สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    พระโพธิสัตว์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 11 ก.ย. 2559
    ( ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุแล้ว )

    เราคงเคยได้ยินเรื่องราวของพระโพธิสัตว์กันมาบ้าง แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนคือพระโพธิสัตว์ เราก็คงจะดูจากสิ่งที่พระท่านทำ เช่น ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเทศน์โปรดสัตว์ ชอบสร้างวัด-สะพาน-โรงพยาบาล ฯลฯ เราก็คงต้องใช้การเดาและมองดูกันเพียงเท่านั้นเพราะเรื่องนี้ยังไม่เคยมีตำราเขียนเอาไว้ มันเป็นเรื่องนอกตำรา ทำให้ผมคิดว่าจะเล่าเอาไว้ดีไหมเพื่อให้เป็นข้อมูลบันทึกไว้ในโลก

    เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วกว่า 30 ปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนทราบกันน้อยมาก สมัยนั้นพระองค์นี้ท่านยังเป็นฆราวาสท่านยังไม่ได้บวช ท่านยังทำงานเป็นพนักงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อท่านได้เริ่มมาฝึกวิชชาธรรมกายของวัดปากน้ำแล้วประมาณ 2 ปีท่านก็ได้ถึงธรรมกาย และได้เข้าไปกราบขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ วันหนึ่งท่านก็เกิดความประหลาดใจที่เห็นพระธรรมกายของท่านนั้นปรากฏว่ามีฉัตรอยู่เหนือพระเศียร เป็นฉัตร 3 ชั้นแบบเดียวกับที่เขาสร้างถวายพระประธานในโบสถ์

    ท่านก็เลยเกิดความสงสัยว่าเป็นการนึกเห็นไปเองหรือว่ามีฉัตรอยู่จริงกันแน่ เพราะแม้แต่ในตำราของวิชชาธรรมกายหรือตำราทางสมาธิของสายอื่นๆ ก็ไม่เห็นมีใครบอกไว้ ครูบาอาจารย์หรือผู้ที่ถึงธรรมกายท่านอื่นๆ ก็ไม่มีใครพูดถึง “ท่านเห็นน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่” คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่เหล่านักปฏิบัติจะต้องเตือนตนเองอยู่เสมอๆ

    ท่านจึงได้นำความสงสัยนี้ไปถามกับหลวงพ่อภาวนาซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน หลวงพ่อภาวนาท่านจึงได้ใช้ญาณทัศนะทำการตรวจสอบให้ แล้วท่านก็กล่าวยืนยันว่าพระธรรมกายของลูกศิษย์ท่านนี้มีฉัตรอยู่จริง เหตุที่มีฉัตรประดับไว้ก็เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระนิยตโพธิสัตว์คือพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว อ๋อ...นี่เองที่คนโบราณท่านจึงสามารถบอกได้ว่าพระองค์ไหนคือพระโพธิสัตว์ ก็เพราะท่านคงเห็นว่าพระธรรมกายของพระองค์นั้นมีฉัตรประดับอยู่นั่นเอง

    นอกจากพระธรรมกายของหลวงป๋าท่านจะมีฉัตรแล้ว ก่อนหน้านั้นในสมัยที่หลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช มีอยู่วันหนึ่งท่านได้ตัดสินใจว่าชาตินี้จะขอสร้างบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจึงเข้าห้องพระจุดธูปเพื่ออธิษฐานสร้างบารมีต่อหน้าพระพุทธรูป ในวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าได้เกิดปาฏิหาริย์มีจักรปรากฏขึ้นที่กลางฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้างของท่าน จักรปรากฏเป็นเนื้อนูนกลมๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นสักขีพยานว่าท่านคือหน่อเนื้อแท้พระโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต เป็นหลักฐานตราตั้งของพระโพธิสัตว์และเป็นกำลังใจให้ท่านมั่นใจว่าการสร้างบารมีของท่านนั้นได้รับการรับรู้จากเบื้องบนและจะสำเร็จแน่นอน เนื้อนูนรูปจักรนี้ได้ปรากฏอยู่ประมาณ 7 วันจึงจางหายไป

    ต่อไปนี้ถ้าเราตรวจโดยใช้ญาณของพระธรรมกายแล้วเห็นว่าใครมีฉัตรประดับอยู่ก็พอจะบอกได้ว่าท่านผู้นั้นคือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งแน่นอน และเมื่อท่านผู้นั้นได้สร้างบารมีเพิ่มมากขึ้น จำนวนชั้นของฉัตรก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 5 ชั้น 7 ชั้น และสูงสุด 9 ชั้นตามลำดับ และเวลาที่พระโพธิสัตว์ท่านนั้นจะต้องไปเดินทำธุระอยู่กลางแดด ฉัตรเขาก็จะทำหน้าที่บังความร้อนจากแสงพระอาทิตย์ให้ ฉัตรนี้เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เพราะเขาเป็นฉัตรกายสิทธิ์เป็นของเป็นไม่ใช่ของตายนะครับ เรื่องนี้ผม (อู๋) เล่าออกมาจากความทรงจำของผมเมื่อ 30 กว่าปีมาแล้ว....


    **********************************
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    43878994_2351743464839152_1253665275409072128_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ติดอาลัยก็ไปนิพพานไม่ได้

    "อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ"
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะคือนิพพานมีอยู่
    ไม่ใช่อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่อายตนะภายนอก ภายใน เป็นอายตนะสำหรับดึงดูด ดึงดูดเหมือนอายตนะของโลกเหมือนกัน ไม่ใช่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะเครื่องดึงดูดดังกล่าวแล้ว เมื่อรู้จักอายตนะเหล่านี้ละก็จะฟังเรื่องนิพพานนี่ออกได้ต่อไป

    ต่อนี้ก็จะแสดงเรื่องนิพพานว่า บัณฑิตละธรรมดำเสีย ยังธรรมขาวให้เจริญขึ้น เมื่อธรรมขาวเจริญขึ้นแล้ว อาศัยนิพพาน ไม่มีอาลัย จากอาลัย หรือจากอาลัย อาศัยนิพพาน

    อาลัยนะคือเป็นอย่างไรละ จากอาลัยนะ อาลัยนะซิมันให้ตั้งบ้านตั้งเรือนเป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่นี่ อาลัยนะซิถอนมันไม่ออกหนา อาลัยรูป อาลัยเสียง อาลัยกลิ่น อาลัยรส อาลัยสัมผัส อาลัยพร้อมกันไปหมดทีเดียว อาลัยถอนไม่ออก อาลัยนั้นถอนไม่ออก ท่านถึงได้วางตำรับตำราไว้ว่า

    "อาลยสมุคฺฆาโต" ให้ถอนอาลัยออกเสีย ถ้าถอนอาลัยไม่ได้ ก็ไปนิพพานไม่ได้ ก็เป็น วฏฺฏขานุ เป็นหลักตออยู่ในโลกเท่านั้น ไม่ไปไหน ติดอยู่ในโลกนี้ ไปไม่ได้เพราะติดอาลัย อาลัยนั้นแหละมันทำให้ติด เพราะรู้ตัวของตัวอยู่ทุกคนนี่ ติดอยู่ด้วยอะไร อาลัยนี่เอง

    ทำไมเราจะถอนอาลัยอันนี้ได้ละ อาลัยเป็นอย่างไร นกกะเรียนว่ายน้ำในเปือกตม มันนิยมนักในเปือกตมนั่นนะ นกกะเรียนมันไม่ขึ้นมาจากเปือกตมนะ มันเพลิดเพลินของมันทีเดียว กว่ามันจะขึ้น มันล่องลอยไปทางซ้ายทางขวาทางหน้าทางหลัง วกไปวกมาๆ เพลินอยู่ในเปือกตมนั่น ชุ่มชื่นของมัน ชุ่มชื่นสบายอกสบายใจของมัน รื่นเริงบันเทิงใจของมัน มันไม่อยากจะขึ้นเลยทีเดียว มันพิเร้าพิรึงอยู่กับเปือกตมของมันนั่นแหละ

    นี้แหละฉันใด สัตว์โลกที่ติดอาลัย ก็เหมือนอย่างกับนกกะเรียนติดเปือกตมอย่างนี้แหละ ถอนไม่ได้ ถอนก็ติดโน่นติดนี่ ติดทางนั้นติดทางนี้ ก่อนเราเกิดเขาก็ติดกันอยู่อย่างนี้แหละ

    เมื่อเราเกิดมาก็ติดอยู่อย่างนี้แหละ ติดอยู่เหมือนกันทั้งนั้น ก็เมื่อนี้เป็นของเราเมื่อไรเล่า ตัวก็ไม่ใช่ของเรา อ้ายลูกก็ไม่ใช่ของเรา อ้ายผัวก็ไม่ใช่ของเรา เมียก็ไม่ใช่ของเราเหมือนกัน อ้ายหลานว่านเครือก็ไม่ใช่ของเรา เงินทองข้าวของไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ทั้งนั้น เขาสำหรับภพ 3 ของเขา

    เราก็มาในภพ 3 ก็ใช้ของภพ 3 ไป ร่างกายมนุษย์ก็ใช้ของภพ 3 เขาไปเกิดในภพทิพย์ก็ใช้ในภพทิพย์เขา เกิดในจาตุมหาราช ดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ดีวิเศษขึ้นไปกว่านี้อีก ก็ถึงกระนั้น ก็ติดอยู่ไม่ได้

    เมื่อรู้จักความจริงเช่นนี้ อย่าได้กริ่งใจอะไร อย่าได้สงสัยอะไร ถ้ารู้จักชัดเสียเช่นนี้ แล้วก็มีธรรมกายแล้วจะได้เห็นปรากฏหมดทุกสิ่งทุกประการ เห็นแล้วและได้รู้แล้ว ก็จะติดทำไมเล่า เมื่อติดอาลัยหรือ ก็ปล่อยอาลัยเสีย

    ฉะนั้น ท่านจึงได้วางตำรับตำราไว้ว่า อาศัยนิพพาน ไม่มีอาลัย จากอาลัย อาลัยอันนั้นไม่เกี่ยวกับนิพพาน ต้องหลุดจากอาลัยอันนั้น จึงจะไปนิพพานได้ บอกชัดอย่างนี้นะ.

    ________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    ________________
    ที่มา
    บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง
    "ติลักขณาทิคาถา"
    7 สิงหาคม 2497
    ______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า

     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    - เหตุแห่งทุกข์คือมารนั่นแหละ.

    การปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกายนั้น ให้สามารถเข้าไปเห็น แล้วจึงรู้

    ที่พูดทั้งหมดนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านสอนไว้ ครูบาอาจารย์ท่านสอน และผู้ถึงธรรมกายเขาเห็นตามนี้ นี้เป็นสัจจธรรม สัจจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รวมเบ็ดเสร็จเป็น"#ทุกขสัจจะ" "#สมุทัยสัจะ"

    เหตุแห่งทุกข์ คือมารนั่นแหละ

    มีกิเลสมาร มารคือกิเลส

    ขันธมาร มารคือความเจ็บไข้ได้ป่วย

    มัจจุมาร มารคือความตาย

    เทพบุตรมาร คือเทพบุตรที่มีธาตุธรรมภาคดำมาก เป็นมิจฉาทิฏฐิ

    อภิสังขารมาร คือความปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายบาปอกุศลให้ได้รับผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนยิ่งๆลงไปตามลำดับ ไม่ใช่ยิ่งๆขึ้น เช่นว่า ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ด้วยความโลภ โกรธ หลง

    เป็นมนุษย์ก็ยังโง่ แล้วยังต้องตายไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์เดรัจฉานโง่หนักเข้าไปอีก ต่ำๆลงไปจนเป็นสัตว์เซลล์เดียว เหมือนแพลงตัน หรือตัวไร้น้ำ มันพัฒนาเลวลงด้วยอำนาจของภาคมาร คือไปรับอธรรม ไปประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจาและใจ ตามอำนาจของกิเลส มีโลภ โกรธ หลง ตกต่ำลงไปเหมือนก้อนศิลาตกลงไปในบ่อที่ไม่มีก้น คือไม่มีทางกลับดีขึ้นมา หรือมีทางแต่กลับขึ้นมาได้ด้วยยาก

    ฝ่ายบาปอกุศล จำเพาะกิเลสมาร เมื่อทำมากๆเข้าเป็น"#อาสวะ" หมักดองในจิตสันดาน ทำมากๆเข้าเป็น"#อนุสัยกิเลส" เหล่านี้เรียกว่า"#เจตสิกธรรม" คอยเกิดขึ้นพร้อมกับอกุศลจิต ที่เมื่ออายตนะภายใน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกระทบกับอายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกาย เป็นต้น แล้วเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง

    สุขเวทนา เช่น นี่น่ารัก น่าใคร่ เป็นเหตุให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทานขึ้นมา ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมัน จึงเป็นทุกข์

    หรือ ถ้าว่าแทนที่จะเป็นสุขเวทนา ก็เป็นทุกขเวทนา ไม่ชอบใจ เกลียดชัง เปิดโอกาสให้กิเลสประเภทโทสะ หรืออิจฉาริษยา หรือมานะทิฏฐิ ครอบงำจิตใจ ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมัน นี่แหละ กิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นภาคมาร หรือฝ่ายบาปอกุศล

    เพราะฉะนั้น เมื่อเราทราบดังนี้แล้ว เข้าใจดังนี้แล้ว ทำอย่างเดียว เป็นฝ่ายบุญกุศล ง่ายนิดเดียว "#ใจหยุด-#ใจนิ่ง" ตัวเดียวในเบื้องต้น หยุดความชั่วส่วนหยาบ ได้แก่ หยุด-เลิก-ละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ทำแต่ความดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น....

    ________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ________________
    ที่มา
    ธรรมปฏิบัติเบื้องต้น
    หนังสือตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    ________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
    ขอบพระคุณภาพประกอบธรรมะ.



    40432628_990842321123815_3953375382874357760_n.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    - ธาตุธรรมส่วนหยาบนี้เป็นแต่เพียงหุ่น
    ให้ฝ่ายบุญ หรือฝ่ายบาป หรือฝ่ายกลางๆ
    เชิดไปวันหนึ่งๆเท่านั้นเอง.

    ธาตุธรรมส่วนละเอียดนี้
    ถูกปกครองโดยฝ่ายใด
    ฝ่ายนั้นก็จะให้ผล ดลจิตดลใจและกาย-วาจา
    ให้เป็นไปตามอำนาจของตน

    นี่..แปลว่า
    ธาตุธรรมส่วนหยาบนี้เป็นแต่เพียงหุ่น
    ให้ฝ่ายบุญ หรือฝ่ายบาป หรือฝ่ายกลางๆ
    เชิดไปวันหนึ่งๆเท่านั้นเองแหละครับ

    #เฉพาะฝ่ายบุญกุศลหรือฝ่ายพระ
    กล่าวโดยลำดับชั้น ได้แก่

    การบริจาคทาน การสมาทานศีล และการเจริญภาวนา
    ศีล สมาธิ ปัญญา
    อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
    ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    โคตรภู พระโสดา พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหัต
    ถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    #ส่วนฝ่ายบาปอกุศลหรือฝ่ายมาร นั้นหมายถึง
    ฝ่ายที่ขัดขวางหรือกีดกั้นบุญกุศล ๕ เหล่า ได้แก่

    กิเลสมารทั้งสามตระกูล คือ โลภะ โทสะ และโมหะ
    ขันธมาร ได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย
    มัจจุมาร คือ ความตาย
    อภิสังขารมาร คือ ผลบุญและบาป ที่ปรุงแต่งสัตว์ให้ดี/เลว ประณีตกว่ากัน
    และ เทพบุตรมาร เป็นต้น

    #อนึ่ง_กระผมใคร่จะขอทำความเข้าใจอีกสักนิด ที่ว่า..ผลบุญที่ปรุงแต่งสัตว์ที่นับเนื่องเข้าอยู่ในอภิสังขารมารนั้น หมายเฉพาะผลบุญที่ดึงหรือถ่วงมนุษย์ให้ติดอยู่กับโลก หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผลบุญที่ให้ได้รับความสุขทางโลกแต่ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆได้ เพราะยังจะเป็นเหตุให้วนเวียนอยู่ในไตรวัฏฏ์ คือ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ และ วิปากวัฏฏ์ เช่น ความงาม ยศฐาบรรดาศักดิ์ และรวมทั้งโลกียฌาน หรือโลกียทรัพย์อื่นทั้งหลาย เป็นต้น

    #เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่า
    ธรรมทั้งหลายย่อมมีมาแต่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นเหตุแต่ฝ่ายพระ หรือฝ่ายมาร หรือจากฝ่ายกลางๆ

    #ถ้าจะพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปอีก
    ก็จะเห็นมีเหตุในเหตุต่อๆไปอีก และเหตุในเหตุก็ยังจะมีต้นๆเหตุ ต้นๆในต้นๆ ต่อๆไปอีก

    #วิชชาธรรมกาย จะช่วยเปิดเผยให้เห็นความจริงเหล่านี้ ได้เป็นอย่างดีทีเดียวล่ะครับท่านผู้ฟัง เมื่อสามารถเข้าถึงต้นๆเหตุได้มากเพียงใด ก็ย่อมจะสามารถแก้ไขที่ต้นๆเหตุนั้น ให้ร้ายกลับกลายเป็นดีได้มากเพียงนั้น

    กล่าวคือ ถ้าผู้เจริญภาวนาเข้าถึงฝ่ายพระ ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา อันมีนัยอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ ได้มากเพียงใด ธรรมส่วนละเอียดก็จะถูกปกครองโดยฝ่ายพระ หรือฝ่ายบุญ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเพียงนั้น ก็จะเป็นผลให้เห็น,จำ,คิด,รู้ สะอาดขึ้น และธาตุธรรมส่วนหยาบได้รับผลดีขึ้นด้วย

    และในขณะเดียวกัน ก็กำจัดความไม่บริสุทธิ์ คือ ธาตุธรรมฝ่ายดำหรือมารทั้งหลาย ให้หมดไปจากธาตุธรรมดังกล่าว โดยอัตโนมัติ

    #พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงได้ย้ำนักหนาว่า
    ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้น่ะสำคัญนัก
    ให้เอาใจไปจรดไว้ที่นั่นเสมอ ทุกอิริยาบถเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะในขณะเดิน,ยืน,นั่งหรือนอน หรือในขณะไหว้พระสวดมนต์ และอธิษฐานปรารถนาในสิ่งที่ดีที่ชอบทั้งหลาย เพราะที่ศูนย์กลางกายนี้มีอานุภาพยิ่งกว่าที่ใดๆทั้งสิ้น การกระทำใจให้หยุดในหยุดลงที่นั้น จึงมีผลมาก.

    ___________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ____________________
    ที่มา
    บางตอนจากหนังสือ
    ธรรมสู่สันติ เล่ม ๑
    _____________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
    ขอบพระคุณภาพประกอบธรรมะ.
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    27459511_1982960128384156_3299727646897232924_n-jpg.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ...........ทานในรัตนะทั้ง6 จากคำสอนหลวงปู่สด.................

    a.jpg






    วันนี้ท่านเจ้าภาพได้บริจาคทาน ถูกทักขิไณยบุคคล ผู้มี
    ธรรมกายมากด้วยกัน บุญกุศลจึงยิ่งใหญ่ไพศาลไหลมาสู่
    สันดานของเจ้าภาพ ติดอยู่ท่ามกลางศูนย์กลางที่ทำให้เป็นกาย
    มนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่อยู่กลางดวงนั้น ฯ

    ถ้าบุคคลทำบุญได้อย่างนี้แล้ว ให้เอาใจไปจรดอยู่ศูนย์
    กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุ
    ซ้าย กลางกั๊กนั้น ให้เอาใจจรดให้ถูกต้องตรงกลางดวงนั้น เมื่อ
    ต้องทุกข์ภัยอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ระลึกถึงดวงบุญที่ตนได้
    กระทำไว้ อย่าไประลึกนึกถึงสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ดวงบุญของตน ฯ

    เมื่อเราบริจาคทานและตามระลึกถึงบุญอย่างนี้แล้ว ภัย
    อันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดทำอะไรไม่ได้จะประกอบกิจการ
    งานอย่างใด ก็เกิดลาภและสักการะยิ่งใหญ่ไพศาลก็เพราะนึกถึง
    บุญนั้น บุญย่อมนำผลสมบัติมาให้ในปัจจุบันนี้เชียว ฯ


    ทานในพระปรมัตถ์ ๖ คือมีอายตนะ ๖
    คือ ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์


    ถอนความยินดีในอารมณ์เหล่านี้ออกเสียได้ สละความ
    ยินดีในอารมณ์เหล่านี้เสียได้ ก่อนเราเกิดมาเขาก็ยินดีกันอยู่
    อย่างนี้ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านี้
    ครั้นเราจะตายเขาก็ยินดีใน รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    ธรรมารมณ์ อย่างนี้เหมือนกัน ความยินดี เหล่านี้ หากถอน
    อารมณ์ออกเสียได้ไม่ให้มาเสียดแทงเราได้พิจารณาว่านี้เป็น
    อารมณ์ของชาวโลก ไม่ใช่อารมณ์ของธรรม ปล่อยอารมณ์
    เหล่านั้นเสีย ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้เข้าไปเสียดแทงใจ ทำใจให้
    หยุด ให้นิ่ง นี่เขาเรียกว่า ให้ธรรมารมณ์ เป็นทาน ย่อมมีกุศล
    ใหญ่ เป็นทางไปแห่งพระนิพพานโดยแท้ และเป็นทานอันยิ่ง
    ใหญ่ทางปรมัตถ์ ฯ

    รู้จักพระรัตนตรัย

    เราเป็นพุทธศาสนิกชน หญิงก็ดี ชายก็ดี เป็นคฤหัสน์หรือ
    บรรพชิตก็ตาม ต้องรู้จักพระรัตนตรัยนี้ ถ้าไม่รู้จักรัตนตรัยทั้ง
    สามนี้แล้ว การนับถือศาสนาปฏิบัติในศาสนาเอาตัวรอดไม่ได้
    ถ้าได้เข้าถึงพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ แล้วก็แก้
    โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆให้หายได้บ้าง ทำอะไรได้ผลอันศักดิ์สิทธิ์
    บ้าง นั่นก็เพราะคุณของรัตนตรัยที่มีอยู่ในตัวเรา แต่หากใช้ไม่
    เป็นก็ไม่ปรากฏเหมือนกัน ถ้าใช้เป็นทำเป็นถูกส่วนเข้าแล้วเห็น
    ปรากฏ จริงแต่ว่าเป็นชั้น ๆ เข้าไป ไม่ใช่เป็นของง่าย เป็นของ
    ยากลำบากอยู่ จะว่ายากก็ไม่ยากจนเกินไป จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย
    จนเกินไป หรือว่าไม่ยากไม่ง่ายนั้นก็ถูก คือ ไม่ยากสำหรับคนที่
    ทำได้ ปฏิบัติได้ ไม่ง่ายสำหรับคนที่ทำไม่เป็นปฏิบัติไม่ถูก คน
    ทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่เป็นก็บอกว่ายาก แต่คนทำได้ ปฏิบัติถูกก็
    บอกว่าง่าย เพราะฉะนั้นจึงว่าไม่ยากไม่ง่าย ไม่ยากแก่คนทำ
    ได้ ไม่ง่ายแก่คนที่ทำไม่ได้ หลักนี้เป็นของสำคัญนัก เพราะเป็น
    ชั้น ๆ เข้าไปให้รู้จักกายเหล่านี้เสียก่อน ให้รู้จักพระรัตนตรัยเสีย
    ก่อน ถ้าไม่รู้จักพระรัตนตรัยเสียก่อนแล้วเอาหลักไม่ได้ ถึงจะฟัง
    ธรรมฟังเทศน์ไปสักเท่าใด ก็จับจุดเอาหลักไม่ได้

    พระรัตนตรัยนั้นอยู่ในตัวของเรานี่เอง อยู่ตรงไหน อยากจะ
    พบ ตัวของเรามีศูนย์กลางอยู่คือ สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย
    สมมติว่าเราขึงด้ายกลุ่มเส้นหนึ่ง จากหน้าท้องตรงสะดือทะลุ
    หลัง และอีกเส้นหนึ่งจาก กึ่งกลางสีข้าง ขวาทะลุซ้าย ถึงตรง
    กลางกั๊ก ที่ด้ายกลุ่มนั้นจด จุดที่กลางได้ กลุ่มสองเส้นจดกันนั้น
    แหละเรียกว่า กลางกั๊ก ตรงกลางกั๊กนั้นถูกดวงธรรมที่ทำให้เป็น
    กายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ ให้เอาใจไปหยุด
    อยู่ตรงกลางกายมนุษย์นั้น ตรงกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย
    มนุษย์ ที่ตรงนั้นแหละเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น มีแห่งเดียว
    ก่อนมนุษย์จะมาเกิด หญิงก็ดี ชายก็ดี ต้องเอาใจไปจรดตรงนั้น
    จึงเกิดได้ ถ้าไม่หยุด ไม่นิ่ง เกิดไม่ได้ พอหยุดถูกส่วนเข้า เกิด
    ได้ทันที ตรงนั้นแหละ เป็นที่หยุดและเป็นที่เกิด ที่ตาย พอใจ
    หยุดถูกส่วนเข้า ก็เกิดและตาย ตรงนั้นเป็นที่เกิด ที่ดับ แห่ง
    เดียว ไม่ใช่แต่ที่เกิด ที่ดับเท่านั้น ตรงกลางนั้นเวลาจะนอน
    หลับ ใจก็ตรงไปหยุดอยู่ที่ตรงกลางนั้น หยุดนิ่งพอถูกส่วนเข้าก็
    หลับ ถ้าไม่ถูกส่วนตรงนั้นก็ไม่หลับอีกเหมือนกัน หลับตรงไหน
    ตื่นขึ้นก็ตรงนั้น ตรงศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
    ในบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นแหละเป็นที่เกิด ที่ดับ ที
    หลับ ที่ตื่น แห่งเดียว อย่าได้เอาใจไปไว้ที่อื่น ให้เอาใจไปจรด
    ไว้ตรงนั้น จึงจะถูกต้อง พอใจหยุดถูกที่เท่านั้น เราจะรู้สึกตัวที
    เดียวว่า ช่างเป็นสุขอะไรอย่างนี้หนอ ฯ
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    คำว่า “หยุด” เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด เป็นเรื่องของกายหรือใจ ?


    คำว่า “หยุด” ที่หลวงพ่อสด ท่านกล่าวไว้ว่า จะไปทางนี้ต้อง “หยุด” ถ้าไม่หยุดก็ไปไม่ได้ และหยุดอย่างเดียวเท่านั้น สำเร็จ หรือเป็นตัวสำเร็จ อยากกราบถามหลวงพ่อค่ะว่า ในการ “หยุด” นี้ เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด เป็นเรื่องของกายหรือเรื่องของใจคะ ?
    ------------------------------------------------------------

    ตอบ:


    คำว่า “หยุด” ณ ที่นี้หลวงพ่อ (หลวงพ่อวัดปากน้ำหรือหลวงปู่สด) ท่านหมายถึงหยุดทำชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ หยุดกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ด้วยการปฏิบัติไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา(ศีลยิ่ง) อธิจิตสิกขา(จิตยิ่ง) อธิปัญญาสิกขา(ปัญญายิ่ง)


    ในการ “หยุด” ทางใจ นั้นเริ่มด้วยการอบรมใจให้สงบ ให้หยุด ให้นิ่ง เป็นสมาธิแนบแน่นมั่งคง ณ ศูนย์กลางกายเหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ อันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม ด้วยอุบายวิธี 3 อย่างประกอบกัน คือ

    1.อาโลกกสิณ โดยการเพ่งดวงแก้วกลมใส (นึกให้เห็นด้วยใจ เพื่อรวมใจคือความเห็นด้วยใจ ความจำ ความคิด ความรู้ ให้อยู่กับดวงแก้ว และให้รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน)
    2.พุทธานุสสติ ด้วยการให้กำหนดบริกรรมภาวนาว่า “สัมมาอะระหังๆๆ” เพื่อประคองใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ตรงกลางและให้น้อมพระพุทธคุณ คือพระปัญญาคุณและพระวิสุทธิคุณจาก คำว่า “สัมมาอะระหัง” มาสู่ใจเรา
    3.อานาปานสติ สังเกตลมหายใจเข้าออกที่ผ่านและกระทบดวงแก้ว ตรงศูนย์กลางกาย แต่ไม่ต้องตามลม


    เมื่อใจถือเอาปฏิภาคนิมิตได้และหยุดนิ่งตรงศูนย์กลางเหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ อันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิมและเป็นที่ตั้งกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เป็น ณ ภายใน ละเอียดเข้าไปๆ จนสุดละเอียดนั้นแล้ว จิตดวงเดิมจะละปฏิภาคนิมิตและตกศูนย์ไปยังศูนย์กลางกายฐานที่ 6 ถ่ายทอดกรรมเดิมที่เป็นสมาธิ เป็นจิตดวงใหม่ คือ เห็น-จำ-คิด-รู้ อันตั้งอยู่ท่ามกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ที่ผ่องใสบริสุทธิ์จากกิเลสนิวรณ์ ลอยเด่นขึ้นมาพร้อมกับดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ใสสว่างยิ่งนัก เป็นทางให้เข้าถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมที่ละเอียดและบริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้นไปทุกที จนถึงธรรมกายอันเป็นกายที่พ้นโลก และเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องใส รัศมีสว่าง

    นั่นก็คือ ใจยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งไม่สังขาร คือ ไม่ปรุงแต่ง อีกนัยหนึ่ง คือ “หยุดมโนสังขาร” จิตใจก็ยิ่งถึงและเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องใส นั่นเอง นี่เรียกว่า “ใจหยุดในหยุดกลางของหยุด ดับหยาบไปหาละเอียด จนสุดละเอียด”

    เมื่อถามว่า “มีอะไรเป็นเครื่องวัด ?” ก็ตอบว่า มีการเข้าถึงรู้-เห็นและเป็น กายในกาย (รวมเวทนาในเวทนา จิตในจิต) และธรรมในธรรม เริ่มตั้งแต่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายที่ใสแจ่มอยู่ ณ ภายใน ละเอียดเข้าไป ๆ จนสุดละเอียด ถึงธรรมกายและเป็นธรรมกาย ที่บริสุทธิ์ผ่องใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนสุดละเอียดนั่นเอง เป็นทางให้ถึงมรรค ผล นิพพาน

    เพราะเหตุนั้น หลวงพ่อท่านจึงกล่าวว่า “หยุด นั่นแหละ เป็นตัวสำเร็จ” คือ เป็นทางให้ถึงมรรค ผล นิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุข
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    อย่าหลงผิด_ดึงเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา

    พระพุทธดำรัส ว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา จึงหมายเฉพาะสังขารธรรมทั้งหลาย กับธรรมอื่นที่ไม่มีแก่นสารสาระในความเป็นของเที่ยง ในความเป็นสุขที่ถาวรแท้จริง และไม่มีสาระในความเป็นตัวตนเท่านั้น มิได้รวมถึง วิสังขาร คือ พระนิพพาน อันเป็นปรมัตถธรรม ที่มีสาระ (สารํ นิพฺพานํ) เป็นอสังขตธรรม (อสงฺขตํ นิพฺพานํ) และเป็นอมตธรรม (อมตํ นิพฺพานํ)[*15] ด้วยแต่ประการใด

    เพราะเหตุดังนี้ ผู้สนใจศึกษาสัมมาปฏิบัติ พึงเข้าใจความหมายของคำว่า"#อนัตตา" ว่าหมายถึง"#สภาวะของธรรมชาติทั้งปวงที่ไม่มีแก่นสารสาระ ในความเป็นของเที่ยง ในความเป็นสุขที่ถาวรแท้จริง และไม่มีสาระในความเป็นตัวตนของใครที่เที่ยงแท้ถาวรแต่ประการใดด้วย ดังปรากฏในคัมภีร์เนตติวิภาวินี ว่า...

    "อนตฺตาติ นิจฺจสารสุขสารอตฺตสารรหิตตฺตา อสารกฏฺเฐน อนตฺตา, อวสวตฺตนฏฺเฐน วา อนตฺตา."

    "ข้อว่า #อนตฺตา ความว่า #สภาวธรรมทั้งหลาย #ที่ชื่อว่าอนัตตา #เพราะปราศจากสาระว่าเป็นของเที่ยง #ปราศจากสาระว่าเป็นสุข #และปราศจากสาระว่าเป็นตัวตน.

    อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่าอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ (ของตน)."

    [*15] พระไตรปิฎกบาลี ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๗๓๕ หน้า ๖๒๙-๖๓๔.

    ที่มา
    จากหนังสือประสบการณ์การศึกษาสัมมาปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ถึงธรรมกาย และพระนิพพานของพระพุทธเจ้า

    โดย พระเทพญาณมงคล
    (เสริมชัย ชยมงฺคโล-พลพัฒนาฤทธิ์)
    (น.ธ.เอก,ป.ธ.๖,รป.ม.เกียรตินิยม"ดี",มธ.)

    _______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี

    _____________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า


     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    - เมื่อเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงแล้ว มีวิชชาที่ไขอายุให้ยืนยาวขึ้น แต่มีความคิดว่าเมื่ออายุยาวแล้วจะเป็นภาระของคนอื่น จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้มีอายุเพียง 70 ปี อยากทราบว่าจะผิดหรือถูก ?




    ตอบ:

    เรื่องวิชชานั้น ถ้าทำถูกทำดีก็มีผล แต่จะมีผลมากหรือผลน้อยขึ้นอยู่ที่ผู้ทำวิชชานั้นทำถูกเพียงไร ที่พูดมิได้มีเจตนาอวดอุตตริมนุษยธรรมนะครับ พระพุทธเจ้า เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า ถ้าพระอานนท์ได้ทูลขอชีวิตของพระองค์ไว้ให้ยืนยาวแม้เป็นกัปป์ ถ้าพระองค์ทรงรับ ก็ทรงมีพระชนมายุยืนยาวได้ด้วยการเจริญอิทธิบาท 4ในระดับฌาน นั่นหมายถึงว่า วิชชาลึกๆ ของพระพุทธเจ้าทรงมีอยู่ จึงตรัสอย่างนั้นว่า มีได้เป็นได้...
    แต่สำหรับท่านผู้ถามมานี้ ได้ขอไว้ว่าจะขอมีอายุเพียง 70 ปี ได้ใหม ? ไม่มีปัญหา ก็ต้องลองดูซิ และท่านถามว่าจะดีไหม ? ก็ตอบว่า ดี แต่ให้เฉลียวใจสักนิดว่า ถ้าท่านลองอธิษฐานโดยไม่จำกัดเวลา แต่อธิษฐานให้มีชีวิตอยู่ถึงเท่าที่สามารถจะช่วยตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระของคนอื่น ก็อาจจะได้ผลอยู่ว่า การอธิษฐานแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีได้เปรียบกับเสียเปรียบภาคมาร ภาคมารเขาคอยสอดละเอียดอยู่เรื่อย ระวังนะข้ออธิษฐาน แต่ก็แล้วแต่ความพอใจของท่าน สมมติว่า ถ้าเป็นอาตมา อาตมาจะอธิษฐานว่า “ขอให้มีอายุอยู่ทำประโยชน์แก่ตนเองและประโยชน์กับผู้อื่นให้มากที่สุด ให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่สังขารร่างกายนี้ อย่าให้ถึงขั้นต้องลำบากจนช่วยตนเองไม่ได้ และต้องเป็นภาระแก่ผู้อื่นมากมายเลย” ถ้าอธิษฐานอย่างนี้ก็กว้างๆ ดี เป็นอันว่าเราก็ไม่ต้องไปคิดว่าจะตายเมื่อไหร่ อธิษฐานไว้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ไม่ต้องไปคิดว่าจะให้ตายเมื่อนั้นเมื่อนี้อย่างนี้ ก็คงจะดีกว่า
    สมมติว่าทำได้จริง สมมติว่าท่านทำได้ถึงอายุ 90 ปี โดยที่ไม่ต้องให้ใครพยุงลุกพยุงนั่ง สามารถทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้มาก ไม่เอาหรือ ? เพราะว่าสังขารร่างกายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คือบางคนแม้จะมีอายุมากก็ยังแข็งแรงพอใช้ได้อยู่
    ดังตัวอย่างครั้งเมื่อยังเป็นฆราวาส อาตมาเคยไปทอดกฐิน มีโยมคนหนึ่งอายุ 93 ปี นั่งอยู่ใกล้อาตมา เพียงแต่หูตึงไปหน่อยเท่านั้น แก่ปูนนั้นยังสามารถขึ้นบันไดไปพร้อมกับอาตมา ไปวัดหลวงปู่สิม ที่ถ้ำผาปล่อง บันไดเป็นร้อยขั้น แกก็ขึ้นได้ แถมยังสูบบุหรี่ซิการ์ตัวยาว เรานั่งใกล้แก พ่อคุณเอ๊ย เราเมาซิการ์ไปด้วยเลย แกสูบซิการ์ตัวโต พ่นควันขโมง พูดเสียงดัง ทำไมถึงพูดเสียงดัง แกบอกว่าหูมันตึง กลัวคนอื่นไม่ได้ยินเหมือนที่แกไม่ค่อยได้ยินคนอื่นพูด แต่เดินกระฉับกระเฉง เพราะฉะนั้นอย่าไปคาดคะเนว่าแก่เกิน 70 แล้วจะแย่เสมอไป นี้เอาแน่ไม่ได้ ควรตั้งจิตอธิษฐานกว้างๆ ให้มีประโยชน์สูงสุดเอาไว้ คิดให้รอบคอบก่อนอธิษฐาน เวลาจะอธิษฐานอะไร จงคิดให้รอบคอบก่อน จะได้ไม่เสียท่าภาคมารเขา
    การอธิษฐานนี่ดีนะ เวลาเราทำบุญก็จงอธิษฐานว่า ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ถึงมรรคผลนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง ที่เป็นบรมสุข ก็จะเป็นอานิสงส์ส่งผลประคับประคองการดำเนินชีวิตของเรา ให้มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน ให้ตรงแน่วอย่างนี้ดีทั้งนั้นแหละ...



    ***พระเทพญาณมงคล (หลวงป๋า) วัดหลวงพ่อสดฯ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ร้อนด้วย ราคะ โทสะ โมหะ นั้นสำคัญนัก อันนี้จะแก้ไขวันนี้ ว่าเกิดมาจากไหน ราคะ โทสะ โมหะ เกิดมาจากจักขุบ้าง รูป บ้าง ความรู้ทางจักขุบ้าง ความสัมผัสทางจักขุบ้าง มันเกิดมาทางนี้ ต้องแก้ไขทางนี้ แก้ไขทางอื่นไม่ได้ ต้องแก้ไขทาง ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบถูกต้องอายตนะทั้ง ๖ นั้น

    ให้ทำใจให้หยุด หยุดเสียอันเดียวเท่านั้น ดับหมด พอหยุดได้เสียอันเดียวเท่านั้นก็ดับหมด พอหยุดได้เสียก็เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เบื่อหน่ายในทางความรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เบื่อหน่ายในทางสัมผัส

    ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เบื่อหน่ายหมด ต้องทำใจให้หยุดอยู่ ณ ศูนย์กลางกาย ฯ

    อะไรเป็นมรรค อะไรเป็นผล อะไรเป็นนิพพาน มรรคผลนิพพานกายธรรมอย่างหยาบ กายธรรม โคตรภู โสดา สกิทาคา อนาคา อรหัตต์ อย่างหยาบนั่นแหละ เป็นตัวมรรค กายธรรมอย่างละเอียด นั่นแหละ แล้วนิพพานล่ะ ธรรมที่ทำให้เป็นกายโคตรภู โสดา สกิทาคา อนาคา อรหัตต์ พอถึงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัตต์ก็ถึงนิพพานกัน นิพพานอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่มี

    ธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัตต์ ก็ไปนิพพานไม่ได้ ธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัตต์ เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ตัวนิพพานเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม เขาก็ดึงดูดกันรั้งกันไปเอง เหมือนมนุษย์ในโลกนี้ คนมั่งมีเขาก็เหนี่ยวรั้งคนมั่งมีไปรวมกัน คนอยากจนก็

    เหนี่ยวรั้งคนอยากจนไปรวมกัน นักเลงสุรามันก็เหนี่ยวรั้งนักเลงสุราไปรวมกัน นักเลงฝิ่นมันก็เหนี่ยวรั้งนักเลงฝิ่นไปรวมกัน

    ภิกษุก็เหนี่ยวพวกภิกษุไปรวมกัน สามเณรก็เหนี่ยวพวกสามเณรไปรวมกัน อุบาสกก็เหนี่ยวพวกอุบาสกไปรวมกัน อุบาสิกาก็

    เหนี่ยวพวกอุบาสิกาไปรวมกัน มีคล้าย ๆ กันอย่างนี้ แต่ที่จริงที่แท้เป็นอายาตนะสำคัญ อายตนะดึงดูดเช่น โลกายาตนะ

    อายตนะของโลกในกามภพ อายตนะของกามมันดึงดูดให้ข้องอยู่ในกาม คือ กามภพ รูปภพ อายตนะรูปพรหมดึงดูด

    เพราะอยู่ในปรกครองของรูปฌาณ อายตนะดึงดูดให้รวมกัน อรูปภพ อายตนะของอรูปพรหม อรูปฌาน ดึงดูดเข้ารวมกัน

    อตถิ ภิกขเว สฬายตนํ นิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง เมื่อหมดกิเลสแล้ว นิพพานก็ดึงดูดไปนิพพานเท่านั้นให้รู้จักหลักจริงอันนี้ก็เอาตัวรอดได้ ฯ
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    44758229_1019918144882899_1150010508917604352_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.jpg




    ที่สถิตอยู่ของพระนิพพาน (คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว) ที่ดับขันธ์ (คือดับรอบ) เข้าปรินิพพาน #ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สถานที่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า "#อายตนะ"

    นิมิต เป็นเครื่องช่วยให้ใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงถึงอัปปนาสมาธิ โดยมีนิมิตหรือเครื่องหมายเป็นสื่อ ให้รวมใจมาหยุดมานิ่ง ณ จุดใดจุดหนึ่ง

    ถ้าเห็นนิมิตอยู่ภายนอก นั้นเป็นปฏิภาคนิมิตล้วนๆ ภายนอกนั้น เห็น จำ คิด รู้ คือ ใจ มันเล่ห์ได้ เช่นว่า พอใครเห็นนิมิตอยู่ภายนอก จะอธิษฐานเห็นอะไรๆ เดี๋ยวเดียวก็เห็น ใจลำเอียงนิดเดียว ก็เห็นตามที่ใจนึกลำเอียงไว้ก่อนได้ เพราะใจหยุดยังไม่จริง ไม่หยุดนิ่งจริง ความปรุงแต่งจึงยังมีได้ บางทีก็มีมากด้วย

    แต่การนึกให้เห็นด้วยใจ ในครั้งแรกเป็นอุบายวิธีที่กระทำขึ้นเพื่อรวมใจเข้ามา ตั้งแต่บริกรรมนิมิต นึกให้เห็นด้วยใจ อย่างนี้ไม่ผิด ถูกทีเดียว เป็นวิธีให้ได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ให้ได้สมาธิตั้งแต่ระดับขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แล้วใจหยุดนิ่งสนิทจริงๆ เมื่อได้ปฏิภาคนิมิต ก็เป็นสมาธิระดับอัปปนาสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นของ "ปฐมฌาน"

    คนที่เจริญสมาธินอกศาสนา กระทำสมาธิโดยไม่รู้ที่ตั้งของใจ เพราะเขาไม่รู้มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ไม่รู้วิธีเจริญภาวนามีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และ ธรรมในธรรม อันเป็นเอกายนมรรค คือ ทางสายเอก ว่า ฐานที่ตั้งของใจควรจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องอยู่ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมนี้เอง แต่เขาไม่เคยเห็น ก็เลยไม่รู้ว่า เอกายนมรรคอยู่ตรงไหน รู้แต่เพียงตัวหนังสือ

    นี่ ความแตกต่างจากอ่านหนังสือ กับลงมือปฏิบัติภาวนา แตกต่างกันอย่างนี้ ประสบการณ์ไม่มี จึงต่างกันตรงนี้

    ความจริง การเจริญภาวนาสมาธิ มีตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณนานมาแล้ว ก่อนพุทธกาลก็มี แต่เป็นมิจฉาสมาธิ คือ มิได้เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญา มิได้เป็นไปเพื่อละกิเลส แต่ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีบุญบารมีจะพัฒนาวิธีปฏิบัติ เข้าไปสู่จุดนี้เอง ได้แก่ หลวงปู่มั่น หลวงปู่สด เป็นต้น ท่านจึงเอานิมิตเข้าไปพิจารณา ณ ภายใน

    หลวงปู่สด หรือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านทราบเหตุและผล จึงได้ชี้แจงอธิบายออกมาเลยทีเดียวว่า เมื่อใจไปหยุดตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม จิตดวงเดิมตกศูนย์ จิตดวงใหม่ที่ผ่องใสก็จะลอยเด่นขึ้นมา จิตนี้เป็น "วิสุทธิจิต"

    วิสุทธิจิต นี้ มิได้เป็นเพราะการอ่านหนังสือ แล้วเรียก วิสุทธิจิต แต่ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องเป็นที่ใจ ซึ่งอยู่ท่ามกลางวิสุทธิศีล หรือ ศีลวิสุทธิ ศีลที่บริสุทธิ์อยู่ที่ใจ เจตนาความคิดอ่านผ่องใสอยู่นั่น เป็นสีลานุสติ หลวงพ่อท่านเรียก "ศีลเห็น"

    ศีลเห็น เป็นอย่างไร ?

    ถ้าศีลมัวหมอง เห็นเลยข้างใน ไม่ได้เรื่อง มัวหมอง ในใจนี่แหละ สีลานุสติ หรือ ศีลวิสุทธิ ตั้งอยู่ในท่ามกลางของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์-มนุษย์ละเอียด นี่เอง

    เมื่อใจไปจรดนิ่งอยู่ตรงนั้นเข้า ถูกดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย จิตดวงเดิมตกศูนย์ ดวงใหม่ลอยเด่นขึ้นมา ตั้งอยู่ในท่ามกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายดวงใหม่ที่ผ่องใส เพราะฉะนั้น จิตดวงใหม่ละ คือ ปล่อยนิมิตไปแล้ว ดวงเก่าไปแล้ว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย และ ใจดวงใหม่จึงปรากฏขึ้น จึงไม่ใช่ปฏิภาคนิมิตดวงเดิมแล้ว เป็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย แล้วเขาก็ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไป ถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และ ธรรมในธรรม เป็น ณ ภายใน ต่อๆไปจนสุดละเอียดถึงธรรมกาย

    ถ้าจะนับว่า กรณีที่เห็นกายในกาย ธรรมในธรรม นี้เป็นนิมิต คือ สิ่งที่สัมผัสและเห็นได้ เหมือนเรากำลังเห็นซึ่งกันและกัน เห็นอาคารบ้านเรือน เรียกว่านิมิตก็ได้ แต่ เป็นการเห็นนิมิตของจริงโดยสมมติ

    เห็นของสมมติ จะเรียกว่านิมิตก็เรียกไป นิมิตนั่นแหละ สิ่งที่เห็นนั้นมีอยู่จริงในใจเรา ในกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของเรา คือ การพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และ ธรรมในธรรม จากสุดหยาบของกายเนื้อ ไปสุดละเอียดของกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด ... กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด ... กายอรูปพรหม-กายอรูปพรหมละเอียด ไปสุดละเอียดถึงธรรมกาย

    นิมิตในส่วนที่กล่าวนั้นของ "โลกิยะ" ตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ ไปสุดละเอียด ไปถึงกายอรูปพรหม นั่นแหละ เป็นของจริงโดยสมมติ เป็น "บัญญัติ" ที่เราเรียกว่า อ้อ! นี่ตัวตนของเรา บัญญัติขึ้น ที่แท้จริงไม่ใช่ตัวตนแท้จริง เป็นอนัตตา ตรงนี้แหละ เข้าใจให้ดี

    ถ้าพ้นนิมิตที่เรียกว่า ตัวตนโดยสมมติ หรือว่า ของเราโดยสมมติ พ้นสิ่งนี้ไปแล้ว เป็นกายธรรม เป็น ธรรมกาย นั้นเป็น"ปรมัตถธรรม

    #ปรมัตถธรรมนั้น ไม่ใช่ส่วนนิมิตที่เป็นสมมติแล้ว เป็นธรรมในธรรม ที่ละเอียดไปสุดละเอียด พ้นโลกแล้ว เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจ คนไม่เข้าใจก็บอกว่าติดนิมิต ติดธรรมกาย ถ้าท่านได้ปฏิบัติถึงธรรมกาย เป็นธรรมกายแล้ว ท่านจะรู้ว่า ที่ด่ามา ท่านต้องรีบไปกราบขอโทษให้ทั่วนะ

    เพราะการปฏิบัติภาวนาได้ถึงธรรมกายแล้ว มีคุณมหาศาล นับประมาณมิได้ อย่าว่าแต่ปฏิบัติได้ถึงธรรมกายเลย ได้แค่ดวงใสอยู่ตรงศูนย์กลางกาย เห็นใสแจ่มอยู่ ก็มีคุณมโหฬารแล้ว คุณค่ามหาศาล นับประมาณมิได้ สามารถจะปฏิบัติให้ถึงมรรคผลนิพพาน แม้ในชาตินี้ก็ได้ในเบื้องต้น ถ้าได้เพียงเห็นดวงใส ไม่ต้องพูดถึงธรรมกายหรอก ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงธรรมกายจนได้แหละ

    เพราะฉะนั้น คนไม่รู้ พูดไปก็บาป เพราะธรรมกายนั่นไม่ใช่นิมิตแล้ว จริงอยู่ เห็นได้ สัมผัสได้ แต่ #พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มีในนิพพานสูตร

    อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ
    โน เจ ตํ ภิกฺขเว อภวิสฺส อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ
    นยิิธ ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ
    ปญฺญาเยถ ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว อตฺถิ อชาตํ อภูตํ
    อกตํ อสงฺขตํ ตสฺมา ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส
    นิสฺสรณํ ปัญฺญายติ.

    #แปลความว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

    ภิกษุทั้งหลาย ก็แลเพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ.

    นั้นเป็น ปรมัตถธรรม ไม่ใช่เรื่องสมมติ ไม่ใช่เรื่องบัญญัติแล้ว พ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้นโปรดเข้าใจว่า นั่นไม่ได้เรียกว่า นิมิต พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า "#ธรรมชาติที่ไม่เกิดแล้ว #ไม่เป็นแล้ว

    ที่สถิตอยู่ของพระนิพพาน (คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว) ที่ดับขันธ์ (คือดับรอบ) เข้าปรินิพพาน #ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สถานที่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า "#อายตนะ" พระพุทธดำรัสเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องนิมิตทั้งสิ้น

    _______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ________________
    ที่มา
    ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    ________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    45364110_975756855958820_6348896196832002048_n.jpg?_nc_cat=111&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.jpg



    "คนมั่งมีเขาก็เหนี่ยวรั้งคนมั่งมีไปรวมกัน คนยากจนมันก็เหนี่ยวรั้งคนยากจนไปรวมกัน ... อุบาสกก็เหนี่ยวพวกอุบาสกไปรวมกัน อุบาสิกาก็เหนี่ยวพวกอุบาสิกาไปรวมกัน มีคล้ายๆ กันอย่างนี้ ... เช่น โลกายตนะ อายตนะของโลกในกามภพ อายตนะของกามมันดึงดูดให้ข้องอยู่ในกาม คือ กามภพ รูปภพ อายตนะรูปพรหมดึงดูด เพราะอยู่ในปกครองของรูปฌาน อายตนะดึงดูดให้รวมกัน อรูปภพ อายตนะของอรูปพรหม อรูปฌานดึงดูดเข้ารวมกัน อตฺถิ ภิกฺขเว สฬายตนํ นิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง เมื่อหมดกิเลสแล้ว นิพพานก็ดึงดูดไปนิพพานเท่านั้น ให้รู้หลักจริงอันนี้ก็เอาตัวรอดได้ "

    หลวงพ่อสด จนฺทสโร
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503



    #คลิบเสียงหลวงป๋าอธิษฐานพุทธภูมิ
    ในวันงานพิธียกฉัตรพระนั่งเมืองแก้ว

    และบทอธิษฐานสำหรับบุคคลทั่วไป ที่หลวงป๋าท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือบทสวดมนต์เล่มเหลือง หน้า๑๒๒ ดังนี้

    #ขอกุศลผลบุญ ที่ข้าพเจ้าได้ประกอบบำเพ็ญไว้ด้วยดีแล้ว มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล
    และการอุทิศแผ่ส่วนกุศลนั้น แก่สรรพสัตว์โลกทั้งหลายเป็นต้นนี้ ตั้งแต่อดีต จนตราบเท่าถึงปัจจุบัน

    จงเป็นตบะ เดชะ พลวปัจจัย
    ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ปราศจากกิเลสนิวรณ์ และวิปัสสนูปกิเลสทั้งหลาย ให้เป็นผู้มีปัญญาอันเห็นชอบในพระอริยสัจทั้ง ๔ และได้ดวงตาเห็นธรรม
    ขอให้สิ้นอาสวกิเลส ตัณหา อุปาทาน
    และได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ฝ่ายสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว
    และขอจงเป็นพลวปัจจัยเกื้อหนุน

    ๑.ให้แตกฉานในพระไตรปิฎก
    มีพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก

    ๒.ให้ถึงพร้อมด้วยจรณะ ๑๕ ธรรมเครื่องยังให้เกิดและเจริญ โพธิปักขิยธรรม องค์ธรรมเครื่องตรัสรู้ ๓๗ ประการ อันประกอบด้วย ทิพพจักขุ ทิพพโสต สมันตจักขุ ปัญญาจักขุ ธรรมจักขุ และพุทธจักขุ อันบริสุทธิ์
    พร้อมด้วยวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ และจตุปฏิสัมภิทาญาณ(สำหรับผู้ปรารถนา พุทธภูมิ พึงอธิษฐานเพิ่มว่า .....ให้เจริญด้วย ทศพลญาณ๑๐ ประการ คือ ฐานาฐานญาณ กรรมวิปากญาณ สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ
    นานาธาตุญาณ นานาธิมุตติกญาณ
    อินทริยปโรปริยัตตญาณ ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณ

    ๓.ให้ได้เข้าถึง ได้รู้ เห็น และเป็นพระธรรมกายมรรค ผล และพระนิพพานธาตุ
    คือ ธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
    ทำให้แจ้งทั้งพระนิพพานถอดกาย และทั้งพระนิพพานเป็น โดยพลัน ให้ได้ตรัสรู้ในธรรมที่ควรรู้ ทั้งสังขตธาตุสังขตธรรม และอสังขตธาตุอสังขตธรรมทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง ให้สามารถละธรรมที่ควรละ ให้สามารถเจริญในธรรมที่ควรเจริญ มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง

    ๔.ขอให้ได้บุญศักดิ์สิทธิ์ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด เป็นทับทวี
    ตามศักดิ์แห่งบารมี และหน้าที่ทนายแห่งพระพุทธศาสนา

    ๕.ขอให้ข้าพเจ้าได้ชนะศัตรู คือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตตมาร และอุปาทานในอภิสังขารมาร อันเกิดแต่ตัณหาและทิฏฐิ คือ ความหลงผิด ด้วยบุญศักดิ์สิทธิ์ บารมี รัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด และขอให้พญามารทั้งหลายพร้อมทั้งบริวาร จงอย่าได้ช่องเข้าครอบงำ ขัดขวาง และทำลายการบำเพ็ญบารมีแห่งข้าพเจ้า ตลอดทั้งเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญบารมีทั้งหลายของข้าพเจ้าได้

    ๖.ให้ได้รู้ถูก เห็นถูก ในธรรมที่ควรรู้และควรเห็น
    ให้เป็นผู้คิดถูก พูดถูก กระทำถูก นำผู้อื่นถูก
    และทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาตลอดไป ในกาลทุกเมื่อ

    ๗.ขอให้เป็นผู้ฉลาดในอุบาย แห่งความเจริญและความเสื่อม เป็นผู้เฉียบแหลมในอรรถ และ ในธรรม

    ๘.ขอให้สุข สมบูรณ์ บริบูรณ์ ด้วยปัจจัย ๔ สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย
    มียวดยานพาหนะ และเครื่องใช้สอยต่างๆ เป็นต้น
    ขึ้นชื่อว่าความขาดแคลนในสิ่งเหล่านี้ อย่าได้มี

    ๙.แม้ว่าข้าพเจ้าจะยังอาภัพอยู่ ยังจะต้องท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสาร
    ก็ขอให้ได้เกิดในฤกษ์สร้างบารมี บริบูรณ์ด้วยสมบัติ ๖ ประการ คือ
    กาลสมบัติ ชาติสมบัติ ตระกูลสมบัติ ประเทศสมบัติ ทิฏฐิสมบัติ และอุปธิสมบัติ
    ให้ได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา
    และขอให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้
    ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่กระทำอกุศลกรรมอันจะนำไปสู่อบายภูมิอีก
    และถ้าหากยังมีเศษกรรมเหลืออยู่ ก็ขออย่าได้ถึงฐานะแห่งความอาภัพต่างๆ

    ๑๐.เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็ขอให้ได้เพศบริสุทธิ์ เป็นชาย ให้ได้บรรพชาอุปสมบท เป็นผู้มีอายุยืนกว่าอายุขัยของมนุษย์ในกาลนั้นตามปรารถนาและแม้ว่าจะผ่านวัยกลางคน ก็ขอให้มีพลานามัยแข็งแรง อายตนะภายในดีเลิศ และสุขภาพจิตใจดีเลิศ

    ๑๑.ขอให้ข้าพเจ้าไม่พึงคบมิตรชั่ว ให้พึงคบแต่บัณฑิตในกาลทุกเมื่อ
    และขอให้ข้าพเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดี คือ
    เป็นผู้มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ประกอบด้วยความเพียรและขันติพึงเว้นจากเวรทั้ง ๕ ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง ๕ พึงเว้นจากเปือกตม คือ กาม
    พึงยินดีในการรักษาศีล เจริญสมาธิ ปัญญา
    วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ โดยสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว

    คำอธิษฐาน๑๑ประการนี้
    เรียบเรียงและปรับปรุงแก้ไขโดย
    พระเดชพระคุณ พระเทพญาณมงคลเสริมชัย ชยมงฺคโล (หลวงป๋า)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัดราชบุรีแห่งที่๑ (โดยมติของมหาเถรสมาคม)
    วันพฤหัสบดีที่๑ มีนาคม๒๕๖๑
    (ตรงกับวันมาฆบูชา ขึ้น๑๕ค่ำ เดือน๔ ปีจอ)
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ...เมื่อเห็น18กายในสุนัข....

    ...มีเรื่องเล่า ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงพระธรรมกายเบื้องต้นได้ระดับหนึ่ง


    ที่พอ่จะสามารถ ใช้อดีตังสญาณ ปุบเพนิวาสานุสสติญาณ และทิพยจักษุได้


    บังเอิญให้จ้องมองดูสุนัขที่บ้านตัวเอง ความที่ฝึกทำจนคล่อง ก็ได้เห็น

    กายนอกสุดของสุนัขเป็นกายที่แทนมนุษย์หยาบ

    ส่วนอีก17กายหลัก ตั้งแต่ กายมนุษย์ละเอียด ไปจนถึงกายอรหัตต์ ก็ยังมีอยู่


    ...สาวย้อนไปถึงเหตุอดีต เพื่อความสังเวชในการเกิดแก่เจ็บตายในวัฏฏะ

    ก็พบว่า.........เป็นเศษกรรมจากกาเมสุมิจฉาจาร


    ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาอีก วาสนาเก่าอาจให้ได้พบพระพุทธศานา ได้ปฏิบัติต่อเพื่อความพ้นทุกข์ได้....


    a.jpg

    a.gif


    a.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    จริตอัธยาศัยกับการปฏิบัติธรรม

    การเจริญภาวนาสมาธิตามแนววิชชาธรรมกาย ช่วยให้จิตสงบระงับจากกิเลสนิวรณ์ได้โดยง่าย เรียกว่า #มีประสิทธิภาพดีที่สุด

    วิธีนี้ มีอุบายวิธีขั้นสมถะอย่างน้อย ๓ ประการร่วมกัน คือ อาโลกกสิณ อานาปานสติ และ พุทธานุสติ ร่วมกัน

    ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ไม่สำเร็จ หรืออย่างน้อยพอช่วยให้ใจสงบได้ ก็นับว่า คนนี้..แม้จะไปปฏิบัติที่ไหนอย่างไร มันก็ไม่สงบหรอก

    เพราะ..ธรรม ๓ ประการนี้ เป็นธรรมคู่แข่งของผู้มีจริตอัธยาศัยต่างๆกัน ทั้งหมดทุกจริตอัธยาศัย

    เพราะฉะนั้น สำหรับบางท่านอาจจะรู้สึกขัดเขิน ไม่สบาย ไม่คล่อง ไม่ถนัด หรือยังไม่เห็นผลเร็ว ก็หงุดหงิดเสียก่อน #เพราะเห็นว่าไม่เหมาะกับจริตอัธยาศัยของตน นับว่าเป็นความเข้าใจผิด

    เพราะหากคิดว่า คำว่า"#เหมาะกับจริตอัธยาศัย" คือ #ถูกใจ

    แล้วคำว่า "ถูกใจ" บางอย่างไม่ค่อยได้ผลหรอก

    เพียงแต่ว่า "#ถูกใจที่ว่าเหมาะกับจริตอัธยาศัย" ที่แท้ก็คือ เป็นธรรมคู่แข่ง ที่จะขจัดขัดเกลากิเลสของเราให้ได้ผล นั่นต่างหาก จึงชื่อว่า"เหมาะกับจริตอัธยาศัย"

    เช่น บางคนรักสวยรักงาม ถ้าถูกใจนะ ให้ไปอยู่ในที่เพลิดเพลินเจริญใจนั่น ถูกใจเหมาะกับจริตอัธยาศัย นั่นอย่างหนึ่ง อย่างนี้รับรองว่าจิตไม่สงบ

    แต่ถ้าคนนั้น..เป็นคนกลัวผี ให้ไปพิจารณาอสุภะ ก็กลัวใหญ่เลย ก็เลยว่านี่ ไม่ถูกอัธยาศัย

    จริงๆแล้ว อสุภะกัมมัฏฐาน นั่นเหมาะกับจริตอัธยาศัยของผู้ที่ "รักสวยรักงาม" หรือ "มีกามฉันทะ" คือ เป็นธรรมคู่แข่งที่ขจัดขัดเกลากันเชียว แต่ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะด้วยปัญญาอันเห็นชอบ ที่มิให้กลัวผี ปฏิบัติให้ถูกวิธี ก็จะบรรเทากามฉันทนิวรณ์ และละราคะได้

    คำว่า..เหมาะกับจริตอัธยาศัยนี้ จึงอาจจะถูกใจผู้ปฏิบัติ หรือไม่ถูกใจก็ได้

    แต่ผู้มีจริตอัธยาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังกล่าวนั้น อย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง พึงเลือกเอาพระกัมมัฏฐาน ที่จะสามารถขจัดขัดเกลากิเลสของตนสำหรับปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น

    ถ้าจะเอาให้ถูกใจผู้มีกามฉันทะ นั่น..ต้องนั่งฟังซาวด์อะเบาท์กรอกหู รับรองว่าถูกใจเลย อย่างนั้นนั่นแหละ ถูกใจของผู้มีกามฉันทะ หรือไม่ก็เป็นผู้รักสวยรักงาม สบงจีวรก็ต้องงาม อะไรก็ต้องงามไปหมด เนี้ยบไปหมด เลยติดรูปเลยทีนี้ ไม่ไปไหนหรอก

    เพราะฉะนั้น ต้องมีธรรมคู่แข่ง คือ อสุภกัมมัฏฐาน ซึ่งบางคนอาจจะกลัวผี ก็ต้องพิจารณาว่า ผีมีจริงหรืออย่างไร จนหมดความกลัว แล้วใช้อสุภกัมมัฏฐาน รับรองว่าเป็นธรรมคู่แข่งสามารถกำจัดกามฉันทะของผู้นั้นได้เป็นอย่างดี นั่นแหละ ที่บูรพาจารย์ท่านวางไว้อย่างนั้น.

    _______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มา
    ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    ________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า




    u5L3JygNisOjpz_86iuTZNJ2nWSTVdvFwVERF45g8OrtfaOj3bBK7mEYgBDp17-GZO_V4l0Q&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.jpg
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    "...สุขกับทุกข์ ๒ อันนี้ ไม่พรากจากกันเพราะ ถ้าเคลื่อนจากสุขแล้วทุกข์ก็เป็นหน้าที่ เมื่อเคลื่อนจากทุกข์แล้วสุขก็เป็นหน้าที่ เมื่อเข้าถึงที่สุขเต็มที่แล้วตัวก็ได้รับตามหน้าที่ไป ถึงคราวตายก็ตาย ถึงคราวเป็นก็เป็นอีกต่อไป ก็เป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา..."

    "...อย่าเลินเล่ออย่าเผลอตัวอย่าประมาทถ้าว่าประมาทเลินเล่อเผลอตัวแล้วความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ถ้าไม่ประมาทจึงจะใช้ได้ความไม่ประมาทนั่นเป็นตัวสำคัญเป็นตัวไม่เผลอเป็นตัวไม่ตาย..."

    ถอดความมาจากเสียงเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เรื่อง โอวาทชี้ทางไม่ตาย



     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...