทั้งปวงให้ถี่ถ้วน [/COLOR][/B][COLOR=darkgreen][B]เจริญปัญญาในเมตตาสมาธิ [/B][B]ครั้นเล็ง เห็นประโยชน์อันพึงมี พึงเกิดขึ้น [/B][B]ก็ขอจงปฏิบัติ [/B][/COLOR][COLOR=darkgreen][B][COLOR=teal]ให้ยิ่ง [/COLOR][/B][B][COLOR=teal]ให้ลึก ซึ้ง ถึง จิต[/COLOR] เพื่ออานิสงค์แห่งการ[/B][/COLOR][B][COLOR=darkgreen]ปฏิบัติืที่สมบูรณ์[/COLOR][/B][/COLOR][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][B][COLOR=darkgreen]บริบูรณ์เต็ม [/COLOR][/B][B][COLOR=darkgreen]ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาธิคุณแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ปรากฏมานับแต่อดีต ปัจจุบัน [/COLOR][/B][/COLOR][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][B][COLOR=darkgreen]ตลอดจนที่จะปรากฏต่อไปในอนาคต ขอจงส่งผลให้ [/COLOR][COLOR=teal]ธรรมรัตนมณีโชติ จงส่องสว่างกลางใจของสาธุชน[/COLOR][/B][/FONT][/COLOR][/COLOR]
    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][B][COLOR=darkgreen][COLOR=teal]ทุกท่านผู้เป็นสัมมาทิฐิ[/COLOR] [/COLOR][COLOR=green]และ ปรากฏผลอัศจรรย์ แห่งการปฏิบัติได้กระจ่างใจ ทุก ๆ คนด้วยเทอญ [/COLOR][COLOR=yellowgreen]"[/COLOR][/B][/FONT][/COLOR][/COLOR]

    [COLOR=#008000]อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค[/COLOR]
    [​IMG]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2009
  4. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขอบพระคุณอาจารย์คณานันท์ที่กรุณาอธิบายโดยละเอียด
    และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

    ผมเป็นคนนึงที่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์
    โดยเปิดแผ่นซีดี "อาณาปาน-ภาคเช้า" และ "กสิณ มโนมยิทธิ-ภาคบ่าย"
    แล้วลองปฏิบัติตามนั้น คิดว่าตัวเองยังปฏิบัติได้เล็กน้อย
    แต่ขณะนั้นมีความสงสัยว่าทำไมง่ายจัง
    พอมาได้อ่านคำอธิบายแล้วรู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้น
    มีความเข้าใจว่าอาจารย์ทำของยากให้เป็นของง่าย
    จนบางครั้งเราเองเกิดความลังเลสงสัย
    คล้าย ๆ กับโจทย์คณิตศาสตร์ที่มีรายละเอียดเยอะ ๆ
    ต้องใช้เวลาคิดคำนวณนาน
    แต่ผู้ที่เรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูงสามารถใช้วิธีลัด
    ในการคำนวณและใช้เวลาแป๊ปเดียวก็ให้คำตอบที่ถูกต้องได้เหมือนคนที่ใช้วิธีคำนวณแบบเดิม ๆ ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ

    ตอนที่ผมฟังซีดีคำสอนของอาจารย์ครั้งแรก ในช่วงภาคบ่ายที่อาจารย์สอนให้ฝึกกสิณ ผมคิดว่าเข้าใจและฝึกได้และสามารถกำหนดดวงกสิณรวมเป็นผลึกใสมีประกายเพชรไว้ที่กลางร่างกาย พอฝึกถึงตอนเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมรู้สึกตัวสั่นปากสั่นและร่ำไห้ จนกระทั่งไม่สามารถปฏิบัติต่อได้ พอถึงช่วงฝึกมโนมยิทธิผมจึงไม่ได้ฝึกครับ

    ขอเรียนถามอาจารย์ว่าในแต่ละวันหลังจากกราบพระและสวดมนต์ตอนค่ำแล้ว ผมควรจะปฏิบัติต่ออย่างไรครับ คือจะต้องเริ่มแบบซีดีภาคเช้าก่อน หรือฝึกโดยกำหนดดวงกสิณรวมที่กลางกายต่อเลยหรือควรทำอย่างไรครับ

    ขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พอฝึกถึงตอนเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมรู้สึกตัวสั่นปากสั่นและร่ำไห้ จนกระทั่งไม่สามารถปฏิบัติต่อได้

    --------------------------------------------------------

    อาการที่เกิดขึ้นเกิดจากธรรมปิติที่ปรากฏแรงครับ

    ข้อดีก็คือเป็นเครื่องแสดงถึงความรัก ความเคารพในพระรัตนไตรของคุณเป็นอย่างมาก

    ซึ่งอานิสงค์นี้จะทำให้ คุณตั้งมั่นในไตรสรณะคมม์ได้แนบแน่น
    ความเชื่อมั่นศรัทธาในพุทธานุภาพจะยิ่งทำให้การได้มโนมยิทธิง่าย ชัดเจนถูกต้องได้มากกว่าบุคคลทั่วไป

    ขอเพียง ละ วางตัวสงสัย หรือวิจิกิจฉาออกไปให้หมดก่อน

    ลองพิจารณาดูจากที่ผมเองได้อธิบายเอาไว้ แล้วตริ ตรองใน เหตุและผลแห่งการปฏิบัติ ว่ามีการลำดับ การปฏิบัติไล่จากง่ายไปยาก อุปมาดัง การเดินขึ้นบันได ย่อมง่ายกว่าการปีนหน้าผาด้วยมือเปล่าฉันนั้น

    และที่สำคัญเป็นพุทธานุภาพที่พระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ในการปฏิบัติด้วย จึงทำให้การปฏิบัติง่ายขึ้น และอานิสงค์สูง

    สำหรับการไปปฏิบัตินั้น ลองทบทวนอารมณ์จิตเดิมใน

    ลมหายใจที่สงบระงับ ลมสบาย

    จิตที่ชุ่มเย็นด้วยเมตตาไม่มีประมาณจนจิตชุ่มเย็นเต็มที่ก่อน

    จากนั้นก็ต่อด้วยการทรงนิมิตรกสิณที่ปรากฏภาพพระพุทธรูปอยู่ภายในให้สว่างเป็นเพชร ประกายพรึกก่อน

    จากนั้นก็ฝึกต่อได้เลยครับ
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับการที่พวกเราฝึกสมาธิกันได้ก้าวหน้า และสมาธิธรรมที่เราปฏิบัติรู้สึกกันว่าง่ายนั้น

    ขอโปรดอย่าได้เข้าใจว่า ผมเก่ง ที่จริงผมไม่เก่งอะไร และมีความเลวในจิตอยู่อีกมากมาย มีความรู้ที่ต้องศึกษาอีกมาก มีการฝึกที่ต้องทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก

    ที่จริงเป็นเรื่องของบารมีพระที่ท่านมาโปรด มาสงเคราะห์ทุกๆท่านที่ปรารถนาในความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    พระท่านเล่าให้ผมฟังว่า ที่การปฏิบัติในกลุ่มพวกเรานั้นรู้สึกกันว่าง่ายและก้าวหน้ากันได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะ


    1. เป็นบุพเพกัตตบุญญตา วาสนา บารมีเก่า กรรมฐานเก่าที่ท่านทั้งหลายได้เคยเจริญมาในกาลก่อนแต่อดีตชาติ พอถูกสะกิดตรงจุดเข้าก็หวลรำลึกถึงอารมณ์กรรมฐานเดิมที่เคยทำได้

    2.เป็นวาระที่เป็นยุคเข้าสู่ "อภิญญาใหญ่" หรือ "อภิญญาสาธารณะ" ดังนั้น หาก ฌานสี่นี่ยังยาก ยังต้องเข็นกัน เมตตาไม่มีกันเลย เรื่องอภิญญาก็เอาเป็นว่าอย่าได้ไปหวัง

    การที่จะเจริญกสิณสิบครบทั้งสิบกองให้จบในที่นั่งเดียวได้ และเจริญอรูปสมาบัติต่อครบหมดนี่ หากไม่เคยเจริญมาในกาลก่อน นี่ ต้องย่ำกันเป็นชาติๆ กว่าจะได้กัน

    เมื่อเกณฑ์อภิญญาใหญ่จะปรากฏขึ้นได้ ฌานและกรรมฐานทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กสิญ และสมาบัติแปดอันเป็นบาทฐานของอภิญญานี่เราต้องคล่องตัวก่อน

    ดังที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเมตตาวางรากฐานกรรมฐานเอาไว้เป็นแบบแผนชัดเจน ไว้ให้ลุกหลาน และเพื่องานรองรับอภิญญาใหญ่ไว้ให้

    3. ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ การตั้งกำลังใจในการปฏิบัติซึ่งเราจะปรารถนานิพพานสมบัติก็ดี เพื่ออภิญญาก็ดี

    เราต้องมีกำลังใจเต็มเปี่ยมในพรหมวิหารสี่ มุ่งสงเคราะห์ เกื้อกูลสรรพสัตว์ทั้งปวงให้เข้าถึงความดี เข้าถึงกุศลเป็นสำคัญ

    ปฏิบัติเพื่อความดีของผู้อื่นให้เข้าถึงหรือได้รับอานิสงค์แห่งความดีของเรา เป็นสำคัญ

    หากเราตั้งกำลังใจเอาไว้ถูกต้อง การปฏิบัติยิ่งก้าวหน้าเป็นทวีคูณ


    ประเด็นที่พระท่านสั่งให้ผมสอนวิชชาที่ทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัตินี้

    ท่านมุ่งเน้นเพื่อให้ผลแห่งการปฏิบัติช่วยยกภูมิจิตภูมิธรรมของแต่บุคคลขึ้น จนพ้นเกณฑ์แห่งการกวาดล้างจากภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดนี้เป็นประกาณที่หนึ่ง

    และหากแม้ท่านที่ได้กรรมฐานแต่มีวาระแห่งวิบาก ไม่รอดชีวิต แต่อำนาจแห่งฌานสมาธิที่ได้ฝึกมาก็จะเป็นกำลังพาดวงจิตจุติยังสุขคติภูมิ มีสวรรค์ พรหม และพระนิพพานเป็นที่สุด


    นอกจากนี้ ก็เพื่อปูพื้นฐานซักซ้อมความคล่องตัวของท่านที่อยู่ในเกณฑ์อภิญญาใหญ่

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการวางกำลังใจ ในความเป็นสัมมาทิษฐิและเพื่อการนำอภิญญาไปใช้เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อเรื่องส่วนตัว หรือเจือไปด้วยความโลภ ซึ่งแทนจะเป็นการสร้างบารมีจะกลายเป็น อภิญญาที่พาเหาะลงนรก

    ดังนั้นท่านจึงเน้นงานตรงจุดนี้อย่างสำคัญ

    เพราะ

    เมื่อหลังภัยพิบัติ โลกนี้จะเข้าสู่ความสุขสงบ ผู้คนมีเมตตาธรรมประจำใจเป็นปกติ

    ประเทศไทยและอาณาจักรโดยรวมสุวรรณภูมินี้ จะเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองคล้ายดั่งสมัยพุทธกาล

    คือ มากด้วย พระอริยเจ้า(ทุกวิสัย นับแต่สุขวิปัสสโก จนถึง ท่านที่ทรงปฏิสัมภิทาญาณ) ผู้คนมีความเข้าใจในพระนิพพานตรงไม่คลาดเคลื่อน เรื่องพระนิพพานนี่พูดกันเป็นเรื่องปกติ

    มากด้วยพระสุปฏิปันโน ผู้ควรแก่การเคารพ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระอลัชชีนี่ไม่มี และพุทธบริษัททรงคุณธรรม มีที่ปรากฏเป็นพระอริยะเจ้าทั้งที่เป็นฆราวาสก็มาก สามารถแยกแยะพระแท้ได้อย่างชัดเจน หากผิดก็ไม่ส่งเสริม ไม่ทำบุญ ไม่ไหว้ จึงปรากฏแต่พระสุปฏิปันโน

    มากด้วยพระโพธิสัตว์ ที่ท่านลงมาสร้างบารมี ในระดับผู้นำ ผู้ปกครองนั้นสมัยนั้นจะมีแต่ท่านที่ทรงกำลังใจเป็นพระโพธิสัตวฺ์ ตั้งจิตปรารถนา เพื่อคุณประโยชน์ของส่วนรวมและคนในปกครองเป็นสำคัญ ไม่ใช้อำนาจ บารมีไปเพื่อตน มุ่งผลสูงสุดต่อส่วนรวมโดยปราศจากอคติทั้งปวง ทรงคุณธรรม ความถูกต้อง

    เมื่อนั้น โลกก็จะสงบสุขสันติ และพืชผลกลับมาอุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล

    ทรัพย์ทั้งปวงอันเกิดจากบุญ ก็จะผุดขึ้นสู่แผ่นดิน ด้วยแรงอธิฐาน นำมาใช้เพื่อพระศาสนา เพื่อส่วนรวม (ได้อภิญญากันแล้ว)

    ความเจริญทางจิตใจ และทางวัตถุจะเจริญสมดุลกัน

    ศีลห้าจะเป็นคุณธรรมปกติของคนทั้งปวง

    เพราะไม่อาจโกหก หรือหลอกกันได้ เนื่องจากการรู้วาระจิตเป็นเรื่องปกติธรรมดา จึงพลอยทำให้ศีลทั้งห้าข้อ เป็นปกติศีลไปด้วย

    --------------------------------------------

    ดังนั้น การปฏิบัติธรรมที่พวกเราปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ ก็เพื่อปรับพื้นฐานจิตใจของเราเองให้สะอาดบริสุทธิ์

    ธรรมที่เราพึงทำได้ ปฏิบัติได้ ก็พิจารณาว่ามีแต่คุณไม่มีโทษ ก็เร่้งปฏิบัติให้ยิ่งขึ้น


    หากเราตั้งจิตปรารถนาให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและอยู่ตราบเท่า ห้าพันปีนั้น

    เราก็พึงปฏิบัติธรรม ส่งเสริมธรรมมะปฏิบัติ ให้ปรากฏแก่คนหมู่มาก

    เพราะเมื่อธรรมมะนั้นเป็นเรื่องง่ายที่ไม่ยากเกินวิสัย และเห็นผลแห่งการปฏิบัติได้ด้วยตนเอง

    เมื่อนั้นคนก็หันมาปฏิบัติกันมาก

    เมื่อคนปฏิบัติธรรมกันมาก ก็มีผู้เข้าถึงธรรมเป้นพระอริยเจ้ากันมาก

    เมื่อพระอริยเจ้ามาก ท่านก้เผยแผ่ธรรมมะอออกไปได้มาก

    เป็นวงจรแห่งธรรมที่ธรรมจักรหมุนโลกใบนี้ ที่ขับเคลื่อนโดยธรรม

    ขออำนาจแห่งพระรัตนไตรนับแต่อดีต ปัจจุบันและที่จะปรากฏในอนาคตนั้น หมุนธรรมจักรในดวงจิตของทุกท่านให้หมุนด้วยกระแสแห่งพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ อันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณด้วยเทอญ
     
  7. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขอบพระคุณอย่างสูง


    กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่กรุณาให้ความกระจ่าง
    ผมจะนำข้อแนะนำไปปฏิบัติครับ
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เมื่อคืนได้นอนฟังธรรมะของวัดสังฆทานที่จัดรายการออกทางสถานี ได้มีตอนหนึ่งได้นำธรรมะของหลวงปู่ท่านหนึ่งอยู่ทางภาคอีสาน ท่านมาพูดถึงการดูจิตของตัวเรา ว่าจิตมันยิ้มไหม ถ้าจิตมันยิ้ม หน้าเราก็บาน ถ้าจิตไม่ยิ้ม หน้าเราก็ไม่บาน เราควรที่จะทำจิตให้ยิ้มทั้งวัน ไม่ต้องไปสนใจของคนอื่น ควรที่จะดูจิตของเราเองว่าจิตของเราเป็นอย่างไร ทรงอารมณ์ที่มีแต่จิตยิ้มนี้ได้ไหม พอได้ฟังครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้ ทำให้นึกถึงในการสอนของอาจารย์คณานันท์ ที่ได้เมตตาชี้แนะในการทรงเมตตาอัปมาณณฌานให้ได้ตลอดวัน พร้อมด้วยการทรงภาพพระให้เป็นแก้วใสประกายพรึก พอได้มองภาพพระก็ยิ่งทำให้จิตของเรามีความอิ่มเอมใจ ชุ่มเย็นเบิกบาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2009
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    แบบนี้เรียกว่า อารมณ์พระนิพพาน ใช่หรือเปล่าครับ

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ remixsong
    สวัสดีครับ อ.คณานันท์
    หลังจากที่ผมนึกเพ่งภาพพระในจิตจนกลายเป็นเพชรมีรัศมีประกายพรึก ภาพพระมีลักษณะคล้ายกับมองด้วยตาเปล่า รู้สึกว่ากายกับจิต
    แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด จิตไม่รับสัมผัสทางร่ายกาย ไม่รู้ลมหายใจ ร่างกายหายไป เหลือเพียงแค่จิต กับความนึกคิดเท่านั้น จากนั้น
    ก็เจริญ อรูปฌาน จนจิตเข้าถึงอารมณ์เวิ้งว้างว่างเปล่า และ พิจารณา สังโยชน์ 10 ต่อ สักพักหนึ่ง จิตคลายอารมณ์จาก อารมณ์อรูปฌาน ที่
    มัดแน่นทรงตัว เคลื่อนเข้าสู่ อารมณ์สงบโล่งเย็นเบาสบายค่อยๆไหลเข้ามาช้าๆ คล้ายกับระดับน้ำที่ค่อยเพิ่มขึ้น จิตมั่นคง ลมหายใจละเอียด
    สมาธิทรงตัวอยู่ในฌานสี่ รู้สึกว่าเป็นอารมณ์สุขที่ละเอียดปราณีตกว่าตอนที่ พิจารณา อรูปฌาน และ ทรงอยู่ได้นานแบบสบายๆ
    แบบนี้เรียกว่า อารมณ์พระนิพพาน ใช่หรือเปล่าครับ ผมพึ่งได้สัมผัสกับอารมณ์นี้มา 3 วัน วันแรก หลังจากเจริญอรูปฌาน และ พิจารณา สังโยชน์ 10
    ได้ประมาณ ชั่วโมงหนึ่ง อารมณ์นี้ก็เคลื่อนเข้ามา วันที่สอง ครึ่งชั่วโมง วันที่สาม ในขณะกำลังพิจารณา สังโยชน์ 10 อยู่ อารมณ์นี้ก็เคลื่อนเข้ามา
    ผมพอเริ่มจับจุดได้ว่า ต้อง เข้าฌานสี่ละเอียด ก่อน แล้ว เจริญ อรูปฌาน แล้วค่อย พิจารณา สังโยชน์ 10 แล้วอารมณ์สงบโล่งเย็นเบาสบายจึงเกิด
    และอีกอย่าง เวลาผมอยู่ในฌานละเอียด ผมรู้สึกว่าจิตมีสติ ตามทันความคิด เวลานึกคิดถึงเรื่องอะไร ภาพจะปรากฎในจิตได้เห็นได้รู้ก่อนเสมอคล้ายกับ
    ได้เหมือนมองด้วยตาเปล่า เช่น เรื่องราวในอดีตที่เรานึกถึง การที่เรานึกว่าจะทำอะไรต่อไป รวมถึง การนึกถึงภาพพระด้วย
    ขอคำแนะนำด้วยนะครับ อ.คณานันท์
    อนุโมทนาครับ
    </td> </tr> </tbody></table>
    ขอโมทนาบุญกับความก้าวหน้าในสมาธิด้วยครับ

    อารมณ์จิตที่เราเจริญฌานสี่อย่างละเอียด ต่อด้วยอรูปสมาบัติ จากนั้น จึงใช้กำลังของออรูปไปพิจารณาตัดสังโยชน์สิบ อย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

    อารมณ์ตัดในชาติภพที่พิืจารณา ในการเกิดการจุติทั้งปวงว่าเป็นทุกข์นั้น หากเราปักจิตตั้งมั่นเอาไว้ว่า "เราปรารถนาพระนิพพานจุดเดียว"

    ตรงนี้เป็น อารมณ์พระนิพพานครับ

    และหากเราเจริญพรหมวิหารยิ่งขึ้นไปอีก โดยตั้งจิตว่า เรามีเมตตาจิต ปรารถนาให้มวลสรรพสัตว์ัทั้งหลาย จงประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุดด้วย

    จากนั้นจึงแผ่เมตตาไม่มีประมาณออกไปด้วยอารมณ์พระนิพพานออกไป พร้อมกับทรงภาพพระพุทธเจ้าที่ใสเป็นเพชร เป็นรัศมีประกายพรึก

    จิตเราจะยิ่งมีความสะอาด บริสุทธิ์และตั้งมั่นมากขึ้นครับ


    ขอให้ก้าวหน้าเจริญในธรรมครับ

    ไม่ยากเกินกำลังใจครับ

    จุดสำคัญ คือ


    การพิจารณาอย่างละเอียด ด้วยอารมณ์จิตที่ปราณีต

    พิจารณาจนจิตยอมรับความจริงในข้อธรรม และน้อมนำเข้าสู่จิตใจของเราอย่างแท้จริงครับ ดังที่ปฏิบัติได้

    ส่วนใหญ่พอพิจารณาหยาบกลายเป็น สัญญา คือความจำไป ได้แต่ "เข้าหัว"

    แต่ไม่ "เข้า(ถึงหัวจิตหัว)ใจ" อย่างแท้จริงครับ


    เมื่อเข้าถึงหัวใจเราด้วยอำนาจของฌานสี่แล้ว จึงจะปรากฏผลในการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิจใจอย่างแท้จริงได้ครับ

    ขอให้ดวงใจทุกดวงเข้าถึงธรรมอันพิสุทธิ์ด้วยเทอญ
     
  10. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557

    ,,[​IMG]จุดสำคัญ คือ พิจารณาการพิจารณาอย่างละเอียด ด้วยอารมณ์จิตที่ปราณีต
    พิจารณาจนจิตยอมรับความจริงในข้อธรรม และ น้อมนำเข้าสู่จิตใจของเราอย่างแท้จริง

    ส่วนใหญ่พอพิจารณาหยาบกลายเป็น สัญญา คือ ความจำไป ได้แต่ " เข้าหัว "
    แต่ไม่ .................." เข้าถึง หัวจิต หัวใจ " .................. อย่างแท้จริง

    เมื่อเข้าถึง หัวใจ เราด้วยอำนาจของฌาน 4 แล้ว จึงจะปรากฏผล
    ในการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตใจอย่างแท้จริงได้ ..............


    ................................................................ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิค่ะ ,,, ^-^

    ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ นี้ รับความรู้ /สึก มา เป็น " สัญญา " ความจำได้หมายรู้ มากมาย....
    แต่ ยังไม่เข้าถึง หัวจิต หัวใจ .... อย่างแท้จริง ..... จึงทำให้เกิดความไม่รู้ อย่างกระจ่างแจ้ง
    ในธรรมะ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ในธรรมดา (ของชีวิต) ในธรรมชาติ (ของมนุษย์)....

    [​IMG]

    " ขอพระเมตตาธิคุณแห่งสมเด็จองค์ปฐมพระบรมบิดา ได้โปรดให้ข้าพเจ้า ได้เพียรพยายามฝึกฝนตน จนปรากฏผล
    ในการเปลี่ยนแปลงจาก ภายในจิตใจอันบริสุทธิ์ ดั่งบุตรธิดา แห่งพุทธะ อย่างแท้จริงด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ..."

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2009
  11. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]


    " อันปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เกิดมาภายหลังกึ่งพุทธกาล ในเมื่อพระองค์ทรงดับขันธ์แล้ว
    จึงเป็นเหมือน แก้วแตกไปไร้วิญญาณ มาชาตินี้ยังมีจิตคิดถึงกุศล ได้พบหนทางสว่างไสวไม่มืดมน
    เข้าดลใจให้เลื่อมใสใน พุทธคุณ ธรรมคุณ และ สังฆคุณ แต่ด้วยบุญบารมีที่บำเพ็ญมาไม่ดีพอ จำต้อง
    รอโอกาสมาถึงชาตินี้ เหมือนกับเรือที่ล่องไปในวารี เพราะ พลาดหวังที่จะได้บรรลุธรรมในคำสอน ​

    ต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระชินวร ในขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนแสดงธรรม แต่ด้วยมโนปณิธาน
    ที่ตั่งมั่นกันมานานตามที่ตั้งจิตอธิฐานตั่งแต่ ครั้งอดีตกาล เพื่อจะช่วยสนับสนุนท่านพ่อผู้ประเสริฐ หวังจะเกิด
    สร้างความดีร่วมกับท่าน เพียงต้องการอีก ๗ ชาติก็มาบรรจบ จึงจะครบร่วมประกาศพระศาสนา อันลูกหลาน
    ติดตามกันมาด้วยความเคารพ หวังได้พบ สดับรับฟังธรรมซึ่งคำสอนในสมัยที่บิดรเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็เศร้า
    เพราะ พ่อมาละเสียซึ่งโพธิญาณทิ้งลูก หลาน ผู้เป็นเผ่าพงศ์ขององค์ อินทร์ จำต้องสิ้นเหมือนลูกที่ถูกทอดทิ้ง
    ต่อไปนี้ลูกชายหญิงเอาจริงทั้งหมด จะช่วยกันทดแทนคุณพระชินศรี เพื่อร่วมแรงใจกันสร้างแต่ความดี

    โดยไม่หวังที่จะประวิงวัน และ เวลา เพราะ ตัณหาพาไปให้ประมาท อาจจะพลาดโอกาสขาดวาสนา
    ควรคำนึงร่วมกันสร้างหนทางลา เพื่อที่ ว่าจะได้ไม่หลงรสบทละครทั้งท่านย่าท่านปู่และท่านพี่ ท่านแม่ศรี
    และ ท่านพ่อที่ไปรออยู่ก่อน ทิ้งลูกน้อย กลอยใจให้อาวรณ์ จะต้องจรติดตามรอยพระยุคลบาท ขององค์สมเด็จ
    พระโลกนาถ ที่ทรงประกาศ ขอบเขตพระพุทธศาสนา หวังที่จะมาเร่งรัดตัดกิเลสเพื่อให้เป็นสมุจเฉทปหาน

    " ปวงลูกทั้งหลายขอน้อมกราบกรานด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ขอน้อมจิตพนมกรขึ้นเศียรเกล้า ในพระคุณความดี
    ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเข้าเฝ้ารอยพระพุทธบาทของพระศาสดา น้ำพระทัยที่เปี่ยมล้นด้วย
    พระเมตตา ทรงพระมหากรุณาธิคุณ แก่พุทธบริษัท เปรียบประดุจดังเช่นมหานที ยัง ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ
    เพื่อเป็นสักขีพยานในการบูชา สวยตระการตาอยู่บนท้องฟ้า เป็นที่น่าปลาบปลื้มใจอย่างล้นพ้น ดังที่เห็นเป็น
    อัศจรรย์กันทุกคน บุญบารมีใดที่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว

    นับตั้งแต่พระองค์ทรงตั้งจิตหวัง พระโพธิญาณ จนตราบเท่าถึงกาลตรัสรู้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นโอรส
    และ ธิดา ของพระองค์ ขอกราบอนุโมทนาการ ขอยกย่องเป็นพระบรมครู เสมือนรู้ผู้เป็นพระธรรมราชา หวังที่
    จะรู้แจ้งแทงตลอดในธรรม หากจะล่วงลับดับสังขารไป ขอพระบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ขององค์สมเด็จพระจอมไตรได้
    ทรงโปรดน้อมจิตให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส จงปรากฏอยู่ในอยู่ในธรรมาพิสมัย
    เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาโดยฉับพลันในปัจจุบันนี้เทอญ "


    ........... สาธุ สาธุ สาธุ ............

    จากหนังสือ ตามรอยพระพุทธบาท ฉบับรวมเล่ม ๑ หน้า ๑๓๙ - ๑๔๐ โดย พระชัยวัฒน์ อชิโต
    [​IMG]
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรียน อาจารย์ คณานันท์ที่นับถืออย่างสูงยิ่ง ตัวเองได้ติดตามอ่านมาตลอดแล้วก็แนะนำคนอื่นที่จะไปให้อ่านด้วยแต่ไม่ทราบมี ใครได้เข้ามาอ่านบ้างหรือเปล่า แต่มี 3 คนที่มีอะไรแปลก ๆ มาเล่าให้ฟังแต่ก็ไม่กล้าตอบอะไรพวกเขาเหล่านั้น เนื่องจากตัวเองก็ยังไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่ติดตามอ่านกระทู้ของ อาจารย์คณานันท์แต่เพียงอย่างเดียวก็ฝึกตามบ้างไม่ได้มากมายอะไรนัก ถ้าไม่เป็นการรบกวนเวลาอาจารย์ ก็จะขอเล่าเกี่ยวกับคนที่จะไปทั้ง 3 คนนี้นะค่ะคนที่ 1 (คนนี้เคยไปนั่งมโนที่บ้านซอยสายลมมาครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วค่ะ)แบบ ว่าเราพูดถึงที่ทำงานเราเขาก็จะมองเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง หรือมีคนมาเล่าให้ฟังว่าเขาเลิกกับภรรยาแล้ว เขาก็จะเห็นว่าคนนี้ตบตีภรรยา ประมาณนี้แหละค่ะ แต่เขาบอกว่าเขาน่าจะนึกไปเอง คนที่ 2 (คนนี้เคยไปนั่งมโนที่บ้านซอยสายลมมาครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วค่ะ)ขณะ ที่นั่งสมาธิจะรู้สึกว่าตัวเองลอยได้แต่ไปไม่พ้นห้องของตัวเองรู้สึกว่าอยู่ ในห้องแต่ลอยไปลอยมา เป็นบ่อย และประมาณเดือน ก.พ.52 เห็นจะได้ที่เขาเล่าให้แม่เขาฟังแล้วแม่เขามาเล่าให้ฟังอีกที ว่าเขาเห็นมีพระมาหารู้สึกจะ 5 องค์ แต่ไม่ได้เล่าว่ามาทีละองค์ หรือมาทีเดียว 5 องค์ และหลังสุดคุณแม่เขามาเล่าเมื่อวานนี้คื่อวันที่ 18 มิ.ย52ว่าเมื่อคืน(คงจะวันที่ 16หรือ17 มิย) ลูกเขานั่งสมาธิแล้วรู้สึกลมหายใจไม่มี เขาไม่ได้หายใจเขาก็เลยตกจะเพราะไม่รู้ลมหายใจหายไปไหน ก็เลยรีบหายใจก็สำเร็จ แล้วนั่งสมาธิต่อแปล๊บเดียวลมหายใจก็หายอีกเขาก็รีบหายใจแล้ววิ่งลงมาเล่า ให้คุณแม่เขาฟัง คุณแม่เขาก็ไม่เคยเป็นและไม่มีความรู้จริง ๆ รู้แต่ศึกษามาก็เลยไม่กล้าบอกลูก ก็แค่รับฟังเฉย ๆ พอก่อนดีกว่าค่ะ ชักเยอะกราบขอบพระคุณ อาจารย์มากค่ะภรสิริ ขอโมทนาบุญกับความตั้งใจในการปฏิบัติของทุกๆท่านด้วยครับ

    สำหรับ รายแรกนั้น ความเป็นทิพย์ของจิตเกิดขึ้นทำให้ได้ญาณที่ทำให้เห็นกรรมและผลของกรรมที่ เรียกว่า ยะถากรรมมุตาญาณ ครับ หากเจริญวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นจาก องค์ความรู้ในเรื่องกฏของกรรมและนำมาพิจารณาให้เห็นโทษของกรรม และโทษของการเวียนว่ายตายเกิดก็จะทำให้ก้าวหน้าขึ้นครับ

    ท่านที่สอง นั้น เป็นปิติ ที่ทำให้เกิดอาการตัวลอยขึ้นครับ การที่ปรากฏปิติโลดโผน นั้น มักเป็นวิสัยของท่านที่ได้อภิญญาครับ ควรเจริญวิปัสสนาญาณเพิ่มอีกให้มากครับ จุดสำคัญที่พระท่านมาหานั้น คือพระท่านมาโปรดมาสอนครับไม่ว่าท่านจะมาทางสมาธิก็ดี ทางในฝันก็ดี หรือจะด้วยกายเนื้อจริงๆ

    จุดสำคัญอีกอย่างก็คือเราต้องกำหนดรู้ตั้งสติและมองด้วยความเป็นอุเบกขาด้วย

    เพื่อจิตเราเป็นกลางไม่ยึดหรือหลง ต้องพิจารณาดูว่า ทุกสิ่งที่รู้เห็นนั้น เป็นเรื่องของผู้อื่น ไม่ใช่เ้ป็นความเก่งของเรา แต่เป็นด้วยบารมีของพระท่านมาสงเคราะห์เป็นสำคัญ

    จุดนี้เป็นความก้าวหน้า ที่ต้องระมัดระวังเรื่องวิปัสสนูปกิเลสเอาไว้ด้วยครับ ดังที่หลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ว่าหากเราว่าเราเองดีเมื่อไร เราเลวเมื่อนั้น จึงยิ่งต้องระมัดระวัง หากผ่านไปได้ยิ่งรุดหน้าเร็วครับ

    จุดต่อไปคือ การที่ทำสมาธิและ ลมหายใจหาย ไม่หายใจนั้น เป็นเพราะเมื่อจิตเข้าฌานสี่ ลมหายใจดับครับ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ตายครับ

    ต้องทำความเข้า่ใจให้ตนเองและครอบครัวทราบด้วย

    เมื่อสภาวะทำสมาธิจนลมหายไปแล้ว คราวนี้ก็มาพิจารณาดูอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นเป็นเอกัตคตารมณ์

    จากนั้น หากเราใช้กำลังของฌานสี่ ฝึกกสิณเพื่ออภิญญา และต่อไปยังอรูปสมาบัติได้

    จากนั้นจึงค่อยใช้กำลังของอรูปสมาบัติ เจริญในวิปัสสนาญาณ ตัดกิเลส

    ติดตามด้วยการตัดสังโยชน์สิบตามลำดับ เพื่อเคลื่อนอารมณ์จิตเข้าสู่อารมณ์ของโลกุตระครับ

    ขอโมทนาบุญกับความก้าวหน้าในการปฏิบัติของทุกท่านด้วยครับ

    ช่วงนี้พระท่านมาโปรดมาสงเคราะห์กันมากครับ

    มีอีกท่านหนึ่งในเวบ ที่ปรากฏว่าหลวงพี่โอ ท่านมาสอนกสิณ สิบให้ทั้งที่ ไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อน

    ต้องขอโมทนากับทุกท่านครับ เกณฑ์อภิญญาใหญ่เริ่มปรากฏครับ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ remixsong
    สวัสดีครับ อ.คณานันท์
    หลังจากที่ ฟัง mp3 ปฏิกูลบรรพ - มหาสติปัฏฐานสูตร ของ หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ จบ จากนั้นก็นั่งนึกถึงภาพพระพุทธรูปในจิต

    จนเห็นเป็นพระพุทธรูปแก้วขาวใสสว่าง บางครั้งก็ภาพพระก็เหมือนกับพระบรมสารีริกธาตุ คือเป็นพระพุทธรูปสีใส มีความสว่างอยู่ในตัว

    ทรงสมาธิจิตไปถึงอารมณ์หยุด จึงทรงอารมณ์ไว้ซักพักหนึ่ง ตอนนี้ในจิต สว่างไสวเหมือนมีหลอดไฟนีออน ส่องลงมาจากข้างบน อยู่ตลอดเวลา

    ตั้งแต่จิตเริ่มสงบ ทั้งๆที เรานั่งหลับตาอยู่ในห้องที่มืดและเอาผ้ามาบิดตาด้วย ก็ยังสว่างเหมือนเดิม จากนั้นจึงเลื่อนไปพิจารณา อรูปฌาน

    ตอนนั้นมีอาการเกร็งที่ระหว่างคิ้วที่ตรงกลางหน้าผากมาก อาจเป็นเพราะการเข้าสมาธิที่เร็วเกินไป จากนั้นเมื่อพิจารณา อรูปฌานที่หนึ่ง เสร็จแล้ว
    ก็จะมีดวงแสงสว่างโผล่ขึ้นที่ข้างบนหัว ความรู้สึกคล้ายกับเป็นการบ่งบอกว่า เสร็จแล้ว เข้าใจแล้วนะ อะไรประมาณนี้ มีอาการเป็นแบบนี้

    ทั้งสี่ อรูปฌาน เมื่อได้กำลังของอรูปฌานแล้ว ทรงได้สักพักหนึ่ง แล้วจึงคลายสมาธิออกมา

    แล้วนอนลง เปิดฟัง mp3 กายานุปัสสนา เพื่อ พิจารณาขันธ์5
    จากนั้นก็นอนฟังได้ แป๊บเดียว สมาธิกลับเข้ามาทรงตัวอีกครั้ง โดยอัตโนมัติ ไม่แน่ใจว่ากลับเข้าไปฌานใหน คิดว่าน่าจะเป็น ฌานสี่หยาบ

    เพราะว่า
    ภาพพระยังเป็นแก้วขาวใสสว่างทรงตัวดี ลมหายใจยังละเอียด แต่ว่าการเข้าสมาธิคราวนี้ รู้สึกว่าแตกต่างจากการเข้าตอนแรก คือ เป็นการทรงอารมณ์
    วิปัสสนาเข้าไปด้วย

    คือว่าตอนที่เรานอนฟัง mp3 อยู่นั้น สมาธิทรงตัวด้วยกำลังของวิปัสสนาและสมาธิไต่ระดับขึ้นไปด้วยภาพพระพุทธรูปใน จิต


    เมื่อเพ่งภาพพระได้สักพักหนึ่ง อารมณ์จิตจึงเลื่อนมาฟัง วิปัสสนา เพื่อ พิจารณา และพอวิปัสสนาเริ่มจะฟุ้ง จิตจะวิ่งเข้าไปหาภาพพระ
    เพื่อทรงตัว และเลื่อนเข้าสู่ฌานต่อไป

    เปรียบเหมือนเราเป็นคนพายเรือ ข้างซ้ายเป็น วิปัสสนา ข้างขวา เป็นภาพพระ เราก็พายไปเรื่อยๆ ทรงอารมณ์สมาธิไปได้เรื่อยๆ


    สักพักเมื่อรู้ตัวว่าเป็นฌานสี่ละเอียด เพราะว่าเห็นดวงแสงสว่างอีกครั้ง จึงกำหนดพิจารณา อรูปฌานต่ออีก ก็ทำไปได้เรื่อยๆ แต่ว่าคราวนี้ไม่มีอาการหนัก
    หรือเกร็งแต่อย่างใด

    มีอาการเบาๆสบายๆ ตั้งแต่ เปิดฟัง mp3 กายานุปัสสนา และรู้สึกว่าสามารถพิจารณา สลับไปมาระหว่าง อรูปฌาน ทั้งสี่ได้อีกด้วย

    พอกำลังสมาธิ เริ่มตก ความคิดภายนอกเริ่มเข้ามาแทรก ก็หวนกลับมาจับภาพพระอีก อารมณ์จิตก็วิ่งกลับไปสู่อารมณ์หยุดอีกครั้ง

    อารมณ์ในตอนนี้ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีสัญญา ไม่คิดฟุ้งซ่าน มีแต่ความรู้สึกดีใจที่สามารถหลีกหนีอารมณ์ความวุ่นวายจากโลกภายนอกมาสู่ อารมณ์นี้ได้
    ร่างกายตอนนั้นรู้สึกชาไปทั้งตัวเหมือนโดนชาและยาสลบและบางทีก็รู้สึกตัวเอง นอนแน่นิ่งเหมือนตายหรือกำลังจะตาย ทำให้เข้าใจใน มรณานุสติได้เป็นอย่างดี

    บางทีก็ผุดคิดขึ้นมาว่า อันที่จริงแล้ว เรานี้ก็เป็นเพียงแค่จิต ที่กำลังเกาะภาพพระอยู่เท่านั้น ร่างกายนี้มันไม่เกี่ยวอะไรเลย

    ตอนนี้เห็นภาพพระในจิต เป็นองค์ชัดเจน คล้ายกับเรากำลังมองดูพระพุทธรูปอยู่ คือเป็น ภาะสามมิติ มีความกว้าง ความลึก ลักษณะภายนอกทุกอย่างเริ่มชัด
    แต่ว่าเป็นพระพุทธรูปแบบทั่วไป ไม่ใช่แบบพระวิสุทธิเทพ ผมจึงนึกกราบท่านแล้ว อธิฐานขอให้ผมเข้าใจในธรรมะของพระองค์ทุกประการ

    เวลานั้นสมาธิก็ทรงตัวดี และในใจผมก็คิดไปว่า ตกลงโลกที่เราอยู่นี้เป็นของจริงหรือเปล่าหนอ ทำไมสภาวะที่เราสัมผัสตอนนี้ก็จริงเหมือนกันและรู้สึกดีกว่าด้วย
    จากนั้นก็นึกตามแบบมโนมยิทธิแต่ก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา หรือว่าผมวางอารมณ์ไม่ถูก เลยคิดว่าเดี๋ยวไปถาม อ.คณานันท์ เลยตัดสินใจกราบลาพระแล้ว

    คลายสมาธิออกมา ทั้งหมดใช้เวลาไป 4 ชั่วโมง ออกจากสมาธิแล้วรู้สึกสบายตัวสบายใจดี อยากถาม อ.คณานันท์ ว่า ทั้งหมดนี้ผมทำถูกต้องหรือเปล่า

    ผมต้องฝึกมโนมยิทธิ เพื่อเติมอีกใช่ใหม คือว่าผมไม่คล่องเลย ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
    </td> </tr> </tbody></table>
    สภาวะจิตที่ปฏิบัติได้แล้วนั้น ตั้งแต่เห็นแสงสว่างจากข้างบน ส่องลงมา

    หากเรากำหนดจิตตามแสงนั้นไปจิตก็จะพุ่งไปปรากฏบนพระนิพพานแบบที่ค่อนข้างเต็มกำลังครับ

    นอกจากนี้ อาการที่จิตแยกจากกายได้มากขึ้นนี้ เป็นอาการที่จิตสามารถใช้กำลังของอภิญญาในการถอดกายทิพย์ออกไปได้

    ซึ่งหากเมื่อแยกหรือถอดออกไปได้ ให้ตั้งจิตรำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานครับ

    หากทำในอารมณ์จิตนั้นจะเกิดผลเต็มที่ครับ

    หรือเราจะใช้กำลังของมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังในช่วงที่จบอรูปสมาบัติแล้ว และยกจิตขึ้นไปพิจารณาธรรมจากเอ็มพีสาม โดยกำหนดว่าเรากำลังฟังธรรมจากพระพุทธองค์โดยตรงจากพระนิพพานขอให้ธรรมมะ หลั่งไหลสู่ดวงจิตของเราโดยตรงให้เราเข้าถึงธรรมได้โดยง่าย ก็ได้ในอีกนัยยะหนึ่งครับ

    ขอโมทนาบุญกับความตั้งใจในการปฏิบัติและอารมณ์จิตที่พิจารณาอย่างละเอียด อย่างยิ่งด้วยครับ
    __________________
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากน้องที่มีกำลังใจในการปฏิบัติได้ดี อีกท่านครับ

    แม้จะมีสิ่งเร้าจากภายนอกแต่ก็ยังมีจิตตั้งมั่นในธรรมความดีอยู่

    โดยน้องท่านนี้มีพื้นฐานการปฏิบัติจากแนวทางหลวงพ่อจรัญครับ

    ----------------------------------------------------------

    สำหรับเรื่องการปฏิบัตินั้น บางครั้งก็อธิบายยาก เพราะภาษาของจิตนั้นยังไม่มีบรรญัติเอาไว้

    จึงต้องอธิบายไปตามความรู้สึกของเราครับ

    เท่าที่ดู ที่น้องฝึก กายคตา จากการกำหนด "หนอ"นั้น

    ตอนนี้สมาธิเกิดในระดับฌานแล้ว

    อาการที่บีบเข้ามา นั้นเป็นอาการที่จิตรวมตัวกันเข้ามา จนกายหายไป เนื่องจาก ความรู้สึกของจิตเริ่มแยกจากกายมากขึ้น จนทำให้กายเราหายไปครับ

    คราวนี้เรากำหนดรู้ว่า จิตรวมตัวเป็นสมาธิตั้งมั่นแล้ว ไม่ต้องสะบัดเพื่อดูแล้วครับ

    พอช่วงแรกคำภาวนา จะหาย จากนั้น ลมหายใจจะหาย พอลมหายใจหาย จะปรากฏเห็นอาการกระเพื่อมในกายชัดเจน รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจและชีพจรชัดเจน รวมทั้งอาการคลื่นที่กระทบกายเราจนกระเพื่อมด้วย

    อันที่จริงมันมีอยู่เป็นปกติ แต่พอเราไม่มีสมาธิเราก็เลยเห็นมันไม่ชัด พอเรามีสมาธิ ประสาทสัมผัสเราก็จะเพิ่มประสิทธิภาพตามไปด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้องเน้นฝึกกายดังนั้น อาการทางกายก็จะยิ่งชัดเจน อย่างที่ปรากฏอยู่ครับ

    ส่วนตัว"รู้หนอ" นั้นเป็นตัว ญาณทัศนะ ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจความเป็นทิพย์

    เวลารู้ความคิดคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ

    การเกิดญาณ หรือตัวรู้ เครื่องรู้ นั้น วางกำลังใจเฉยๆ (ไม่อยาก) จิตนิ่งๆ (เป็นสมาธิ เป็นฌาน) พอกำหนดเราก็จะรู้เอง



    ตรง จุดนี้อยากเสริมให้ เพิ่มเติมหน่อย คือ ลองหลับตา(ตอนนี้เลย) ภาวนา "นิ่งหนอ"(ครั้งเดียว) แล้ว หยุดจิตดู..............................

    เห็นตัีว จิตที่หยุดนิ่ง ไม่คิดไม่ปรุงแต่งไหม ลองนิ่งดูอาการหยุดให้ชัดเจน แล้วใช้สติย้อนไปดูลมหายใจว่าดับไหม หยุดหายใจไหม

    จาก ที่ลองดูนะคะ กำหนด นิ่งหนอ ที่ลิ้นปี่ ดูแล้วมันเฉย ๆ ว่าง ๆ เบา ๆ โหวง ๆ ลมหายใจเหมือนจะหายใจไม่ออก ลมหายใจเบา ไม่อยากเข้า ไม่อยากออก ขนลุกทั่วทั้งตัว

    เมื่อทำได้ดังใจแล้ว ลองหยุดนิ่งให้นานขึ้น

    จนคล่อง


    คราวนี้ ลองลืมตาขึ้น จากนั้น ลองหยุดจิตทั้งที่ลืมตา ให้จิตหยุดนิ่ง ดู

    พอลืมตา ตาพร่าเหมือนมีหมอก กับคลื่นยิบ ๆ คะ

    อาการ จิตที่นิ่ง นี้คือ เอกัตคตารมณ์ สมาธิ ตัวหยุด (จากอารมณ์ที่เราปรุงแต่ง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้สึก หนอ แต่จิตเราไม่ปรุงแต่ง ไม่ไปคิด ไม่ฟุ้ง เห็นอาการที่จิตหยุดนิ่งตั้งมั่นอย่างชัดเจน)

    คราวนี้เราอธิฐานวสี เพื่อให้ชินใน การเข้าสมาธิในตัว"นิ่งหนอ"นี้ ว่า

    " ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงและจดจำสมาธิ ตัวหยุด ตัว นิ่ง นี้ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอิริยาบท ที่ข้าพเจ้าต้องการได้ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า เข้าสมาธิได้ใช้ได้ดังใจนึกด้วยเทอญ"

    อธิษฐานแล้ว ขนลุกทั้งตัวค่ะ

    แล้ว หยุดจิตอีกครั้งหนึ่ง

    --------------------------------------------------------

    พอทำตรงนี้ได้น้องก็จะ กำหนดตัวนิ่ง ตัวสมาธิที่ใช้ร่วมกับ "รู้หนอ" ได้ตลอดดังใจนึกครับ

    ซึ่งอ่านปุ้ป ทำตาม น้องก็จะทำได้ทันที เป็้นเรื่องในวิสัย ไม่เกินความสามารถของเราครับ

    ------------------------------------------------------

    ขอบคุณมากค่ะ

    เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นร้องไห้เสียใจมาก มาคิดว่าชีวิตคือทุกข์ ดั่งพุทธวาจา ไปร้องไห้ต่อหน้ารูปพระพุทธชินราช (แต่นึกถึงพระพุทธเจ้า) ไปกราบต่อหน้ารูปท่าน ก้มหน้า หลับตา บอกกล่าวในใจ (ร้องไห้ไปด้วย)

    "ลูกรู้แล้วชีวิตเป็นทุกข์ เป็นอย่างไร การมีชีวิตอยู่ก็ทุกข์อยู่แล้ว ยังมีทุกข์นอก ทุกข์ใน ทุกข์จรมาให้อีก เข้าใจแล้วเจ้าคะ ขอเกิดชาตินี้ชาติเดียว ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย ลูกรู้แล้ว เข้าใจแล้วเจ้าคะ" (บอกกล่าวจากใจจริง ๆ ) จากนั้น

    ความรู้สึกคือ เหมือนมีม่านสีทองยิบ ๆ ค่อย ๆ ปกคลุมลงมา (เคยเห็นสองครั้งคะ ตอนขอบารมี พระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง) คือเห็นทั้งที่หลับตา ความเสียใจ ความทุกข์มันหายไปเลย จะร้องต่อ ร้องไม่ออก เหมือนสดชื่น ก็ไม่สดชื่น มันอิ่มเอิบนะคะ บอกไม่ถูก พี่ที่เก่งทางมโน ฯ บอกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนะ ที่ท่านแผ่ให้ มานึกได้ตอนที่พี่บอกว่า ให้แผ่เป็นรัศมีสีทอง เลยนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้นะคะ


    ด้วยความเคารพ เห็นไหมเราทำได้

    ตัวนิ่งตัวหยุดที่ว่านี่ก็คือ สภาวะจิตที่หยุดนิ่งเป็นเอกกัตคตารมณ์ เป็นฌานสี่

    ซึ่งเมื่อเราทำได้เป็นปกติ เข้าสมาธิตัวหยุดนิ่งนี้ได้ จิตเราจะสะอาดจากนิวรณ์ห้าประการ เครื่องกั้นจิตให้เข้าถึงสมาธิ

    และจากฌานสี่นี้จะเป็นตัวที่เราใช้ต่อไป ทั้ง การเจริญปัญญา การเจริญวิปัสสนาญาณ

    การต่อสมาธิไปถึงอรูปสมาบัติ

    การฝึกอภิญญา

    เป็นต้น

    ดังนั้น ลองจำอารมณ์ในการปฏิบัติที่สำคัญ นี้ให้ได้ นึกถึงเมื่อไร เข้าได้เมื่อนั้น เพื่อให้มีความคล่องตัว

    ตัวสงบ ตัวนิ่ง ลมหายใจดับเป็นฌานสี่

    และ

    ตัวเมตตา ที่เย็น แผ่ออก เกิดอารมณ์จิตที่อิ่มใจ ชุ่มฉ่ำใจ เกิดธรรมปิติหล่อเลี้ยงหัวใจเราจน เกิดความยินดีพอใจในธรรม พอใจอิ่มใจในจิตที่เราปรารถนาดีต่อทุกๆดวงจิตเอาไว้ คือการเจริญเมตตา พรหมวิหารสี่ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

    จากนั้นเราจึงเริ่มพิจารณาธรรม ดังการ เห็นทุกข์โดยที่จิตเราไม่เศร้า เเต่เป็นอารมณ์จิตที่เห็นธรรมดา รู้เท่าทันสภาวะความไม่เที่ยง เพื่ออารมณ์จิตที่ต้องการคือการปล่อยวาง

    เพราะเราลองมาหาเหตุว่า เราทุกข์เพราะอะไร หาให้พบ กำหนดรู้ แล้ววางความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย

    เมื่อหมดความอยากเกิด เราก็หมดทุกข์ เพราะเมื่อเกิด ก็ย่อมมีความทุกข์ติดตามมา

    เมื่อเห็นทุกข์เราย่อมน้อมจิตออกจากสงสารวัฏฏ์

    จนจิตเราตั้งมั่นกับพระนิพพานในที่สุด

    เมื่อจิตเราแนบในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน กำหนดพระนิพพานเป็นที่ไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์เราไม่ต้องการ สวรรค์ พรหม อรูปพรหม เราไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

    ขอให้ถึงฝั่งพระนิพพานตามที่อธิฐานจิตในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
  15. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    เรียนอาจารย์คณานันท์และทีมงานพลังจิตฯ

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ไรท์แผ่นดีวีดีคำสอนหลวงพ่อฤาษี ซึ่งผมได้รับจากทีมงานพลังจิตฯ และซีดีการฝึกมโนมยิทธิ อย่างละ 2 ชุด ถวายพระอาจารย์องค์หนึ่งที่วัดชีแวะ จังหวัดลพบุรี พระอาจารย์องค์นี้ศรัทธาหลวงพ่อฤาษีเป็นอย่างมาก ท่านได้นำแผ่นดีวีดีและซีดีคำสอนฯ ที่ผมมอบให้ไปเปิดกระจายเสียงภายในวัดทุกวันด้วย เพื่อเผยแพร่ให้พระในวัดและอุบาสกอุบาสิกาที่ไปทำบุญได้ฟังและปฏิบัติ ซึ่งนับเป็นการเผยแผ่ธรรมะของพระศาสดาและประกาศเกียรติคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีที่เคารพนับถืออย่างสูง

    จึงเรียนมาเพื่อเชิญร่วมอนุโมทนาด้วยครับ
     
  16. ประตูสู่ทางสว่าง

    ประตูสู่ทางสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,173

    อนุโมทนา ครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โมทนาบุญด้วยครับ ขอธรรมมะของพระพุทธองค์ ได้ประสิทธิ์ประสาทที่ดวงจิตผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมด้วยเทอญ
     
  18. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    สพฺ ทานํ ธมฺ ทานํ ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง

    อนุโมนาด้วยครับ _/\_
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมของท่านอื่นต่อไปครับ





    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ remixsong
    สวัสดีครับ อ.คณานันท์
    หลังจากที่ นั่งสมาธิจนถึงอารมณ์หยุด ของ อรูปฌานแล้ว จึงเกิดแสงสว่างส่องลงมาจากข้างบน บางครั้งก็ทางซ้าย บ้างครั้งก็ทางขวา
    บางครั้งก็ทั้ง ซ้ายและขวา บางทีก็เกิดดวงแสงสว่าง ถึง 3 ดวง ส่องลงมา ดวง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง สลับกันไป ผมพยายามจะพุ่งจิตไปตามแสงนั้น แต่ว่าจิตไม่พุ่งออกไป
    กลับกลายเป็นว่าจิตไปจับที่ดวงแสงสว่างแล้ว ดูดซับเอาพลังจากแสงที่ส่องลงมา ทำให้สมาธิมีกำลังมากยิ่งขึ้น จากปกติ สมาธิถึงอารมณ์หยุดแล้ว
    ไม่เคลื่อนต่อไปแล้ว กลับกลายเป็นว่าสมาธิเคลื่อนขึ้นไปอีกจน ร่างกายรู้สึก ชา มากขึ้นกว่าเดิม หรือคล้ายกับว่าจิตแยกออกจากกายมากกว่าเดิม
    จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ จิตถึงอารมณ์หยุดของ กรรมฐานกองนั้นๆ ตั้งแต่ อานาปานสติ-กสิณภาพพระ-อรูปฌาน เมื่อจิตถึงอารมณ์หยุด ของ อรูปฌาน
    แล้วผมพยายามที่จะพุ่งตามแสงไปให้ได้ พร้อมกับนึกในใจว่า ขอไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน พร้อมกับเปิด mp3 ของ หลวงพ่อฟังไปด้วย
    ร่างกายเริ่มชาไร้ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ทั้งหมด แต่ก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว จิตจึงเริ่มตามแสงไปหาแหล่งที่มาของแสงนั้น
    (ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้ที่เรียกว่าจิตเดินทางย้อยกลับไปหาดวงจิตดั้งเดิมหรือจิตใต้สำนึกหรือเปล่าครับ)
    เมื่อตามแสงไปเรื่อยๆสักพักมีอาการคล้าย หลับกระทัน หรือตกภวังค์ แล้วก็เกิดแสงคล้ายแสงแฟลตกล้องถ่ายรูป ส่องมาที่ใบหน้า แว็บหนึ่ง
    แล้วก็รู้สึกคล้ายกับจิตแยกออกไป เมื่อสติกลับมาอีกครั้ง กลับมาเพ่งดูที่จิต กลับเห็นเป็นโฟลงยาวไปข้างหน้าเป็นเส้นทางคล้ายโพลงหนอนดำมืด
    รู้สึกว่าจะขยับไปมาซ้ายขวา เหมือนกับกำลังจูนหาเคลื่อนความถี่อะไรประมาณนี้ โดยที่เราไม่ได้บังคับอะไรเลย ตอนนั้นผมนอนแน่นิ่งเหมือนตายแล้ว
    แล้วก็รู้สึก มีสายใยเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่างภาพที่ปรากฏกับจิตที่เห็นเป็นโพลงยาวไปข้าง หน้า ส่วนภาพที่ปรากฏนั้น เป็น ภาพพระพุทธเจ้า
    ขณะประทับนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์กำลังเทศน์สอนธรรมกับพระสงฆ์ สาวกหลายสิบรูป เป็นภาพสมัยพุทธกาล เวลากลางวัน ภาพที่เห็นเหมือนจริงมาก
    แต่ว่าผมก็เกิดสงสัยว่า ตั้งกำลังใจไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน แต่ว่ากลับกลายเป็นไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล
    จากนั้นผมจึงทรงกำลังไว้ซักพักหนึ่งแล้ว คล้ายออกมา กว่าจะขยับตัวได้ก็หลายนาทีเพราะว่าร่างกายชาไปหมด อยากถามว่าอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด
    นี้เรียกว่ายังไงครับ อ.คณานันท์
    ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    เป็นความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมอย่างสูงของคุณเลยครับ

    การเจริญกรรมฐานอย่างละเอียด และตั้งใจให้เกิดผลแห่งการปฏิบัติ


    จนเกิดสภาวะธรรมที่ปรากฏเป็นลักษณะเฉพาะตนครับ

    เราตั้งใจใช้กำลังของมโนมยิทธิหรือการถอดจิตถอดกายทิพย์แบบเต็มๆ ขึ้นไปฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์ บนพระนิพพาน

    แต่พระพุทธเจ้้าท่านสงเคราะห์ คุณในลักษณะเฉพาะ

    เป็นการได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์เมื่อครั้งท่านดำรงพระชนม์ชีพอยู่

    ดังนั้นเอาก็อาศัยกำลังใจตรงจุดนี้ ตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า เมื่อเกิดสภาวะที่ปรากฏดังกล่าวอีก

    หรือจะเป็นด้วยกำลังที่ เราได้ไปกราบฟังธรรมจากพระพุทธองค์บนพระนิพพานก็ดี

    ให้เราตั้งกำลังใจว่า เราได้ฟังธรรมสอนธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์เมื่อครั้งที่ท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยู่

    และขอให้การเข้าถึงธรรมก็ดี การบรรลุธรรมแบบฉับพลันก็ดี ปรากฏขึ้นกับดวงจิตของเราให้เข้าถึง โลกุตระญาณได้โดยง่าย โดยฉับพลันด้วยเทอญ

    ขอโมทนาบุญกับความตั้งใจและความก้าวหน้าในการปฏิบัติครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สวัสดีครับ อ.คณานันท์
    ผมขอถามอีกเรื่องหนึ่งนะครับ ครือว่า ผมรู้สึกถึงอารมณ์พระนิพพาน เป็นความรู้สึกที่เย็น เบาสบาย เป็นสุขมากที่สุดเลยก็ว่าได้
    ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้ประมาณ 5 วันต่อเนื่องกัน จากนั้นก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย ทั้งที่ผมก็ทำแบบเดิมทุกอย่าง แต่หลังจากที่อารมณ์พระนิพพานเกิดขึ้น
    สมาธิก็ทรงตัวดีมาตลอด เวลาอยู่ใน ณาน4 หรืออรูปณาน ก็ไม่มัดแน่นทรงตัวเหมือนเมื่อก่อน รู้สึก พอดีๆ นั่งสมาธิทีหนึ่งได้ 2-3 ชั่วโมง
    ตอนนี้ก็เลย เอา mp3 วิปัสสนาญาณ ๙ ของหลวงพ่อมาฟัง รู้สึกอารมณ์พระนิพพานเริ่มจะเข้ามาอีกละ แต่ก็ยังไม่เข้าถึงที่สุด นี่หมายความว่าเราต้อง
    พิจารณา วิปัสสนา ให้มากขึ้นกว่าเดิมใช่ใหมครับ ถึงจะเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้อีกครั้ง
    สุดท้ายนี้ผมมีความประสงค์จะบริจาคเงิน เพื่อการสร้างพระเจ้าองค์แสน ภายใน 3 วันนี้ผมจะโอนเงินไปให้นะครับ
    ขอบคุณมากครับ
    ต้องเจริญวิปัสนาญาณเอาไว้เรื่อยๆครับ

    ช่วงที่ปรากฏอารมณ์พระนิพพานติดๆกันนั้น เป็นช่วงที่เรียกว่า "จิตแนบในอารมณ์กรรมฐาน"

    ซึ่งเราควรอธิฐานวสีเพื่อให้อารมณ์จิตนั้นทรงตัวและเราเข้าสู่อารมณ์จิตนั้นได้ทุกครั้งที่เราต้องการครับ

    อย่างไรก็ดี อย่าได้ลืมอารมณ์จิตที่เบาสบายครับ เพราะ ช่วงที่อารมณ์แนบนั้นแล้วเราเกิดไปเร่งการปฏิบัติหรือตึงไปหนักไป อารมณ์จะหนักขึ้นจน จิตหลุดออกจากอารมณ์ที่แนบ หรือเกิดวิปัสนูปกิเลสเข้ามาได้ครับ

    ประคับประคองอารมณ์ใจเราให้เป็นอารมณ์ที่เบาในอารมณ์พระนิพพานและใจสะบาย เห็นทุกอย่างเป็นครูสอนในวิปัสนาญาณเรื่องกฏไตรลักษณ์เป็นสำคัญครับ

    หมั่นพิจารณาตัดสังโยชน์สิบโดยใช้กำลังของสมาบัติแปด แบบสบายๆ ทบทวน กลับไปมา โดยค่อยๆละเอียดขึ้นจนใจเรา เห็นจริงในจิตที่ละสังโยชน์ออกไปทีละข้อ ทีละน้อย ๆ

    ขอให้ก้าวหน้าเจริญในธรรมจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ครับ

    ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...