อยากขอคำแนะนำผมมีปัญหาเรื่องการกำหนดจิตแบบละเอียด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 7 พฤศจิกายน 2012.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เล่าความหลัง สักหน่อยละกัน

    คือ สภาวะธรรมอย่างที่คุณเล่ามานี่ ผมก็เคยเล่น ก่อนหน้านั้นเจอพระท่าน
    หนึ่ง พระท่านสอดส่องสภาวะคลุกคลิกๆข้างในเราได้ พอเรารู้แบบนั้น เรา
    ก็เลย นึกถึงอารมณ์กรรมฐานแปลกๆ ที่เคยแฉลบไปแฉลบมา ช่วงนั้นเลยนึก
    หยิบตัวนี้มา ครอบงำจิต ทำให้มันครอบงำจิต พอครอบงำได้ที่ มันบีบจิต
    บีบหัวใจพอให้เห็นอาการหน้ามืด ก็เอาเลย ทรงอารมณ์นั้นไว้ แล้วขับรถ
    ไปแต่เช้าเลย จากกรุงเทพไปต่างจังหวัด เรียกว่า ถึงปั๊ป เอาอารมณ์ตัวนี้ส่ง
    ให้ท่านดูได้ จะได้ดูว่า ปริยัติเนี่ยะเขาจะเรียกว่าอะไรได้บ้าง ตอนขับรถ
    ไปก็กำหนดเอาไว้นะ เหมือนดูตัวอะไรขับรถไป เกือบวูบเหมือนกัน น้อมลึก
    ไปมันจะวูบเราก็ถอย อาศัยขับไปช้าๆ ไม่เร่ง มันก็ถึง

    แต่เซ็งโคตรๆเลย พอยกมือได้ ท่านเรียกให้ส่ง ไมค์อัปปรีย์( เขาเรียกกัน
    อย่างนั้นนะ ) พอไมค์อัปปรียมันส่ง ส่ง มาเกือบจะถึงมือ หัวใจที่ถูกบีบเอา
    ไว้มันเอาไม่อยู่ ไมค์มันมีพลังตื่นเต้นอัดไว้สะสมไว้มากกว่า หลุดผลั๊วะออก
    มา เราก็เก้อๆ เลย ไม่มี ของจะส่ง พอหลุดออกมา ก็นั่นแหละ วิบากมันส่ง
    ผลต่อเนื่อง มึนไปหมด พระท่านสอนอะไรมาก็ไม่ได้ยินนะ ธรรมปิด ให้เห็น
    เลย ดูมัน ร้ายกาจมาก ปิดธรรมไม่ให้เข้าถึงได้ ( อย่า งง นะ ตอนที่จิตให้
    วิบากเนี่ยะ มันเป็น อำนาจของกรรม ตอนนั้น ผู้รับกรรมจะตกอยู่ในสภาพบริหาร
    อะไรไม่ได้ รับวิบากเละอย่างเดียว .... เนี่ยะ ลองเอาไปพินาดู ว่า จริงไหม )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2012
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    แก่จนป่านนี้แล้ว..ตนยังเป็นที่พึ่งของตนไม่ได้ยังวิ่งไปส่งการบ้านให้เขาอีก..แก่กระโหลกกะลาเอ้ยยส์ อิอิ:mad:
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ่านดีๆ สิ ใครเขาส่งการบ้าน

    เขานึก สนุกอยากสร้าง ภพ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง แล้ว เอาไป กาง ให้
    ท่านหา ปริยัติมาเติมให้หน่อย

    แค่ต้องการปริยัติ

    ส่วนเรื่อง การเข้า การออก การอยู่ อันนี้ ทำคล่องอยู่แล้ว

    ของมันหากเคย เปิดแล้ว มันปิดไม่ได้หรอก ยังไงมันก็ต้อง แฉลบออกมา

    หากมัน แฉลบออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม ก็กลายเป็น อภิสังขารมาร

    แต่ถ้า เราเอามาบริหาร มันก็เรื่องของเรา และ แม้มันจะมาในคราบ
    ของ อภิสังขารมาร เราก็ แค่อาศัยระลึกเห็น กลายเป็นเครื่องมือละสังโยชน์
    ได้อีก ฮะเอ่อ
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    กะล่อน..เป็นชื่อมะม่วงชนิดหนึ่ง นิวณ์..ชอบหรือมะกอกดี อิอิ:mad:
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮี้ ฮี้ ฮี้

    ก็ คนเขาไม่ได้ภาวนากันแบบ ขาดการบริหาร การจัดการนี่ มันจึงมีเกร็ดเล็กเกร็ด
    น้อยให้พิจารณายกได้เสมอ ฟังแบบหมั่นไส้ มันก็เหมือน ปาไม่ถูก

    อ้อ แล้วปู่ฉับฉลเชื่อเป่า หลังจากไปครั้งนั้น ก็ไม่ได้ไปหาอีกเลย

    เพราะว่า มันเห็นกระบวนการ สร้างภพ แล้วก็ ภพดับ

    พอเห็นว่า ภพดับ มันก็เห็นว่า เออนะ หากพิจารณาอาศัยระลึกไปแบบนี้
    ไอ้เรื่องจะ เกิดเป็น ชาติ มีภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ จังซี้มันก็ถอน
    จังซี้มันก็ถอน จังซี้มันก็ถอน ....

    ก็เลย ไม่ได้หาเรื่องไป สร้าง สุภพ ทุภพ ขึ้นมาเล่นอีก ตัดไปเรื่อยๆ ดีก่า

    เพราะ ลึกซึ้งกว่านี้มันก็มีให้พินาสวนป๊าปเข้าให้ไปเรื่อยๆ

    ก็เลยไปต้องไปถามอีก บัญญัติมันรุงรัง เพราะ ลึกกว่า ภพ ไปเรื่อยๆ
    นี่ เขาไม่เรียกชื่อกันแล้ว เรียกมะทัน

    พอไม่ต้องเรียก สัญญาสายัญก็หายจ้อย อ่อนแรงไปตามระเบียบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2012
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปู่ๆ ป๋ม มีคำถาม ให้ ปู่ เอาไว้ ปิติศรัทธาใน คำของตถาคต ผู้ฉลาดในมรรค
    ไม่ใช่คำของสาวก ที่ไม่ฉลาดในมรรค

    ปู่ ได้ยินมาตลอดชะม๊า ว่า ภาวนาติดสัญญา สัญญาจำเอาทั้งนั้น ก็เลย
    ให้เอาหนังสือเข้าตู้บ้าง ภาวนาอย่าคิดอย่านึกตัดตะพึดตะพือบ้าง

    มันต้องตัดซะที่ไหน .............


    มาดู มรณะสัญญา สัญญาที่พระพุทธองค์เลือกให้ใช้ หากสาวกคนใดใช้
    ก็จะ สำเร็จเจโตวิมุตติ และ สำเร็จปัญญาวิมุตติ ใช้คำว่า สำเร็จด้วยนะ ไม่ใช่
    แค่ บรรลุเฉยๆ มันต่างกันตรง "อิทธิบาท" ไง

    ปู่ ลอง นึกถึง ปู่สับสนเนี่ยะ ต้องตายในวันหนึ่งไหม

    ปู่ ย่อมตอบว่า ตายแน่นอน วันหนึ่งตายแน่นอน นี่ หมายรู้ถูกไหม
    หมายรู้ในความตาย ย่อมเป็น มรณะสัญญา

    เอ่อ แต่ ปู่พอนึกถึง มรณะสัญญาแล้ว ปู่คร๊อก กระแด่วๆ ไปเลยอะเป่า

    ก็เป่าใช่ม้ายล่า ก็เห็นเป็นแท่งโด่ เดินไปมา ไหวๆ ตึงๆ ย่อนๆ อยู่นี่ ตายซะที่ไหน

    ดังนั้น มรณะสัญญา น้อมนึก ระลึกได้ แต่ ระลึกแล้ว มันไม่ค้าง !!

    สัญญาจึงมีสภาพเกิดแล้วก็ดับไปนะ ปู่

    พวกสาวก พินาแล้ว กลับบอก ปู่ว่า สัญญาล้วนๆ มันค้างเติ่ง กัดกะบาล ปู่ ได้
    ถึงกลับสำทับว่า " สัญญาทั้งนั้นอ่า !! "

    เอ้า ปู้จะไปโง่ เชื่อตามนั้นไหม ก็เห็นอยู่ว่า ระลึกสัญญาว่าตายแน่นอน
    แต่แล้ว มันยังเดินได้อยู่นี่ ไอ้ที่ว่า สัญญาล้วนๆ สัญญาครอบงำจิตได้เนี่ยะ
    ปู่ โดนแหกตา แล้วหละ

    เนี่ยะ ปู่ลองเอาไปซ้อมดู

    ระลึกถึงความตายบ่อยๆ ระลึกแล้ว ปู่ ตัวเกร็ง แข็งตายไปทันทีอะเป่า
    พินาไปเรื่อยๆ จนมันแนบ จนมันเป็น สัญญาเดียวเลยนะปู่ ปู่อาจจะเห็น
    ว่าเอ้ยไอ้นั่น ไอ้นี่ ชา ระงับ รำงับ เหมือน สัญญามันครอบกายเลยนะปู่
    แต่ ไม่จริงหรอก เดี๋ยวปู่ก็เดินโด่เด่ ได้อยู่ดี ...พินาแบบนี้ ปู่จะไม่โดน
    คำของสาวกหลอกเรื่อง ความร้ายกาจของสัญญาอีกเลย

    ตรงกันข้าม มรณะสัญญาเนี่ยะ สุดยอดเลยปู่ ทำให้มากๆ ข้ามฝากไปได้
    อมตะเป็นทีหวังได้เลยนะปู่ ( พระพุทธองค์ตรัสรับรองเอง )


    ***************

    มรณะสัญญา ที่มันเกิดแล้วก็ดับ แต่เราเอามาน้อมนึก แบบนี้แหละ ปู่
    เขาเรียกว่า อาศัยระลึก หยุดที่ รู้ แล้วมันจะมาย้อนรู้กายโด่เด่พร้อม
    การดับไปของสัญญา อย่าไปโง่ เชื่อว่า สัญญามันจะครอบงำนักภาวนา
    ได้เลยนะปู่นะ

    ถาม : ปู่ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง เพราะอะไร !?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2012
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ทีนี้ ปู่บอกว่า เฮ้ย ไอ้พวกอ่านธรรมะ อ่านสัญญา เป็นสัญญา แล้ว งับ คาปาก

    คาปากเลยนะ ไม่ปล่อย ประมาณว่า เข้าใจธรรมะที่อ่านแล้ว งับ ยึดมั่นถือมั่น

    เฮ้ย!! ปู่ อย่าโง่ตามสาวกที่ไม่ฉลาดในมรรค ดิ

    นี่กำลังพูด มรณะสัญญา เป็นตัวอย่างง่ายๆ เลยนะปู่ หยิบมา ตัวเดียว สัญญา
    ตัวเดียว แทนสัญญาทั้งหมด มรณะสัญญาตัวนี้ ใครบ้างในโลก อ่านแล้ว
    เข้าใจว่า "กูตายแน่นอน" แล้วตามด้วยการ งับคาปาก จำเป็นสัญญา ไม่
    กระดิกกระเดี้ยวโด่เด่บ้าง ไม่มีหรอกปู่

    สัญญาเนี่ยะ อ่านแล้ว ต่อให้อ่านกี่ที เข้าใจกี่ที หมายรู้กี่ที มันหลุดจากปากทันที
    แหละปู่ ยิ่ง มรณะสัญญานี่ ทุกคนเห็นได้ หมายได้ว่า วันหนึ่งข้างหน้าตายแน่นอน
    แต่พอเข้าใจแล้ว รู้ และ ระลึกได้แล้ว มันก็ปล่อยทันที ไม่มี แข็งทื่อทันทีที่ระลึก
    มรณะสัญญา อย่างที่เขาชี้ให้ปู่ดูว่า สัญญาล้วนๆ สัญญาทั้งนั้น

    เนี่ยะปู่ อาการระลึกได้ อาศัยระลึก ไม่ได้ถือมั่น มรณะสัญญานี้เป็น สิ่งที่พระพุทธองค์
    ยกตัวอย่าง ขึ้นมา พอสมาทานการระลึกรู้แล้ว มันจะปล่อยทันที การปล่อยเกิดทันที
    ไม่มี ใครจำค้างเติ่ง ถือมั่นค้างเติ่งสัญญาหรอก อาการที่ปล่อยทันทีเนี่ยะ ในพระไตร
    ปิฏกใช้คำว่า "งอกลับมารู้ที่จิต" เกิด ธรรมเอกด้วยนะปู่ สัมมาสมาธิเกิดแล้วด้วยปู่

    ถ้าปู่เถียงนะว่า เฮ้ย ก็ ครูของกูบอกว่า สัญญาล้วนๆมันครอบงำสัตว์ได้

    งั้นปู่ งับมรณะสัญญา ให้ผมดูหน่อย อย่ากระดุกกระดิกน๊ะ !!!

    ถ้าปู่ ระลึกมรณะสัญญาได้ แล้ว งับคาปาก นิ่งสนิท ได้ ก็ค่อยมาบอก
    ผมว่าครู ปู่ สอนถูก จิตเที่ยง สัญญาเที่ยง สวนพระศาสดาไปเลย

    [​IMG]
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อันนี้ แนว มะกอกสามตะกร้า นะ ปู่ เชิญทัศนา

    มีลูกสาวของนายช่างหูกคนหนึ่งเข้ามาหา หลังจากถวายบังคมพระศาสดาผู้ประทับนั่งนิ่งในท่ามกลางบริษัทแล้ว

    พระศาสดาจึงตรัสกะนางว่า “กุมาริกา เธอมาจากไหน”
    นางกุมาริกาคนนั้นตอบว่า “ไม่ทราบ พระเจ้าข้า”

    พระศาสดาถามต่อไปว่า “เธอจักไปที่ไหน”
    นางกุมาริกาตอบว่า “ไม่ทราบ พระเจ้าข้า”

    พระศาสดาถามต่อว่า “เธอไม่ทราบหรือ”
    นางกุมาริกาตอบว่า “ทราบ พระเจ้าข้า”

    พระศาสดาเอ่ยถามอีกว่า “เธอทราบหรือ”
    นางกุมาริกาตอบว่า “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”

    คนที่ได้ฟังแถวนั้นก็ว่าเด็กบ้าอะไรพูดจาแบบนี้

    ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โต พระพุทธเจ้าก็ได้บอกให้นางกุมาริกาคนนั้นเฉลย
    หน่อยปะไร ที่สนทนากันนั้นหมายความว่าอย่างไร

    คำสนทนาต่อมาสรุปได้ว่า คำว่า "เธอมาจากไหน" นางกุมาริกาตอบว่า "ดิฉันไม่ทราบว่ามาจากไหนจึงได้มาเกิดที่นี่"
    ส่วนที่พระพุทธองค์ถามว่า "เธอจะไป ณ ที่ไหน" หม่อมฉันหมายความว่า "ดิฉันจุติจากโลกนี้แล้วย่อมไม่ทราบว่าจักไปเกิดในที่ไหน"
    พระพุทธเจ้าสนทนาต่อไปว่า "เมื่อเราถามว่าเธอไม่ทราบหรือทำไมจึงตอบว่าทราบเล่า"
    นางกุมาริกาตอบว่า "พระเจ้าข้า หม่อมฉันย่อมทราบภาวะคือความตายของหม่อมฉันเท่านั้น เหตุนั้นจึงกราบทูลอย่างนั้น
    ทำไมเมื่อเราถามเธอว่า “เธอย่อมทราบหรือ เพราะเหตุไร จึงพูดว่า “ไม่ทราบ”
    นางกุมาริกาจึงกราบทูลว่า “หม่อมฉันย่อมทราบแต่ภาวะคือความตายของหม่อมฉันเท่านั้นพระเจ้าข้า แต่ย่อมไม่ทราบว่าจักตายในเวลากลางคืน กลางวันหรือเวลาเช้าเวลาใดเวลาหนึ่ง จึงพูดอย่างนั้น”

    พระพุทธเจ้าจึงยกมือขึ้นแล้วกล่าวสาธุ หลวงพ่อท่านว่าเด็กคนนี้ชอบใจธรรมของพระพุทธเจ้า ฟังไปบทนึงเอาไปนึงคิดตาม ไม่นานก็บรรลุธรรมครับ
     
  9. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ต้องขอขอบคุณและอนุโมทนาในธรรมทานทุกท่านครับ

    ผมพอจะทราบแล้วว่าสภาวะนั้นคืออะไร ผมเคยเจอมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาก่อน อาจจะมาจากวิบากกรรมบางอย่างอย่างที่คุณ นิวรณ์ กล่าว แต่ในวิบากกรรมอันนั้นมันก็มีทั้งดีและร้ายคละเคล้ากันไป

    เมื่อก่อนการกำหนดในอารมณ์นี้ ผมจะไม่ชัดในอารมณ์นี้ แต่รู้ว่ามีอารมณ์สมาธินี้อยู่แต่จับไม่ได้ พอจะแล้วจะกำหนดจับอารมณ์ กายและใจก็จะกระเพื่อมสั่นไหวโดยทันที ทำให้ผมไม่เคยจับสมาธิในอารมณ์นี้ได้สักที แต่ที่ผมได้เจอมาล่าสุดนั้น จิตมีความนิ่งสงบกว่าเดิมและไม่เกิดอาการกระเพื่อมในเบื้องต้น จึงทำให้ผมเห็นอาการของอารมณ์นี้ได้ชัด และตอนนี้กำลังมีการพัฒนาอีก ผมขอทำไปเรื่อยๆก่อน

    และที่หลุดนั้น ผมก็เข้าใจได้ว่า เพราะผมเร่งเกินไปเนื่องจากเวลาพักหมดพอดี (ทำงานอยู่) อยากต่อก็อยาก เวลาพักก็หมด เลยเร่งมันซะ ผลคือเลยเป็นเช่นนั้นเลย เดี๋ยวเอาไว้รอมีโอกาสที่ดีกว่านี้ก่อน

    และทุกความรู้ทุกประสบการณ์ทุกคำแนะนำของทุกท่านก็มีประโยชน์ครับ ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่อง ผู้รับจะเจอเหมือนผู้ให้หรือไม่เหมือนก็อีกเรื่อง ผู้รับจะนำไปปฏิบัติตามหรือเปล่าก็อีกเรื่อง และในร้อยคำได้ประโยชน์เพียงสักหนึ่งคำสำหรับผมก็ถือว่ามีประโยชน์มหาศาลแล้วครับ

    ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งข้างหน้าผมคงได้เห็นหนทางของผม

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ฝึกเทคนิคนี้ แบ่งเวลาฝึก อย่าฝึกในการใช้ชีวิตประจำวันนะครับ
    ถ้าจิตมันทำจนชิน จนมันทำอัตโนมัติแล้ว จะเกิดปัญหารุนแรงภายหลังครับ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไม่ใช่ พิจารณาว่า ใช่หรือ ไม่ใช่

    คุณต้อง พิจารณา ทุกข์ หรือ โทษ

    ถ้าลืมพิจารณาเห็น ทุกข์ เห็น โทษ ก็จะผิดศาสนาทันที ห่างจากศาสนาทันที

    เพราะ

    1. มันไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะ นิพพาน ไม่มีการเคลื่อน หากต้องเคลื่อน แปลว่า มันเป็นภพ

    2. เวลาเราซ้อมๆมากๆ มันจะเข้าของมันเอง เพราะ จิตนั้นเป็นสภาพธรรมที่
    ไร้วุฒิภาวะ หากเราไม่ อบรมให้มันมี สติ สัมปชัญญะ เพ่งพิจารณา ทุกข์
    โทษ มันก็จะไหลเข้าไปเอง โดยเผลอเพลินว่าเป็นสุข เป็น นิพพาน

    3. หากเมื่อไหร่ก็ตาม เคยเปิด อยาตนะ กับ สภาพธรรม ดังกล่าวไว้แล้ว
    หากไม่ฝึก "สติ" และ "สัมปชัญญะ" เอาไว้ ก็ ปิดประตูนิพพานได้เลย
    เพราะว่า อยาตนะใด หากเราไปเปิดแล้ว ปิดไม่ได้ ก็เหมือนกับ การ
    ไปฝึกเปิด นิมิต เมื่อเปิดแล้ว หากไม่ฝึกการปิด มันก็จะเปิดอยู่นั่น แล้ว
    ไม่ใช่ ชาติเดียว มันจะ ติดเป็น ธาตุกรรมฐาน ประจำธาตุนั้นๆ ไปอนันตกาล
    การยิ่งพอกพูล ลักษณะอารมณ์ ก็คือ ความยุ่งยากในการแก้ หาก ปราถนา
    นิพพาน ปรารภจะทำนิพพานให้แจ้ง .....และไม่แน่ว่า บางอย่าง พระ
    สัพพัญญูก็แก้ให้ไม่ได้ เนื่องจาก ความหนาแน่นของความเผลอเพลิน อัน
    เกิดจากการ ห่างจากการยกพิจารณา ทุกข์/โทษ

    ก็พิจารณาเอานะ จะ มานะทิฏฐิ เกิดกูเก่งต่อไป เพื่อ ปิดพระนิพพานอนัตตกาล

    หรือ จะหันมาพิจารณาเป็น ทุกข โทษ เพื่อให้เข้าใกล้ ศาสนาพุทธ ไว้บ้าง
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    สัญญามันแค่สื่อถึงจิต..จะดูมรณะสัญญา ให้มาดูกายก่อนเลย กำจัดอารมณ์ทุกชนิดจนจิตเป็นสมาธิแล้วจึงค่อยดู มรณะสัญญา..ฉิวเลยนี่แค่แผนที่นะ ..!
    นิวรณ์..แก่แล้วน๊าาา..อย่ามัวเล่น อิอิ
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]

    แหม ก็อุตสาห์ลงรูปตัวอย่างให้ดู

    ปู่ ไม่เห็น มือมันดูกายเหรอ ดูดีๆ จิ ใครว่า มันไม่ดูกาย ฮิวววส์
     
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ต้องอย่าข้ามขั้นตอนด้วย..ดูกายก่อน-แล้วดูอสุภะ ส่วนมรณะนั้นเป็นตลอดเวลาที่นึกได้ตัดความโลภ..มัวแต่ส่งการบ้าน..อิอิ แถมไปลอกสัญญาในหนังสือของเพื่อนมาส่งอีก..อจ.ชลบุรีจะตีก้นเอานะแก่แล้ว อิอิ:mad:
     
  15. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    กำจัดอารมณ์ทุกชนิด(กำจัดนิวรณ์ด้วยใช่ไหมครับ)จนจิตเป็นสมาธิจึงค่อยดู(ตรงนี้หมายถึงดูมรณะสัญญา ใช่ไหม )ดูยังไงครับ
    ทีนี้หากดูความไม่เที่ยงที่พอออกจากกายเคลื่อนไปนิมิตบ้าง เผลอบ้าง แล้วกลับมาดูกายอีกพอได้ไหม หรือกลับกันคือถนัดในการกำหนดสัญญาจนแนบแน่นแล้วหลุดกลับไปรู้กาย(ลม)ได้ไหม
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อันนี้ ไม่ใช่พระวจนะทั้งหมด แต่อยู่ในพระไตรปิฎกครับ..มีพระวจนะอยู่-----------สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ฌ ปราสาทสร้างด้วยอิฐ ใกล้บ้านนาทิกคาม ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณะสติอันภิกษุเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงค์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณะสติ....ดูก่อนภิกษุ ก็เธอเจริญมรณะสติอย่างไร......ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงมีชึวิตเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ..............ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณะสติอย่างนี้แล....ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณะสติ...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เธอย่อมเจริญมรณะสติอย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงมีชีวิตเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ...........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณะสติอย่างนี้แล.....ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณะสติ...ดูก่อนภิกาุก็เธอย่อมเจริญมรณะสติอย่างไร...ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงมีชีวิตเป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉันบิณบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ...........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณะสติอย่างนี้แล...ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ...........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญแม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณะสติ..........ดูก่อนภิกษุก็เธอย่อมเจริญมรณะสติอย่างไร.........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงมีชีวิตเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ..............ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณะสติอย่างนี้แล......ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก้เจริญมรณะสติ........ดูก่อนภิกาุก้เธอย่อมเจริญมรณะสติอย่างไร.........ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงมีชีวิตเป็นอยู่ชั่วขณะเคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ................ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณะสติอย่างนี้แล................ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก้เจริญมรณะสติ ดูก่อนภิกษุก็เธอย่อมเจริญมรณะสติอย่างไร..........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงมีชีวิอยู่ได้ชั่วขระที่หายใจเข้าแล้วหายใจออกหรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์เจริญมรณะสติอย่างนี้แล..............เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณะสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณะสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงทำกิจให้มากหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2012
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    --ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรระสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะบิณบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงทำกิจให้มากหนอ และภิกษุใดย่อมเจริญมรณะสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงทำกิจให้มากหนอ.........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผุ้ประมาท เจริญมรระสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า..........ส่วนภิกษุใดยอมเจริญมรณะสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงทำกิจให้มากหนอและภิกษุใดย่อมเจริญมรณะสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขระที่หายใจเข้า แล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงทำกิจให้มากหนอ..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าเปนผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณะสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า.........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณะสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า.......ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล---------ปฐมมรณัสสติสูตร พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม36หน้า570...........:cool:
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เอาเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เจ้าจิตจำนนท์
    ..ที่โพสต์มานี่นะแสดงถึง เอ็งยังไม่เคยดูกาย..จริงๆเลยสักครั้ง จึงตั้งคำถามแบบนี้ หากเอ็งดูกาย.. นิวรณ์5หรืออารมณ์ต่างๆ..จะหายเงียบไปหมดเลย..ตรงนี้เอ็งเคยสังเกตุรึยัง พยายามใช้กายเป็นเครื่องอยู่ของจิตใน24ชม.ให้ได้ เท่าไหร่ก้เท่านั้น
    ..เริ่มต้น ถามหากเอ็งนั่งอยู่เฉยๆทุกวัน จิตเอ็งจะคิดอะไรมี2อย่าง 1. นึกถึงภาพ หรือกามสัญญา จะเกิดให้เอ็งเห็นเอง กับ2.คิดตามใจขณะนั้นๆหยุดคิดไม่ได้..นี่ธรรมชาติของจิตแต่ละวัน ธรรมชาติต้องเสพอารมณ์..
    :mad: แต่พอเอ็งเอาจิต..(มีหน้าที่รู้ ไม่คิด)มาดูกายตนเอง ไล่ไป ผม ขน เล็บฯล ใช้สติช่วยระลึก ช่วยระลึกรู้ อยู่ที่กายระหว่างที่เอ็งไล่อาการกรรมฐานนั่นแหละ..จิตก็อยู่ที่กาย สติก็อยู่ที่กาย เห็นไหมมันอยู่ทั้งคู่เลย
    จะไม่มีอารมณ์และความคิด นิวรณ์ใด แทรกเลย ใช่ไหม..ไล่ไปนานไป ระลึกไปใช้สติระลึกช่วยไปนานๆเรื่อยๆ เข้าไป
    ความคิดที่ไล่กายอยู่นั้นจะพัฒนา..เป็นสายน้ำแบบไม่ขาดสาย เชื่อมต่อกันด้วยเหตุและผลที่ดึงกันเองนานเข้านานเข้า..
    จนความคิดที่กำลังไล่กายอยู่นี้เป็นสมาธิขึ้นมาเอง..หากสามารถคิดค้นได้นานเขาจะเห็นความจริง ก็จะเกิดปฏิเวธ สลดจิตใจ กับการมีตัวตน กายนี้ เผลอๆเองมีกำลังสติแรงขณะนั้นๆก็จะพัฒนาสูงขึ้นไปเอง ตลอดที่เอ็งมีความคิดที่ทรงสมาธินี้.. เข้าใจรึยัง(หากไม่เกิดปฏิเวธจะเกิดกำลังจิตขึ้นเรื่อยๆทุกวันแบบเอ็งไม่รู้ตัวเลย)
    :cool:หยุดตรงนี้ก่อนกลับมาตรง จิตรู้ที่กาย มีที่เดียวที่ไม่ทำให้จิต"คิดหรือเกิดอารมณ์" เลย การคิด-นึก ถึงแต่กาย..จะไม่ทำให้เกิดอารมณ์ใดๆเลยเพราะเป็นกายเราเอง..ลองดูเลยใครมองกายตนเองแล้วมีอารมณ์กาม ไม่มีหรอก สังเกตุหากเป็นกายคนอื่น ภาพคนอื่นเกิดขึ้นมาในสมองจะเกิด ชอบ-ชัง กามทันทีใช่ไหม:mad: ขอกาแฟใส่ไข่เค็ม 1ถ้วย น้ำลายแห้ว่ะคุยกับคนมีครูอย่างพวกเอ็งนี่ เหนื่อยว่ะ หัวหมอ อิอิ:'(
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เขาเรียกมีมรณสัญญาเป็นเครื่องอยู่..ต่อไปแล้วไง ไอ้แป๊ะ ตัดแปะ อิอิ:mad:
     
  20. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อืม ปู่ไม่พูดถึงรู้ลมเลยเหรอครับ อานาปานสตินี่น่าสนใจลองปฏิบัติดูนะปู่ สู้ๆ
    ส่วนที่ปู่บอกว่า เป็นสายน้ำไม่ขาดสายนั้น ก็น่าฟังครับ มันจะมีที่รู้อยู่ด้วยและที่ไหลอยู่ จะแบ่งเป็นสามตามความเข้าใจปู่ก็น่าจะได้ครับ
    ส่วนอื่นๆในการพิจารณากาย จิงๆดูคนอื่นก็ได้ครับหากต้องมีสติระลึกทัน(เห็นนิมิตแสดงต่อหน้าทันที)สลดได้เหมือนกัน ใช้ได้ไม่บ่อยเท่าดูกายตัวเองครับกำลังต้องมีมากพอด้วย มันไหลปรุงไปได้ง่าย มันส์ดีครับปู่ซัดกันซึ่งๆหน้า
    ปล.อีกนิดนึงปู่ ดูกายตัวเองหากดูเป็นรูปร่างหน้าตาบุคคลอยู่ไม่ชัดไปที่อาการ 32 นี่ก็ฟุ้งได้ครับ มันไม่สลดเช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...