หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /เห็นภพชาติในถ้ำทอง

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    พระเพื่อนของสำเร็จลุน ผู้มีญาณหยั่งรู้อันน่าทึ่ง!

    ปู่ดอน station
    40,708 views Oct 21, 2022

    หลวงปู่โง่น พระอริยสงฆ์แห่งจังหวัดพิจิตร ได้เล่าถึงเรื่องราวของพระอภิญญารูปหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศลาว เป็นพระอภิญญาที่เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุนแห่งนครจำปาสัก หลวงปู่โง่นบอกว่า สาเหตุที่ท่านได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็เป็นเพราะพระอภิญญารูปนี้นี่เอง?!..
    #พระอภิญญา **ปู่ดอน station
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    ๒๗๐.ลึกลับดอยเมิง เวียงโต๋น ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Apr 8, 2023

    ดอยเมิงเป็นดอยอาถรรพ์ ที่เหล่าหมอผีอาคม มักใช้เป็นสถานที่ปล่อยของประลองวิชา จึงทำให้เกิดเรื่องราวอันตรายลึกลับขึ้นเสมอๆ แก่ผู้คนที่ขึ้นไป.
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    พระธุดงค์กับโจรล่าสมบัติ

    หลวงตา
    Apr 2, 2023
    พระธุดงค์กับโจรล่าสมบัติ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    เล่าเรื่องลี้ลับ | คุณแม่บุญเรือน | หนุ่มคงกระพันเล่าเรื่อง EP.3

    หนุ่มคงกระพัน official
    Feb 15, 2023

    คุณแม่บุญเรือน
    เล่าเรื่องลี้ลับกับหนุ่มคงกระพัน คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมหรือแม่ชีบุญเรือน… อุบาสิกาผู้ทรงศีลและนับว่าเป็นฆราวาสที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย… เพราะคุณแม่บุญเรือนมีผู้คนเคารพศรัทธาและเป็นบุคคลที่มีวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการมากที่สุดคนหนึ่ง… เรื่องราวของคุณแม่บุญเรือนเป็นอย่างไรรวมทั้งเพราะอะไรคุณแม่บุญเรือนจึงมีชื่อเสียงมากมายในฐานะฆราวาสที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากพระเกจิ.. รวมถึงเรื่องเล่ามหัศจรรย์หลากหลายเรื่องเกี่ยวกับการรักษาผู้คน… การล่วงรู้วาระจิตและการมีสมาธิวิปัสสนาจนสามารถเข้าถึงฌาณได้สำเร็จ
    ติดตามได้ในคลิปนี้ครับ
    เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม :-->https://palungjit.org/threads/หลวงพ...็นภพชาติในถ้ำทอง.616488/page-21#post-11618918
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    ๗. อาถรรพ์โบสถ์ร้าง ธุดงค์ป่ากับหลวงปู่

    thamnu onprasert
    Apr 13, 2023

    เรื่องราวลึกลับของโบสถ์ร้างบนยอดเขา ซึ่งมีสมบัติอาถรรพ์ฝังอยู่
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    เล่าเรื่องลี้ลับ | เรื่องจริงของวิญญาณเเละปาฎิหาริย์ | หนุ่มคงกระพันเล่าเรื่อง EP.2

    หนุ่มคงกระพัน official
    Dec 30, 2022

    เรื่องเล่าประสบการณ์วิญญาณปาฏิหาริย์ของพระอริยสงฆ์ เล่าเรื่องลี้ลับกับหนุ่มคงกระพัน เรื่องเล่าจาก 3 พระอริยสงฆ์ชื่อดังของเมืองไทย… หลวงพ่อคูณแห่งวัดบ้านไร่ หลวงพ่อจรัญ และหลวงตามหาบัว 3 เกจิที่มีประสบการณ์พบเจอกับวิญญาณและสิ่งเร้นลับ เรื่องราวเหล่านี้เป็นกุศโลบายในการสอนธรรมะได้เป็นอย่างดี… ติดตามคลิปนี้ครับ
    ช่องทางการติดต่อสื่อสาร ดูข้อมูลช่องเราเพิ่มเติม
    Facebook ☛ https://www.facebook.com/KongkapanFC
    Twitter ☛ https://twitter.com/Officia57113394
    Tiktok ☛ https://www.tiktok.com/@kongkapanoffi...
    Line Official ☛ https://line.me/R/ti/p/@bangaor
    KongkapanStore ☛ https://www.kongkapan.com/
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    หลวงพ่อทบ-วัดชนแดน.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ

    วัดพระพุทธบาทชนแดน
    อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์
    พระครูวิชิตพัชราจารย์ (หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ) วัดพระพุทธบาทชนแดน พระเกจิชื่อดัง ผู้มีพลังจิตแก่กล้า แห่งเมืองมะขามหวานเพชรบูรณ์

    ◉ ชาติภูมิ
    พระครูวิชิตพัชราจารย์ (หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ) วัดพระพุทธบาทชนแดน เกิดเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๒๔ ที่บ้านยางหัวลม (ปัจจุบันคือ ต.วังชมภู) ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ บิดาชื่อ “นายเผือก” และมารดาชื่อ “นางอินทร์ ม่วงดี”
    ในช่วงวัยเยาว์เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะดี เมื่ออายุ ๑๖ ปี บิดานำไปฝากให้ พระอาจารย์สี วัดช้างเผือก ต.วังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ให้บวชเป็นสามเณร ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและวิทยาคมจนแตกฉานจากพระอาจารย์สี

    ◉ อุปสมบท
    พ.ศ.๒๔๔๕ เมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดศิลาโมง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยมี พระครูเมือง เป็น พระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ปาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์สี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ธมฺมปญฺโญ” หมายถึง “ผู้มีความรู้ในพระธรรม

    หลังอุปสมบท กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดช้างเผือก และศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติมจาก พระอาจารย์สี พระอาจารย์ปาน และหลวง ทศบรรณ ฆราวาสผู้มีอาคมแก่กล้า

    นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาวิปัสสนาจากพระ ครูเมืองจนเป็นที่เลื่องลือว่า “สามารถนั่งวิปัสสนาได้หลายวัน โดยไม่ฉันอาหารเลย

    จากนั้นได้ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ บำเพ็ญภาวนา แสวงหาสถานที่สัปปายะทำกัมมัฏฐาน ขณะเดียวกัน ได้ศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติมด้านวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆ

    ในขณะออกท่องธุดงค์ได้มีโอกาสพบกับหลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต พระเกจิชื่อดัง โดยหลวงพ่อเขียน เป็นคนบ้านตลิ่งชัน ต.ชอนไพร อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ แต่มีอายุ และพรรษามากกว่า หลวงพ่อทบจึงเรียกขานหลวงพ่อเขียน ว่า “หลวงพี่” ทุกครั้งไป
    ทั้งสองท่านเป็นสหายธรรมที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด ออกธุดงค์ บำเพ็ญศีล และเจริญภาวนาไปจนถึงนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว กระทั่งเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับสู่มาตุภูมิ จึงมุ่งหน้าเข้าประเทศไทยทางจ.ตราด สู่วัดศิลาโมง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

    จากนั้นดำเนินการบูรณะวัดครั้งใหญ่ สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดบ่อน้ำ ประการสำคัญคือ สร้างอุโบสถจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ ใช้ประกอบศาสนกิจต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน

    ระหว่างท่องธุดงค์ท่านยังได้พบพระเกจิดังหลายรูป อาทิ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่อเง่า อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีภูมิ และรับถ่ายทอดพระเวทวิทยาคมต่างๆ อย่างครบถ้วน

    ◉ เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข
    หลัง จากที่ หลวงพ่อทบ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศิลาโมงแล้ว ท่านยังคงตั้งใจที่จะแสวงหาวิชาความรู้อยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อท่านทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดศิลาโมงเข้าที่เข้าทางแล้ว ท่านได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของ พระครูวิมลคุณากร หรือ หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ว่าเป็นผู้สำเร็จวิชา ๘ ประการ ซึ่งมีน้อยองค์นักที่จะสำเร็จได้ ท่านจึงได้เดินธุดงค์ออกจากวัดศิลาโมง มุ่งหน้าไปที่จังหวัดชัยนาท

    ในที่สุดท่านก็ได้กราบนมัสการหลวงปู่ศุขสมความปรารถนา และที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านี้เอง ท่านก็ได้พบกับพระเกจิอาจารย์อีก ๒ รูปที่ได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่ศุข เพื่อขอเรียนวิชาก่อนหน้าที่ท่านจะมาคือ หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน, หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง
    การเรียนวิชาจากหลวงปู่ศุขนั้นก่อนที่ท่านจะมอบวิชาอาคมอะไรก็ ตามให้กับศิษย์นั้น ท่านจะทดสอบพลังจิตของศิษย์แต่ละองค์เสียก่อนว่ามีความกล้าแข็งสักเพียงใด จากนั้นจะถามถึง วัน เดือน ปี เกิด ของแต่ละองค์เสียก่อน ซึ่งการที่ท่านต้องทดสอบและไต่ถามก็เพื่อท่านจะได้ทราบถึงความสามารถ วาสนา บารมีของแต่ละองค์ ว่ามีมากน้อยเพียงใด ควรจะมอบวิชาอะไรให้ถึงจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งหลวงปู่ศุขท่านก็ได้มีเมตตา มอบวิชาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงพ่อทบหลายอย่าง ซึ่งท่านก็ได้ใช้วิชาเหล่านั้นสงเคราะห์ญาติโยมมาตลอดชีวิตของท่าน


    มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเง่า
    หลังจากที่ หลวงพ่อทบ ได้กลับจากการธุดงค์ไปกราบนมัสการ ท่านพระครูวิมลคุณากร หรือ หลวงปุ่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งหลวงพ่อทบก็ได้เดินธุดงค์กลับมาจำพรรษาที่วัดศิลาโมงตามเดิม หลังจากนั้นในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๑-พ.ศ.๒๔๖๘ หลังจากการออกพรรษาทุกปี ท่านได้ใช้เวลาในช่วงนี้เดินทางไปกราบนมัสการขอเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมกับ ท่านพระครูสังวรธรรมคุต หรือ หลวงพ่อเง่า พระเถระผู้เฒ่า อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีภูมิ (วัดบ้านติ้ว) และอดีตเจ้าคณะจังหวัดหล่มสัก ซึ่งท่านก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเง่า และหลวงพ่อเง่าได้มีความเมตตาถ่ายทอดพระเวทวิทยาคมให้กับท่านอย่างไม่มีปิด บังอำพราง ไม่ว่าจะเป็นทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด มหาอำนาจ กำบัง ล่องหนหายตัว ซึ่งท่านก็ใช้เวลาหลังออกพรรษาถึง ๓ ปี จึงได้เล่าเรียนจนสำเร็จ


    ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ในปี พ.ศ.๒๔๙๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอชนแดน และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรในราชทินนามที่ พระครูวิชิตพัชราจารย์

    311772568_1221712645046633_5371883667209492307_n.jpg
    หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ วัดพระพุทธบาทชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์
    จากนั้นกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อย อำเภอชนแดน และกลับมาที่วัดช้างเผือกตามที่พระอาจารย์สีกล่าวฝากไว้ในอดีตว่า “หากจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ก็ให้กลับมาพัฒนา วัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้าง”

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (ต่อ)
    ◉ ปฏิปทาของหลวงพ่อ
    หลวงพ่อทบ ท่านเป็นพระที่มีเมตตา เยือกเย็นสุขุม ปรานีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย พูดน้อย ชอบการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าภายหลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้ว ได้ทำการก่อสร้างบูรณะวัดวาอาราม ไปตามสถานที่ต่างๆ ท่านได้เป็นผู้นำทำการก่อสร้างพระอุโบสถสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วถึง ๑๖ หลัง ทั้งยังได้วางศิลาฤกษ์หลังที่ ๑๗ ไว้แล้วที่วัดช้างเผือก ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็พอดีท่านมรณภาพเสียก่อน ทั้งนี้ไม่นับผลงานของท่านอีกมากมาย เช่น กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ บ่อน้ำ สระน้ำ และอื่นๆ อีก คุณวิเศษอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อทบก็คือ ท่านเป็นพระภิกษุที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ ตลอดชีวิตของท่านให้การต้อนรับแกบุคคลทั้งหลายเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด มั่งมีหรือยากจน ผู้ใดเดินทางไปกราบท่านก็จะได้รับการต้อนรับเท่าเทียมกันหมด ไม่มียินดียินร้ายหรือทะเยอทะยานในลาภ ยศ สรรเสริญ ตรงกันข้าม เมื่อผู้ใดมีความทุกข์ไปหาท่าน ก็จะได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ไม่นิยมการสะสมเงินทองหรือทรัพย์สมบัติใดๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้วจึงไม่มีทรัพทย์สินใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางโลกอันเป็นส่วนตัวของท่านเลยแม้แต่น้อย
    นอกจากนี้ ยังเป็นผู้มีกตัญญูรู้คุณครูบาอาจารย์ ตั้งอยู่ในโอวาทคำสั่งสอน ท่านเคยพูดว่าที่ต้องกลับมาอยู่วัดช้างเผือกอีก ก็เพราะว่าพระอาจารย์สี พระอาจารย์ของท่านได้สั่งเอาไว้ว่า วาระสุดท้ายให้มาอยู่ประจำวัดนี้อย่าให้ร้าง ทั้งท่านยังได้กล่าวอีก(พ.ศ.๒๕๑๘) ว่าตัวของท่านขณะนี้ตายแล้ว เพียงแต่ไม่เน่าเท่านั้นเอง

    ◉ มีวาจาสิทธิ์
    คุณวิเศษอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อทบก็คือ ท่านเป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ คือกล่าวอะไรก็เป็นเช่นนั้น คนที่ทราบเรื่องดีต่างก็มีความยำเกรงมาก โดยเฉพาะพวกอันธพาลงานวัดหลายคนประสบมา ในสมัยที่หลวงพ่อทบเคยเป็นประธานในงานพระอุโบสถ กุฏิสงฆ์ วิหาร ที่ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางแห่งได้มีพวกนักเลงหัวไม้ก่อการทะเลาะวิวาทตีหัวฟันแทนกันบ้าง เสร็จแล้วก็วิ่งมาหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนละทิศละทาง จนเป็นที่หวั่นเกรงของประชาชนทำให้ไม่กล้ามาเที่ยวงาน เป็นอุปสรรคในการจัดงานของทางวัดอย่างใหญ่หลวง แต่พอเรื่องราวทราบถึงหลวงพ่อทบเท่านั้น ท่านก็บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เจ้าพวกที่มาก่อเรื่องนี้มันไปไหนไม่รอดหรอก วนเวียนอยู่กับวัดนี้แหละ แล้วเหตุการณ์ก็จริงอย่างที่ท่านว่าไว้ อันธพาลก่อกวนงานวัดมันหาได้หลบหนี้ไปพ้นไม่ เหมือนมีอะไรมาฉุดรั้งพวกมันไว้ ให้พวกมันวิ่งวนเวียนอยู่ภายในวัดนั้นเองไปไหนไม่รอด ในที่สุดก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลากตัวไปเข้าห้องขังจนได้ เมื่อเหตุเกิดบ่อยครั้งเข้าข่าวก็ขจายไปทั่ว ทุกคนก็เริ่มเชื่อแล้วว่าต้องเป็นเพราะความที่หลวงพ่อทบท่านมีวาจาสิทธิ์ นั่นเอง มาในระยะหลังนี้จึงปรากฏว่าหากวัดไหนมีงาน ก็มักจะมานิมนต์หลวงพ่อไปเป็นประธาน ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่ามีอันธพาลพวกไหนกล้าไปตอแยอีกเลย งานวัดก็ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยทุกประการ อุทาหรณ์เกี่ยวกับการมีวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบนี้ มีผู้เล่าลือต่อๆ กันไปหลายเรื่องด้วยกัน เคยมีผู้สมัครสอบเข้ารับราชการหรือนักเรียนนักศึกษาเป็นจำนวนมากได้มาขอพร จากหลวงพ่อขอให้สอบได้ ซึ่งท่านก็มักจะใช้มือตบที่ศรีษะผู้นั้นเพียบเบาๆ และให้พรว่า “สอบได้” เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนมากก็จะเป็นไปตามที่ท่านให้พรนั้นทุกประการ ดังนั้นผู้ใดที่ได้สละเวลาเข้าไปให้ถึงตัวของท่านแล้วจึงไม่ผิดหวัง มีแต่ความสมหลังด้วยกันทั้งนั้น บางคนภรรยาลงเรือนไปหลายวันแล้วยังไม่กลับไม่ทราบว่าไปไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก้บากหน้ามาหาท่าน ขอพรให้เมียกลับมาบ้านเสียที ท่านบอกกับผู้เป็นสามีว่า “กำลังกลับ” วันต่อมาชายคนที่ว่านี้ก็กลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้ง คราวนี้เขาพูดว่า “เมียผมกลับบ้านแล้ว จึงมามนัสการหลวงพ่อ” ว่าแล้วก็ให้หลวงพ่อเป่ากระหม่อมให้ ท่านก็เมตตาเป่าให้ ชายคนดังกล่าวจึงเดินตัวปลิวลงจากกุฏิไป

    เกี่ยวกับเรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบนั้น มิใช่เหตุการณ์บังเอิญ อาจจะเป็นไปได้สองประการคือ ท่านรู้เหตุการณ์ข้างหน้าหนึ่ง และท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์หนึ่ง จะสังเกตเห็นได้ว่าท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวใครเลย แม้แต่พระเณรในวัดท่านก็ไม่มีที่จะดุด่า ตรงกันข้ามท่านมักจะกล่าวแต่ถ้อยคำเสนาะ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้บางคนเห็นว่าท่านเป็นคนพูดน้อยจนเกินไป ยิ่งถ้าเป็นพวกเด็กๆ ด้วยแล้วหลวงพ่อจะเลือกสรรกล่าวแต่ถ้อยคำที่เป็นสิริมงคลแกพวกเขามากยิ่ง ขึ้น เพื่อให้เด็กๆ ได้รับแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง
    ◉ ปัจฉิมวัย
    เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๗ หลวงพ่อทบท่านมีอายุได้ ๘๓ ปี ความไม่เที่ยงแห่งสังขารก็เริ่มรุกรานท่านให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ในระยะนี้นัยน์ตาของท่านก็เริ่มฝ้าฟางลง จนในที่สุดก็บอดมืดสนิททีเดียว ซึ่งนายแพทย์ผู้รักษากล่าวว่า นัยน์ตาของหลวงพ่อได้หมดอายุแล้ว ถึงแม้ว่าดวงตาของท่านจะมืดบอดไม่เห็น แต่ท่านก็ยังสร้างและบูรณะวัดวาอารามอีกหลายแห่ง และภายหลังจากที่ท่านได้ระลึกว่า การที่ท่านจะอยู่ในตำแหน่งโดยที่นัยน์ตาของท่านมองอะไรไม่เห็นเช่นนี้ น่าจะไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมา ฉะนั้นท่านจึงได้ขอลาออกจากตำแหน่งพระครูวิชิตพัชราจารย์ เจ้าคณะอำเภอชนแดน แต่ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านเกินกว่าจะกล่าวได้ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยฐานะกรมการศาสนา ก็มีมติให้ท่านคงดำรงตำแหน่งพระครูวิชิตพัชราจารย์กิตติมศักดิ์ต่อไปจนตลอด อายุ เมื่อหลวงพ่อทบท่านได้ลาออกจากสมณศักดิ์แล้ว ท่านยังคงคิดถึงวัดที่ท่านได้เคยอาศัยอยู่กับพระอาจารย์สีมาก่อน นั่นคือ วัดช้างเผือก ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นวัดร้างไม่มีผู้ใดจะคิดบูรณะ ร้างมาประมาณกว่า ๓๐-๔๐ ปี แล้ว อนึ่งท่านก็ยังคงจดจำคำของพระอาจารย์สีที่เคยบอกกับท่านไว้เมื่อ ๖๘ ปีที่แล้ว่า หากถึงวาระสุดท้ายก็ให้กลับไปวัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้างนั้นได้อย่างแม่นยำ

    ดังนั้นท่านจึงได้ออกจากวัดพระพุทธบาทชนแดนทันทีที่ได้รับนิมนต์ให้มาช่วย บูรณะวัดศิลาโมง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดช้างเผือกนัก เพราะเห็นว่าสะดวกดีที่จะได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดช้างเผือกต่อไป หลวงพ่อทบท่านได้บูรณะวัดศิลาโมง จนเห็นว่าสมควรจะได้ไปทำการบูรณะวัดช้างเผือกแล้ว ท่านก็ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดช้างเผือกซึ่งร้างรอท่านให้ช่วยปลูกฟื้นฟูอยู่ หลังจากนั้นวัดช้างเผือกก็เปลี่ยนสภาพจากวัดร้างที่ไม่มีใครสัญจรไปมา นอกเสียจากพวกเด็กเลี้ยงควายจะได้ไปอาศัยพักร่มเงาบนกุฏิที่เก่าคร่ำคร่าจะ พังมิพังแหล่ ซึ่งมีอยู่หลังเดียวกับศาลาการเปรียญที่ทรุดโทรมอย่างถึงที่สุดแล้ว พระอุโบสถแลเห็นเพียงแต่ฐาน เพราะส่วนบนปรักหักพังลงมาจนหมดสิ้น กลับกลายเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดของตำบลวังชมพูในปัจจุบัน

    ◉ อาพาธมาเยือน
    เมื่อ วันที่ ๑๓ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ทางคณะกรรมการ วัดช้างเผือก ได้จัดให้มีงานประจำปี พร้อมทั้งทำพิธีวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งจะได้สร้างขึ้นแทนหลังเดิม ซึ่งได้ปรักหักพังจนหมดสิ้นดังกล่าวข้างต้น ในวันดังกล่าวปรากฏว่า ประชาชนได้หลั่งไหลไปยังบริเวณงานวัดช้างเผือกอย่างมือฟ้ามัวดิน และอย่างไม่คาดฝันมาก่อน พอตกกลางคืนนั้นเองก็บังเกิดพายุจัด ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก การแสดงมหรสพทั้งหมดที่มีผู้นำมาเปิดวิกจึงได้งดทำการแสดงทั้งหมด ฝนตกกระหน่ำอยู่ประมาณ ๕ ชั่วโมงจึงหยุด ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งธรรมชาติกลับคืนสู่สภาพปกติ แต่ทว่าที่บนกุฏิของหลวงพ่อทบ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยลูกศิษย์และญาติโยม ทุกคนเริ่มใจคอไม่ดี ด้วยสังเกตเห็นว่าหลวงพ่อทบเริ่มมีอาการผิดปกติกว่าที่เป็นมามาก พยายามลุกนั่งและฉันหมากอยู่เสมอ มิหนำซ้ำยังได้พูดถึงศพของท่านว่า หากตัวท่านมรณภาพลงจริงๆ แล้ว อย่าได้เผาเป็นอันขาด ให้สร้างเป็นวิหารหรือมณฑปเก็บศพไว้ มิฉะนั้นแล้วความเจริญหรือการปฏิสังขรณ์ใดๆ ที่วัดช้างเผือก ที่กำลังดำเนินการอยู่จะหยุดชะงักลงไปทันที วัดก็จะกลับไปร้างอีก นายแฉล้ม ชีพราหมณ์ ซึ่งในระยะหลังนี้นับว่าเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดมากที่สุด มีหน้าที่คอยติดตามหลวงพ่อทบไปทุกแห่งที่ได้รับนิมนต์ไป ได้รับคำหลวงพ่อทบว่า “จะทำตามที่สั่งทุกอย่าง” หลวงพ่อทบจึงมีอาการแจ่มใสขึ้น พูดคุยอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดด้วยหัวใจที่หวาดหวั่นของลูกศิษย์และผู้ที่เฝ้า อยู่นั้นผ่อนคลายลงได้

    -วัดชนแดน-ห.jpg
    หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ วัดพระพุทธบาทชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์
    ◉ ถึงกาลมรณภาพ

    แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่ามาลงท่ามกลางท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งปราศจากเมฆฝนแม้แต่น้อย เมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันเศษของวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ หลวงพ่อทบเหมือนเป็นไข้ นายแฉล้ม ชีพราหมณ์ เป็นผู้สังเกตอาการของหลวงพ่อทบได้ดีกว่าผู้อื่น เริ่มมีอาการวิตกกังวลเต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย เขาตัดสินใจนำรถมารับหลวงพ่อทบ เพื่อที่จะรีบพาท่านไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ทันที แล้วอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ในขณะที่รถกำลังพาท่านไปกรุงเทพฯ มาถึงตำบลนาเฉลียง ออกจากวัดช้างเผือกมาได้ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร หลวงพ่อทบก็ปิดเปลือกตาลงอย่างสนิท พร้อมกับการกำหนดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นเวลาสี่โมงเย็นพอดี หลวงพ่อทบก็มรณภาพลงอย่างสงบบนรถนั่นเอง

    ข่าว หลวงพ่อทบ มรณภาพดังกึกก้องอย่างรวดเร็ว ประชาชนทั่วทุกสารทิศที่ได้ทราบข่าวต่างก็พากันมุ่งตรงมายังวัดช้างเผือกใน ทันที วันแล้ววันเล่าที่คณะกรรมการวัดต้องทำงานอย่างหนัก ข้าวของเครื่องบริขารของหลวงพ่อได้รับการสำรวจอย่างถี่ถ้วนโดยเฉพาะพระ เครื่องรางของขลังทั้งหมดได้ถูกเก็บรวบรวมในทันที เพื่อรอการตรวจเช็คของกรรมการต่อไป ประชาชนจำนวนเรือนหมื่นได้ไปออกันอยู่ที่วัดช้างเผือกตลอดเวลาที่มีพิธี บำเพ็ญกุศลมิได้ขาด จนกระทั่งครบ ๑๐๐ วัน ศพของท่านยังคงเก็บไว้ที่วัดช้างเผือกตลอดมา มิได้ทำการณาปนกิจหรือเผาแต่อย่างใด ทั้งนี้เพื่อทำตามคำสั่งของท่านที่ให้เก็บศพไว้เพื่อสร้างมณฑปและโลงแก้ว สำหรับใช้เป็นที่เก็บศพของท่านอย่างถาวร ให้ลูกหลานได้กราบไหว้ต่อไป ความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งสำหรับพระเกจิอาจารย์อย่างหลวงพ่อทบ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเกิดและวันมรณภาพของท่าน ซึ่งไม่น่าจะมาคล้องจองกันได้อย่างประหลาด กล่าวคือ หลวงพ่อทบเกิดเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๔ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง แล้วมรณภาพในวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ เวลาบ่าย ๔ โมงเย็น ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ สิริอายุรวมได้ ๙๕ ปี พรรษา ๗๔ (๙+๕=๑๔)
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (ต่อ)
    คณะศิษยานุศิษย์ได้นำศพบรรจุไว้ในโลงแก้วตามคำสั่งสุดท้ายก่อนมรณภาพที่สั่งไว้ว่า “ห้ามนำร่างกายกูไปเผา ต่อไปในวันข้างหน้า ร่างกายนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อวัด

    ปัจจุบัน วัดช้างเผือกกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ในแต่ละวันจะมีประชาชนทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด พากันมากราบสักการะสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยและกลายสภาพเป็นหิน นอนสงบนิ่งอยู่ภายในโลงครอบแก้ว

    [​IMG]
    รูปเหมือน พระครูวิชิตพัชราจารย์ (หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ) วัดพระพุทธบาทชนแดน
    ทุกปี วัดช้างเผือกจะเปลี่ยนผ้าไตรจีวรให้แก่ท่านเป็นประจำ และผ้าจีวรที่เปลี่ยนออกมา ชาวบ้านญาติโยมต่างพากันนำไปเป็นเครื่องราง

    หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ (พระครูวิชิตพัชราจารย์) วัดพระพุทธบาทชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ นับเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีพลังจิตแก่กล้าเหนือธรรมชาติ อีกท่านหนึ่งที่เชื่อกันว่าท่านได้บรรลุธรรมชั้นสูง จนสำเร็จเป็น พระอรหันต์ อีกรูปหนึ่งที่มีผู้ให้ความเคารพศรัทธาเลื่อมใสอย่างกว้างขวาง เมื่อท่านมรณภาพแล้ว สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อยแต่ประการใด จนถึงทุกวันนี้

    ◉ ด้านวัตถุมงคล
    วัตถุมงคล พระครูวิชิตพัชราจารย์ (หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ) วัดพระพุทธบาทชนแดน ของท่านมีทั้งรูปหล่อโลหะ เหรียญ ตะกรุด แหวน ฯลฯ เป็นที่กล่าวขวัญถึงประสบการณ์ของผู้บูชาอยู่ เป็นเนืองนิตย์ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

    [​IMG]
    รูปหล่อโบราณ หลวงพ่อทบ วัดชนแดน พิมพ์หน้าฝรั่งฐานสูง
    [​IMG]
    เหรียญดอกจิก หลวงพ่อทบ วัดชนแดน รุ่นแรก
    [​IMG]
    เหรียญหลวงพ่อทบ รุ่นทูลเกล้า วัดโบสถ์โพธิ์ทอง ปี ๒๕๑๘ บล็อก ท.ใหญ่
    [​IMG]
    เหรียญแอปเปิ้ล หลวงพ่อทบ วัดชนแดน ปี ๒๕๑๖
    [​IMG]
    รูปเหมือนปั้มหลวงพ่อทบ วัดชนแดน รุ่นโดดร่ม ปี ๒๕๐๐
    [​IMG]
    รูปหล่อ หลวงพ่อทบ วัดชนแดน ฉลองอายุครบ ๙๔ ปี ๒๕๑๖
    ขอบพระคุณที่มา :- https://www.108prageji.com/หลวงพ่อทบ-ธัมมปัญโญ/
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    หลวงปู่ตื้อด่าพญานาค

    ปู่ดอน station
    Mar 31, 2023

    หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระอรหันต์ศิษย์หลวปู่มั่น ท่านได้ไปพักภาวนาในที่ใกล้หนองน้ำแห่งหนึ่ง พญานาคในที่นั้นได้ออกมาสำแดงฤทธิ์ ท่านจึงได้ด่าสั่งสอนไป จนพญานาคต่างสิโรราบให้แก่ท่าน..
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    ฤษีสันตจิต

    หลวงตา
    Dec 15, 2022
    ฤษีสันตจิต
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    luang-phor-soondhammasuwanno.jpg
    ประวัติท่านพ่อสุ่น ธมฺมสุวณฺโณ
    ท่านพ่อสุ่น นามเดิมว่า สุ่น นามสกุล เวชภิรมณ์ เกิดที่ ตำบลบางสระเก้า อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เกิด ณ วันพฤหัสบดี เดือน เมษายน พ.ศ. 2393 บิดาชื่อ บุตร มารดาชื่อ ปลิว มีน้องชาย1 คน ชื่อ อุ่น น้องสาว 1 คน ชื่อ อ่ำ


    ท่านพ่อสุ่น เมื่อเยาว์วัยท่านมีใจบุญกุศลยิ่งนัก พูดได้ว่าเกิดมาท่านไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ว่าได้ เพื่อนเด็กรุ่นเดียวกันชวนท่านไปยิงนกบ้าง ตกปลาบ้าง ท่านพ่อท่านก็จะไม่ไปด้วยและยังบอกสั่งสอนอีกว่ามันเป็นบาปกรรม ท่านพ่อท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอักขระในสำนักวัดบางสระเก้ากับอาจารย์ และพออายุครบอุปสมบท บรรดาญาติจึงจัดการบรรพชาอุปสมบทให้ในวัดนั้น พระเทียน วัดกลาง ตำบลพลิ้ว เป็นอุปัชฌาย์ ท่านพ่อสุ่นเมื่อบวชเป็นภิกษุแล้ว ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมกับขรัวตาจัน เจ้าอาวาสวัดบางสระเก้าในสมัยนั้น ขรัวตาจันผู้นี้เป็นผู้เรืองวิชายิ่งนัก เล่าสืบทอดกันมาว่าสมัยก่อนการคมนาคมต้องไปทางเรือ ขรัวตาจันท่านมีธุระโดยใช้เรือไป และระหว่างทางเรือท่านโดนโจรสลัดปล้น โจรสลัดใช้ปืนยิงเรือท่าน ยิงทีแรกลูกปืนก็ตกเกือบถึงเรือท่าน ยิงครั้งที่ 2 กลิ้งตกใกล้กระบอกปืนเข้ามา ส่วนเรือท่านก็ยังวิ่งเข้าหาเรือโจรสลัดนั้น พวกโจรยิ่งยิง กระสุนปืนก็ยิ่งตกใกล้กระบอกปืนมากเข้า จนในที่สุดก็ตกอยู่หน้ากระบอกปืนเป็นที่มหัศจรรย์นัก ขรัวตาจันองค์ท่านมีวิชาอาคมของท่านรอบตัว และท่านโปรดท่านพ่อสุ่น ยิ่งนัก จึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้จนหมด และโยมบุตรบิดาท่านพ่อสุ่น ก็เก่งทางวิชาอาคมยิ่งนักได้ถ่ายทอดให้ท่านจนหมดเช่นกัน


    ท่านพ่อสุ่น เมื่อบวชได้ 5 พรรษา ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เจ้าอาวาสก็ว่างลง ชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์ สมัยนั้นจึงพร้อมใจกันไปนิมนต์ท่านมาจากวัดบางสระเก้า ให้ท่านมารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ แล้วท่านก็ปกครองวัดเรื่อยมา และบูรณปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมเสนาสนะทำนุบำรุงวัดเป็นการใหญ่ สั่งสอนภิกษุสามเณรให้ประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัย และมิได้มีแต่เพียงวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เท่านั้น วัดท่าหัวแหวนท่านยังรับเป็นธุระช่วยบูรณะปฎิสังขรณ์และก่อสร้างขึ้นอีกหลายอย่าง อุโบสถ วิหารการเปรียญซึ่งปรากฏอยู่ วัดท่าหัวแหวนทุกวันนี้เกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านเสียโดยมาก ลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดเล่าว่า ท่านพ่อสุ่น ท่านเป็นพระที่มีวิชาอาคมเข้มขลังมาแต่หนุ่มๆแล้ว ท่านพ่อเป็นที่เคารพนับถือของชาวอำเภอแหลมสิงห์และอำเภอใกล้เคียงตลอดจนชาวจันทบุรี ในสมัยนั้นมาก และท่านเป็นผู้เคร่งในพระธรรมวินัยยิ่งนัก ตี 4


    ท่านลุกขึ้นครองผ้าสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน กวาดลานวัดเป็นกิจประจำวันไม่ว่าในพรรษาหรือออกพรรษา ท่านสนใจและรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างดี ปกติท่านเป็นพระที่ใจดีและคุยสนุกเมตตาอารีผู้อื่นอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยสมัยนั้นทุกคน


    ท่านพ่อเมื่อมาถึงช่วงนี้ ท่านก็ได้รับหนังสือแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดสมัยนั้น คือท่านเจ้าเอ๋ง วัดเขาพลอยแหวน จันทบุรี แต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะอำเภอ) แต่ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ ท่านจึงชวนลูกศิษย์ท่านลงเรือใบใหญ่ของวัดหนีไป เพราะวัดของท่านมีเรือลำใหญ่และเล็กหลายลำ โดยท่านกะว่าจะไปบางกะสร้อย (บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี (ท่านผู้อ่านครับช่วงนี้เรื่องของท่านจะเริ่มใช้วิชาอาคมของท่านเป็นที่เปิดเผยแล้ว และได้ค้นคว้าประวัติท่านมาร่วม 6 - 7 ปี สืบเสาะค้นคว้าจดจำบันทึกพยานหลักฐานต่างๆ จากคนเฒ่าคนแก่ จากลูกศิษย์ท่านเป็นสำคัญ รวมทั้งบันทึกที่ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ มี และของทางวัดบางสระเก้า วัดเก่าของท่านรวมกันแล้วจึงนำมาเรียบเรียงเขียนขึ้น ลูกศิษย์ที่เป็นเจ้าอาวาสมี 3 องค์ และเป็นวัดที่อยู่ในอำเภอเดียวกัน คือ


    1. พระครูประจักษ์ยติคุณ (ท่านพ่อหุน) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวน
    2. พระครูจันทศิลคุณ (ท่านพ่ออวน) อดีตเจ้าอาวาสวัดเกาะเปริด
    3. พระครูประศาสน์สิทธิการ (ท่านพ่อเฮ้า) อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์
    ลูกศิษย์ท่านพ่อสุ่น ที่ให้ข้อมูลสำคัญๆ คือ
    1. นายแหม ฉวีวรรณ
    2. นายแถน ผ่องแผ้ว
    3. นายอุปถัมป์ บุญชู (เป็นศิษย์ที่ใกล้ชิดท่านพ่อสุ่นมากที่สุด)
    4. นายพัฒน์ มีรส (เป็นผู้เลี้ยงวัวของท่านพ่อสุ่น)
    5. นายผลิ เนินริมหนอง
    นายผลิ เนินริมหนอง ได้จดคำบันทึกการบอกเล่าของนายแผด เนินริมหนอง ซึ่งเป็นบิดา และผู้เฒ่าผู้
    แก่ ไว้หลายคน

    เมื่อท่านลงเรือหนีไปบางกะสร้อย(บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี
    pic4.jpg

    ท่านพ่อสุ่น เมื่อท่านลงเรือหนีไปบางกะสร้อย(บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี นั้น อายุท่านอยู่ในราวๆ 35-37 ปี โดยประมาณ ลูกศิษย์ที่ไปกับท่านมี 3 คน และเมื่อกลับมาพวกลูกศิษย์ท่านจึงได้มาเล่าเรื่องสืบขานกันมาทุกวัน ดังนี้ ท่านพ่อกับลูกศิษย์เมื่อเดินทางกันไป เสบียงในเรือก็หมดลง และสตางค์ที่จะซื้อเสบียงอาหารก็จะหมดเช่นกัน (ท่านผู้อ่านหลับตาวาดภาพก็คงจะนึกออกว่าเมืองจันทบุรี กับเมืองชลบุรี นั้น สมัยนั้นไกลกันมิใช่น้อย และเรือที่ท่านใช้ก็เป็นเรือใบ เรือใบนั้นถ้าลมไม่ดีเปลี่ยนทิศทางก็ไปไม่ได้ต้องหยุดพักทอด สมอรอจนลมมาดีจึงจะกางใบเรือเดินทางได้ ดังนั้นการเดินทางจึงต้องใช้เวลานานหลายวัน) เพราะเป็นการมากระทันหันไม่ได้เตรียมอะไรมาก่อน ลูกศิษย์ทั้ง 3 คน จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี หนึ่งใน 3 คนนั้นจึงออกหัวคิดว่า เมื่อเรือแวะพักฝั่งแล้วก็จะพากันขึ้นไปบนฝั่งหาแทงโปกัน เพื่อจะได้เงินมาเป็นทุนซื้อเสบียงอาหารลงเรือเดินทางกันต่อไป อีกคนก็ค้านว่า ถ้าไปแทงโปแล้วไม่ถูกเงินหมดจะทำอย่างไรกันดี คนที่ออกหัวคิดก็ว่า มึงอยู่เป็นลูกศิษย์ท่านมาตั้งนานมึงไม่รู้ว่าท่านพ่อมีอาคมสามารถปิดโปได้ ถ้าเราไปขออนุญาตจากท่านว่าจะขึ้นฝั่ง
    ไปแทงโปกัน ท่านพ่อท่านก็ไม่ยอมให้ไป พวกลูกศิษย์ทั้ง 3 คน ก็พากันรบเร้าอ้อนวอนท่านว่าเงินจะหมดแล้ว ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะเดินทางไปไม่ถึงบางกะสร้อยแน่ๆ ท่านพ่อท่านก็พูดว่า " เออ : ไอ้ฉิบชิ ! มึงไปแทงได้แต่อย่าให้เกิน 3 ที " พวกลูกศิษย์เมื่อท่านพ่ออนุญาต แล้วก็ดีใจยิ่งนักพากันขึ้นไปหาแทงโปกัน ก็แทงถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันหาซื้อเสบียงลงเรือเดินทางกันต่อไปอีก เดินทางมาใกล้เกาะเสม็ด - ช่องแสมสาร เสบียงก็หมดลงอีกก็ปรึกษากันเหมือนว่า จะขึ้นฝั่งไปแทงโปกันอีก

    พากันไปพูดขออนุญาตจากท่าน ท่านพ่อท่านก็ไม่ยินยอมให้ไปท่านก็ด่าว่า "ไอ้ฉิบชิ !" พวกนี้จะทำให้กูผิดศีล มันผิดมึงรู้ไหม แต่อย่างว่าพวกลูกศิษย์หายอมไม่พากันพูดเซ้าซี้อ้อนวอนท่านต่างๆนานา หนักๆเข้าด้วยความรำคาญท่านก็ว่า " เออ : ไอ้ฉิบชิ ! มึงไปแทงอย่าให้เกิน 3 ที " พวกลูกศิษย์ก็พากันขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน แทง
    3 ที ถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันหาซื้อข้าวสารอาหารแห้งลงเรือเดินทางลงเรือกันต่อไป เมื่อเรือใบแล่นมาถึงเกาะเสม็ด - ช่องแสมสาร เรือของท่านก็โดนโจรสลัดปล้น พวกโจรพากันเอาเรือเข้าเทียบเรือท่าน พวกลูกศิษย์ก็จะพากันสู้คว้ามีดคว้าขวาน และทุกคนถือว่าตัวเองหนังดีด้วยกันทุกคน ท่านพ่อท่านก็ว่า "ไอ้ฉิบชิ" พวกมึงอยู่เฉยๆ กูจะดูซิว่าพวกมันจะทำอย่างไรกัน พวกโจรก็พากันลงเรือค้นหาเงินจากลูกศิษย์ท่านได้ 12 บาท โจรพวกนั้นเมื่อได้เงินแล้วก็พากันดีใจ พากันกลับลงเรือของตน ท่านพ่อท่านก็พูดว่า "ไอ้ฉิบชิ" มึงเอาแม้กระทั่งเงินพระเงินเจ้าแต่กูว่ามึงเอาไปไม่ได้หรอก หัวหน้าโจรก็หัวเราะแล้วว่า ทำไมจะเอาไม่ได้เมื่อเวลานี้เงินอยู่ที่ผมและพวกผมก็กำลังจะไป พอพูดเสร็จก็สั่งลูกน้องให้หันหัวเรือออก แต่พอเรือโจรออกไปได้สักหน่อย ท่านพ่อท่านก็หยิบหมากแห้งในย่ามยิงโจรด้วยคันกระสุน (ท่านพ่อท่านมีคันกระสุนประจำตัวอยู่ 1 คัน) เป็นที่น่าอัศจรรย์กระสุนหมากแห้งแท้ๆ แต่โดนโจรมันดังยิ่งกว่ากระสุนดินเหนียว เสียงดัง ปุ้ ปุ้ ท่านยิงทีเดียวเหมือนยิงเป็นสิบลูก ยิงจนโจรต้องหันหัวเรือเอาเงิน 12 บาทมาคืนท่าน เมื่อลงเรือได้ก็ก้มลงกราบท่านด้วยความหวาดกลัว เพราะในชีวิตการเป็นโจรมา เพิ่งจะมาเจอดีและเจ็บที่สุดก็วันนี้เอง ตามเนื้อตามตัวช้ำผื่นแดงไปหมด ท่านพ่อเมื่อเห็นโจรสลัดสิ้นฤทธิ์แล้ว ท่านก็พูดสั่งสอนให้เลิกเป็นโจรสลัดอย่าได้ปล้นเรือเขาอีก โจรพวกนั้นก็รับคำพากันลาท่านกลับลงเรือไป ส่วนท่านพ่อท่านก็เดินทางมาจนถึงบางกะสร้อย เมืองชล (บางกะสร้อยสมัยนั้นเปรียบเหมือนจังหวัด) และนำเรือไปจอดที่สะพานศาลเจ้า เพราะสะพานศาลเจ้าเป็นสะพานที่จอดเรือเมลย์สมัยนั้น ของเรือบางกะสร้อยคือ เรือโชคชัย, เรือไชโย ซึ่งเป็นเรือของนายอากร จิ้นหลี และเรือล่งหลี ของเจ๊กกุ้ย และอีกอย่างท่านก็คงนึกไม่ออกว่าจะไปไหนดี เพราะมาถึงใหม่ๆ พวกลูกศิษย์ท่านเมื่อเรือจอดสะพานศาลเจ้าแล้วต่างก็พากันกระหยิ่มยิ้มย่อง พากันไปขออนุญาตจากท่านว่าจะขึ้นฝั่งไปหาแทงโป ท่านพ่อเมื่อลูกศิษย์มาขออนุญาตท่านก็ยอมให้ไป เพราะเงินและเสบียงก็ยังอยู่ พวกลูกศิษย์ก็พากันพูดอ้อนวอนท่านว่า เพราะความได้ใจที่แทงโปมาตามทาง 2 ครั้งๆละ 3 ทีไม่เคยผิดเลย ท่านพ่อท่านก็คงจะทนรบเร้าของพวกลูกศิษย์ท่านไม่ไหว ท่านจึงพูดว่า "เออ : ไอ้ฉิบชิ พวกมึงไปแทงกันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแต่อย่าให้เกิน 3 ที " พวกลูกศิษย์ท่านก็พากันขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน ก็ถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันกลับลงเรือ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเจ้ามือโปและคนแทงได้พากันสะกดรอยตามมา (เพราะกิตติศัพท์ของพวกลูกศิษย์ท่านคงจะดังเรื่อยมาระหว่างทางว่ามีคนแปลกหน้ามากัน 3 คน มาแทงโป 3 ที ถูกหมด 3 ที แล้วพากันกลับอะไรทำนองนั้น พอลูกศิษย์ท่านพ่อลงเรือ พวกเจ้ามือก็พากันเฮโลตามลงเรือ และเมื่อเห็นท่านพ่อนั่งอยู่ในเรือ ต่างคนต่างก็ห้อมล้อมท่านจะพากันขอของดีจากท่าน ท่านพ่อท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์ออกเรือหนี แต่ก็ถูกพวกที่สะกดรอยมาดึงเรือไว้ไม่ให้ไปยื้อยุดฉุดกันเป็นที่อลหม่านยิ่งนัก ส่วนบนที่ สะพานชาวบ้านละแวกนั้น เมื่อรู้ข่าวก็พากันมาที่สะพานเบียดเสียดกันจนแน่นสะพานไปหมด ต่างคนต่างก็จะลงเรือที่ท่านพ่อนั่งอยู่ จนถึงขนาดว่าเจ้าเมืองสมัยนั้นคือ "พระยาภิรมย์อุดมราชภักดี" และธรรมการจังหวัดสมัยนั้นคือ ขุนภิรามจรรยา รู้ข่าวว่าประชาชนพากันไปมุงห้อมล้อมพระองค์หนึ่งที่สะพานศาลเจ้า เจ้าเมืองและธรรมการจังหวัดพร้อมด้วยผู้ติดตามจึงรีบพากันมาที่สะพานนั้น เจ้าเมืองเมื่อไปถึงจึงรีบลงไปที่เรือที่ท่านพ่อนั่งอยู่ พอไต่ถามรู้เรื่องราวความเป็นมา เจ้าเมืองจึงนิมนต์ท่านไปฉันอาหารที่บ้าน และเจ้าเมืองจึงนิมนต์ท่านพ่อให้ไปอยู่ที่วัดต้นสน ที่บางกะสร้อยนั่นเอง เพราะวัดต้นสนสมัยนั้นอยู่หลังออฟฟิตไปรษณีย์ ติดกับโรงเรียน ชลราษฎรอำรุง เรียกว่าพอนำเรือแล่นเข้าคลองบางกะสร้อยสมัยนั้นเรือก็สามารถจอดอยู่หน้าออฟฟิตไปรษณีย์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง

    ท่านพ่อสุ่นท่านจึงอยู่วัดต้นสน เมืองชล ตั้งแต่นั้นมาและที่วัดนี้เองต่อมาท่านได้บวชพระองค์หนึ่งชื่อพระภู ท่านอยู่จนพระภูเป็นพระปลัดภู (ราวๆ 5 - 6 ปี) ท่านก็กลับแหลมสิงห์ วันที่ท่านจะกลับนั้นพระปลัดภูจะไม่ยอมให้กลับร่ำอาลัยในตัวท่านยิ่งนัก แต่นิสัยท่านพ่อท่านเป็นคนจริงลงว่าท่านจะกลับ ท่านก็ต้องกลับของท่านให้ได้ พระปลัดภูเมื่อเห็นว่าหน่วงเหนี่ยวท่านไว้ไม่ได้แน่แล้วก็สั่งท่านและลูกศิษย์ว่า วันใดที่ท่านพ่อสุ่น มรณะภาพลงให้คนมาส่งข่าวมาถึงท่านเร็วที่สุด ท่านจะไปจัดการแต่งศพให้เป็นการทดแทนพระคุณ และท่านมีศิลป์ในการแต่งศพสวยงามมาก และภายหลังท่านพ่อมรณะภาพลง พระปลัดภูก็มาจัดการแต่งศพให้ท่านอย่างสวยงาม ท่านพ่อสุ่น ท่านเกี่ยวพันธ์ทางเมืองชลมาก ลูกศิษย์ท่านเล่าว่าสมัยที่ท่านอยู่วัดต้นสน ในละแวกวัดต้นสนมีวัดอยู่ห่างกันไม่มากหลายวัด คือ วัดเนิน วัดต้นสน วัดใหม่ วัดใหญ่ วัดกลาง วัดสมถะ วัดเคลือวัลย์ วัดนอก วัดกำแพง ลูกศิษย์ท่านเล่าว่าท่านพ่อสุ่นท่านมีเจ้าอาวาสที่เป็นเพื่อนกัน และเพื่อนรุ่นน้อง
    มากมายและลูกศิษย์ลูกหาที่เรียนกับท่านก็มีมาก แต่จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ หลวงพ่อภู วัดต้นสนได้แม่นยำเพราะ
    เป็นวัดที่ไปอยู่ ส่วนวัดอื่นๆที่เอ่ยมามีที่รู้จักกับท่านแน่ๆก็มีหลวงพ่อภู่วัดนอก หลวงพ่อเจียมวัดกำแพง เพราะมาหาท่านที่วัดต้นสนและวัดอื่นเป็นวัดที่ท่านไปเที่ยว 3-4 วัน แล้วก็กลับมาวัดต้นสน



     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (cont.)
    นิมนต์ท่านพ่อสุ่น มาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์
    ท่านพ่อท่านกลับมาแหลมสิงห์ ท่านคงจะนึกถึงบ้านเกิดของท่าน และอีกอย่างท่านก็มา 5 - 6 ปีแล้ว ป่านนี้ทางเจ้าคณะจังหวัดคงจะแต่งตั้งคนอื่นแทนท่านไปแล้ว ท่านพ่อเมื่อมาถึงวัดปากน้ำแหลมสิงห์ ก็มีขรัวเตยเป็นเจ้าอาวาส ท่านพ่อท่านจึงไปอยู่วัดท่าหัวแหวนกับท่านพ่อช่อ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่าน และต่อมาเมื่อท่านพ่อช่อมรณะภาพ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนิมนต์ให้ท่านพ่อสุ่น เป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านก็จะไม่ยอมรับ เกี่ยงให้เอาพระองค์อื่นแทนท่าน แต่ชาวบ้านไม่ยินยอมท่านจึงจำใจต้องยอมรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวนตั้งแต่นั้นมา (หมายเหตุ วัดปากน้ำแหลมสิงห์กับวัดท่าหัวแหวนเป็นวัดอยู่ใน ตำบลเดียวกันห่างกันประมาณ 1 กม.) ท่านพ่อท่านชอบนกเขามาก เช้าๆ พวกลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดจะต้องเอานกเขาพ่นน้ำและตากแดด ซึ่งธรรมดาเรื่องชีวิตท่านก็น่าจะยุติลง แต่ก็ดูเหมือนท่านเกิดมาเพื่อกำหราบทหารฝรั่งเศสจริงๆ กำหราบทหารฝรั่งเศสให้รู้ว่า คนหัวโล้นๆห่มผ้าสีเหลืองๆนั้น และที่ชาวไทยเรียกว่า "พระ" นั้นจะมาลบหลู่ข่มเหงรังแกกันไม่ได้ เพราะเป็นผู้สามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ จึงให้มีเหตุดังนี้คือ

    ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เมื่อขรัวเตย เจ้าอาวาส ได้ลาสิกขาบท ออกมาเป็นฆราวาส และได้ ขรัวแบก มาเป็นเจ้าอาวาสแทน ขรัวแบก อยู่เป็นเจ้าอาวาส 2 พรรษา ก็สึกออกมาอีกชาว บ้านปากน้ำซึ่งคอยโอกาสจะให้ท่านกลับมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แล้วก็พากันร้องเรียนไปทางนายอำเภอสมัยนั้นคือ หลวงสถิตย์สิงหเขต ให้ไป นิมนต์ท่านพ่อสุ่น มาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ อีก หลวงสถิตย์สิงหเขต ก็ไปนิมนต์ท่านๆก็จะไม่ยอมมา แต่เมื่อพูดและยกเอาชาวบ้านมาอ้างว่าทุกคนขาดที่พึ่งแล้ว ถ้าไม่ได้ท่านพ่อไปทุกคนจะไม่ยอม ท่านพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านจึงมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นับเป็นการกลับมาครองตำแหน่งครั้งที่ 2 ของท่านและเป็นการกลับมากำหราบทหารฝรั่งเศส อย่างแท้จริง (ท่านพ่อสุ่น ตอนที่ท่านกลับมาจากบางกะสร้อยเมืองชล และไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวน ฝรั่งเศส จะเข้ามายึดแหลมสิงห์ก่อนแล้ว เพราะพยานหลักฐานคือฝรั่งเศส ยึดแหลมสิงห์ราว พ.ศ. 2436 อายุท่านก็คง 43 ปี เพราะท่านเกิด พ.ศ. 2393 ฝรั่งเสยึดแหลมสิงห์ราว 11 ปี จึงถอนกำลังกลับไป ตอนฝรั่งเศสกลับไปประมาณ พ.ศ.2447 อายุของท่านคงประมาณ 53 ปี
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (cont.)
    ท่านพ่อสุ่น เมื่อกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ ชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์ ได้ร่มโพธิ์ร่มไทรไว้อาศัย เพราะด้านวิชาอาคมของท่านจะเยี่ยมยอดแล้ว ทางด้านหมอแผนโบราณท่านก็เก่งยิ่งนัก ชาวบ้านคนไหนป่วยเป็น โรคร้ายๆ รักษาไม่หายพอมารักษากับท่านๆก็จะรักษาให้หายกลับไปแทบทุกราย มีหญิงคนหนึ่ง (ปัจจุบันมีชีวิตอยู่) สมัยที่ท่านอยู่ได้เกิดคลุ้มคลั่งขนาดแก้ผ้าวิ่งเพราะถูกกระทำทางไสยศาสตร์ ญาติพี่น้องต้องพากันจับตัวนุ่งผ้ามาให้ท่านรักษา ท่านก็รดน้ำมนต์เป่าหัวให้ไม่กี่วันก็หาย และหายขาดมาถึงปัจจุบัน และหญิงอีกคนหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายรักษาหมอมาหมดที่ว่าดีๆ ก็ไม่หายหมดเงินหมดทองเป็นจำนวนมาก พอมารักษากับท่านๆก็ให้ยาหม้อมาต้มกินและรดน้ำมนต์ของท่านไม่นานก็หาย หญิงคนนั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จึงนำเงินมาถวายท่านนับร้อยบาท เพราะเป็นคนมีเงิน (เงินนับร้อยสมัยนั้นมีค่ามากแค่ไหนท่านผู้อ่านก็คงรู้) แต่ท่านไม่ยอมรับ หญิงคนนั้นก็ขยั้นขยอให้ท่านรับไว้ ท่านก็บอกว่าท่านรับไว้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์และที่ท่านรักษาให้นั้น ก็ไม่ได้หวังเงินทองเป็นการตอบแทน แต่รักษาให้ด้วยใจเมตตาสงสาร แต่ถ้ามีใจกุศลจริงๆขอให้ถวายเงินนั้นสร้างวัดเถิด หญิงคนนั้นจึงนำเงินถวายวัด เรื่องหมอแผนโบราณของท่านนั้นเก่งกาจยิ่งนัก

    ท่านพ่อสุ่น สมัยก่อนวัดของท่านเต็มไปด้วยสัตว์มากมายหลายชนิด เช่น ม้า, วัว,ควาย,นกเขา,ไก่,ห่าน,หมู,หมา ส่วนมากชาวบ้านจะเป็นชาวบ้านนำมาถวายท่านๆก็รับไว้และสัตว์เลี้ยงของท่านก็ก่อปาฏิหารย์หลายอย่างเป็นที่โจทย์ขานทุกวันนี้
    :-- http://www.watpaknamlaemsing.org/luang-phor-soon-history-5.php
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (cont.)
    ประวัติท่านพ่อสุ่น ธมฺมสุวณฺโณ :: ฝรั่งเศสขโมยพระพุทธรูปต้มน้ำกิน


    ฝรั่งเศสถึงตอนนี้ก็เริ่มคร้ามเกรงท่านขึ้นแล้ว ฝรั่งเศสเห็นท่านพ่อลงโบสถ์สวดมนต์ และกราบพระพุทธรูปในโบสถ์ทุกเช้า ก็พากันคิดว่าเป็นเพราะพระพุทธรูปในโบสถ์นี่เองที่ทำให้ท่านเก่ง จึงพากันขโมยพระพุทธรูปที่ตั้งไว้บนกำแพงรอบโบสถ์ไป และนำพระนั้นไปต้มน้ำด้วย หมายใจว่าจะกินน้ำต้มพระนั้นแล้วจะได้เก่งเหมือนท่านพ่อสุ่น นายทหารจึงเรียนทหารเข้าแถวและให้ตักน้ำที่ต้มพระใส่ถ้วยและแจกให้ทหารกินกันทุกคน กินไปสักครู่รักที่พอกพระและละลายอยู่ในน้ำที่กินนั้นก็กัดท้องพากันล้มลงร้องครวญครางและพากันตายเป็นจำนวนหลายคน หมอแหมบอกว่าฝรั่งเศสที่กินน้ำต้มพระคราวนั้นพากันตายประมาณ 20 กว่าคนจะเห็นได้ฝรั่งเศสเมื่อตายก็ทำการฝัง ที่ฝังฝรั่งเศสคราวนั้นปัจจุบันนี้คือบ้านพักนายอำเภอถึงโรงฆ่าสัตว์และต่อมาเมื่อชาวบ้านขุดหลุมปลูกบ้านมักจะขุดเจอศพฝรั่งเศสบ่อยๆ
    :- http://www.watpaknamlaemsing.org/luang-phor-soon-history-9.php
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    (cont.)
    ประวัติท่านพ่อสุ่น ธมฺมสุวณฺโณ :: ท่านพ่อสุ่นมรณะภาพ

    luang-phor-soon-laensing.jpg
    ท่านพ่อสุ่นเมื่อเสือจ๋ายตายแล้วท่านก็ปกครองวัดของท่านเรื่อยมา ชีวิตท่านแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ญาติโยม คนไหนป่วยเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถูกคุณถูกกระทำ เมื่อมานิมนต์ท่านๆก็จะไปให้ทุกคนไม่เคยขัด คนที่ถูกผีเข้าเจ้าสิง พอท่านก้าวขึ้นบันไดบ้านคนนั้นผีจะพากันร้องและออกไปทันที ฉะนั้นท่านพ่อจึงเป็นที่พึ่งของสัตว์ผู้ยากโดยแท้ เป็นเสมือนกิ่งโพธิ์กิ่งไทร ให้ลูกนก ลูกกา อาศัย และลงว่าผู้ใดมานิมนต์ท่านให้ทางลำบากยังไงท่านก็ต้องดั้นด้นไปจนได้ จะหาผู้ใดเสมอเหมือนท่านไม่มีอีกแล้ว และสาเหตุที่สำคัญที่บั่นทอนสุภาพร่างกายของท่านก็คือ ถนนหนทางสมัยก่อนขรุขระลำบากมาก ทางซักกิโลนั่งเกวียนไปเกวียนก็กระแทกกับถนนซึ่งเป็นหลุมเป็นบ่อ ร่างกายของท่านก็ทรุดโทรมลง ประกอบกับไม่มีเวลาพักผ่อน สังขารของท่านจึงทรุดโทรมเรื่อยมา แต่ท่าน พ่อท่านไม่เคยปริปากบ่นให้ใครได้ยิน แม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด และในที่สุดก็เป็นวัฏฏะของชีวิตว่าจะต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านพ่อสุ่นท่านก็เริ่มเจ็บออดๆแอดๆเรื่อยมาด้วยโรคชรา และเมื่อสุดจะทนฝืนสังขารต่อไปได้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ วันพฤหัสบดี เดือน 3 แรม 5 ค่ำ พ.ศ. 2471 (ต้นรัชกาลที่ 7 ) ท่านก็ถึงกาลมรณะภาพลงด้วยโรคชราอย่างสงบ รวมอายุท่านได้ 77 ปี 57 พรรษา วันที่ท่านพ่อสุ่น มรณะภาพลงนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไปซักถามจะพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า "วันนั้นเหมือนดวงอาทิตย์ดับที่แหลมสิงห์ " ทุกบ้านเรือนเงียบเหงาวังเวง ทุกคนมุ่งหน้าเข้าสู่วัดทั้งๆที่หน้านองด้วยน้ำตา ทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือจัดการงานศพท่าน พวกบางกะสร้อยเมืองชล เมื่อรู้ข่าวก็พากันมาหลายสิบลำเรือ ขนข้าวขนของมาช่วยงาน หลวงพ่อภูและพระทางเมืองชลหลายสิบรูปพร้อมใจกันมาช่วยงานศพท่าน และได้ประชุมลงความเห็นกันว่าสมควรจะนำศพท่านไว้ที่วัดสำหรับไว้ให้ลูกศิษย์ลูกหา และชาวบ้านเคารพกราบไหว้กันก่อน แล้วค่อยประชุมเพลิงศพท่านทีหลัง

    ทางวัดจึงนำศพท่านไว้ที่วัดจนถึง เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2472 จึงพร้อมใจกันจัดการประชุมเพลิงศพท่าน และให้มีการแสดงมหรสพทุกชนิด จัดว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดตั้งแต่จัดงานกันมา ผู้คนจากสารทิศหลั่งไหลมาช่วยงานท่านแน่นวัดไปหมด พวกมาจากบางกะสร้อย เมืองชลพากันมาเนืองแน่นอีกครั้ง หลวงพ่อภูเป็นประธานจัดการแต่งศพท่านอย่างสวยงาม พวกผู้หญิงที่มาจากบางกะสร้อยพากันแกะสลัก ฟัก แฟง แตงกวา เป็นรูปลวดลายต่างๆอย่างสวยงามใส่เรือมา ทำกับข้าวให้คนกินเนื่องในวันประชุมเพลิงศพท่าน พระจากเมืองจันทน์และใกล้เคียงพร้อมใจกันมาช่วยงานท่านหลายสิบรูป พระพื้นบ้านก็มี หลวงพ่อยวน วัดเขาชำห้าน หลวงพ่อทอก วัดหนองชิ่ม หลวงพ่อจิ่ม วัดไผ่ล้อมท่าใหม่ มาเป็นผู้ทำพลุ ตะไล ไฟพะเนียง อีตื้อ โดยหลวงพ่อจิ่มมาอยู่เตรียมการก่อนเกือบครึ่งเดือน และหลวงพ่อจิ่มได้ทำ นกบินกลับรังคือ ทำโครงไม้ไผ่เป็นรูปนกและพอจุดไฟ นกโครงไม้ไผ่ก็ร่อนออกไป และเมื่อหมดเชื้อไฟก็บินกลับมาตกที่เดิมได้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านยิ่งนัก และการประชุมเพลิงศพท่านพ่อสุ่นนั้น ลำบากมากเพราะทำท่าว่าจะเผาไม่ไหม้ ต้องมีการจุดธูปเทียนขอขมาลาโทษหลายคน เมื่อประชุมเพลิงศพท่านเสร็จ ทางวัดจึงรวบรวมอัฏฐิท่านไว้ที่วัดต่อไป

    และต่อมาจนถึงวันที่ 2 เมษายน 2480 บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ระลึกถึง พระคุณท่าน จึงพร้อมใจกันก่อเจดีย์ เชิญอัฏฐิท่านมาบรรจุไว้เพื่อให้ลูก หลานที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เคารพ กราบไหว้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่านต่อไป และวันนั้นทางวัดได้สร้างเหรียญรูปท่านขึ้นมาแจกแก่ผู้ไปร่วมงาน เรียกว่า 2480

    บทส่งท้าย ท่านพ่อสุ่นทุกวันนี้ลูกหลานเหลนของท่านยังอยู่มากก็ที่ ตำบลบางสระเก้า และหลวงพ่อแสง เจ้าอาวาสวัดบางสระเก้า ปัจจุบันนี้มีศักดิ์เป็นเหลนของท่าน และมีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก และท่านก็เป็นพระที่ชาวบ้านบางสระเก้านับถือกันมาก
    :- http://www.watpaknamlaemsing.org/luang-phor-soon-history-30.php
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    เล่าเรื่องลี้ลับ | เรื่องจริงของวิญญาณเเละปาฎิหาริย์ | หนุ่มคงกระพันเล่าเรื่อง

    หนุ่มคงกระพัน official
    77,617 views Dec 18, 2022
    เรื่องเล่าประสบการณ์วิญญาณปาฏิหาริย์ของพระอริยสงฆ์ Part 1 เล่าเรื่องลี้ลับกับหนุ่มคงกระพัน เรื่องเล่าของหลวงปู่จันทา ถาวโร หลวงปู่มั่น และหลวงปู่ดู่ สามพระอริยสงฆ์ที่พบเจอกับเรื่องราวประหลาดนำมาเล่าสู่กันฟังโดยลูกศิษย์และคนใกล้ชิดของหลวงพ่อเรื่องของการพบเจอเปรตขอส่วนบุญ และการพบเจอกับวิญญาณร้ายรวมทั้งเรื่องราวของไสยเวทย์ ยาเสน่ห์ต่างๆ ติดตามเรื่องราวน่าสนใจได้ในคลิปนี้ครับ
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    ๒๗๑.โปรดอสุรกายเสือ ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Apr 21, 2023

    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทยเดินทางไปโปรดอสุรกายเสือผู้เคยมีบุญคุณต่อท่านในอดีตชาติซึ่งผ่านมานานแสนนาน ให้พ้นจากความหลงผิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...