** ^^สองแควพระเครื่อง พระน่าใช้ ขึ้นคอแล้วไม่อายใคร^^ ** สรุปรายการหน้าสุดท้ายครับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย MonYP, 21 พฤศจิกายน 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จ.เชียงใหม่

    วัดพระสิงห์ หรือ วัดลีเชียงพระ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ ที่ซึ่งประดิษฐาน พระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ พระคู่บ้านคู่เมืองเก่าแก่ของชาวล้านนา วัดพระสิงห์วรมหาวิหารสร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1888 ในรัชสมัย พญาผายู กษัตริย์ราชวงศ์มังราย โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู พระราชบิดา พร้อมทั้งนิมนต์พระมหาอภัยจุฬาเถรเจ้า เมืองหริภุญชัย มาเป็นพระสังฆราชเมืองเชียงใหม่ โดยจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้
    ในสมัย พระเจ้าแสนเมืองมา โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ จากเมืองเชียงแสน (เมืองหลวงเก่าล้านนา) มาประดิษฐาน ณ วัดสวนดอก เมื่อรถบุษบกอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ผ่านมาถึงหน้าวัดลีเชียงพระ เกิดติดขัดไม่สามารถไปต่อได้ จึงทรงรับสั่งให้สร้างกู่มณฑปเพื่อประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ขึ้นภายในวัดลีเชียงพระ

    วัตถุมงคลที่จัดสร้างโดยวัดพระสิงห์

    1.พระรอดวัดพระสิงห์ ปี2496

    [​IMG][​IMG]

    2.พระหลวงปู่ทวด ปี 2506

    [​IMG][​IMG]

    3.เหรียญพระร่วงรางปืน ปี 2512

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]

    4.พระอุปคุต วัดพระสิงห์ ปี 2512

    [​IMG][​IMG]

    5.พระกริ่งนเรศวรเมืองงาย วัดพระสิงห์ ปี 2512

    [​IMG][​IMG]

    ข้อมูลจากเว็บพระ.com ครับ
     
  2. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย หนองคาย

    หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณ์งดงามมาก ขนาดหน้าตัก กว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว สวนสูงจากพระสงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว ของชางไม้ ปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย(พระอารามหลวง) เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากและเป็น ที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง

    ตามประวัติกล่าวไว้ว่า พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง (บางท่านเชื่อว่า เป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช) ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใส มีขนาดลดกันตามลำดับ พระสุกนั้นเป็นพระประจำพี่ผู้ใหญ่ พระเสริมประจำคนกลาง ส่วนพระใสประจำคนสุดท้อง

    ตามประวัติการสร้างเล่าว่า มีพิธีการทางบ้านและทางวัดช่วยกันใหญ่โต มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะ นำเป็นเวลา 7 วันแล้วทองก็ยังไม่ละลาย ถึงวันที่ 8 เวลาเพล เหลือหลวงตากับสามเณรน้อยรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ได้ปรากฏชีปะขาว ตนหนึ่งมาขอช่วยทำ หลวงตากับเณรน้อยจึงไปฉันเพล ญาติโยมที่มาส่งเพลจะลงไปช่วยแต่มองไปเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันสูบเตาอยู่ แต่เมื่อถามพระ พระมองลงไปก็เห็นเป็นชีปะขาวตนเดียว พอฉันเพลเสร็จคนทั้งหมดจึงลงมาดู ก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เหตุเพราะได้เห็นทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้ง 3 เบ้า แล้ว และไม่เห็นชีปะขาวแล้ว

    หลังสร้างเสร็จพระสุก พระเสริม และพระใส ได้ประดิษฐานไว้ ณ เมืองหลวงอาณาจักรล้านช้าง มาช้านาน คราใดที่เกิดสงครามบ้านเมืองไม่สงบสุข ชาวเมืองก็จะนำพระพุทธรูปทั้งสามไปซ่อนไว้ที่ภูเขาควาย หากเหตุการสงบแล้วจึงนำกลับมาไว้ดังเดิม ส่วนหลักฐานที่ว่าประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ตั้งแต่เมื่อใดนั้นยังไม่มีปรากฏแน่ชัด ทราบเพียงว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทำลายเมืองเวียงจันทน์เสียสิ้น จึงให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ได้เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ เมื่อเมืองเวียงจันทน์สงบแล้ว จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใสมาที่จังหวัดหนองคาย

    มีคำบอกเล่าว่า คราที่อัญเชิญมานั้น ไม่ได้อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์โดยตรงแต่อัญเชิญมาจากภูเขาควาย ซึ่งชาวเมืองนำไปซ่อนไว้ การอัญเชิญนั้นได้ประดิษฐานหลวงพ่อทั้งสามไว้บนแพไม้ไผ่ล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงเวินแท่นได้เกิดอัศจรรย์ คือ แท่นของพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุแรงจัดพัดแพจนเอียงชะเนาะที่ขันพระแท่นติดกับแพไม่สามารถที่จะทนน้ำหนักของพระแท่นไว้ได้ บริเวณนั้นจึงชื่อว่า “เวินแท่น” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    พระเสริม วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทน์

    ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขง ตรงปากงึม เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ “เวินสุก”ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใสมาถึงหนองคาย สำหรับพระใสนั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระเสริมได้ อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ และพระสุก ได้สร้างองค์จำลองไว้ที่วัดศรีคุณเมือง ณ ปัจจุบัน

    ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริมจากวัดโพธิ์ชัยลงไปยังกรุงเทพฯ ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วย แต่เกิดปาฏิหาริย์ โดยพราหมณ์ผู้อัญเชิญนั้นไม่สามารถขับเกวียนนำพระใสไปได้ แม้จะใช้กำลังคนหรืออ้อนวอนอย่างไรก็ตาม จนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก จึงปรึกษาตกลงกันว่าให้อัญเชิญพระใสมาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยแทนพระเสริม ซึ่งอัญเชิญไปกรุงเทพฯ เมื่ออธิษฐานดังกล่าวพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้

    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลงความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ว่า เป็นพระพุทธรูปล้านช้างที่งดงามยิ่งกว่าพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ และทรงสันนิษฐานเรื่องการสร้างเป็น 2 ประการ คือ อาจจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากเมืองหนึ่งเมืองใดทางตะวันออกของอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาตกอยู่ในเขตล้านช้าง หรืออาจสร้างขึ้นในเขตล้านช้างโดยฝีมือช่างลาวพุงขาว

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    ทำเนียบรุ่น พระใส วัดโพธิ์ชัย
     
  3. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ขอบตัดเหรียญขวานหน้าหนุ่ม หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน พิษณุโลก

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  4. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    พระมหาป่า ตำนานบนเหรียญที่หลวงพ่อเกษมปลุกเสก
    ข้อมูลจากร้านเอกวัสส์ เว็บพระล้านนา

    >>เข้าชมร้านได้เลยครับ<<

    ในอดีตกาลดินแดนล้านนาเรานั้น..ยังมีพระเถระผู้สำเร็จมรรคผลบรรลุเป็นพระอรหันต์และมีความเก่งกาจอยู่รูปหนึ่งที่น่ากราบสักการะเป็นยิ่งนัก แต่ในบางครั้ง..ดินแดนล้านนาเรานั้น..พระเถระพระคณาจารย์ที่เก่งกาจตัวจริง..กลับไม่เป็นที่รู้จักซึ่งอาจเป็นเพราะว่าท่านอยู่ในถิ่นดินแดนที่ไม่เจริญ และขาดการรับรู้จากส่วนกลางหรืออาจจะไม่ได้ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักกันจริงจัง ซึ่งพระเถระผู้ที่มีความเก่งกาจและสำเร็จมรรคผลที่กระผมจะขออนุญาตกล่าวถึงและเล่าให้เพื่อนๆฟังนี้มีนามชื่อว่า..
    พระมหาป่าเจ้าเกสรปัญโญ" แห่งสำนักวัดไหล่หินอ.เกาะคาจ.ลำปาง
    พระมหาป่าเจ้าเกสรปัญโญ" เป็นพระเถระที่มีตัวตนจริงในจ.ลำปางยุคประมาณช่วงปีพศ๒๑๐๐ถึงพศ.๒๒๙๕หรือตรงกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย..มีเรื่องตำนานที่ตรงกันสองดินแดน(ลำปางและเมืองเชียงตุงประเทศพม่า)บันทึกไว้ว่า
    พระมหาป่าฯ..ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ดำรงตนจำพรรษาอยู่ณ.วัดไหล่หินเป็นปกติทุกเมื่อเชื่อวัน..ท่านไม่เคยรับกิจนิมนต์ไปไหนในดินแดนห่างไกลเลย..และทุกๆเช้าท่านจะเดินออกจากวัดไปบิณฑบาตรทุกวัน..แต่สถานที่ที่ท่านไปบิณฑบาตรนั้น กลับไปไกลถึงเมืองเชียงตุงประเทศพม่า..และเมื่อท่านได้เดินบิณฑบาตรอยู่ณ.เมืองเชียงตุงบ่อยเข้า..ก็ครั้งหนึ่งเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรพระมหาป่าฯ..และชาวเมืองได้ไตร่ถามถึงพระมหาป่าฯว่า..ท่านมาจากวัดไหน...พระมหาป่าได้ตรัสตอบชาวเมืองว่า..
    อาตมามาจาก"วัดขบไม่แตก"เมื่อคำตอบนี้รู้ถึงเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง..เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงท่านได้ให้ทหารสนิทไปเสาะหาให้ทั่วว่าในดินแดนเชียงตุงนี้..มีวัดที่มีชื่อนี้หรือไม่..แต่แล้วทั่วทุกหนแห่งในดินแดนเมืองเชียงตุงนี้..ก็ไม่มีวัดชื่อนี้เลย..และแล้วเจ้าฟ้าเมืองตุงจึงคิดวิธีเพื่อจะให้ทราบวัดที่พระมหาป่าฯจำพรรษาอยู่ให้ได้..เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงจึงปลอกกะลามะพร้าวและผ่าครึ่ง แล้วนำเอากะลาที่มีเนื้อมะพร้าวอีกครึ่งหนึ่งใส่บาตรพระมหาป่าฯแล้วทรงตรัสกับพระมหาป่าฯว่า..
    "ท่านช่วยฉันเนื้อมะพร้าวในกะลาครึ่งซีกนี้แล้วพระองค์จะขอกะลามะพร้าวเปล่าคืน"..และหลังจากนั้น..พระมหาป่าฯท่านก็หายไปจากเมืองเชียงตุงไปไม่มาบิณฑบาตรเหมือนอย่างเคย..
    ครั้นวันเวลาผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง..บังเอิญนายทหารคนสนิทของเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้มีโอกาสเดินทางมาบ้านไหล่หินจ.ลำปางซึ่งย่านวัดวัดไหล่หินและวัดพระธาตุลำปางของจ.ลำปางในสมัยนั้นน่าจะเป็นเขตเมืองหลวงของจ.ลำปางซึ่งเรียกว่าเมืองลัมภะกับปะนคร"
    นายทหารคนสนิทของเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้พบกับพระมหาป่าเข้า..จึงได้ถามถึงกะลาครึ่งซีกที่เจ้าฟ้าได้ใส่บาตรไว้ว่า..กะลามะพร้าวครึ่งซีกที่เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงถวายยังอยู่ไหม??
    และพระมหาป่าก็ได้ตรัสว่า..กะลาครึ่งซีกนั้น..อาตมายังเก็บไว้อยู่..และพระมหาป่าฯท่านก็ได้ไปนำเอากะลาครึ่งซีกนั้นมาให้นายทหารดู และจากนั้นนายทหารคนสนิทของเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้เดินทางนำกะลาครึ่งซีกนั้น..มามอบให้เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง..เมื่อเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงได้รับกะลาครึ่งซีกแล้ว..ท่านได้นำเอากะลาครึ่งซีกที่นายทหารเอามาให้นั้น มาประกบกันกับกะลาที่ท่านเจ้าฟ้าเก็บไว้..ปรากฎว่ากะลาเปล่าทั้งสองซีกนั้นเป็นกะลาจากมะพร้าวผลเดียวกันที่ตนผ่าไว้..ต่อมาเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงท่านจึงเกิดความศรัทธาในพระเถระที่มีนามว่าพระมหาป่าเกสรปัญโญเป็นยิ่งนัก..จึงได้ยกไพล่พลจากเมืองเชียงตุงประเทศะม่ามาสร้างวัดไหล่หินให้มีความงดงามถวายพระมหาป่าเกสรปัญโญ..ตราบเท่าที่คนรุ่นหลังได้เห็นวัดไหล่หินที่อยู่คู่บ้านเมืองลำปางเท่าทุกวันนี้ครับ
    และเมื่อปีพศ.2553ที่ผ่านมานี้ที่เมืองม้า ประเทศพม่า ได้ค้นพบวัดโบราณที่พระมหาป่าเกสรปัญโญ แห่งวัดไหล่หินได้ไปสร้างไว้ ซึ่งมีชื่อวัดว่า
    วัดราชสัณฐานเชียงตุ้ง"ซึ่งที่วัดนั้นได้มีลักษณะพระเจดีย์คล้ายคลึงกับพระเจดีย์ณ.วัดไหล่หินอ.เกาะคาจ.ลำปางทุกประการ และที่วัดนั้นณ.ดินแดนเมืองม้า ประเทศพม่าก็มีรูปเคารพพระมหาป่าเกสรปัญโญแห่งวัดไหล่หินเหมือนกัน..และพระมหาป่าฯท่านก็เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนแถบนั้น..ซึ่งผู้คนแถบนั้นเรียกชื่อพระมหาป่าเกสรปัญโญของเราว่า..ครูบาซาน" ซึ่งแปลว่าผู้เหาะเหินเดินอากาศได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2015
  5. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ประวัติพระครูจำปา วัดประดู่ ตลิ่งชัน

    หลวงพ่อจำปา จนฺทูปโม หรือ พระครูจันทคุณาภรณ์ (จำปา จนฺทูปโม) แห่งวัดอินทราวาส (ประดู่) เป็นเหรียญยอดมหาอุด ฝั่งตลิ่งชั่น อีกเหรียญที่คนพื้นที่ต่างเสาะแสวงหากันอย่างสูง เพราะเป็นเหรียญที่มีดีเด่นทางด้านมหาอุด เคยมีข่าวคนแขวนเหรียญของท่านแล้วโดนยิงด้วยปืน 11 ม.ม ถึง 6 นัด แต่กระสุนกลับด้านทุกนัด เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ให้เกรียวกราวกันมาแล้ว ทำให้วัตถุมงคลของหลวงพ่อทุกชนิดเป็นทีต้องการของเหล่าลูกศิษย์ลูกหาของท่านกันอย่างแพร่หลาย แต่วัตถุมงคลของท่านก็มีจำกัด ท่านสร้างวัตถุมงคลไว้หลายอย่าง ทั้งแหวนพิรอด ผ้ายันต์ ตะกรุด ทั้งเหรียญรุ่นแรกปี 2510 รูปทรงเสมามีจารอักขระที่ด้านหน้าและหลังกำกับ เหรียญรุ่นที่ 2 ปี 2516 และเหรียญรุ่นที่ 3 ตามลำดับครับ
    หลวงพ่อจำปาท่านเป็นทหารผ่านศึก ท่านถูกส่งไปประจำอยู่ที่ภาคใต้ตั้งแต่ คอหงส์ จังหวัดภูเก็ต และเปลี่ยนไปเรื่อยไม่ว่าจะเป็น ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล สุไหงโกลก ปาดังเบซา เลยไปจนถึงมลายู ท่านไปเกือบทุกจังหวัดในภาคใต้ ลุยมาหมดแล้ว และยังผ่านศึกในสมัยสงครามอินโดจีน และสงครามมหาเอเชียบูรพา ก่อนปลดประจำการท่านถูกย้ายจากภาคใต้มาอยู่ที่คลองลึก จังหวัดปราจีนบุรี ชีวิตของท่านนั้นเป็นแบบโลดโผน นักสู้ ท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ร้อยโท ให้เป็นผู้วิ่งถือธงนำหน้าทหาร และยังได้ถ่ายทอดคาถาอาคมให้กับท่าน ท่านเล่าว่า “ถนนหนทาง เดินจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ถึงท่านไปอีกก็ยังจำได้”
    ยอดนักสู้ ยอดนักรบ วีรบุรุษแห่งคลองบางพรม ตลิ่งชั่น ท่านมีเหรียญตราเหรียญกล้าหาญประดับที่แผงอกในชุดทหารกล้าหลายเหรียญทีเดียว หลังเสร็จศึกสงครามท่านก็ได้มาบวชพระ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาระกิจที่เหล่าทหารกล้าผ่านศึกมักจะกระทำกันเพื่อเป็นการอุทิศให้เหล่าสัมภเวสีที่ไม่เคยมีเวรต่อกันและได้ทำการประหัตประหารกันจนสิ้นใจตอนที่ยังอยู่ในห้วงแห่งสงคราม จะได้ไม่มีเวรข้ามภพข้ามชาติกันอีก
    นอกจากหลวงพ่อจำปาจะเชี่ยวชาญเก่งกาจเรื่องเวทย์มนต์คาถาแล้ว ท่านยังเป็นหมอแผนโบราณที่เก่งรักษาโรคที่หมอแผนปัจจุบันรักษาไม่หายแล้ว เมื่อมาถึงมือหลวงพ่อพ่อแล้ว รักษาหายทุกราย อย่างเช่นมะเร็งในมดลูกระยะสุดท้าย หมอโรงพยาบาลไม่รับรักษาแล้วบอกให้ทางญาติทำใจได้เลย แต่เมื่อทางหลวงพ่อรับปากรักษาให้แล้วกับหายอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงขนาดหมอแผนปัจจุบันยังเข้ามารับการรักษาจากท่านเลย เหตุเพราะท่านรักษาด้วยสมุนไพรและกำกับด้วยคาถาอาคมอีกที ก่อนใส่หม้อดินเคี่ยวต้มจนสตุ ตัวยาออกมาเพื่อดื่มกิน ทุกวันนี้ยังร่ำลือกันถึงกิตติศัพท์การรักษาของหลวงพ่ออยู่เลยครับ
    เรื่องยาต้น (ยาหม้อ) หลวงพ่อจะจัดยาให้ตามแต่อาการของโรคนั้นๆ พร้อมทั้งใส่หม้อดินให้ บางทีญาติโยมถวายค่ายายังไม่พอกับค่าสมุนไพรและหม้อดินเลย ระยะหลังๆ หลวงพ่อบอกว่า “ไม่ไหว สั่งหม้อดินมาลงแต่ละครั้ง ใช้เงินจำนวนมาก หลวงพ่อไม่มีเงินให้ ให้คนไข้ไปซื้อหม้อมาต้นเองท่านจะเก็บเงินไว้สร้างกุฏิ สร้างเมรุ”
    เคยมีคนป่วยบางคนเป็นมะเร็ง มาขอรับการรักษาจากท่าน ท่านก็แนะนำให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาล บางคนหมอที่โรงพยาบาลไม่รับแล้ว ท่านก็รักษาให้ จนกระทั้งหายเป็นปกติ
    ในสมัยที่หลวงพ่อจำพรรษอยู่ที่วิหารหลังเก่า ดึกดื่นเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ญาติโยมมาเคาะประตูวิหาร ให้หลวงพ่อช่วยไปดูอาการของไข้ซึ่งป่วยอยู่ที่บ้าน หลวงพ่อจะรีบห่มผ้าและเดินทางไปดูอาการคนไข้ โดยท่านไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่เพียงคำเดียว มีแต่จะสอบถามอาการและรักษาให้ด้วยความเมตตา
    หลวงพ่อบอกว่า ต้นยาของท่านมีอยู่รอบวัด หลังโบสถ์บาง ข้างกุฏิบ้าง เมื่อคนป่วยเป็นฝี หรือ เป็นโรคที่ต้องใช้ยาสด หลวงพ่อจะดูอาการให้ แล้วเดินหายไปสักพักหนึ่ง จะกลับมาพร้อมต้นสมุนไพร และใส่ปากเคี้ยว ให้ละเอียด พ่นไปที่บริเวณที่เป็นฝี วิชานี้หลวงพ่อบอกว่าได้จากหลวงพ่อปาน
    หลวงพ่อบอกว่า ต้นยาของท่านมีอยู่รอบวัด หลังโบสถ์บาง ข้างกุฏิบ้าง เมื่อคนป่วยเป็นฝี หรือ เป็นโรคที่ต้องใช้ยาสด หลวงพ่อจะดูอาการให้ แล้วเดินหายไปสักพักหนึ่ง จะกลับมาพร้อมต้นสมุนไพร และใส่ปากเคี้ยว ให้ละเอียด พ่นไปที่บริเวณที่เป็นฝี วิชานี้หลวงพ่อบอกว่าได้จากหลวงพ่อปาน มีคนไข้ที่รักษาจากที่อื่นมาแล้วไม่หาย มาขอความเมตตาจากหลวงพ่อให้ช่วยรักษา หลวงพ่อท่านก็เมตตารักษาให้ กินนอนอยู่ที่วัดเสร็จ พอหายแล้วก็กลับบ้าน ไม่ได้ช่วยค่ายาให้กับหลวงพ่อเลย ท่านบอกว่า “ช่วยให้เขารอด และพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ เราก็ได้บุญแล้ว
    ท่านเป็นพระสงฆ์ที่บริสุทธิ์ทังกาย วาจา ใจ กราบได้อย่างสนิทใจ เป็นพระสงฆ์ที่หายาก มีคุณแก่ประชาชน อย่างหาที่สุดมิได้ ท่านเป็นพระสงฆ์ที่สำเร็จกสินหลายอย่าง สามารถรู้วันตายของท่านได้เอง ก่อนท่านจะสิ้นสังขาร ท่านเคยบอกแก่ลูกศิษย์ของท่านว่าเจ้ากรรมนายเวรเขามาตามแล้ว หนียังไงก็ไม่พ้น ก่อนท่านจะจากไป ท่านได้รับกิจนิมนต์ฉันเพลที่ต่างจังหวัดแถวนครปฐม ท่านได้นั่งรถยนต์ไปฉันเพลเสร็จแล้วขากลับรถได้เกิดอุบัติเหตุประสานงากัน และท่านก็ถึงแก่มรณะภาพไป ยังไว่แต่ความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดที่จะประมาณได้ เหลือไว้แต่คุณงามความดีที่ท่านได้สร้างเอาไว้ให้ลูกศิษย์ได้คิดถึงด้วยความอาลัย

    [​IMG]
     
  6. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดรายการแล้วครับ
    เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์ หลวงปู่ดุลย์

    เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่เป็นศิษย์อาวุโลในยุดแรกของหลวงปู่มั่น เป็นหนึ่งในแม่ทัพธรรมที่คอยอบรมศิษย์มามากมาย ในหลวงเคยเสด็จไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่เป็นประจำ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ ศิษย์อาวุโส รุ่นใหญ่สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    กับเหรียญเลื่อนสมณศักดิ์ขององค์หลวงปู่ จากพระรัตนากรวิสุทธิ มาเป็น พระราชวุฒาจารย์ ปีพ.ศ.2524 คณะศิษย์ศรัทธาสร้างถวาย ท่านแจกในงาน ที่ระลึกนี้ เป็นเหรียญยอดนิยมอย่างหนึ่งในบรรดามงคลวัตถุของหลวงปู่ท่าน ชื่อดี เป็นมงคล เป็นเหรียญเลื่อนของสายกรรมฐานครับ

    บูชา โทรถาม หรือ กล่องข้อความ

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2015
  7. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดรายการแล้วครับ
    เหรียญนั่งพาน เนื้อเงิน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดปาสาลวัน

    เหรียญนั่งพานจัดสร้างเมื่อ พ.ศ. 2537 เพื่อทูลเกล้าถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ฉลองในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธาน ตัดหวายลูกนิมิตอุโบสถ วัดหนองจรเข้ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี พระเดชพระคุณหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้เมตตาอธิษฐานจิต ณ อุโบสถวัดหนองจรเข้ สภาพสวยมากครับ

    บูชา 2000 บาท

    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2015
  8. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดแล้วครับ
    ขุนแผนรุ่น 2 หลวงพ่อเกษม เขมโก


    พระขุนแผนทรงพล วัดบุญวาทปี ๓๒ เป็นขุนแผนรุ่นที่ 2 ที่หลวงพ่อเกษมปลุกเสกครับ ราคาขุนแผนรุ่นหนึ่งไปไกลมากแล้วครับปีหน้าราคาทะลุหมื่นแน่ ถ้าจะเก็บ ๆ รุ่นนี้ดีกว่าครับพุทธคุณเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัยตามแบบพุทธานุภาพของหลวงพ่อ องค์นี้เนื้อฟูแน่นน่าเก็บมากครับ

    บูชา 800 บาท

    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2015
  9. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดแล้วครับ
    เหรียญกลมเล็ก หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ปี04


    สภาพสวย ๆ ครับ หายากแล้วครับ รับประกันแท้แน่นอน

    บูชา โทรถาม, กล่องข้อความ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2015
  10. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    พระครูเกษมธรรมนันท์ (แช่ม ฐานุสฺสโก)
    วัดดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม

    ชื่อเดิม : แช่ม อินทนชิตจุ้ย

    ชาตะ วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๔๔๙ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ที่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายเนียม และนางอ่ำ อินทนชิตจุ้ย

    อุปสมบท :

    ที่อุโบสถวัดดอนยายหอม ในวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ โดยมีพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูทักษิณานุกิจ (เงิน) วัดดอนยายหอม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูวินัยธร (ใย) วัดบางช้างใต้ เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า "ฐานุสฺสโก"

    การศึกษา :

    ในด้านพระปริยัติธรรม หลวงพ่อแช่ม สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จากนั้นได้หันมาศึกษาด้านการปฎิบัติ โดยได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมต่างๆจากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม และพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้

    สมณศักดิ์ :

    - ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นพระครูฐานานุกรมของพระราชธรรมาภรณ์ (เงิน) ในตำแหน่งพระครูปลัดแช่ม

    - ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนา ที่ พระครูเกษมธรรมานันท์

    - ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระอุปัชฌาย์

    - ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม

    - ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก วิปัสสนา พัดพุฒตาลขาว ในราชทินนามเดิม

    ผลงานด้านการพัฒนา :

    สมัยที่หลวงพ่อเงินยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อแช่มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง สำคัญของหลวงพ่อเงินในการพัฒนาสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์ต่างๆ มากมาย เมื่อหลวงพ่อเงินมรณภาพไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงพ่อแช่ม ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อเงินต่อไป

    ๑. การบูรณปฎิสังขรณ์เสนาสนะ กุฎิสงฆ์ และถาวรวัตถุต่างๆในวัดดอนยายหอม

    ๒. เป็นประธานอุปถัมภ์ในการสร้างวัดตะแบกโพรงสามัคคีธรรมที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    ๓. สร้างโรงเรียนหลวงพ่อแช่มอุปถัมภ์ (ฉิมเกตุ อ่อนอุทิศ) ที่ตำบลคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

    ๔. สร้างตึกคนไข้ ๔ ชั้น ที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

    ๕. จัดหาทุนสร้างหอประชุมอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

    ชื่อเสียงกิตติคุณ :

    เชื่อกันว่าหลวงพ่อแช่มสำเร็จเตโชกสิณตั้งแต่พรรษายังน้อย บางคนเชื่อว่าท่านสำเร็จฌานอภิญญามีพลังจิตเข้มขลัง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ สามารถอธิษฐานจิตปลุกเสกจนน้ำมนต์เทไม่ออก วัตถุมงคลต่างๆที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก มีพุทธคุณครบเครื่องทุกๆด้าน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ เมตตามหานิยม ปัจจุบันวัตถุมงคลชุดสำคัญๆของท่านเริ่มเป็นที่นิยมและสะสมกันมากขึ้น นอกจากพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆแล้ว น้ำพระพุทธมนต์ แป้งเจิม มงคลสวมคอ การผูกหุ่นพยนต์ และสาริกาลิ้นทอง เป็นวิชาเฉพาะตัวที่หลวงพ่อทำได้ขลังยิ่งนัก

    มรณภาพ :

    วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมสิริมายุได้ ๘๗ ปี พรรษา ๖๗

    [​IMG]

    ข้อมูลจากเว็บ จดหมายเหตุพุทธวงศ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2015
  11. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    พระผงพระพุทธชินราช รุ่นมาลาเบี่ยง ปี2520 พิมพ์สามเหลี่ยม หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก

    พระพุทธชินราช รุ่นมาลาเบี่ยง พิมพ์สามเหลี่ยมนี้ ปั๊มโค๊ต 43314 วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการจัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2520 โดยพระราชรัตนมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชน ร่วมกันสร้างเพื่อหาทุนหล่อพระพุทธชินราชบูชา ขนาด 29นิ้ว แจกแก่วัดในเขตทุรกันดารจำนวนประมาณ 120องค์ และพระเครื่อง สำหรับแจกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ปราบผู้ก่อการร้าย

    วัตถุมงคลที่จัดสร้าง ประกอบด้วย :
    1.พระบูชาพระพุทธชินราช พระมาลาเบี่ยง ขนาด 9 และ 5 นิ้ว ลงรักปิดทอง
    2.พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พระพุทธชินราช มาลาเบี่ยง เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ
    3.เหรียญพระพุทธชินราช พระมาลาเบี่ยง (รูปทรงพระมาลาเบี่ยง)
    4.พระพุทธชินราชเนื้อผง รุ่นพระมาลาเบี่ยง จำนวน 3 พิมพ์ คือ พิมพ์สี่เหลี่ยมใหญ่ พิมพ์สมเด็จ และพิมพ์เล็กตัดชิด (สามเหลี่ยม) หลังเป็นยันต์อกเลาอันศักดิ์สิทธิ์ ประจำองค์หลวงพ่อพระพุทธชินราช และพระมาลาเบี่ยง ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และอักขระขอม หัวใจธาตุ 4 (นะ มะ พะ ทะ) มีหมายเลข (หมึกปั๊ม) กำกับทุกองค์

    ได้ประกอบพิธี 2 วาระ ดังนี้คือ

    วาระที่ 1 : ปี พ.ศ.2519
    รายนามพระคณาจารย์ อาทิ
    - พระธรรมราชานุวัตร วัดสุวรรณาราม เป็นประธานสงฆ์
    - พระครูประสาทธรรมวัตร(หลวงตาละมัย) วัดอรัญญิก เป็นเจ้าพิธี
    - พระครูประภาสธรรมาภรณ์(หลวงพ่อแขก) วัดสุนทรประดิษฐ์ เป็นผู้ช่วยเจ้าพิธี
    - หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    - ครูบาสายทอง วัดท่าไม้แดง
    - หลวงพ่อเปรื่อง วัดบางคลาน
    - หลวงพ่อเกตุ วัดศรีเมือง
    - หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง เป็นต้น

    วาระที่ 2 : พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระวิหารพระพุทธชินราช พิษณุโลก
    รายนามพระเกจิอาจารย์ จำนวน 125รูปนั่งปรกตลอดคืน ที่ปรากฏชื่อเสียงในปัจจุบัน อาทิ
    - หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    - หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    - หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    - หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์
    - หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู
    - หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
    - หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
    - หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    - หลวงพ่อเทียม
    - หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง
    - หลวงพ่อนอ วัดท่าเรือ

    บูชา 400 บาท

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2015
  12. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดรายการแล้วครับ
    พระพุทธชินราช รุ่น มาลาเบี่ยง ปี 2520

    พระพุทธชินราช รุ่นมาลาเบี่ยง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการจัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2520 โดยพระราชรัตนมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชน ร่วมกันสร้างเพื่อหาทุนหล่อพระพุทธชินราชบูชา ขนาด 29นิ้ว แจกแก่วัดในเขตทุรกันดารจำนวนประมาณ 120องค์ และพระเครื่อง สำหรับแจกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ปราบผู้ก่อการร้าย

    วัตถุมงคลที่จัดสร้าง ประกอบด้วย :
    1.พระบูชาพระพุทธชินราช พระมาลาเบี่ยง ขนาด 9 และ 5 นิ้ว ลงรักปิดทอง
    2.พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พระพุทธชินราช มาลาเบี่ยง เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ
    3.เหรียญพระพุทธชินราช พระมาลาเบี่ยง (รูปทรงพระมาลาเบี่ยง)
    4.พระพุทธชินราชเนื้อผง รุ่นพระมาลาเบี่ยง จำนวน 3 พิมพ์ คือ พิมพ์สี่เหลี่ยมใหญ่ พิมพ์สมเด็จ และพิมพ์เล็กตัดชิด (สามเหลี่ยม) หลังเป็นยันต์อกเลาอันศักดิ์สิทธิ์ ประจำองค์หลวงพ่อพระพุทธชินราช และพระมาลาเบี่ยง ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และอักขระขอม หัวใจธาตุ 4 (นะ มะ พะ ทะ) มีหมายเลข (หมึกปั๊ม) กำกับทุกองค์

    ได้ประกอบพิธี 2 วาระ ดังนี้คือ

    วาระที่ 1 : ปี พ.ศ.2519
    รายนามพระคณาจารย์ อาทิ
    - พระธรรมราชานุวัตร วัดสุวรรณาราม เป็นประธานสงฆ์
    - พระครูประสาทธรรมวัตร(หลวงตาละมัย) วัดอรัญญิก เป็นเจ้าพิธี
    - พระครูประภาสธรรมาภรณ์(หลวงพ่อแขก) วัดสุนทรประดิษฐ์ เป็นผู้ช่วยเจ้าพิธี
    - หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    - ครูบาสายทอง วัดท่าไม้แดง
    - หลวงพ่อเปรื่อง วัดบางคลาน
    - หลวงพ่อเกตุ วัดศรีเมือง
    - หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง เป็นต้น

    วาระที่ 2 : พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระวิหารพระพุทธชินราช พิษณุโลก
    รายนามพระเกจิอาจารย์ จำนวน 125รูปนั่งปรกตลอดคืน ที่ปรากฏชื่อเสียงในปัจจุบัน อาทิ
    - หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    - หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    - หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    - หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์
    - หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู
    - หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
    - หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
    - หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี ส
    - หลวงพ่อเทียม
    - หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง
    - หลวงพ่อนอ วัดท่าเรือ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2015
  13. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    เหรียญพระราชทานชาวเขา ชม.170397

    สภาพสวย ๆ น่าเก็บครับ

    บูชา 600 บาท

    [​IMG][​IMG]
     
  14. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    วิธีดูเหรียญกินบ่เสี้ยง หลวงพ่อเกษม เขมโก

    เหรียญกินบ่เสี้ยง สร้างเป็นที่ระลึก งานจัดการประกวดพระเครื่อง จังหวัดลำปางปี 2525 วันที่ขออนุญาตหลวงพ่อสร้างเหรียญรุ่นนี้ หลวงพ่อได้ถามคณะกรรมการจัดการประกวดพระว่า ชื่อรุ่นอะไร กรรมการตอบหลวงพ่อว่า กินบ่เสี้ยงครับ หลวงพ่อก็เมตตาตอบกลับว่า ชื่อดี กิ๋นบ่เสี้ยง หมายถึง กิ๋นเตาไดก็บ่หมด มีกินมีใช้ไปตลอด มีของปลอมออกมานานแล้วครับ โค๊ตเหมือนกันมาก แต่ดูจุดที่ชมรมพระเครื่องล้านนาทำออกมาเผยแผ่ แล้วท่านจะได้พระแท้ไว้ครอบครอง

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
     
  15. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดรายการแล้วครับ
    พระนเรศวร 100 ปี โรงเรียนชาย

    เสริมตบะเดชะ อริราชศัตรูพ่าย เสริมอาชีพการงานให้ก้าวหน้า ต้องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เหรียญรุ่นนี้จัดทำขึ้นในวาระครบ 100 ปี โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม แจกทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ 3 ชายแดนใต้ รอดมานักต่อนักแล้ว พิธีดีพระเกจิดัง
    - หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
    - หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุพนม
    - หลวงปู่ตี๋ วัดหลวงราชาวาส
    - หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม
    - หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม
    - หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ
    - หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
    - หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน
    - หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ
    - หลวงพ่อเฮ็น วัดดอนทอง
    - หลวงพ่ออิฐ วัดจุฬามณี
    - หลวงปู่โถม วัดธรรมปัญญาราม
    - หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติการาม
    - หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ
    - หลวงพ่อละมัย วัดอรัญญิก (หลวงพ่อเคยปลุกเสก หลวงพ่อเงิน ปี 15 อันโด่งดัง)
    แค่นี้ก็เชื่อขนมกันได้แล้ว

    บูชา 1200 บาท

    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2015
  16. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    "เรื่องของเหรียญ" กับบันทึกตำนาน การจัดการสัญชาติไทย

    "เรื่องของเหรียญ" กับบันทึกตำนาน การจัดการสัญชาติไทย โดย ศศินันทน์ งามธุระ นักศึกษาฝึกปฏิบัติหนังสือพิมพ์เด็กไร้รัฐ สัญชาติ ในความหมายเข้าใจจากตำราเรียน คือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับรัฐ โดยรัฐในที่นี้หมายความถึงรัฐสมัยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน คำว่า "สัญชาติ" มีขึ้นอย่างเด่นชัดภายหลังสมัยของรัชกาลที่ 5 เพราะก่อนหน้านั้น มีเพียงสิ่งเรียกว่า "มูลนิติธรรมประเพณี" ในยุคนั้นรัฐส่วนกลางพยายามขยายอำนาจเข้ามาสู่ท้องถิ่นมากขึ้น หัวเมืองต่างๆ ถูกจัดตั้งขึ้นเป็น มณฑล เช่น จากหัวเมืองล้านนา เป็น มณฑลพายัพ อันประกอบด้วย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง รัฐในสมัยนั้นบริหารจัดการโดย ส่งข้าหลวงเข้ามาควบคุมและใช้อำนาจพร้อมกับลดทอนอำนาจของเจ้าเมืองในแต่ละ มณฑลลง จากที่เคยมีกฎเกณฑ์สำหรับใช้บังคับในแต่ละหัวเมือง (ระบบเจ้าเมือง) ให้มาใช้ระบบราชการแทน เป็นการรวมอำนาจในการปกครองเข้ามาสู่ส่วนกลาง การรวมอำนาจทำให้ระบบจารีตประเพณีที่เคยใช้ เคยมีความสำคัญ ไร้ความสำคัญ ถือเป็นรากฐานของกฎหมายปัจจุบัน ที่ทำให้รัฐแผ่อำนาจออกไปได้ในทุกพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดรัฐ ที่เรียกว่า รัฐชาติ และหลังกำเนิดของรัฐชาติไทย แนวคิดเรื่องสัญชาติก็เริ่มก่อตัวขึ้นนับแต่นั้น จากระบบกฎหมายที่รัฐส่วนกลางเป็นผู้สร้างขึ้น แล้วบังคับใช้ทั่วรัฐ จึงมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดการ การควบคุมประชากร มีการแยกบุคคลในรัฐออกเป็นกลุ่มๆ และมีวิวัฒนาการในการดูแล และให้สัญชาติต่างกัน ในยุคแรกที่อำนาจรัฐยังมีอยู่อย่างจำกัด สัญชาติในยุคนั้นอาจไม่ใช่สัญชาติตามความเข้าใจในปัจจุบัน เริ่มต้นจากการสักเลก เพื่อบอกสังกัดมูลนาย โดยไม่ได้หมายความมีนายคนเดียวกัน จะต้องมีสัญชาติเดียวกันอาจมี ชาติลาว เขมร ส่วย ภูไท รวมอยู่ ต่อมามีการสำรวจสำมะโนประชากรเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2453 ผู้ที่ได้รับการสำรวจสำมะโนประชากรจะมีการลงในช่องสัญชาติว่า "ชาติไทยในบังคับสยาม"ทั้งหมด มิให้ลง หรือเขียนว่าเป็นชาติอื่น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มีความหมายว่า รัฐให้ความสนใจกับประชาชนที่อยู่ภายใต้อำนาจปกครอง โดยให้ประชากรหรือบุคคลภายใต้บังคับต้องมีสัญชาติไทยเหมือนๆ กัน มีกฎหมายกำหนดว่าใครบ้างที่จะได้สัญชาติไทย และได้มาด้วยวิธีการอย่างไร หลังจากการวางหลักซึ่งประกอบด้วยหลักการสืบสายโลหิตที่บุคคลจะได้สัญชาติตาม บิดาและมารดาที่เป็นคนไทย และหลักดินแดนสำหรับบุคคลที่เกิดในประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ.2512-2515 เกณฑ์ของการให้สัญชาติโดยหลักดินแดนบีบแคบลง รวมถึงการที่อำนาจรัฐมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ ของรัฐในพื้นที่ห่างไกล และเกิดปัญหาที่ประชาชนในพื้นที่ไกลห่างเหล่านั้น เกิดการตกสำรวจ หรือขาดการติดต่อกับหน่วยงานรัฐ ในยุคนั้นชาวเขาอยู่ไกลไม่มีความสัมพันธ์กับอำนาจรัฐ และรัฐแต่ละรัฐยังไม่มีการแบ่งพรมแดนกันอย่างชัดเจนเช่นทุกวันนี้ มีการเดินทางข้ามไปมาระหว่างรัฐกับรัฐเป็นเรื่องปกติและเสรี ในการจัดการกับบุคคลในกลุ่มต่างๆ เริ่มมีปัญหา รัฐไม่สามารถยืนยันได้ว่าประชาชนทุกคนที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นบุคคล สัญชาติไทย นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีคนไร้สัญชาติในรัฐไทย และมีความพยายามจัดการกับคนกลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือในปี พ.ศ.2512-2513 มีโครงการจัดทำเอกสารพิสูจน์ตน ครอบคลุมพื้นที่ 16 จังหวัด มีการบันทึกเพียงชื่อ-สกุล ไม่มีรูปถ่ายยืนยัน รวมทั้งมีการแจก "เหรียญที่ระลึกชาวเขา" (ศุภชัย เจริญวงศ์ : ชาวเขาสถานะความเป็นอยู่คนไทยที่ถูกลืม สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ 28 มี.ค.-4 เม.ย.2545) แม่เฒ่าคนจากเผ่าม้ง วัย 80 ปี จาก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย แม่เฒ่าพูดไทยไม่ได้ แต่ได้บอกเล่าถึงเหรียญที่ระลึกชาวเขาผ่านบุตรสาวไว้เพียงว่า..."จำไม่ได้ ว่าเป็นเหรียญลักษณะใด รู้แต่ว่าไม่มีรูตรงกลาง และอำเภอแจกให้ครอบครัวละหนึ่งเหรียญ เอาไว้ดู เป็นที่ระลึก" เหรียญที่ระลึก ไม่ได้มีผลถึงการแสดงตัวตนของบุคคล มีบุคคลที่เกิดในประเทศไทย แต่ไม่ได้สัญชาติไทยเนื่องมาจากเอกสารพิสูจน์ตนของรัฐยังเข้าไปไม่ถึงและ เส้นแบ่งเขตแดนรัฐไม่ชัดเจน นั่นแสดงให้เห็นว่าถึงแม้รัฐจะแสดงออกถึงการจัดการสำรวจกลุ่มคนบนที่สูงแล้ว แต่ก็ไม่มีระบบระเบียบ และยังไม่มีการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับคนในพื้นที่ ยุคต่อมาเป็นยุคของการจัดการคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยใช้ระบบของการ สำรวจสำมะโนประชากร และมีการจัดทำเอกสารพิสูจน์ตนให้แก่บุคคลที่ไม่มีสัญชาติ ในรูปของทะเบียนบ้านชั่วคราว (ทร.13) และมีการออกบัตรแสดงตน มีลักษณะเป็นบัตรสีต่างๆ ตามพื้นที่ และตามสังกัดของกลุ่ม 16 บัตรสี คือบัตรสีขาวขอบน้ำเงิน-ญวนอพยพ, สีขาวขอบแดง-ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา,สีเหลือง-จีนฮ่ออพยพ, สีส้ม-จีนฮ่ออิสระ, สีเขียว-ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกงกัมพูชา, สีเขียว-เนปาลอพยพ, สีม่วง-ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า (อยู่กับนายจ้าง), สีฟ้าขอบน้ำเงิน-ลาวอพยพ, สีส้ม-ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า (มีที่อยู่ถาวร), สีเหลืองขอบน้ำเงิน-ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย, สีฟ้า-บุคคลบนพื้นที่สูง, สีเขียว-ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย, สีขาว-อดีตทหารจีนคณะชาติ, สีฟ้า-เผ่าตองเหลือง, สีส้ม-ไทยลื้อ, สีชมพู-ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า, สีเขียวขอบแดง-สำรวจชุมชนบนพื้นที่สูง ในจำนวนของผู้ครอบครองบัตรสีต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีคนไทยอีกหลายคน หลายครอบครัวที่ในความเป็นจริงพวกเขาต้องได้รับสัญชาติไทย อาจด้วยเหตุผลเพราะความผิดพลาดในการสำรวจ การไม่จริงจังในการวางระบบแก้ไขปัญหาให้เกิดขึ้นจริงในระยะยาว มีแนวคิดใหม่ในการให้สัญชาติกับคนที่มาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลานานหลายรุ่นอายุของบุคคล ล่าสุดหลายๆ ฝ่ายที่มองเห็นความสำคัญของปัญหาต่างก็ร่วมมือกันคิดค้น สร้างระบบ และพยายามนำเสนอเรื่องราวที่พยายามจัดการตลอดมา ในปี พ.ศ.2549 การแก้ปัญหาอันเกิดจากการตกสำรวจ ปัญหาของคนไทยที่ไม่มีตัวตนในทางกฎหมาย ได้เดินทางก้าวไกลข้ามยุคสมัยมาสู่ยุคดิจิตอล มีการรวบรวมจำนวนคนประสบปัญหาและผู้ที่มีสิทธิได้รับสัญชาติ มาเก็บรวมไว้ในฐานข้อมูลเพื่อการจัดการ และดำเนินการเรื่องของสัญชาติไทยให้กับคนที่ยังไร้สัญชาติต่อไป ปัญหาที่ยากลำบากนี้ยังจะมีวิวัฒนาการไปยังยุคหน้าอีกหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไป
    ชม=เชียงใหม่ จะมีเยอะมาก
    ชร=เชียงราย
    ลป=ลำปาง
    นน=น่าน
    ตก=ตาก
    มส=แม่ฮ่องสอน

    ที่หายากก็จะเป็นจังหวัด
    พล=พิษณุโลก
    รบ=ราชบุรี


    ด้านหน้าเป็นพระรูป ร.9
    ด้านหลัง เป็นรูปแผนที่ประเทศไทย และมีการตอกชื่อย่อจังหวัดและหมายเลขประจำตัวลงในแต่ละเหรียญ
    เพื่อใช้เป็นหมายเลขประจำตัวสำหรับชาวเขาแต่ละคน
    เพราะเท่าที่รู้เหรียญนี้แจกอยู่หลายจังหวัดตามหมู่บ้านที่มีชาวเขาอาศัยอยู่

    รายชื่อจังหวัดที่มีบนเหรียญ
    ชม=เชียงใหม่
    ชร=เชียงราย
    ลป=ลำปาง
    นน=น่าน
    มส=แม่ฮ่องสอน

    เหรียญจังหวัดที่หายากมีเป็นจังหวัดดังนี้ครับ
    พล=พิษณุโลก
    รบ=ราชบุรี
    ตก=ตาก
    ลย=เลย

    ที่มา : ศศินันทน์ งามธุระ & Khun ob8 from e-catalog & Khun wat from rakcoin
     
  17. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    เหรียญหลวงพ่อสาลีโข ปี 14

    "ไม่เหนียวอย่าเที่ยวสาลีโข" เหรียญหลวงพ่อสาลีโข สายเหนี่ยว เนื้อทองแดง ปี 2514 แป้งเจิมยังเดิม ๆ ครับ

    บูชา 600 บาท

    [​IMG]
    [​IMG]
     
  18. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    ปิดแล้วครับ
    เหรียญศาลากลาง หลวงพ่อเกษม เขมโก สภาพใช้


    บูชา 850 บาท


    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2015
  19. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ต่อไปนี้เป็นคำเล่าของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟัง แล้วนำมาถ่ายทอด ลงในหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยสิทธา เชตวัน ดังนี้ :-

    หลวงปู่แหวน ไม่เคยสนใจเรื่องการสร้างพระเครื่องแปลกๆ พิสดาร ตลอดจนเครื่องราง ของขลังเลย มีแต่พระและฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างขึ้น แล้วขนไปให้ท่านปลุกเสกบ้าง ซึ่งท่านก็มีเมตตาไม่ขัดข้อง

    หลวงปู่แหวนกล่าวว่า ชาวบ้านทั้งหลายยังติดข้องอยู่ในโลกธรรม โลกียสมบัติ ยึดถือตัวตน บุคคลเราเขา ยังเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีโอกาสจะเป็นนักบวชกระทำจิตตัดกิเลส หาทางหลุดพ้นได้สะดวก จำเป็นอยู่เอง ที่ชาวบ้านจะต้องยึดถือพระเครื่องเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยพระเครื่องก็เป็นจุดให้ชาวบ้านเข้าถึงความดี ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่ชาวบ้านจะมีพระเครื่องไว้ติดตัว

    “ปู่ก็เสกให้ ใครเอามาให้ ก็ต้องเสกให้ไป ด้วยความเมตตานั่นแหละ หลานเอ๊ย”

    หลวงปู่แหวน กล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อคณะศรัทธาจากที่ต่างๆ ทั่วสารทิศ หอบหิ้วขนเอาพระ เครื่องรางของขลัง ไปให้ท่านปลุกเสกถึงวัด

    ตอนนั้นหลวงปู่แก่มากแล้ว ชราภาพไปด้วยวิสัยสังขาร หูตึง เดินเหินไม่สะดวก ทางวัดจึงต้องจำกัดเวลาให้ชาวบ้านเข้านมัสการ ไม่ค่อยจะให้ท่านเดินทางไกลไปร่วมปลุกเสกพระเครื่อง ในพิธีพุทธาภิเษกใดๆ ง่ายๆ นอกจากว่า หลวงปู่จะยินดีเต็มใจไปเองจริงๆ ทั้งนี้ก็เพื่อจะถนอมชีวิตของหลวงปู่แหวน ไว้ให้ยืนนานเป็นมิ่งขวัญของวัดและประชาชน ผู้เคารพศรัทธาทั้งหลาย ต่อไปให้นานเท่านาน นั่นเอง

    มีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่อย่างคือ พระเครื่องรางของขลังใดๆ ที่พระและฆราวาส นำไปขอเมตตาจิต จากหลวงปู่แหวนเพื่อให้ท่านปลุกเสกให้นั้น หลวงปู่แหวนจะปลุกเสกให้อย่างมากไม่เกิน ๙ นาที บางครั้งก็เสกให้ ๓ นาที ๕ นาทีบ้าง เป็นอันว่าใช้ได้

    การปลุกเสกนี้ไม่มีพิธีรีตรองใดๆ ทั้งสิ้น ต้องไปนอนอยู่ที่วัดรอให้หลวงปู่แหวนออกมาจากห้อง พอท่านออกมาก็ขนสิ่งที่จะปลุกเสกเข้าไปกราบนมัสการท่านทันที แล้วท่านก็จะทำให้ ในเดี๋ยวนั้น ทำปุ๊ปเสร็จปั๊ป ก็เป็นอันว่าแล้วกันไป เสร็จสิ้นเรื่อง เปิดโอกาสให้ผู้คนอื่นๆ เข้าไปนมัสการท่าน ตามคิว ซึ่งแน่นขนัดอยู่ทุกวัน ไม่มีขาด

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ลูกหาต่างถอดสร้อย และรวมพระเครื่องต่างๆ รอให้หลวงปู่แหวนปลุกเสกให้ดังนี้ :-

    “พอใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดูจิตของหลวงปู่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง

    ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤกษ์เต็มดวง ลอยอยู่ในอกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปู่แหวน ก็คิดว่า ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคลของบรรดาท่านพุทธบริษัทให้เข้าถึงพระธรรม

    โดยความจริง หลวงปู่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสก ให้คนเข้าถึงธรรม”

    ท่านนึกในใจต่อไป หลวงปู่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตออดจนกระทั่งครูบาอาจารย์

    แล้วก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปู่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอก สว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันตเจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไปด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก

    นี่เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปู่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่าอานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลังศักดิ์สิทธิ์ เลิศล้ำน่ามหัศจรรย์
     
  20. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +756
    1.เสื่อมหรือไม่เสื่อม หลวงพ่อสุด วัดกาหลง

    เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจาก2ที่มา แต่พ้องกัน

    1.1.....เรื่องวัตถุมงคลนำติดตัว แล้วลอดราวผ้าหรือไปในสถานที่อโคจร ผมเคยถามหลวงปู่ว่าเสื่อมไหม หลวงปู่ท่านบอกว่าแล้วแต่อาจารย์ ผมถามว่า แล้วของหลวงปู่ล่ะครับ หลวงปู่ท่านยิ้มๆ ผมก็พูดด้วยความเชื่อมั่นว่า"ไม่เสื่อมใช่ไหมครับ" หลวงปู่ก็บอกว่า"ไม่เสื่อม"

    ที่มาพี่เปิดโลก

    1.2...เรื่องลอดราวผ้านี่ก็เป็นที่สงสัยกันมากนะครับ แต่ผมว่าของหลวงปู่ไม่เสื่อมครับมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมยังจำได้อยู่ เคยมีตำรวจรายหนึ่งยศสูงพอควร เขาก็มาเล่าเรื่องว่าคนข้างบ้านไปสักยันต์มาแล้วมาลองให้ดูเขาบอกเหนียวมาก แต่วันหนึ่งเขาไปเผลอลอดราวผ้าโดยไม่รู้ตัว แล้วเขามาลองให้ดูอีกปรากฎว่าไม่เหลือครับต้องไปหาหมอเลยทีเดียว แล้วตำรวจคนนั้นก็ถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ครับของหลวงปู่จะเสื่อมไหมครับ หลวงปู่ท่านนิ่งอยู่ไม่ตอบ เขาก็ถามอีก หลวงปู่ครับจะเสื่อมไหมครับหลวงปู่ หลวงปู่ท่านยิ้มๆ แล้วตอบว่า “เออ ไม่เสื่อมหรอกตราบใดที่เองยังศรัทธาในตัวข้า” ทั้นใดนั้น เขาก็ก้มกราบหลวงปู่ทันที แล้วว่างๆเขาก็มากราบหลวงปู่อยู่เป็นประจำ ๆ ส่วนตัวผมแล้วเชื่อครับ ถ้าของหลวงปู่เสื่อมจริงผมคงไม่รอดตายจนถึงทุกวันนี้แน่นอนครับ ......

    ที่มาพี่ไพศาล

    หลวงพ่อสุด วัดกาหลง:ด้วยความรักจากความทรงจำของศิษย์
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...