สัพเพเหระ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย phanbuaphet, 4 ธันวาคม 2011.

  1. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ทำนายบุคลิกจากเวลาเกิด ..

    [​IMG]

    ผู้ที่เกิดเวลาตี 5 ถึง 7 โมงเช้า
    ช่วงเวลานี้เป็นเวลากระต่าย จะทำให้คุณเป็นคนรักสวยรักงาม ทำอะไรละเอียดอ่อน สะอาดสะอ้าน ชอบแต่งตัวให้ดูดีเสมอ บุคลิกของคุณจะค่อนข้างสุภาพดูอ่อนโยน พูดจาหวานและนอบน้อมถ่อมตัว มีมารยาทเป็นเลิศ ดูแล้วผู้ดี๊ผู้ดี สงบเงียบเรียบร้อยเป็นผู้ใหญ่ ด้านนิสัยใจคอแม้จะดูเงียบนุ่มปานนั้น ลึก ๆ มั่นใจและทะเยอทะยานไม่น้อย เป็นคนเข้มแข็งข้างใน รู้จักระมัดระวังรอบคอบ เป็นนักการทูต จิตวิทยาสูง มีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นดี ใจกว้าง โกรธง่ายหายไว จิตใจดี ใจอ่อน ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือ รสนิยมดี

    ผู้ที่เกิดเวลา 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า
    เวลานี้เป็นเวลามังกร บุคลิกของคุณจะดูหยิ่งทะนงมาก ท่าทางสง่าผ่าเผย ดูหัวสูง ติดหรู ความทะเยอทะยานจะเห็นได้ชัด คุณดูน่าเกรงใจ เข้าถึงยาก มีความเป็นผู้นำสูง นิสัยของคุณจริง ๆ แล้วเป็นคนใจกว้างและเด็ดเดี่ยว รักศักดิ์ศรี โมโหร้าย บุ่มบ่าม มุทะลุ ทำอะไรต้องตรงไปตรงมา ไม่ชอบเรื่องเล่ห์เหลี่ยม ในด้านดีอยู่ที่เป็นหลักพึ่งพิงได้ รับผิดชอบสูงและขี้สงสาร เป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงทีเดียวนะ อนาคตของคุณค่อนข้างแจ่มแจ๋วด้วยความมุ่งมั่นบากบั่นของคุณนั่นแหล่ะ

    ผู้ที่เกิดเวลา 9 โมงเช้าถึง 11 โมงเช้า
    คนที่เกิดสาย ๆ เวลานี้ซึ่งเป็นเวลางู โดยมากจะหน้าตาดี แต่งตัวดีเสมอ ด้วยของหรูหราราคาแพงหรือมียี่ห้อ ภาพพจน์ของคุณต้องมาก่อนเสมอบุคลิกของคุณดูเงียบขรึม เรียบร้อยสุภาพนุ่มนวล มายาทดี พูดจาหวานหูชื่นใจ นิสัยข้างในค่อนข้างฉลาด เก็บความรู้สึกและความต้องการได้นิ่งลึกมาก คุณรักการแข่งขันชิงดีชิงเด่น มีความทะเยอทะยานสูง ชอบทำตัวเด่น อยากมีชื่อเสียง เป็นนักวางแผนผู้ชาญฉลาดใจแข็งไม่หวั่นไหวอ่อนข้อให้ใครง่าย ๆ ถ้าจะล้วงความลับจากตัวคุณคงไม่ง่ายนักหรอก

    ผู้ที่เกิดเวลา 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง
    เวลาเกิดช่วงนี้เป็นเวลาม้า ทำให้คุณมีบุคลิกของนักกีฬา แข็งแรงอดทน ร่าเริงคึกคัก ชอบสนุกสนาน เรื่องตลกโปกฮาล่ะชอบนัก ความที่รักอิสระเสรีกับการเป็นนักผจญภัย ถือเป็นจุดเด่นในตัวคุณ มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบแหกกฎ นิสัยของคุณเป็นคนใจกว้าง กระตือรือร้นมากแต่รอบคอบไม่เป็น ใจร้อน ชอบทำก่อนคิด กล้าลุยไปข้างหน้า จิตใจเข้มแข็ง มานะบากบั่น มีความจริงใจสูง รักเพื่อนและครอบครัว เวลามีทิฐิจะเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นสุด ๆ เวลาน่ารักจะมีชีวิตชีวาน่าตื่นเต้น เจอมรสุมก็ยังลุกขึ้นสู้ได้ ยิ้มได้ทั้งน้ำตาเลยนะคุณน่ะ


    ผู้ที่เกิดเวลาบ่ายโมงถึงบ่าย 3 โมง
    คุณที่เกิดเวลานี้เป็นเวลาแพะ จะเป็นคนใจดีอ่อนโยนจนถึงขั้นขลาดเขิน บุคลิกท่าทางของคุณจะสุภาพอ่อนโยน นุ่มนวลมีมารยาท ดูสุขุมใจเย็น ไม่มีพิษไม่มีภัย ขี้อายแต่มีความคิดสร้างสรรค์ ช่างฝัน มีไอเดียมัน ๆ กับเรื่องตลกจี้เส้น ที่ทำให้หัวเราน้ำหูน้ำตาไหล บางเวลาดูเศร้าซึมเพราะชอบคิดมากเกินเหตุ จิตใจดีทำร้ายใครไม่เป็น ถ้าถูกรังแกจะสู้ยิบตา มีความมั่นใจซ่อนไว้ใต้ท่าทางอ่อนโลกติ่ม ๆ คุณเป็นคนซื่อตรงรักสงบ เกลียดความรุนแรง อะไร ๆ ก็ดีหมด ยกเว้นเรื่องดื้อรั้นของคุณ ครองแชมป์ตลอดกาลเลย

    ผู้ที่เกิดเวลาบ่าย 3 โมงถึง 5 โมงเย็น
    คุณที่เกิดเวลาบ่าย ๆซึ่งเป็นเวลาของลิง จะมีอิทธิพลทำให้คุณค่อนข้างแอ็กทีฟไม่อยู่เฉย บุคลิกของคุณดูเปิดเผย ใจร้อนและซุ่มซ่ามนิสัยของคุณเหมือนเด็ก ๆ ชอบเล่นพิสดาร คุณเป็นคนฉลาดหัวไว มีไหวพริบกล้าพูดกล้าทำ ตรงไปตรงมา เป็นนักวางแผนและรู้จักเอาตัวรอด มีเล่ห์กลแต่ไม่ทำร้ายใครลับหลัง มีความสามารถรอบตัว ปรับตัวเข้ากับคนได้ทุกระดับ ทุ่มเทกับการงานมาก งานดีเชื่อมือได้ เสน่ห์ในตัวอยู่ที่ความขี้เล่นมีชีวิตชีวาเฮฮา แม้ท่าทางจะดูคล้ายกะล่อนเล็ก ๆ แต่ก็หนักแน่นจริงใจมากนะ


    [​IMG]

    ผู้ที่เกิดเวลา 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม
    ช่วงหัวค่ำเป็นเวลาไก่ ส่งผลให้คุณเป็นคนเข้มแข็ง หยิ่งยโส หัวรุนแรง ขวางโลก และหัวโบราณ คุณเป็นคนที่ชอบ แต่งตัวใช้แต่ของดีมีราคา บุคลิกขี้อวดไม่ใช่เล่น ว่าฉันเนี่ยรสนิยมดีนะ ในส่วนลึกของจิตใจคุณเป็นนักอนุรักษ์นิยม เจ้าระเบียบ จู้จี้ ขี้บ่นเก่ง หงุดหงิดง่ายดาย ไม่ยอมเสียเงินแบบไร้ค่า ยกเว้นเรื่องภาพพจน์ล่ะก็โอ.เค. คุณมีหัวในการบริหารควบคุม มีความเด็ดขาดละเอียดถี่ถ้วน ต่อสู้กับอุปสรรคไม่มีถอย ยามอารมณ์ดีจะเป็นคนสนุก ชอบล้อเล่น ใจกว้าง มีน้ำใจนักกีฬา ไม่ชอบการใช้อำนาจ เกลียดคนอวดเบ่งที่สุด

    ผู้ที่เกิดเวลา 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม
    คุณทีเกิดช่วงเวลานี้เป็นเวลาของหมา ทำให้คุณเป็นคนรักคุณธรรม ความถูกต้องซื้อสัตย์จริงใจมาก จนถึงขั้นยึดมั่น ถือมั่นทีเดียว ยืดหยุ่นไม่ค่อยเป็น คิดและทำอะไรก็ตามตรง ทื่อไปหมด ไม่กล้าแหกกฎระบบระเบียบจนเกินไป ชีวิตถึงไม่ค่อย มีอะไรแปลกใหม่ บางครั้งจึงดูน่าเบื่อและแสนเซ็ง มีความขยัน ฉลาด แต่พลิกแพลงไม่เป็น เอาตัวไม่ค่อยรอด คุณเกิดมาเป็นนักปกป้องคุ้มครองคนอื่นมองโลกแบบตรงไปตรงมา ไม่เพ้อฝัน ขาดอารมณ์โรมานซ์ แต่ก็เป็นคนตลกจี้เส้นเพราะมองโลกในแง่ดี เรื่องเสียสละเพื่อคนอื่น คุณเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงในเรื่องนี้เลยล่ะ ซื่อไปนิดเซ็งไปหน่อยแต่จริงใจไม่มีใครเทียบได้เลย

    ผู้ที่เกิดเวลา 3 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม
    คุณที่เกิดเวลาหมู อันเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ทำให้คุณขี้เกียจนิด ๆ เฉื่อยหน่อย ๆ คุณรักความเรียบง่ายไม่มากเรื่อง สุภาพอ่อนโยน ใจดี และอบอุ่น บุคลิกออกจะนุ่ม ๆ คุณมีจิตใจดี จริงใจ มีอารมณ์สุนทรีย์ รักดนตรี ศิลปะสวยงาม มีความโรมานซ์ในหัวใจ แม้จะพูดน้อย แต่เอาอกเอาใจเป็นเลิศ คุณชอบแต่งตัวแบบผู้ดี๊ผู้ดี รสนิยมดี ชอบทำอาหารและชอบกินด้วย รูปร่างจึงออกจะแข็งแรงและสมบูรณ์ คุณเป็นคนใจกว้างและชอบให้อภัย หากถูกทำร้ายจะกลายเป็นหมูป่า สู้ถวายชีวิต ความคิด และการกระทำจะเป็นแบบค่อยๆเป็นค่อย ๆ ไป รอบคอบใจเย็นจนกว่าจะมั่นใจนั่นแหล่ะถึงจะลุย ไม่ว่าคุณจะหญิงหรือชาย คุณจะเป็นแม่บ้านพ่อเรือน และรักครอบครัวมาก

    ผู้ที่เกิดเวลา 5 ทุ่มถึงตี 1
    เป็นเวลาของหนู คุณที่เกิดเวลานี้จะมีบุคลิกกระตือรือร้น ร่าเริงปราดเปรียวสดใส แต่มีความระแวดระวัง ฉลาดหัวไวไหวพริบดี ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บุคลิกท่าทางดูขรึม พูดน้อย เฉยชาแต่มีมารยาท รักเพื่อน มีความสุขในหมู่เพื่อน ๆชอบช่วยเหลือและมีน้ำใจ จุดเด่นคือความขยัน และสะสมเก่งคุณมักมีเงินสำรองช่อนไว้ไม่มีใครรู้หรอก ชอบวางแผนการเงิน ประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย เป็นคนมีระเบียบ บากบั่นมุ่งมั่นสูง ปรับตัวเก่ง มีความรักแบบผู้ให้ รักบ้านรักครอบครัว แต่ก็รักอิสระ ไม่อยากถูกผูกมัด กว่าจะลงเอยกับใครสักคน คิดนาน คิดลึก จนผมหงอกเลยเชียวล่ะ

    ผู้ที่เกิดเวลาตี 1 ถึงตี 3
    เวลานี้เป็นเวลาของวัว ทำให้คุณทำอะไรช้ากว่าชาวบ้าน บุคลิกท่าทางแข็งแรงบึกบึน และอึดเป็นบ้าเลย เป็นคนเฉื่อยแบบใจเย็น ๆ โกรธยากแต่โกรธทีเหมือนระเบิดลง ข้อดีอยู่ที่มีความบากบั่นมีระเบียบ ขยันอดทนหนักแน่น อยู่ในจำพวกสมบูรณ์แบบนิยม ทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่รู้จักปรับตัว ไม่มีเล่ห์เพทุบายกับใครเค้าหรอก คุณน่ะทื่อตรง จนไม่ค่อยทันใคร ขาดอารมณ์ขัน ตลกก็ตลกแบบฝืดๆ โดยปกติเป็นคนอดทนมาก ไม่ชอบความรุนแรง การทะเลาะวิวาท เลี่ยงได้จะเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้คุณจะเปลี่ยนร่างเป็นวัวกระทิงขวิดสุดฤทธิ์ทีเดียว

    ผู้ที่เกิดเวลาตี 3 ถึงตี 5
    คุณที่เกิดเวลานี้จะเป็นคนดวงแข็ง เพราะนี่เป็นเวลาเสือ ส่งผลให้คุณหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าวเข้มแข็งและดูมีอำนาจ คุณมีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มั่นใจในตัวเองสูง แต่ขาดความรอบคอบ เพราะอารมณ์อยู่เหนือหัวใจ แต่ก็เป็นคนใจดี ชอบเสียสละ ใจกว้างไม่จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ มีความรับผิดชอบ ชอบฉายเดี่ยวไม่อยู่ติดที่ คุณมักจะมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ขี้โม้โอ้อวด หลงใหลเรื่องรักใคร่โรแมนติก ชอบเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปชั่ววูบ มีความเซ็กซี่เป็นเสน่ห์ส่วนตัวที่น่าดึงดูดใจ ข้อเสียมีแค่ไม่รู้จักยอมออมชอมบ้างขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ จะหาสีเทาจากคุณน่ะยากเหลือเกิน


    yenta4
     
  2. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.2992212/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2013
  3. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    คู่มือปลูกสวนผักคนเมือง

    [​IMG]

    พืชผักเมืองไทย ปลูกง่าย โตเร็ว กินอร่อย แม้คนอยู่ตึก มีมุมน้อยนิดบนคอนโด ก็ปลูกผักหญ้ากินเองได้ เป็นแนวคิดที่ไม่ใหม่ เพราะมีผู้ริเริ่มและรณรงค์มานานแล้ว แต่ไฉนคนเมืองอยู่แต่ตึกไม่สนใจสีเขียวที่กินได้ในชีวิตจริง โครงการ สวนผักคนเมือง จึงกำเนิดขึ้นโดยผู้ปรารถนาดี อยากให้คนไทยรู้จักปลูกผักกินเอง ใส่ใจในธรรมชาติ กลับมามองของจริงที่จับต้องได้ นอกจากโครงการที่ว่านี้ยังมีมูลนิธิต่างๆ ได้แก่ เอ็นจีโอ สสส. และกลุ่มคนตัวน้อยที่ชวนคนเมืองมาปลูกผัก สร้างเป็นเครือข่ายวิถีเกษตรคนเมือง นอกจากนี้ คนที่อยู่ตึกแต่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด สามารถเข้าร่วมกิจกรรม ฟังอบรมวิธีปลูกผักในเนื้อที่จำกัด จนถึงปลูกข้าวในล้อยางและบ่อซีเมนต์ เขาก็ทำกันมาเห็นผล เป็นเรื่องจริงน่าทึ่งว่า ไม่มีนาข้าวก็ปลูกข้าวกินเองได้

    [​IMG]

    หาตำแหน่งวางกระถาง:
    ผักส่วนใหญ่ต้องการแดดตลอดทั้งวัน ถ้าไม่มีที่ตั้งซึ่งได้แดดเต็มวันก็หาตำแหน่งให้ได้แดดมากที่สุด อย่างน้อยก็ครึ่งวัน หรือถ้าขยันและมีเวลาก็คอยขยับกระถางตามแดดแทน ถ้าวางบนดาดฟ้า บางวันแดดอาจร้อนเกินไปจนผักขาดน้ำ ต้องช่วยขึงตาข่ายพรางแสงให้ผักบ้าง

    เตรียมกระถาง :
    เลือกขนาดกระถางใหญ่พอกับการเติบโตของพืช เช่น ผักกินใบ กระถางควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๔ นิ้วขึ้นไป ผักกินผลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐ นิ้วขึ้นไป หากเป็นภาชนะรูปทรงอื่นๆ ควรมีความลึกของก้นภาชนะตั้งแต่ ๓๐-๕๐ เซนติเมตรจึงจะสามารถปลูกผักได้ทุกชนิด หรือใช้อิฐบล็อกกั้นเป็นคอก หรือใช้กะละมังเก่าก้นแตก ลังไม้ กล่องโฟม มาดัดแปลงก็ได้

    เตรียมดิน :
    ใช้ดินถุงที่ซื้อจากร้านขายต้นไม้ก็สะดวก ถ้าจะเพิ่มส่วนผสมให้ดินดีปลูกผักงามขึ้น ใช้สูตรตามนี้เลย
    • ดินร่วนหรือดินถุง ๑ ส่วน
    • ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า ๑ ส่วน
    • แกลบเผา หรือขุยมะพร้าว หรือเศษใบไม้แห้ง (กระถินณรงค์ ก้ามปู หูกระจง มะขาม หางนกยูง) ๑ ส่วน ผสมคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน รดน้ำให้มีความชื้นพอปั้นเป็นก้อนได้ แต่ไม่แฉะจนน้ำไหลเยิ้ม บ่มดินไว้ในที่ร่มหรือในถุงสัก ๑ สัปดาห์ รับรองว่าแจ๋วแน่นอน แต่ถ้าไม่มีเวลาจะไม่ทำก็ได้ ไม่ว่ากัน

    เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
    ที่หาง่ายหน่อยคือเมล็ดพันธุ์ขายเป็นซอง มี ๒ ประเภท ดูสัญลักษณ์ตัวย่อบนซองคือ OP (Open-Pollinated) – เมล็ดพันธุ์ผสมเปิด ปลูกแล้วเก็บเมล็ดมาใช้ปลูกต่อได้ F1 (First Filial Generation) – เมล็ดพันธุ์ลูกผสม ถ้าเก็บเมล็ดมาปลูกต่อจะได้ลักษณะแปรปรวน ไม่เหมือนที่ปลูกในรุ่นแรก ตอนซื้ออย่าลืมดูวันหมดอายุ และเปอร์เซ็นต์การงอกว่าควรสูงกว่า ๗๐% ไม่ควรซื้อซองเมล็ดพันธุ์ที่ตากแดดตากฝน เพราะเมล็ดจะเสื่อมคุณภาพและเปอร์เซ็นต์การงอกลดลง ถ้าเปิดซองแล้วใช้ปลูกไม่หมด ต้องปิดซองให้สนิท และเก็บรักษาไว้ในตู้เย็น

    การปลูกผัก :
    เคล็ดวิชาปลูกผัก ๗ กลุ่ม
    การดูแล :
    รดน้ำอย่างน้อยวันละ ๒ เวลา เช้าและเย็น หรือก่อนออกจากบ้าน และหลังกลับบ้าน คอยดูการเจริญเติบโตของพืชและดูว่ามีโรค หรือแมลงมากัดกินหรือเปล่า จะได้แก้ไขได้ทัน เช่น จับหนอนออกเมื่อพบกำลังกัดกินผักของเรา หมั่นเด็ดใบที่เหี่ยวหรือแก่ออก ถอนวัชพืชออกบ้างถ้ามีมากเกินไป ควรใส่ปุ๋ยคอกเก่าหรือปุ๋ยหมักทุกสัปดาห์ พร้อมกับรดน้ำผสมกับน้ำหมักชีวภาพจากเศษอาหารและสารสมุนไพรไล่แมลงอย่างง่าย เช่น พริกแกงละลายน้ำ เพื่อบำรุงรักษาให้พืชผักเราเจริญเติบโตงอกงาม

    การเก็บผัก :
    พอผักงามน่ากินจนอยากเก็บแล้ว อย่าเพิ่งใจร้อน (ระยะเวลาเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับชนิดผัก) ทำตามนี้นะ
    • เก็บผักตอนเช้า แดดไม่แรง จะทำให้ผัก กรอบ สวย น่ากินกว่าเก็บตอนบ่าย แถมยังเก็บไว้กินได้นานด้วย
    • ใช้มีดตัดเฉพาะส่วนที่ต้องการมาใช้บริโภค ดีกว่าใช้มือเด็ด เพราะผักจะไม่ช้ำ
    • สำหรับผักกินผลที่ไม่ได้เก็บถอนมาทั้งต้น ใส่ปุ๋ยหลังจากเก็บผักบ้างเพื่อไม่ให้ต้นโทรมไว

    หาความรู้เพิ่มเติม :
    •การปลูกพืชหมุนเวียน การทำปุ๋ยหมัก การทำน้ำสกัดชีวภาพ
    •การทำสารสกัดสมุนไพรไล่แมลง สรรพคุณของผัก
    •การทำสวนครัวจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ได้ แต่เมื่อลงมือปลูก และเฝ้าดูพืชผักที่เติบโตจากฝีมือเราเองก็ทำให้ชุ่มชื่นใจไม่เบา


    [​IMG]

    เคล็ดวิชาปลูกผัก ๗ กลุ่ม
    ๑. ผักกะหล่ำ ผักคะน้า และผักสลัด
    - เป็นผักที่เรากินใบ เช่น ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักสลัดต่างๆ
    - กดดินเป็นหลุมลึกครึ่งเซนติเมตร หยอดเมล็ดหลุมละ ๕-๗ เมล็ด แล้วกลบดินทับบางๆ คลุมด้วยฟางหนา ๑ เซนติเมตร รดน้ำ
    - พอต้นกล้างอก นับใบจริงได้ ๒-๓ ใบ ใช้กรรไกรตัดต้นอ่อนให้เหลือหลุมละ ๓ ต้นเมื่อมีใบจริง ๔ ใบตัดเหลือ ๒ ต้น ใบจริง ๕ ใบตัดเหลือ ๑ ต้นที่แข็งแรงที่สุด (ต้นอ่อนที่ตัดทิ้งนำมากินได้เลย กรอบอร่อย)
    - ผักกลุ่มนี้ต้องการความชุ่มชื้น รดน้ำให้ชุ่มเสมอ อย่าให้แห้ง เฉพาะผักสลัดตั้งกระถางในร่มหรือแสงรำไร
    - ระยะเก็บเกี่ยว : ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักสลัด ๔๕ วัน ผักกาดเขียว ๖๐ วัน กะหล่ำต่างๆ ๗๕-๙๐ วัน
    - ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว เก็บผักโดยเหลือใบไว้กับต้น ๒ ใบ ต้นจะงอกใบใหม่ให้เก็บได้อีก ๒-๓ ครั้ง

    ๒. ผักบุ้ง ผักชี
    - เป็นผักที่เรากินใบ เช่น ผักบุ้งจีน ผักชี ขึ้นฉ่าย
    - ผักบุ้งให้กดดินเป็นร่องตามยาวแล้วโรยเมล็ดเป็นแถวลงในร่อง กลบดินทับบางๆ คลุมด้วยฟางหนา ๑ เซนติเมตร แล้วรดน้ำ
    - ผักชีกับขึ้นฉ่ายให้ปลูกแบบเดียวกับผักกะหล่ำ
    - ผักบุ้งจีนต้องการแดดทั้งวัน แต่ผักชีและขึ้นฉ่ายชอบให้มีร่มเงาบ้าง
    - ผักกลุ่มนี้ต้องการความชุ่มชื้น รดน้ำให้ชุ่มเสมอ อย่าให้แห้ง
    - ระยะเก็บเกี่ยว : ผักบุ้งจีน ๓๐ วัน ผักชี ๔๕-๖๐ วัน ขึ้นฉ่าย ๖๐-๙๐ วัน

    ๓. แมงลัก โหระพา กะเพรา และผักชีฝรั่ง
    - เป็นผักที่เรากินใบ เช่น แมงลัก โหระพา กะเพรา ผักชีฝรั่ง
    - แมงลัก โหระพา กะเพรา ปลูกแบบเดียวกับผักกะหล่ำ หมั่นเด็ดดอกทิ้งเพื่อให้ต้นและใบเจริญเติบโตเต็มที่
    - ผักชีฝรั่งนอกจากปลูกด้วยเมล็ดแบบผักกะหล่ำแล้ว ยังใช้ลำต้นที่มีรากติดปักชำได้ด้วย
    - แมงลัก โหระพา กะเพรา รดน้ำวันละครั้งก็พอ ส่วนผักชีฝรั่งชอบความชุ่มชื้น อย่าให้แห้ง
    - ระยะเก็บเกี่ยว : โหระพา กะเพรา แมงลัก ๔๕ วัน ผักชีฝรั่ง ๖๐ วัน

    ๔. แตงและถั่วบางชนิด
    - ผักกลุ่มนี้เป็นไม้เถาเลื้อยที่เราเก็บกินผล เช่น บวบหอม ฟักเขียว แตงกวา แตงร้าน แตงไทย ฟักทอง น้ำเต้า มะระ ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วพู ตำลึง
    - หยอดเมล็ดโดยวางหลุมละ ๕ เมล็ด (ห่างกัน) แล้วกดหลุมลึกลงไปในดิน ๒-๔ เซนติเมตร คลุมฟางในหลุมหนา ๒ เซนติเมตร กลบดินให้ปิดเมล็ด
    - รดน้ำแล้วปักไม้ค้างสำหรับให้พืชเกาะไว้ ถ้าปักหลังจากต้นงอกแล้วอาจโดนรากพืชขาดเสียหาย
    - พอต้นกล้างอกมีใบเลี้ยงและใบจริงนับได้ ๖-๗ ใบ ถอนเหลือแต่ต้นแข็งแรงไว้หลุมละ ๓ ต้น ปล่อยโตทั้ง ๓ ต้น ไม่ต้องถอนอีก
    - ห้ามพรวนโคนต้น เพราะจะทำให้รากขาด ต้นผักจะอ่อนแอต่อโรคและแมลง
    - ระยะเก็บเกี่ยว : ๔๐-๖๐ วัน

    ๕. พริก มะเขือ
    - เป็นผักที่เรากินผล เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า มะเขือเปราะ มะเขือยาว มะเขือพวง มะเขือเทศ
    - กลุ่มนี้ต้องเพาะกล้าก่อน โดยใช้ภาชนะพลาสติกโปร่งๆ หรือถ้วยพลาสติกเจาะรูที่ก้นจนพรุน สูงไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร ใส่ดินในภาชนะแล้วหว่านเมล็ดให้กระจายบนผิวดิน กลบดินทับบางๆ รดน้ำ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุง แล้วตั้งทิ้งไว้ ไม่ต้องรดน้ำอีก
    - เมื่อต้นกล้ามีใบเลี้ยง ๒ ใบ แกะถุงออก รดน้ำวันละครั้งจนมีใบจริง ๒ ใบ ให้ย้ายไปลงในถุงเพาะชำสีดำขนาด ๒ นิ้ว (ซื้อได้ตามร้านขายต้นไม้ทั่วไป) จนต้นโตมีใบจริง ๕-๖ ใบ จึงย้ายต้นลงในกระถางจริง รดน้ำให้ชุ่ม
    - ระยะเก็บเกี่ยว : มะเขือ ๙๐ วัน พริก ๑๒๐ วัน

    ๖. หอม กระเทียม
    - เป็นผักที่เราเก็บหัวมาใช้ เช่น ต้นหอมหรือหอมแบ่ง หอมแดง กระเทียม
    - ปลูกโดยใช้หัวที่เก็บไว้นาน ๔ เดือนแล้วเอามาตัดรากแห้งออก แยกหัวออกเป็นหัวเดียว ฝังลงดินให้ปลายหัวเสมอผิวดิน เว้นระยะระหว่างต้น ๕ เซนติเมตร คลุมฟางทับหนา ๑ เซนติเมตร รดน้ำ
    - เมื่อต้นงอกได้ ๑๕ วันจึงค่อยใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
    - ต้นหอมต้องหมั่นกำจัดวัชพืช และรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ
    - ระยะเก็บเกี่ยว : ต้นหอม ๔๕ วัน หอมแดง ๖๐ วัน กระเทียม ๙๐ วัน

    ๗.ขิง ข่า
    - เป็นผักที่เราเก็บเหง้าใต้ดินมาใช้ เช่น ขิง ข่า กระชาย ขมิ้นขาว ขมิ้นชัน
    - ใช้แง่งขิงหรือขมิ้นแก่มาตัดเป็นท่อนๆ ยาว ๑ นิ้ว สำหรับข่าให้ใช้ส่วนที่ติดต้นเหนือดินไว้บางส่วน กระชายให้ตัดรากออก
    - เอาปูนแดงทาตรงรอยแผลที่ตัด ทิ้งให้แผลแห้งแล้วจึงนำมาฝังดินลึก ๑๐-๑๕ เซนติเมตร คลุมฟางทับ รดน้ำ
    - รดน้ำวันละ ๑ ครั้ง
    - ระยะเก็บเกี่ยว : ขิง ๑๒๐ วัน ข่า ขมิ้น กระชาย มากกว่า ๒๔๐ วัน แต่ถ้าต้องการขิงข่าอ่อนเก็บได้ใน ๓๐ วัน
    - เดือนพฤศจิกายน-เมษายน เป็นช่วงที่ขิงข่าพักตัวทิ้งต้นเหลือแต่เหง้าใต้ดิน เดือนพฤษภาคมจึงงอกต้นขึ้นใหม่


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Rc4XUIFAq-A#t=125]ปลูกผักสวนครัวที่สวนเงิน | Digital Detox Week - YouTube[/ame]

    คำค้น : สวนผักคนเมือง
     
  4. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ช่วงนี้ ชอบไปไหนมาไหนแนวนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถึงหน้าแก่ แต่ยังดูดีอยู่....

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ******************************
    แม่นๆหลาย ขอบคุณค่ะ
     
  6. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    บางอย่างแค่เห็น สรุปอะไรไม่ได้เลย การเลียนแบบคนอื่นด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ ถือว่าไม่ดีค่ะ
    (โปรดเป็นตัวของตัวเอง อย่าเลียนแบบใครที่ไม่ใช่ตัวเราอย่างแท้จริง เวรรกรรมมีจริง.ขอเตือน)
    ปล.ไม่เกี่ยวกับคุณบัวนะคะ แค่ขออนุญาตระบายเท่านั้นเอง แท๊งค์สะล๊อทหลายยๆๆจร๊าา
     
  7. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    น้ำปลา เครื่องปรุงรสเค็มภูมิปัญญาไทย

    [​IMG]

    น้ำปลานับเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่อาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำ รู้จักทำไว้กินเองในครัวเรือนมาเป็นช้านานแล้ว ทั้งไทย เขมร ลาว จีน ล้วนแล้วแต่ทำน้ำปลาไว้กินเองกันทั้งนั้น โดยเฉพาะหลังจากฤดูน้ำหลาก จะมีปลาเล็กปลาน้อยขังอยู่ในไร่นาให้ได้จับคราวละมากๆ จึงนำมาทำน้ำปลาไว้ใช้เป็นเครื่องปรุงรสต่างๆ หรือนำมาทำเป็นอาหารจานเด็ด กินกันในเฉพาะกลุ่ม

    น้ำปลากับชีวิตของคนไทยโดยทั่วไปแล้วจะแยกกันไม่ออกแทบทุกครัวเรือน แล้วแต่ฐานะความเป็นอยู่ คือ ฐานะดีก็ซื้อน้ำปลาดีบริโภค คนมีรายได้น้อยก็ซื้อน้ำปลาผสมหรือน้ำปลาคุณภาพต่ำ และขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในเรื่องของน้ำปลาด้วยว่าแต่ละชนิดมีส่วนประกอบอย่างไรบ้าง


    [​IMG]

    ปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลามีหลายชนิด ได้แก่ ปลาไส้ตัน (ปลากะตัก) ปลาหลังเขียว ปลาทู ปลาลัง ปลาแป้น ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาข้างเหลือง เป็นต้น สำหรับปลาไส้ตันหรือปลากระตักนั้น เป็นปลาสำหรับทำน้ำปลา และเป็นปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลาแท้ที่มีคุณภาพสูงสุด เพราะน้ำปลาไส้ตันที่ได้จะมีกลิ่นหอมรสดี สีค่อนข้างแดง โดยปลาที่ใช้ต้องสด และต้องคัด ล้างสะอาด เพื่อให้ได้น้ำปลาที่มีคุณภาพ

    การผลิตน้ำปลาจากปลาไส้ตัน
    วัสดุ-อุปกรณ์
    •ปลาไส้ตัน ขนาดประมาณนิ้วชี้ ไม่เล็กหรือไม่ใหญ่จนเกินไป
    •เกลือเม็ด
    •โอ่งมังกร
    •อวนเขียวตาละเอียด หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ อีจก ”

    •กระชอน (สำหรับใช้ตักไขที่เกิดจากปลาและเกลือ)


    [​IMG]

    ขั้นตอน
    1.นำปลาที่ได้มาคลุกเคล้ากับเกลือทีละน้อย เพื่อให้ตัวปลาผสมกับเกลือได้ดี ใช้ปลา 150 กิโลกรัม/เกลือ 50 กิโลกรัม
    2.หลังจากผสมเสร็จแล้วนำมาหมักลงในโอ่ง แล้วปิดด้วยอวนเขียวตาละเอียด จากนั้นหมักทิ้งไว้ 7 เดือน ตั้งไว้ที่โล่งแจ้งที่มีแสงแดดส่องถึงแต่ต้องหมั่นเปิดดูตลอด เพราะหากเกิดไข ซึ่งเกิดจากตัวปลาและเกลือตกผลึก ต้องตักทิ้งให้หมด
    3.กรณีหากเกิดฝนตกจะต้องรีบปิดฝา และห้ามน้ำเข้าเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้เสีย

    การดูแลรักษา
    •เปิดฝาโอ่งเพื่อให้น้ำปลาในโอ่งโดนแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคและเพื่อให้มีกลิ่นหอม
    •ตักไขทีเกิดจากตัวปลาและเกลือทิ้งในทุกๆ 2 วัน และหากฝนตกต้องรีบปิดฝาโอ่งทันที

    การกรองน้ำปลา
    เมื่อหมักไว้ครบ 7 เดือน แล้วนำไม้ไผ่มาสานตาถี่ๆ เพื่อใช้กดทับลงไปในโอ่งเพื่อเป็นการกรองเอาเฉพาะน้ำ ซึ่งเรียกว่า “หัวน้ำปลา” หลังจากนั้นเอาน้ำเกลือต้มใส่ลงไปในโอ่งเดิมที่มีกากปลาอยู่หมักไว้อีก 7 เดือน แล้วกรองเอาน้ำเหมือนเดิม จะได้ “หางน้ำปลา ”
    ก่อนที่จะนำไปบรรจุขวดก็ต้องนำมากรองจนใสแล้วบรรจุใส่ขวด


    [​IMG]

    การผลิตน้ำปลาจากปลาสร้อยแท้
    วัตถุดิบ
    •ปลาสร้อยทั้งตัวล้างทำความสะอาด 5 ถัง
    •เกลือทะเล 2 ถัง

    วิธีทำ
    1. นำปลากับเกลือมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
    2. หมักไว้ในโอ่งหรือไหปิดปากให้สนิทอย่าใช้ น้ำ ฝุ่น หรือ แมลงวันเข้าได้ ตั้งทิ้งไว้กลางแดดนาน 1 ปี
    3.หมักครบ 1 เดือนให้นำสับปะรดหมัก (สับปะรดปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 10 กก. ผสมน้ำตาล 3 กก. ผสมเกลือนิดหน่อยหมักไว้ในถังปิดฝาสนิท นาน 10 วัน) ทั้งเนื้อและน้ำ 1 กก. มากวนผสมในโอ่งหรือไหที่หมักปลาไว้ 20 กก.
    4.ครบ 1 ปี ให้ตักเอาแต่น้ำปลาดิบไปต้มให้สุก กากที่เหลือหมักต่อไปอีก 7-8 เดือน
    5.ต้มนานประมาณ 1 ชม. เริ่มนับตั้งแต่น้ำปลาเริ่มเดือด
    6.เสร็จแล้วพักน้ำปลาไว้ในโอ่ง 2 วัน เพื่อช้อนคราบไขมันออก
    7.นำน้ำปลาไปกรองผ่านผ้าดิบเพื่อดักกากและตะกอน
    8.นำน้ำปลาที่ได้ผสมไอโอดีนหรือไม่ต้องผสมก็ได้แล้วแต่เรา จากนั้นนำไปบรรจุขวดเก็บไว้บริโภคหรือจำหน่ายต่อไป


    [​IMG]

    ที่มาภาพ : monmai.com อินเทอร์เน็ต
     
  8. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    คุณ Zeusi

    ใด้เลยจ้า
     
  9. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ไข่เค็ม อาหารพื้นบ้านคนไทย

    [​IMG]

    ” ไข่เค็ม ” เป็นอาหารพื้นบ้านของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นที่นิยมในการบริโภคของคนไทย ในทุกๆภาค การผลิตไข่เค็มนั้นมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนในการทำ จึงเหมาะที่จะส่งเสริมการทำไข่เค็มให้เป็นที่แพร่หลายสำหรับบุคคลและชุมชนต่างๆ ที่มีความสนใจในวิชาการทำไข่เค็มนี้ การผลิตไข่เค็มถือเป็นเทคโนโลยีชาวบ้านวิธีหนึ่งที่ทำกันมานานจนถึงทุกวันนี้ โดยเริ่มแรกจุดประสงค์ในการทำไข่เค็มนั้น เพื่อเป็นการยืดอายุการเก็บของไข่เป็ดซึ่งเหลือจากการบริโภคสด ต่อมาความนิยมในการบริโภคไข่เค็มมีมากขึ้น จนพัฒนาจากการผลิตไข่เค็มเพื่อการบริโภคในครัวเรือนมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการค้า ซึ่งการจำหน่ายอาจจะเป็นในรูปของผลิตภัณฑ์ไข่เค็มเพื่อการรับประทานโดยตรงหรือนำไปทำไปเป็นไส้ขนม เช่น ขนมเปี๊ยะ ขนมไหว้พระจันทร์ ขนมบ๊ะจ่าง ตลอดจนใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารต่างๆ ปัญหาของการผลิตไข่เค็มเพื่อการค้าในปัจจุบันคือ ไข่เค็มที่ได้มีคุณภาพไม่ค่อยสม่ำเสมอ เนื่องจากขาดการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของไข่เค็ม โดยทั่วไปไข่เค็มที่มีในตลาด เป็นไข่เค็มที่ดองในสารละลายเกลือและไข่เค็มที่พอกด้วยดิน

    การทำไข่เค็ม สูตร 1
    วัสดุ-อุปกรณ์
    1.ไห หรือ โถแก้ว ภาชนะสำหรับดอง
    2.เกลือเม็ด ๑ ถ้วยตวง ต่อไข่ ๑๐ ฟอง
    3.น้ำ ๔ ถ้วยตวง หรือ ๑ ลิตร ต่อไข่ ๑๐ ฟอง
    4.ไข่เป็ดสด ๑๐ ฟอง(หากเพิ่มไข่ ให้เพิ่ม น้ำ และเกลือตามสัดส่วน)
    5.หม้อต้ม
    6.เตาไฟ
    7.ถุงพลาสติก
    8.ยางรัด
    9.ผ้าขาวบาง

    วิธีทำ
    1.เลือกไข่เป็ดสดเปลือกเขียว(ไข่จะแดงกว่าไข่เปลือกขาว) ดูที่เปลือก ไม่บุบหรือแตกร้าว
    2.ล้างไข่เป็ดให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง วางเรียงในภาชนะบรรจุ
    3.ตวงน้ำและเกลือตามอัตราส่วน ต้มให้เกลือละลายทำการกรองทิ้ง ไว้ให้เย็น
    4.เทน้ำเกลือลงในภาชนะบรรจุ
    5.นำถุงพลาสติกใส่น้ำเกลือมัดปากถุงให้แน่นนำมาวางกดทับไข่ (ไข่ ต้องจมอยู่ในน้ำเกลือตลอดเวลา)
    6.นำผ้าพลาสติกหรือจาน ปิดปากไห/โถ ให้แน่นมิดชิด เก็บไว้ ประมาณ ๒๑ วัน
    7.เมื่อดองครบ ๑๔ วัน นำมาทอดไข่ดาวได้
    8.และเมื่อครบ ๒๑ วันนำไข่ออกมาล้างให้สะอาดนำไปต้มใช้ไฟปาน กลาง นานประมาณ ๒๐ นาที (ในขั้นตอนนี้ให้ใส่สารส้มเล็กน้อย เพื่อให้สารส้มกัดสีผิวของเปลือกไข่ ให้ขาวนวลดู สะอาดสวยงาม น่าซื้อ น่ารับประทาน) ไข่เค็มสูตรนี้ เมื่อต้มเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน อย่าง น้อย ๓๐ วัน


    [​IMG]

    ที่มา : เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี

    การทำไข่เค็ม สูตร 2 ไข่เค็มไชยา
    ได้ชื่อว่าเป็นไข่เค็มที่มีคุณภาพดี มีชื่อเสียงเป็นรู้จัก และนิยมบริโภคกันโดยทั่วไป ปัจจุบันตลาดไข่เค็มไชยาได้ขยายใหญ่ขึ้น จากเดิมที่จำหน่ายหลังสถานีรถไฟไชยา ขยายไปจำหน่ายบริเวณถนนเพชรเกษม ใกล้สวนโมกข์ และส่งไปจำหน่ายตามร้านค้าต่างจังหวัดทั่วไป ไข่เค็มไชยามีลักษณะที่ไม่เหมือนไข่เค็มในท้องถิ่นอื่น ที่ไข่เค็มไชยา ไข่แดง มัน อร่อย รสชาติดี เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากไข่เป็ดที่นำมาทำไข่เค็มนั้น ได้จากเป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ซึ่งอาหารเป็ดได้แก่ ข้าวเปลือก กุ้ง หอย ปู ปลา และผักในไร่นา

    วัสดุที่ใช้
    •ไข่เป็ดสด
    •ดินจอมปลวก 3 ส่วน
    •เกลือ 1 ส่วน
    •น้ำต้มสุกพอประมาณ
    •ขี้เถาแกลบ

    วิธีทำ
    นำส่วนผสม คือ ดินจอมปลวก 3 ส่วน เกลือ 1 ส่วน และน้ำต้มสุก มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน และให้ส่วนผสมมีความเข้มข้นพอเหมาะ ไม่เหลว หรือข้นมากเกินไป


    [​IMG]

    นำไข่ที่คลุกเคล้าในส่วนผสมแล้ว คลุกขี้เถ้าแกลบเผาเพื่อป้องกันไม่ไห้ไข่ติดกัน และป้องกันการระเหยของน้ำ

    [​IMG]

    [​IMG]

    นำไข่บรรจุกล่อง หรือเก็บไว้ในที่อากาศถ่ายด้น้อย เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ

    [​IMG]

    [​IMG]

    เคล็ดลับ
    การทำไข่เค็มสูตรไชยา จะต้องใช้ดินจอมปลวกเป็นส่วนผสม เนื่องจากกดินจอมปลวกมีธาตุกำมะถัน ช่วยทำให้ไข่เค็มมีรสชาติดีขึ้น
    การรับประทานไข่เค็ม ไข่เค็มไชยาหลังจากได้บรรจุกล่องแล้ว สามารถนำมาบริโภคได้หลายรูปแบบตามอายุของไข่เค็ม ซึ่งเริ่มนับจากวันบรรจุกล่อง ดังนี้
    •1- 5 วัน ต้มไข่หวาน
    •3- 7 วัน ทอดไข่ดาว
    •10-15 วัน ต้ม
    •15- 20 วัน ทำไส้ขนม หรือนำมายำ

    หรือถ้าต้องการคงความเค็มคงที่ ให้ล้างดินที่พอกไข่ให้สะอาดแล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 เดือน


    [​IMG]

    การทำไข่เค็ม สูตร 3 ไข่เค็มใบเตย
    วัสดุอุปกรณ์
    1.ใบเตย จำนวน 1 กิโลกรัม
    2.ไข่เป็ดสดใหม่ จำนวน 100 ฟอง
    3.เกลือ จำนวน 1 ถ้วย ต่อน้ำ 3 ถ้วย
    4.เหล้าข้าว จำนวน 3 ฝา (ฝาขวดแม่โขง)

    วิธีการทำ
    1.นำใบเตยจำนวน 1/2 กิโลกรัม มาต้ม พร้อมน้ำเกลือ (โดยจำนวนน้ำที่ต้มต้องให้ท่วมไข่เมื่อนำใส่ภาชนะแล้ว)
    2.นำใบเตยส่วนที่เหลืออีก 1/2 กิโลกรัม ไปปั่นจนละเอียด เมื่อละเอียดแล้ว ให้นำไปใส่ในภาชนะที่จะใช้ดองไข่ ซึ่งใบเตยจะทำให้ได้สีเขียวธรรมชาติ ไข่เค็มมีกลิ่นหอมของใบเตย
    3.ล้างไข่เป็ดให้สะอาดแล้วผึ่งลมให้แห้ง
    4.นำไข่เป็ดที่ล้างและผึ่งให้แห้งแล้ว มาใส่ภาชนะที่ใช้ดอง
    5.เมื่อต้มน้ำในข้อ 1. จนเกลือละลายหมดแล้ว ให้ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น
    6.เมื่อน้ำเกลือเย็นแล้วให้นำเหล้าขาวมาเทผสมลงไป จำนวน 3 ฝา (ฝาขวดแม่โขง) ซึ่งสูตรนี้เหล้าขาวจะทำให้เนื้อไข่แดงมีความนวลน่ารับประทาน ไข่แดงเป็นตานี
    7.นำน้ำเกลือที่ผสมเหล้าแล้วไปใส่ในภาชนะดองไข่ โดยเทน้ำให้ท่วมไข่ทั้งหมด ปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม

    การนำไปรับประทาน
    1.เมื่อดองไข่ได้ 7 – 15 วันสามารถนำมาทอดเป็นไข่ดาวได้
    2.เมื่อดองได้ 20 วัน ก็จะเป็นไข่เค็มที่สมบูรณ์ สามารถนำมาต้มรับประทานได้ หรือจะนำไปใส่ภาชนะที่มีความโปร่งเก็บไว้ในตู้เย็นนานหลายเดือน เทคนิคของการต้มไข่อีกอย่างคือ ในขณะต้มไข่ให้ใส่สารส้มลงไป 1 ก้อน (ก้อนเท่ากำมือ) วิธีนี้จะทำให้ไข่ขาวนวล น่ารับประทานยิ่งขึ้น


    [​IMG]

    การทำไข่เค็ม สูตร 4 ไข่เค็มพอกดินสอพอง
    ส่วนผสม
    1.ไข่เป็ด 50 ฟอง
    2.เกลือป่น 300 กรัม
    3.ดินสอพอง 1 กิโลกรัม
    4.น้ำสะอาด 1 ลิตร
    5.แกลบดำ

    วิธีการทำ
    1.ล้างไข่ให้สะอาด หรือเช็คให้สะอาด
    2.ต้มน้ำเกลือ ให้เกลือละลาย
    3.นำน้ำเกลือมาผสมกับดินสอพอง คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น
    4.นำมาพอกไข่ ให้ทั่วเสมอ
    5.นำไข่ไปคลุกกับขี้เถ้าแกลบ เก็บใส่ ภาชนะ เมื่ออายุได้ 7 วัน มาทอดรับประทานหรือ 15 วัน ต้มรับประทาน



    ที่มาภาพ : อินเทอร์เน็ต


    monmai.com
     
  10. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    กล้วยหอม ดีต่อสมองและระบบประสาท

    [​IMG]

    ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที โดยมีรายงานวิจัยยืนยันว่า กล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานถึง 90 นาที

    กล้วยหอม ผลไม้ที่มีสารทริปโตแฟน (Tryptophan) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนให้เป็นสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่จะทำให้คุณผ่อนคลาย มีความสุข หายจากความกังวลทั้งปวง ในกล้วยหอมยังถือเป็นแหล่งรวมวิตามินบี ช่วยการทำงานของระบบประสาท หากคุณต้องนั่งเครื่องบินหรือขับรถเป็นเวลานาน มักทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใดบริเวณหนึ่งล้า กล้วยหอมช่วยได้ เพราะว่ามีโพแทสเซียมช่วยป้องกันตะคริว และหากการเดินทางทำให้คุณไม่ได้กากใยของผักผลไม้เลย การกินกล้วยหอมก็ช่วยลดอาการท้องผูก

    กล้วยหอมทองที่ปลูกในประเทศไทย ลักษณะทั่วไปจะมีลำต้นสูงประมาณ ๓ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า ๒๐ ซม. กาบลำต้นด้านนอกมีประด้า ด้านในสีเขียวอ่อน มีลายเส้นสีชมพู ก้านใบมีร่องค่อนข้างกว้าง เส้นกลางใบสีเขียว ส่วนของดอก ก้านเครือมีขน ปลีรูปไข่ค่อนข้างยาว ปลายแหลม ด้านบนมีสีแดงอมม่วง กล้วยเครือหนึ่งมี ๔-๖หวีหวีหนึ่งมี๑๒-๑๖ ผล ปลายผลมีจุกเห็นชัด เปลือกบาง เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เนื้อสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม
    รสหวานน่ารับประทาน


    [​IMG]

    ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa sapientum L.,Musa paradisiaca L. var sapientum (L.) O. Kutnze
    ชื่อวงศ์ Musaceae
    ชื่ออังกฤษ Banana, Cultivated banana
    ชื่อท้องถิ่น กล้วยหอม กล้วยหอมจันทน์

    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    •ต้น ลำต้นเทียมสูง 2.5-3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 20 เซนติเมตร ตามลำต้นด้านนอกมี ประดำเล็กน้อย ด้านในสีเขียวอ่อน และมีเส้นลายสีชมพู
    •ใบ ก้านใบมีร่องค่อนข้างกว้าง และมีปีก เส้นกลางใบสีเขียว
    •ดอก ก้านช่อดอกมีขนใบประดับรูปไข่ค่อนข้างยาว ปลายแหลม ด้านบนสีแดงอมม่วง มีไข ด้านในสีแดงซีด
    •ผล เครือหนึ่งมี 4-6 หวี หวีละ 12-16 ผล ปลายผลมีจุกเห็นชัด เปลือกบาง เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง แต่ที่ปลายจุกจะมีสีเขียว แล้วเปลี่ยนสีภายหลัง เนื้อสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม รสหวาน

    เป็นที่รู้จักกันดีว่าการกินกล้วยหอมจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้เนื่องจากในกล้วยหอมมีสาร ทริปโตแฟน (Tryptophan) อันเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายคุณสามารถเปลี่ยนให้เป็นสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่จะทำให้คุณผ่อนคลาย มีความสุข หายจากความกังวลทั้งปวง


    [​IMG]

    [​IMG]

    การกินกล้วยหอมยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จึงช่วยป้องกันการเป็นโรคที่เกี่ยวกับสมองได้ด้วย

    ในกล้วยหอมยังถือเป็นแหล่งรวมวิตามินบีที่สูงมาก ซึ่งวิตามินบีนี้จะช่วยในการทำงานของระบบประสาท และทำให้การทำงานของสมองได้สมดุล

    นอกจากนี้กล้วยหอมยังช่วในการกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นถ้าสามารถกินเป็นอาหารเช้าร่วมด้วยจะดีมาก และถ้ากินในช่วงกลางวันหรือบ่ายก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นกระปี้กระเปร่า


    ประโยชน์อื่นๆของกล้วยหอม
    คนที่มีอาการเป็นตะคริวบ่อยๆ สาเหตุสำคัญก็คือการขาดโปตัสเซียม แต่ถ้าคุณได้กินกล้วยหอมเป็นประจำจะช่วยได้เพราะกล้วยหอมมีโปตัสเซียมสูงมาก และยังช่วยบำรุงกล้ามเนื้อไม่ให้อ่อนล้า
    •ในช่วงก่อนมีประจำเดือนสาวๆ มักจะหงุดงิดได้ง่ายรวมทั้งมีอาการปวดท้อง ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่การกินกล้วยหอมก็จะช่วยบรรเทาได้
    •รักษาอาการถ่ายเป็นเลือด และริดสีดวงทวารได้ด้วยการนำกล้วยหอมมา 2 ผล โดยไม่ต้องแกะเปลือกออก จากนั้นก็นำมาตุ๋นจนสุก แล้วกินทั้งเปลือก กินเป็นประจำลักพักอาการจะดีขึ้น
    •การกินกล้วยหอมวันละ 3 ครั้ง ในตอนเช้า กลางวัน และเย็น ครั้งละผลก็จะช่วยในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงให้ค่อยๆ เป็นปกติได้
    •รักษาอาการท้องผูกได้ด้วยการกินกล้วยหอมวันละผลหลังจากตื่นนอนทันที
    •กินกล้วยหอมดิบๆ ฝาดๆ จะช่วยรักษาอาการกระเพาะอาหารอักเสบได้
    •นำเฉพาะเปลือกกล้วยหอมมาสัก 3 ผล นำมาต้มน้ำดื่มจะช่วยยบรรเทาอาการกระหายน้ำ คอแห้ง พรือระคายคอได้
    •กินกล้วยหอมกับน้ำผึ้งในตอนเช้า และก่อนนอน ครั้งละ 1 ผลจะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
    •บรรเทาอาการเมาค้างด้วยการกินกล้วยหอมปั่นผสมน้ำผึ้ง ดื่มแบบเย็นๆ ก็ตื่นตัวได้ดี
    •กินกล้วยหอมแล้วจะช่วยยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปากจึงช่วยระงับกลิ่นปากได้ด้วย
    •ช่วยลดอาการคันหรือบวมจากยุงกัด ด้วยการนำเปลือกกล้วยหอมด้านในมาถูบริเวณที่เป็น
    •กินกล้วยหอมเพียง 1-2 คำในมื้อเช้า เที่ยง และเย็น จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้
    •ลดโอกาสในการเกินโรคโลหิตจางด้วยการกินกล้วยหอม เพราะกล้วยหอมมีเหล็กสูงที่จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเม็ดเลือดแดงคุณภาพดี และสามารถช่วยป้องกันภาวะหิตจางได้เป็นอย่างดี
    •หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาถึงกับอนุมัติให้กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่สามารถลดความดันโลหิตได้ จึงช่วยป้องกันการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ลดการเกิดก้อนนิ่วในไต
    •อาหารที่มีโปตัสเซียมสูงอย่างกล้วยหอมจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการนิ่วในไตได้ เพราะบางทีร่างกายก็จะขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะมาก ทำให้ไตมีก้อนนิ่วได้

    การปลูกกล้วยหอมทอง

    เตรียมดิน
    เกษตรกรต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสม น้ำไม่ท่วม ดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดีหากดินตรงไหนเป็นแอ่งควรปรับดินให้มีความลาดเท เพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน ถ้าจะให้ดินมีแร่ธาตุ มี
    อินทรียวัตถุสูง เพิ่มธาตุอาหารในดินควรปลูกปอเทืองแล้วไถกลบ ถ้าเป็นดินเหนียวควรท้าการยกร่อง และปลูกบนสันร่องทั้ง ๒ ข้าง ขุดหลุมขนาดกว้าง ๕๐ ซม.ึก ๕๐ ซม. น้าดินที่ขุดกองตากไว้ ๕-๗ วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชที่ตกค้างในดิน หลังจากนั้นคลุกเคลำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักกับดินชั้นบน แล้วจึงเอา

    การปลูก
    หน่อ ที่เตรียมไว้วางกลางหลุม กลบดิน รดน้ำ กดดินให้แน่น ระหว่างต้นระหว่างแถวแต่ละหลุมห่างกัน ๒ เมตร เพื่อสะดวกในการพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ตัดใบ หมุนเวียนอากาศได้ดี
    เมื่อต้นกล้วยมีอายุ๒๐-๓๐ วัน ท้าการปาดหน่อเพื่อให้ต้นและแตกใบเสมอกัน ต้นกล้วยอายุได้ ๔-๖เดือน จะเริ่มมีการแตกหน่อ หน่อที่เกิดมาเรียกว่า หน่อตาม ควรเอาหน่อออก เพื่อไม่ให้หน่อแย่งอาหารจากต้นแม่ เก็บหน่อไว้ประมาณ ๑-๒ หน่อเพื่อพยุงต้นแม่เมื่อมีลมแรงและเก็บเกี่ยวผลผลิตในปี


    [​IMG]

    การให้น้ำ
    ในพื้นที่ปลูกขนาดใหญ่ จะใช้วิธีสูบน้ำจากบ่อบาดาล หรือบ่อกักเก็บที่อยู่ใกล้สวน สูบน้ำขึ้นมารดต้นกล้วย การให้น้ำแค่พอชุ่มชื่น ในช่วงที่ปลูกใหม่ๆ และขณะที่กล้วยตั้งตัวและก้าลังติดปลี ติดผลดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้น้ำทุกวันเหมือนพืชชนิดอื่น

    การให้ปุ๋ย
    กล้วยเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารมาก การติดผลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอาหารและน้ำที่ได้รับ ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ตั้งแต่เริ่มปลูก การปลูกกล้วยหอมเพื่อส่งออกจะต้องเป็นการผลิตที่ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีและไม่ฉีดพ่นสารเคมีโดยเด็ดขาด จะท้าให้กล้วยหอมที่ได้ปราศจากสารพิษปนเปื้อน

    แต่งหน่อกล้วย
    การตัดแต่งใบกล้วย ขณะที่มีการแต่งหน่อควรท้าการตัดแต่งใบกล้วยควบคู่ไปด้วย จนกว่ากล้วยตกเครือ ติดใบกล้วยไว้กับต้น ๑๐-๑๒ ใบ ต่อต้น ตัดด้วยมีดขอให้ชิดต้นอย่าให้เหลือก้านกล้วยยื่นยาวออกมา เมื่อเหี่ยวจะท้าให้รัดลำต้น ทำให้ลำต้นส่วนกลางขยายได้ไม่มากเท่าที่ควร การปล่อยให้ใบกล้วยมีมากเกินไป จะท้าให้ปกคลุมดิน คลุมโคนต้น ท้าให้แดดส่องไม่ทั่วถึงพื้นที่ท้าให้ดินมีความชื่นมากเกินไป


    [​IMG]

    การค้ำลำต้นกล้วย
    กล้วยหอมทองมักประสบปัญหาเรื่องหักล้มง่าย เครือใหญ่หนัก และคออ่อน เมื่อขาดน้ำหรือลมพัดก็หักโค่นเสียหาย จึงต้องใช้ไม้ค้ำยันหรือดามกล้วยทุกต้นที่ออกปลีแล้ว และตรวจดูการค้ำยันให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงประมาณ ๑๐ เดือน หลังจากปลูกกล้วยจะเริ่มแทงปลีออกมา เมื่อกล้วยแทงปลีจนสุดให้ตัดปลีทิ้ง หาก
    ไม่ตัดปลีกล้วยทิ้งจะท้าให้ผลกล้วยเติบโตไม่เต็มที่


    [​IMG]

    การห่อถุง
    การปลูกกล้วยหอมเพื่อส่งออก หลังจากตัดปลีแล้ว ควรท้าการคลุมถุง ถุงที่ใช้ควรเป็นถุงพลาสติกที่ฟ้าขนาดใหญ่และยาวกว่าเครือกล้วย เปิดปากถุงให้มีอากาศถ่ายเทได้ดี(เก็บเกี่ยว) ประมาณ ๙๐-๑๑๐ วัน กล้วยจะแก่พอดีก็จะท้าการเก็บเกี่ยว สามารถสังเกตได้จากกล้วยหวีสุดท้ายเริ่มกลม สีผลจางลงกว่าเดิม ถ้าปล่อยให้แก่คาต้นมากเกินไปจะท้าให้เปลือกกล้วยแตก ผลเสียหาย


    [​IMG]

    ที่มา ภาพ : monmai.com อินเทอร์เน็ต
     
  11. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    แตงกวา สมุนไพรสำหรับทุกสภาพผิว

    [​IMG]

    แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยการกำจัดของเสียตกค้างในร่างกาย แตงกวามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินจำเป็นในร่างกาย เปลือกแตงกวามีกากใยอาหาร และแร่ธาตุจำเป็น เช่น ซิลิก้า โพแทสเซียม โมลิบดีนั่ม แมงกานีส และแมกนีเซียม

    ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucumis Sativus Linn.
    ชื่อสามัญ Cucumber
    วงศ์ CUCURBITACEAE
    ชื่ออื่นๆ ผักแคบ (ภาคเหนือ) แคเด๊าะ (กระเหรี่ยงและแม่ฮองสอน) ตำลึง,สี่บาท (ภาคกลาง) ผักตำนิน (ภาคอีสาน)

    แตงกวา เป็นไม้เลื้อยในวงศ์ Cucurbitaceae (ตระกูลเดียวกันกับแตงโม ฟักทอง บวบ มะระ น้ำเต้า) นิยมปลูกเพื่อใช้ผลเป็นอาหาร มีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว 30-45 วัน แตงกวาสามารถนำไปปรุงอาหารได้มากมายหลายชนิดเช่น แกงจืด ผัด กินกับน้ำพริก หรืออาจแปรรูปเป็นแตงกวาดอง


    [​IMG]

    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    เป็นพืชปีเดียวลำต้นเลื้อยพันหรือทอดนอนไปตามพื้นดิน อาจยาวได้ถึง 5 เมตร มีขนเล็กๆ อยู่โดยรอบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ระบบรากแก้วแผ่กว้าง ลำต้นมี 4-5 เหลี่ยม มีการแตกแขนง ลำต้นแข็งแรง มีมือพัน
    •ใบเป็นใบเดี่ยว การเรียงใบแบบสลับ รูปร่างแบบรูปไข่ผสมสามเหลี่ยม กว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 7-20 เซนติเมตร ก้านใบยาว 5-20 เซนติเมตร แผ่นใบมีรอยเว้า 3-7 รอย โคนใบรูปหัวใจ ปลายแหลม รอยหยักเว้าเป็นรูปสามเหลี่ยม ส่วนปลายของรอยเว้าแหลม ขอบใบแบบหยักซี่ฟัน
    •ดอกเกิดจากตาข้าง แยกเพศ ดอกมีสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5-4 เซนติเมตร ดอกเพศผู้อยู่รวมกันเป็นกระจุกมี 3-7 ดอกย่อย ก้านดอกย่อยยาว 0.5-2 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ 3 อันเป็นอิสระแยกออกจากกัน ดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยว อยู่บนก้านดอกที่มีขนาดใหญ่ ก้านดอกยาว 3-5 มิลลิเมตร รังไข่ยาว 2-5 เซนติเมตรอยู่ด้านบนก้านดอก ก้านเกสรเพศเมียเชื่อมรวมกันเป็นอันเดียว ยอดเกสรเพศเมียแยกออกเป็นสามแฉก กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปทรงระฆังความยาว 5-10 มิลลิเมตร มีขนเล็กๆ จำนวนมาก กลีบดอกมี 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นรูปทรงระฆังกว้างความยาว 2 เซนติเมตร กลีบดอกย่น มีขน
    •ผลแบบแตง มีรูปร่างขนาดและสีสันแตกต่างกันไป ตั้งแต่รูปกลมจนถึงทรงกระบอก มีหนามเล็กๆ และตุ่มกระจายอยู่ทั่วผลเมื่อยังอ่อนอยู่ หนามมีสีขาวหรือสีดำ เนื้อผลสีเขียวอ่อน มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดแบนรูปไข่ขอบขนานสีขาว ผิวเรียบ กว้าง 3-5 มิลลิเมตร ยาว 8-10 มิลลิเมตร

    ประโยชน์ของแตงกวา
    ซิลิก้าเป็นแร่ธาตุที่เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก
    ปริมาณ เส้นใย ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความ สมดุลของสารอาหารในร่างกาย ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการหมุนเวียนเลือด เส้นใยอาหารควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและช่วยระบบขับถ่ายโดยมีพลังงานต่ำเหมาะ กับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก


    [​IMG]

    แตงกวาเป็นผักที่เหมาะกับการกินยามอากาศร้อนเพราะลดความร้อนและช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีสารฟีนอลทำหน้าที่ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น นอก จากนี้ น้ำแตงกวายังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ลดอาการนอนไม่หลับ ลดกรดกระเพาะอาหาร แก้กระหายน้ำ และลดอาการโรคเกาต์ โรคไขข้อรูมาติสม์ และอาการบวมน้ำอีกด้วย
    •แก้อาการเจ็บคอ แก้อาการเจ็บคอโดยกลั้วคอด้วยน้ำคั้นผลแตงกวาวันละอย่างน้อย 3 ครั้ง
    •แก้อาการท้องผูก น้ำคั้นผลแตงกวาเป็นยาระบายอย่างอ่อน ลดกรดในกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะและช่วยการขับถ่าย
    •มิตรแท้ของดวงตา หั่น แตงกวาเป็นแว่นตามขวาง หลับตาวางแว่นแตงกวาลงบนเปลือกตา นอนในที่เงียบแสงสลัวๆ จะบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของดวงตา ที่เกิดจากการใช้งานนานๆ ได้รับฝุ่นควัน แสงจ้า หรือใส่คอนแท็กเลนส์นานเกินไป

    แตงกวากับสุขภาพและความงาม
    •ป้องกันสิวและสิวหัวดำ ใช้เนื้อแตงกวาขูดฝอยพอกบริเวณหน้าและคอเป็นเวลา 15-20 นาที บำรุงผิว ถ้าใช้บ่อยจะป้องกันผิวหน้าแห้ง ป้องกันการเกิดสิวและสิวหัวดำ
    •ผิวหน้าสดใส ใช้ น้ำมะนาวเล็กน้อยและน้ำลอยกลีบกุหลาบ (ที่ปลูกเองแบบปลอดสาร ใช้กลีบกุหลาบมากหน่อย น้ำไม่ต้องมาก วัตถุประสงค์คือให้น้ำมันหอมจากกลีบกุหลาบออกมาอยู่ในน้ำ) ผสมกับน้ำคั้นผลแตงกวา ทาบนผิวหน้าเพื่อทำให้ใบหน้าสดใส (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวมัน)
    •ผิวหน้าผุดผ่อง ใช้น้ำคั้นผลแตงกวาและนมสดปริมาณเท่าๆกัน เติมน้ำลอยกลีบกุหลาบ 2-3 หยด ทาหน้านาน 15-20 นาที ทำให้ผิวหน้านุ่มและขาวขึ้น
    •ลบถุงดำใต้ตา ใช้น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำคั้นมันฝรั่ง 1 ช้อนโต๊ะ ทารอบขอบตา พักราว 15 นาทีจึงล้างออก
    •บำรุงผิว ผสมน้ำคั้นแตงกวา น้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำแช่กลีบกุหลาบ กลีเซอรีน และน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน ใช้ทาผิวให้ตึงกระชับเพิ่มความอ่อนเยาว์
    •ลดรอยหมองคล้ำใต้รักแร้ ผสม น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นครึ่งช้อนชา หลังจากอาบน้ำเช็ดตัวให้ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าวเช็ดบริเวณใต้รักแร้เป็นวง กลม หลังจากนั้นผสมน้ำแตงกวา น้ำมะนาว และผงขมิ้นให้เข้ากัน ทาใต้รักแร้ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างออกและเช็ดให้แห้ง ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
    •ช่วยการเจริญของผม ให้ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาและน้ำแครอตเป็นประจำ ซิลิก้าและกำมะถันในน้ำแตงกวาบำรุงเส้นผม เล็บและผิวหนัง
    •ทรีตเม้นท์ลดความเสียหายของผมจากคลอรีน ผสมไข่ 1 ฟอง น้ำมันมะกอก 3 ช้อนชา และแตงกวาปอกแล้ว 1 ส่วน 4 ผล ชโลมบนเส้นผม ทิ้งไว้ 10 นาทีจึงล้างออก
    •ลบรอยด่างดำ การ ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาจะช่วยลดรอยด่างดำบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่องรอยยุงกัด และให้ทาน้ำแตงกวาผสมน้ำลอยกลีบกุหลาบอัตราส่วนเท่าๆ กันด้วย

    การปลูกแตงกวา
    อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส สามารถเจริญเติบโตได้ผลดีระหว่างอุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางวัน 22-28 องศาเซลเซียส แตงกวาจะชะงักการเจริญเติบโต สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการผสมเกสรนั้นอยู่ระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส


    [​IMG]

    แตงกวาเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากแต่ขาดน้ำไม่ได้ โครงสร้างของดินที่ปลูกแตงกวาควรมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ควรมีความเป็นกรด ด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5-6.5 ในสภาพดินที่เป็นดินทรายจัด หรือเหนียวจัด จำเป็นต้องปรับปรุงบำรุงดินก่อนการปลูก โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้วและสภาพความเป็นกรดด่างนั้น ควรจะวิเคราะห์หาค่าความต้องการปูนก่อนที่จะใช้ปูนขาวเพื่อให้มีการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม

    การเตรียมดิน ก่อนการปลูกแตงกวา ไถพรวนดินตากไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อทำลายวัชพืช และศัตรูพืชบางชนิดที่อยู่ในดิน จากนั้นจึงไถพรวนเก็บเอาเศษวัชพืชออก แล้วเตรียมแปลงขนาดกว้าง 1-1.2 เมตร โดยมีความยาวตามลักษณะของพื้นที่ แล้วจึงใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไป ปรับโครงสร้างของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของแตงกวา การเตรียมหลุมปลูกนั้นควรกำหนดระยะระหว่างต้น ประมาณ 60-80 เซนติเมตร ระหว่างแถวประมาณ 1 เมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้นในบางแหล่งอาจใช้ พลาสติกคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นในดิน ป้องกันความงอกของวัชพืช และพลาสติกบางชนิดสามารถที่จะไล่แมลงไม่ให้เข้ามาทำลายแตงกวาได้


    [​IMG]

    การเตรียมพันธุ์ ขั้นตอนการเตรียมพันธุ์ นับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการปลูกแตงกวา ซึ่งพอแบ่งได้ดังนี้
    1.การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์แตงกวา ควรคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ ซื้อจากร้านค้าให้เลือกซื้อจากร้านที่เชื่อถือ มีการบรรจุหีบห่อ เมล็ดที่สามารถป้องกันความชื้น หรืออากาศ จากภายนอกเข้าไปได้ ลักษณะเมล็ดแตงกวาควรมีการคลุกสารเคมี เพื่อป้องกันศัตรูพืชที่อาจติดมากับเมล็ด และก่อนใช้เมล็ดทุกครั้งควรทำการทดสอบความงอกก่อน
    2.การเตรียมดินเพาะกล้า อัตราส่วนดิน : ปุ๋ยคอก 3:1 ต่อต้นกล้า 1 ไร่ คลุกให้เข้ากัน แล้วบรรจุลงในถุงพลาสติกขนาด 6×10 เซนติเมตร เพื่อเตรียมสำหรับหยอดเมล็ดแตงกวาต่อไป
    3.ทำการบ่มเมล็ด โดยนำเมล็ดบรรจุถุงพลาสติกที่เจาะรูพรุน แช่ในสารละลายเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เช่น แคปเทน ออโธไซด์ ผสมอัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร แช่เมล็ดนาน 30 นาที เพื่อทำลายเชื้อราที่ผิวเมล็ด จากนั้นนำมาแช่น้ำ 4 ชั่วโมง แล้วจึงบ่มในผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ซึ่งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกรัดปากถุงให้แน่น บ่มในสภาพอุณหภูมิห้องนาน 24 ชั่วโมง หลังจากรากงอกยาว 0.5 เซนติเมตร จึงนำไปเพาะต่อไป
    4.การหยอดเมล็ดลงถุง นำเมล็ดที่ได้บ่มไว้หยอดลงแต่ละถุง จำนวนถุงละ 1 เมล็ด แล้วใช้ดินผสมหยอดกลบบางประมาณ 1 เซนติเมตร

    การดูแลรักษากล้า หลังจากหยอดเมล็ดแล้ว ให้น้ำทันที โดยวิธีการฉีดพ่นให้เป็นฝอยละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปริมาณน้ำที่ให้นั้นไม่ควรให้ปริมาณที่มากเกินไป ในช่วงฤดูร้อน ควรจะให้วันละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ให้ตรวจดูความชื้นก่อนการให้น้ำทุกครั้ง ถุงเพาะกล้านี้ควรเก็บไว้ในที่แดดไม่จัดหรือมีการใช้วัสดุกันแสงไม่ให้มากระทบต้นกล้ามากเกินเกินไปเมื่อแตงกวา เริ่มงอกให้หมั่นตรวจดูความผิดปกติของต้นกล้าเป็นระยะ ๆ หากมีการระบาดของแมลงหรือโรคพืช ต้องรีบกำจัดโดยเร็ว และเมื่อต้นกล้ามีใบจริงประมาณ 3-4 ใบ จะอยู่ในระยะพร้อมที่จะย้ายปลูก

    การปลูกโดยไม่ใช้ค้าง


    [​IMG]

    การปลูกโดยใช้ค้าง สำหรับแตงกวาบางชนิด

    การปลูก วิธีการปลูกแตงกวานั้น พบว่ามีการปลูกทั้งวิธีการหยอดเมล็ดโดยตรงและเพาะกล้าก่อนแล้วย้ายปลูก การหยอดเมล็ดโดยตรงนั้นอาจจะมีความสะดวกในการปลูก แต่มีข้อเสียคือสิ้นเปลืองเมล็ด หากใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมซึ่งมีราคาแพงแล้ว จะเกิดความสูญเสียเปล่าและเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต รวมทั้งวิธีการหยอดเมล็ดนี้จำเป็นที่จะต้องดูแลระยะเริ่มงอกในพื้นที่กว้าง ดังนั้นการใช้วิธีการเพาะกล้าก่อน จึงมีข้อดีหลายประการ อาทิเช่น ประหยัดเมล็ดพันธุ์ ดูแลรักษาง่าย ต้นกล้ามีความสม่ำเสมอ ประหยัดค่าแรงงานในระยะกล้า เป็นต้น
    สำหรับการย้ายกล้าปลูกนั้น ให้ดำเนินการตามกระบวนการเพาะกล้าตามที่กล่าวแล้ว และเตรียมหลุมปลูกตามระยะที่กำหนด จากนั้นนำต้นกล้าย้ายปลูกลงในหลุม ตามระยะระหว่างต้นและระหว่างแถวตามที่ได้กำหนดไว้ โดยการฉีกถุงพลาสติกที่ใช้เพาะกล้าออกแล้วย้ายลงในหลุมปลูก ช่วงเวลาที่จะย้ายกล้านั้นควรย้ายช่วงประมาณเวลา 17.00 น. จะทำให้ปฏิบัติงานในไร่นาได้สะดวกและต้นกล้าสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น


    [​IMG]

    การให้น้ำ หลังจากย้ายกล้าปลูกแล้ว ต้องให้น้ำทันที ระบบการให้น้ำนั้นอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ แต่ระบบที่เหมาะสมกับแตงกวา คือการให้น้ำตามร่อง เพราะว่าจะไม่ทำให้ลำต้น และใบไม่ชื้น ลดการลุกลามของโรคพืชทางใบ ช่วงเวลาการให้น้ำในระยะแรกควรให้ 2-3 วันต่อครั้งและเมื่อต้นแตงกวา เริ่มเจริญเติบโตแล้วจึงปรับช่วงเวลาการให้น้ำให้นานขึ้น ข้อควรคำนึงสำหรับการให้น้ำนั้น คือ ต้องกระจายในพื้นที่สม่ำเสมอตลอดแปลง และตรวจดูความชื้นในดินไม่ให้สูงเกินไปจนกลายเป็นแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าได้

    [​IMG]

    การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยในแตงกวานั้น อาจแบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้
    1.ระยะเตรียมดิน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่
    2.หลังย้ายปลูกประมาณ 7 วัน ใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน เช่น ยูเรีย หรือ แอมโมเนียซัลเฟต ในอัตราประมาณ 20 กิโลกรัมต่อไร่
    3.ระยะแตงกวาออกดอก ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 25 วัน หลังจากย้ายกล้า ใส่ปุ๋ยสูตร พรวนดิน

    น้ำคั้นผลแตงกวา
    •แตง กวา 2 ผลหรือแตงร้านหนึ่งผล น้ำ 2 ถ้วย
    •น้ำแข็ง 1 ถ้วย
    •น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะหรือตามชอบ
    •น้ำมะนาวครึ่งผล

    ใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน อาจใส่ผลไม้อื่นด้วยเช่นแคนทาลูปหรือแตงโม ถ้าใส่ผลไม้อื่นสามารถลดน้ำตาลได้อีกด้วย หรืออาจใช้น้ำเพียง 1 ถ้วย ปั่นแล้วเทใส่แก้วเติมโซดาเย็น 1 ถ้วยก็ได้

    ที่มาภาพ : อินเทอร์เน็ต


    monmai.com
     
  12. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อยากกินข้าวต้มกุ๊ย คราวนี้จะทำไข่เค็มเอง รออีก 21 วันน่ะจ๊ะไข่เค็มจ๋า....

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2013
  13. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ผลไม้ 7 ชนิดที่ผู้หญิงควรรับประทาน (เป็นประจำ)

    [​IMG]

    ผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและได้รับสาร วิตามิน อย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่ผู้หญิงควรรู้ก็คือกินผลไม้อะไรถึงจะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพผู้หญิง



    ลูกพรุ่น เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ( ไฟเบอร์ ) มีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย ธาตุเหล็กสูง และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและสังกะสี เมื่อกินเป็นประทำจะทำให้ ผิวใสมีเลือดฝาด บำรุงเลือด ต้านโรงมะเร็ง

    .

    ถั่ว เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินเอ บี อี เค แคลเซียม เหล็ก ในการวิจัยพบว่าถั่วยังมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ไฟเบอร์ ไขมัน โคลีน กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว เมธิโอนีน เมื่อกินเป็นประจำจะช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบและโรคหัวใจ





    บรอกโคลี่ เป็นพืชที่อุดมไปด้วยเบต้า แคโรทีน มีวิตามินเอ ซี และซีลีเนียม ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยต้านมะเร็ง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหียวย่นซึ่งทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยลดอาการเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ ต้อกระจก เบาหวาน และโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล และความดันโลหิตสูง



    กล้วย เป็นแหล่งสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต มีวิตามินบี 6 โพแทสเซียม และเบต้าแคโรทีน ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทช่วยให้ตื่นตัว สดชื่น หลับสะบาย และที่สำคัญช่วยควบคุมความอยากอาหาร



    ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามันเอ บี1 บี2 ซี มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีมากกว่ามะนาว 4 เท่า แล้วยังมีกรดนิโคตินิก สารเพคตินและแทนนิน ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยต้านโรงหวัด บำรุงเหงือนและฟัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยให้ถ่ายสะบาย แก้ท้องผูก บรรเทาอาการท้องร่วง ช่วยสมานแผล บรรเทาอาการเจ็บคอ ช่วยระงับกลิ่นปาก


    แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 ซี ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน แล้วยังมีกรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก แอปเปิ้ลจัดเป็นผลไม้ ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีเลยเดียว ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยลดระดับน้ำตาล ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง


    ส้ม เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว เป็นแหล่งรวม วิตามินและเกลือแร่ เช่น วิตามินเอ ซี ดี และแคลเซียม มีเส้นใยอาหารในธรรมชาติ จึงช่วยในเรื่องขับถ่ายได้ดี ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผิวเกลี้ยงเกลา และสดชื่น และยังช่วยลดการเกิดริ้วรอย


    โดย :จิ้มจุ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2013
  14. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    10 นิสัย ทำลายสมอง

    [​IMG]

    สมอง คืออวัยวะสำคัญ มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
    1.ไม่ ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
    2.กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)
    3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
    4.ทาน ของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง
    5.มล ภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
    6.การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
    7.นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
    8.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
    9.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
    10.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง


    โดย :จิ้มจุ่ม
    teenee.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2013
  15. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    10 วิธีทำให้นอนหลับสบาย

    [​IMG]

    การนอนหลับถือเป็นกิจกรรมที่สำหรับของเรา เราใช้ชวิตครึ่งหนึ่งด้วยการนอนหลับใครๆ ก็รู้ว่าการนอนหลับช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเราลองมาใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้กันนะครับ



    1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย

    2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก

    3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า

    4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน

    5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้

    6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง

    7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน

    8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรดอะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น

    9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว

    10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว

    สมอง คืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช ้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า


    โดย :จิ้มจุ่ม
    teenee.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2013
  16. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อาหารเพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ

    [​IMG]


    การสูงวัยมีผลให้ร่างกายมีความเสื่อม การรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยชลอความเสื่อมของร่างกายและสุขภาพดีขึ้น เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ การเลือกชนิดอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้สูงอายุมี ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นและลดปัญหาสุขภาพ แต่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย บางคนรับประทานอาหารมากเกินไป และเลือกรับประทานอาหารไม่เหมาะสม จึงเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น

    อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ

    ผู้สูงอายุจะมีกิจกรรมลดลง และร่างกายมีการทำงานลดน้อยลง มีผลให้ความต้องการพลังงานลดลงร้อยละ 20-30 เมื่อเปรียบเทียบกับคนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุชาย อายุ 60-69 ปี ต้องการพลังงานเฉลี่ยประมาณ 2,200 กิโลแคลอรี/วัน ผู้สูงอายุหญิงอายุ 60-69 ปี ต้องการพลังงานประมาณ 1,850 กิโลแคลอรี/วัน ผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ต้องการพลังงานลดลงไปอีกร้อยละ 10-12 ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและเลือกชนิดอาหารที่เหมาะสมกับวัย

    ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นประจำ และเลือกแต่ละหมู่ให้หลากหลาย ได้แก่ 1) หมู่เนื้อสัตว์ 2) หมู่แป้งและน้ำตาล 3) หมู่ไขมัน 4) หมู่ผัก และ 5) หมู่ผลไม้

    1. หมู่เนื้อสัตว์ อาหารหมู่นี้ ได้แก่ เนื้อสัตว์ทุกชนิด นม ไข่ ถั่ว เป็นอาหารที่มีโปรตีนเป็นหลัก ช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ ช่วยให้มีภูมิต้านทานโรค และร่างกายแข็งแรง ผู้สูงอายุควรรับประทานเนื้อปลา หากรับประทานเนื้อสัตว์อื่น ควรต้มให้เปื่อย หรือสับให้ละเอียด ควรรับประทานไข่สัปดาห์ละไม่เกิน 3 ฟอง รับประทานไข่ขาวได้ไม่จำกัด เนื่องจากไข่ขาวมีโปรตีนคุณภาพดี ควรรับประทานทุกวัน ดื่มนมวันละ 1 แก้ว บางคนดื่มนมอาจทำให้ท้องเสีย ควรดื่มนมถั่วเหลืองแทน ผู้สูงอายุที่มีโรคไต ควรระมัดระวังอาหารประเภทถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วดำ เมล็ดมะม่วงหิมะพานต์ ฯลฯ) เครื่องในสัตว์ ปลาตัวเล็กกินทั้งกระดูก กุ้งแห้ง ไข่แดง ไข่ปลาเพราะมีฟอสฟอรัสมาก

    2. หมู่แป้งและน้ำตาล อาหารหมู่นี้ ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน เป็นอาหารที่ให้พลังงาน ถ้ารับประทานมากเกินไปจะทำให้ไขมันสะสม ทำให้อ้วน และน้ำตาลในเลือดสูง ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารหมู่นี้ลดลง เพราะความต้องการพลังงานในผู้สูงอายุลดลง ควรเลือกอาหารที่ทำจากแป้งที่มีโปรตีน เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง บะหมี่ ข้าวโพด เผือก มัน ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย

    ผู้สูงอายุควรรับประทานข้าวมื้อละ 1 จาน ประมาณ 1 ถ้วย หรือ 2 ทัพพีเล็ก ผู้สูงอายุที่เป็นโรคไตควรรับประทานข้าวขาว ขนมปังขาว และไม่รับประทานอาหารแป้งที่มีโปรตีนสูง ผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน ควรระมัดระวังน้ำตาล ควรงดขนมหวานหรือมีไขมันทุกชนิด เช่น ทองหยิบ ขนมหม้อแกง กล้วยบวชชี เค้กที่มีครีม เครื่องดื่มทุกชนิดไม่ควรใส่น้ำตาลมาก เนื่องจากน้ำตาล 1 ช้อนชา ให้พลังงานมากถึง 20 กิโลแคลอรี

    3. หมู่ไขมัน ไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงาน ช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน ไขมันในอาหารแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัว

    ไขมันอิ่มตัว เป็นไขมันที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอล และไขมันชนิดไม่ดี ในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ไขมันชนิดนี้มีมากในไขมันจากสัตว์ และน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ เนย ครีม ครีมซีส น้ำมันหมู น้ำมันวัว

    ไขมันไม่อิ่มตัว เป็นไขมันที่ควรรับประทานเนื่องจากมีกรดไขมันที่จำเป็นซึ่งร่างกายสร้างไม่ได้ ช่วยในการลดระดับโคเลสเตอรอล และไขมันชนิดไม่ดีในเลือด กรดไขมันไม่อิ่มตัว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

    1) กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว ควรใช้เป็นประจำในการผัดและทอดอาหาร มีมากในน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา น้ำมันถั่วลิสง

    2) กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ควรใช้ผัดอาหารแทนการทอด น้ำมันชนิดนี้มีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้จำนวนมาก ช่วยในการลดระดับไขมันชนิดไม่ดีในเลือดได้หากใช้จำนวนมาก กรดไขมันชนิดนี้มีมากในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย

    การเลือกใช้น้ำมัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการลดไขมันในเลือด ควรใช้น้ำมันรำข้าวสลับกับน้ำมัน

    ถั่วเหลือง หรือน้ำมันข้าวโพดสลับกับน้ำมันรำข้าวในการประกอบอาหาร โดยใช้น้ำมันรำข้าวในการทอด และใช้น้ำมันข้าวโพดและน้ำมันถั่วเหลืองในการผัด

    น้ำมันและไขมันที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม หมูติดมัน เนื้อวัวติดมัน

    หมูกรอบ หนังเป็ด หนังไก่ เนย ครีม

    อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่ปลา ปลาหมึก หอยนางรม มันกุ้ง มันปลา ครีม เนย ขนมอบต่างๆ ที่ใช้เนย

    อาหารที่มีไตรกลีเซอไรด์มาก ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารทอดทุกชนิด อาหารอบที่มีไขมันมาก น้ำตาลและขนมหวานต่างๆ ผลไม้หวานจัด ผลไม้แห้ง ผลไม้กวน เครื่องดื่มรสหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีรสหวานหรือผสมน้ำตาล เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

    4. หมู่ผัก ผักมีวิตามินและเกลือแร่หลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน กรดโฟลิก เหล็ก แคลเซียม โปแตสเซียม ใยอาหาร และมีสารไฟโตเคมิคอล (phytochemical) ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็ง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ท้องไม่ผูก และไม่อ้วน

    ผักที่ผู้สูงอายุควรรับประทาน ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ผักเขียว มะเขือ ถั่วแขก ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักที่มีสีเหลือง หรือแดง เช่น ฟักทอง พริกหวาน ผู้สูงอายุรับประทานได้มาก

    ผักที่มีโปแตลเซียมสูง ผู้สูงอายุที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงไม่รับประทาน หรือรับประทานแต่น้อย ได้แก่ เห็ด หน่อไม่ฝรั่ง ดอกกระหล่ำ แครอท บรอคโคลี่ ผักโขม ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง ใบแค คื่นช่าย สะเดา ฟักทอง ข้าวโพด มันเทศ มันฝรั่ง น้ำผัก ผักแม้ว ผักหวาน หัวปลี

    5. หมู่ผลไม้ ผลไม้มีวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร และน้ำตาลมาก เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ ผู้สูงอายุเลือกรับประทานผลไม้ได้ทุกชนิดยกเว้นผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน น้อยหน่า เพราะจะทำให้อ้วนและระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ นอกจากนี้ ผลไม้ส่วนใหญ่มีโปแตสเซียมสูง ผู้สูงอายุที่มีไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายต้องรับประทานน้อยลง และถ้ามีระดับโปแตสเซียมในเลือดสูง ควรงดผลไม้ทุกชนิด ผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูง ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ ทุเรียน กล้วย ฝรั่ง

    น้ำ นอกจากอาหาร 5 หมู่ ที่ต้องรับประทานเป็นประจำควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เนื่องจาก น้ำมีความสำคัญต่อร่างกาย ช่วยการย่อยอาหาร และขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ผู้สูงอายุส่วนมากดื่มน้ำไม่เพียงพอ ผู้สูงอายุควรดื่มน้ำประมาณ 6-8 แก้ว ทุกวัน ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หรือเป็นโรคหัวใจล้มเหลว มีอาการบวม ควรจำกัดน้ำดื่มและอาหารที่มีน้ำมาก ตลอดจนหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม และอาหารรสจัด เนื่องจากทำให้กระหายน้ำและดื่มน้ำมากขึ้น

    หลักการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุ

    1. รับประทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ครบ 5 หมู่ ให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ควรรับประทานโปรตีนวันละ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว กิโลกรัม หากได้รับโปรตีนมากเกินไป ร่างกายจะนำไปสะสมในรูปของไขมัน ทำให้เกิดโรคอ้วน ไม่ควรรับประทานมากเกินเพราะจะทำให้เกิดโรคอ้วน

    2. รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง (4-5 มื้อ) และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส และท้องผูก

    3. ลักษณะอาหารต้องอ่อนนุ่ม เปื่อย สะดวกต่อการเคี้ยวและย่อยง่าย เช่น ปลานึ่ง ปลาทอดไม่กรอบ

    4. ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ระมัดระวังอาหารที่เน่าเสียและมีสารพิษเจือปน และไม่รับประทานอาหารที่ปรุงด้วยผงชูรส และมีสารกันบูด

    5. ไม่รับประทานอาหารรสจัดหรือของหมักดอง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด โดยเฉพาะเค็มจัด

    ควรดื่ม น้ำขิง น้ำมะตูม น้ำส้มคั้น น้ำนมพร่องมันเนย หรือน้ำนมถั่วเหลือง

    6. ควรงดดื่ม ชา กาแฟ สุรา และงดสูบบุหรี่ทุกชนิด

    7. ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง ประมาณวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

    8. ควรรับประทานอาหารประเภท ข้าว แป้ง และน้ำตาลให้น้อยลง เนื่องจากจะทำให้อ้วนไม่ควรรับประทานข้าวขัดเป็นสีขาวและข้าวที่ปรุงใส่กะทิ ไขมัน เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวเหนียว ขนมเชื่อม และขนมหวานต่างๆ

    9. รับประทานไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด

    10 ไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ เช่น หมูสามชั้น ขาหมู หนังไก่ทอด อาหารทอด หรือผัดควรใส่น้ำมันน้อย เช่น ไข่เจียว ผัดผัก

    11. ไม่รับประทานอาหารไขมันสูง เช่น น้ำมันหมู น้ำมันจากไก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม

    ของทอดต่างๆ เช่น ปลาท่องโก๋ กล้วยทอด อาหารชุบแป้งทอด

    12. ไม่รับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ละมุด กล้วยหอม ลำไย น้อยหน่า ขนุน

    13. ควรรับประทานอาหารที่มีเกลือแร่ และวิตามินให้เพียงพอ ดังนี้

    13.1 แคลเซียม ผู้สูงอายุมักเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งเกิดในหญิงมากกว่าชาย การได้รับแคลเซียมเพียงพอจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม อาหารที่มีแคลเซียมมาก ได้แก่ น้ำนม หรือนมถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง เป็นต้น

    13.2 เหล็ก ผู้สูงอายุควรได้อาหารที่มีธาตุเหล็กมากเพียงพอ ประมาณวันละ 6 มิลลิกรัม ในขณะเดียวกันต้องได้โปรตีนและวิตามินซี ด้วย เพื่อช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก อาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง เป็นต้น

    13.3 เกลือ ผู้สูงอายุควรรับประทานเกลือลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันโลหิตสูง แต่ผู้สูงอายุมักชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัดเพราะลิ้นรับรสได้น้อยลง

    13.4 วิตามิน วิตามินที่สำคัญ คือ วิตามินซี ควรรับประทาน 30 มิลลิกรัม โดยดื่มน้ำส้มคั้นวันละ 1 แก้ว

    ผู้สูงอายุจะมีการหลั่งน้ำย่อยและน้ำลายลดลง ควรรับประทานอาหารอ่อนที่เคี้ยวง่าย กลืนง่าย และย่อยง่าย โดยเฉพาะถ้าใส่ฟันปลอม หรือมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน อาจต้องรับประทานอาหารเหลว อาหารประเภทเนื้อควรสับหรือบด หรือตุ๋นจนเปื่อย หรือปั่นใส่น้ำซุป

    สรุป ผู้สูงอายุควรได้รับอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย รับประทานครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอโดยเลือกชนิดอาหารแต่ละหมู่อย่างเหมาะสมรวมทั้งคำนึงถึงความเจ็บป่วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคไตเรื้อรัง ควรศึกษาเรื่องอาหารและเลือกบริโภคอย่างถูกต้องตามสภาพแวดล้อมเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้ยืนยาวขึ้น


    srinagarind-hph.kku.ac.th
     
  17. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อาหารกับโรคเบาหวาน

    อาหารสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมเบาหวาน เพราะน้ำตาลที่อยู่ในเลือดมาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นเอง


    เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปร่างกายจะเปลี่ยนหรือย่อยสลายอาหารนั้นจนกลายเป็นน้ำตาลขนาดเล็กที่เรียกว่าน้ำตาลกลูโคส แล้วน้ำตาลกรลูโคสจะซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันร่างกายจะสั่งการให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อทำหน้าที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด โดยการลำเลียงน้ำตาลผ่านเข้าผนังเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป หลังทานอาหารเมื่อเกิดกระบวนการย่อยและดูดซึมอาหารเสร็จสิ้นลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเริ่มลดลง นั้นคือเวลาที่ฮอร์โมนอินซูลินและกลูคาร์ก้อนจะทำหน้าที่อีกครั้งในการนำน้ำตาลที่เก็บไว้ในเซลล์กล้ามเนื้อและไขมันกลับเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมอีกครั้ง

    อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

    มีหลักการเดียวกันกับอาหารเพื่อสุขภาพ แต่มีอาหารบางประเภทที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เน้นการบริโภคให้ได้สัดส่วนปริมาณและความหลากหลายของอาหารที่เหมาะสม

    ในรูปสามเหลี่ยมด้านล่างจะแบ่งอาหารออกเป็นกลุ่มต่างๆ และให้รายละเอียดปริมาณที่ควรบริโภคเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่พอดีกับความต้องการให้มีสุขภาพที่ดีได้ ซึ่งหากรับประทานอาหารกลุ่มต่างๆได้ตามแนวทางที่กำหนดจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานรวมประมาณ 1600 ถึง 2400 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ปริมาณพลังงานที่คนเราต้องการจะแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ ขนาดร่างกาย และรูปแบบการใช้ชีวิตว่ามีการใช้พลังงานมากน้อยเพียงได


    [​IMG]

    สำหรับผู้เป็นเบาหวานมักมีปัญหาน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนอยู่แล้ว จึงแนะนำให้เลือกปริมาณการรับประทานอาหารในแต่ละกลุ่มที่ตัวเลขต่ำสุดเพื่อให้ได้พลังงานเฉลี่ยประมาณ 1600 กิโลแคลอรี่ ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับตัวคุณได้อีกครั้ง

    ปริมาณการรับประทานอาหารในแต่ละกลุ่มต่อวันสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน


    [​IMG]

    อาหารกลุ่มแป้ง คือ อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกายโดยตรงแต่ควรระวังเป็นพิเศษเพราะถ้ารับประทานมากเกินที่ร่างกายต้องการ จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกาย ซึงมีอยู่ 2 ประเภทคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวและ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

    ผู้เป็นเบาหวานควรเลือกรับประทานอากรหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นอาหารหลัก เพื่อให้ได้พลังงานที่มีคุณค่า

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน)

    มีโครงสร้างซับซ้อนกว่าจึงสลายตัวเป็นกลูโคสได้อย่างช้าๆระดับน้ำตาลจึงค่อยๆเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดให้เซลล์ค่อยๆดึงน้ำตาลไปใช้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อนข้างสมดุล อาหารในกลุ่มนี้ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีทเป็นต้น

    คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน)

    มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน สลายตัวง่าย ซี่งจะถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายรวดเร็ว หากรับประทานเข้าไปมากน้ำตาลก็จะล้นทะลักเข้าเส้นเลือดจึงไม่เหมาะสำหรับผู้เป็นเบาหวานควรเลี่ยง อาหารในกลุ่มนี้ได้แก่ น้ำตาลชนิดต่างๆ น้ำผึ้ง แลคโตส หรือน้ำตาลในนม และน้ำตาลในผลไม้เป็นต้น

    อาหารกลุ่มผัก ผักมีใยอาหารสูงช่วยให้กระบวนการย่อยและการดูดซึมเกิดขึ้นช้า ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

    อาหารกลุ่มผลไม้ เป็นแหล่งคาโบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร แต่ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะทำให้การควบคุมสมดุลของเลือดเป็นไปได้ยาก สำหรับน้ำผลไม้มีเส้นใยอาหารน้อยผู้เป็นเบาหวานจึงควรทานผลไม้สดจะดีกว่า

    กลุ่มนมและผลิตภัณฑ์จากนม เป็นแหล่งโปรตีน แร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน

    กลุ่มเนื้อสัตว์ ให้ทั้งโปรตีนและไขมันต่อร่างกาย โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเป็นแหล่งพลังงานด้วย แต่ในเนื้อสัตว์มักมีไขมันและคอเลสเตอรอลแฝงอยู่ หากรับประทานปริมาณมากอาจมีความเสี่ยงจากการเกิดโรคไขมันในเลือดสูงได้ จึงควรเลือกโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โปรตีนจากไข่หรือโปรตีนจากเนื้อปลาและพืชเป็นหลัก

    กลุ่มไขมัน เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อช่วยในการดูดซึมวิตามินต่างๆแต่การได้รับไขมันเกินความต้องการอาจทำให้เกิดอันตรายได้เราจึงควรระมัดระวัง

    เกลือหรือโซเดียม เป็นนความสัมพันธ์โดยตรงกับการเป็นความดันโลหิตสูง ทำให้ไตต้องทำงานหนักซึ่งผู้เป็นเบาหวานมีโอกาสเสี่ยงที่ไตจะเสื่อมมากกว่าคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว จึงควรทานแต่น้อยเท่านั้น

    อาหารในกลุ่มเดียวกันจะใช้สารอาหารหลักใกล้เคียงกันถ้าเรารู้จักกินทดแทนหรือสลับเปลี่ยนกันบ้างจะทำให้เกิดประโยชน์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ผู้เป็นเบาหวานอาจยึดหลักใช้เท่าใหร่กินเท่านั้น โดยดูแลการรับประทานอาหารให้สม่ำเสมอครบมื้อเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดในแต่ละวันเป็นไปอย่างเหมาะสม


    ที่มา medicthai.com
     
  18. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
  19. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
  20. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ยืนนาน เดินนาน เสี่ยง “รองช้ำ” โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

    โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ
    โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ) คือภาวะที่มีการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้หญิง หรือผู้ที่มีน้ำหนักมาก ในรายที่เป็นมานาน หรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาการจะเรื้อรังมากขึ้น และมักเอกซเรย์พบหินปูนงอกบริเวณกระดูกส้นเท้าด้วย

    ใครที่เสี่ยง…โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

    1. คนสูงอายุ เนื่องจากพังผืดฝ่าเท้ามีความยืดหยุ่นน้อยลง
    2. คนที่มีน้ำหนักเกิน ทำให้พังผืดฝ่าเท้ารับแรงกระแทกมากขึ้น
    3. คนที่มีอาชีพยืนหรือเดินมาก ทำให้พังผืดผ่าเท้าตึงเครียด
    4. คนที่มีอุ้งเท้าสูง หรือแบนผิดปกติก็อาจมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น
    5. คนที่ใส่รองเท้าพื้นแข็งหรือพื้นบางเป็นประจำ
    6 วิธีรักษาให้ลาขาด จากโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ
    1. การพักและใช้ยาลดอาการอักเสบ
    การลดการเดิน (ใช้ไม้เท้าพยุง) การประคบความเย็นหรือน้ำแข็งประมาณ 20 นาที 3-4 ครั้งต่อวัน ในตอนเย็นจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ดี การรับประทานยาลดอาการอักเสบควรพิจารณาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกิน 2-3 สัปดาห์
    2. การบริหาร
    การบริหารอ็นร้อยหวายและพังผืดฝ่าเท้าที่เหมาะสม จะช่วยทั้งรักษาและป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ดีที่สุด

    การบริหาร เพื่อยืดเอ็นร้อยหวาย


    [​IMG]

    ยืนหันหน้าเข้าข้างฝาผนัง แล้วยืนดันมือกับผนัง ก้าวขาที่ต้องการยืดไปด้านหลัง ส้นเท้าติดพื้นย่อเข่าหน้าจนรู้สึกตึงขาหลัง ทำค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้งต่อวันหรืออาจจะนั่งกับพื้นราบแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวช่วยดึงปลายเท้าก็ได้

    การบริหาร เพื่อยืดพังผืดฝ่าเท้า


    [​IMG]

    การยืดพังผืดฝ่าเท้าทำได้โดยการนั่งไขว่ห้าง แล้วใช้มือดัดฝ่าเท้าขึ้นสุด จนรู้สึกดึงที่เอ็นฝ่าเท้า แล้วใช้นิ้วโป้งมืออีกข้างกดนวดตลอดแนวพังผืดผ่าเท้า นวดขึ้น-ลง หรือนวดเป็นวงกลม ให้นวดนานประมาณ 2-3 นาที ต่อครั้ง นวด 3-5 ครั้งต่อวัน หากมีอาการปวดให้ประคบน้ำแข็งหลังนวด

    3. การใช้แผ่นรองส้นเท้า
    การใช้แผ่นรองเท้าที่อ่อนนุ่ม หรือสวมรองเท้าที่เหมาะสม ก็ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี และการใส่เฝือกอ่อนจะช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ข้อเท่า อาจเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดอาการอักเสบในช่วงแรกได้ดี
    4. การรักษาด้วยความถื่ (Shockwave)
    เป็นการกระตุ้นเอ็นพังผืดฝ่าเท้าให้มีเส้นเลือดมาเลี้ยงซ่อมแซมตัวเอง ได้ผลการรักษาใกล้เคียงการผ่าตัด แต่เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง 5. การผ่าตัด (ส่วนน้อย)
    หากรับการรักษาแล้วแต่ยังมีอาการไม่หายขาด จึงมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อผ่าตัดพังผืดเท้าบางส่วนและนำหิน
    6. การฉีดยาลดอาการอักเสบ
    ไม่ควรใช้ยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณส้นเท้า เนื่องจากจะทำให้รักษาได้ยากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกติดเชื้อ ไขมันฝ่าเท้าฝ่อ หรือเอ็นฝ่าเท้าฉีกขาดซึ่งยากต่อการรักษามาก

    ระวัง!!
    ในบางกรณี การบาดเจ็บส้นเท้าอาจไม่ได้เกิดจากโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบเพียงอย่างเดียวบางครั้งการบาดเจ็บส้นเท้า อาจไม่ได้เกิดจากโรคพังผืดฝ่าเท้าอักเสบเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากทำการบริหารแล้วยังมีอาการเจ็บอีก ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และประมาณ 90 % ของผู้ป่วยส่วนพังผืดฝ่าเท้าอักเสบ มักจะดีขึ้นหลังจาก 2 เดือน หลังการรักษาที่เหมาะสม


    ขอบคุณข้อมูลจาก รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...