อยากขอคำแนะนำผมมีปัญหาเรื่องการกำหนดจิตแบบละเอียด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 7 พฤศจิกายน 2012.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ลมหายใจ..ก็คือกายเหมือนกันหากเอ็งหลุดจากร่างกาย อวัยวะก็มาดูลมแทนไง..เห็นนิมิตรแสดงต่อหน้าก็สลดข้าไม่เถียงแต่เอ้งเริ่มส่งจิตไปดูนิมิตรเท่ากับส่งจิตออกนอก..แล้วทีนี้ละก็จะติด..ไม่นานเอ็งได้เปิด สำนัก รับอาเซี่ยน+3+6 แน่นวล แข่งกับหมอดู ET..กฤษคอนเฟิมร์ อิอิ:mad::'(
     
  2. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ปู่ก็ตลกดี วันๆนึงจะมีอาการจากการปฏิบัติหลากหลายนะปู่ แล้วแต่จะบริหารได้อย่างไร ปฏิบัติได้ทั้งวันทั้งคืนครับ
    ในส่วนของการติดนิมิตนั้น ก้ต้องพิจารณาว่าไปยินดี ยินร้ายไหมครับ หรือเป็นไปเพื่อลด ละ ปล่อย วางกิเลสตัญญาครับ ยังไม่ขาดก็ต้องย้ำๆเข้าไป
    ในส่วนของการใช้กำลังจิตมากพิจารณากายนั้นคงต้องนั่งสมาธิครับ จะอยู่ได้นานกำลังมากพอที่จะไล่ตามอาการ 32 ผมเองก็ไม่ค่อยถนัดครับ เน้นที่อานาปานสติ ส่วนที่กำลังตกก็ต้องงัดนิมิต คำบริกรรมมาช่วยครับ
     
  3. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเสวนาและแนะนำ

    ผมเองก็มีการพิจารณาอยู่บ้างนะครับ ถึงจะไม่เยอะเท่ากับเน้นเอาสมาธิ ส่วนเรื่องการหลุดไปคิดฟุ้งซ่านทั้งภาพและความคิดผมก็เห็นแล้วและพอจะรู้ชัดในอารมณ์ของสมาธิที่ฟุ้งซ่านและไม่ฟุ้งซ่านบ้างแล้ว การคิดเองอยู่เนืองๆหรือฟุ้งซ่าน ผมเห็นแล้วอารมณ์ของสมาธิมันจะอื้อๆอึงๆ มันจะหนัก แต่ถ้าไม่คิดเองไม่ฟุ้งซ่านมันจะเบาโล่งครับ

    และผมก็ยังได้รู้อีกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเอง คือเรื่องการมีสุขในสมาธิหรือเมื่อกำหนด เวลาที่ผจญทุกข์หรือเหตุที่ทำให้โกรธ เมื่อผมพิจารณาเพื่อดับอารมณ์นั้น เมื่ออารมณ์นั้นๆดับลงมันจะสุขทันที ผมเห็นชัดด้วยตัวเองแล้วว่ามันไม่ได้วางอย่างแท้จริงแต่มันวางชั่วขณะ แล้วหนีไปเกาะความสุข ซึ่งมันเป็นพื้นนิสัยเดิมของผม เมื่อผมมีทุกข์ผมจะหาอะไรทำที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินหรือมีความสุขแทน โดยไม่ได้แก้ไขในเหตุนั้นๆไป จิตผมมันเลยจะคอยแต่วิ่งไปเกาะสุข ทีนี้ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็จะมีแต่สุขตลอด คิดว่าไม่ติด เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ติด แต่จิตมันติด สุขจึงขวางสมาธิของผม

    จนเมื่อปฏิบัติสมาธิในอีกหลายรูปแบบ และร่วมกับมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกำลังนั่งสบายๆอยู่นั้น จู่ๆผมก็ได้ยินคนทะเลาะกันเรื่องอะไรสักอย่างจำไม่ได้แล้ว ผมก็เกิดความรู้แบบไม่ได้ใคร่ครวญคิดมาก่อน มีแค่คำเดียวที่เกิดขึ้นมา "ผู้ที่ถูกบาปชั่วครอบคลุมจิตเป็นจิตที่มีแต่ทุกข์" เมื่อนั้นผมก็รู้ไปอย่างกว้างขวางของความทุกข์ที่มีกิเลสทำให้เกิดการกระทำไม่ดีทั้งกายวาจาใจ ทั้งความทุกข์จากความกลัว จากการสนองต่อกิเลส จากสิ่งต่างๆ ฯลฯ ถ้าจะให้อธิบายก็ยาวมากๆ แล้วจู่ๆจิตผมก็สงบนิ่ง อารมณ์หายความนึกคิดทุกอย่างหายไปหมด มันสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีสุขเกิดแบบที่เคย แต่ผมมีความรู้สึกที่ดีกว่า นั่นแหละผมจึงรู้ว่าความสงบเป็นสุขนั้นต่างจากสุขโดดๆอย่างไร

    เอาเป็นว่าสิ่งใดๆก็ตามที่กล่าวมา ผมก็ยังเป็นผู้ที่รักในการปฏิบัติและยึดมั่นในพระรัตนตรัย อันเป็นที่สุดของผมแล้ว

    ผมจะขอกล่าวประสบการณ์อีกนิดหนึ่ง

    ผมเคยเจอพระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สองท่าน มีชื่ออยู่ในวงนักปฏิบัติแต่ไม่โด่งดังเพราะท่านเน้นการปฏิบัติไม่เอาชื่อเสียง ซึ่งทั้งสองท่าน เมื่อกลุ่มผมได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมกับท่าน ท่านทั้งสองล้วนให้คำตอบที่เหมือนกันเป๊ะ เหมือนเป็นคนๆเดียวกันพูด ทั้งๆที่ถามคนละเวลาและสถานที่ และพูดออกมาโดยที่พวกผมยังไม่ได้เอ่ยปากคุยเลยด้วยซ้ำ คือเจอปั๊ป ท่านทักทันทีว่า "อย่าไปติดเลยฤทธิ์หน่ะ มันเป็นเหมือนของเด็กเล่นนั่นแหละ ทำปัญญาให้แจ้งดีกว่า เราเองเคยติดมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก" แต่พวกผมก็ยังไม่เชื่อ จนมาเจอเหตุการณ์เข้ากับตัวเองนั่นแหละ

    และอย่าได้ใส่ใจ ผมแค่คุยฟุ้งให้ฟังเท่านั้น

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็ไม่อยากจะใส่ใจอะไรหรอก แต่ หากปล่อยไป จะกลายเป็น ของจริงพูดจ้อเป็นต่อยหอย

    อย่างอันนี้

    คือ ร่องรอยของความเข้าใจผิด

    เราไม่ได้ ปฏิบัติสมาธิ เพื่อให้ มันพูดได้ หลายคนเข้าใจตรงนี้ผิด นู้นไปนู้นเลย
    กลายเป็น เนื้อสมันลิโพกะทิสัตว์ เสียส่วนใหญ่ และที่มันนิ่งดูดีๆ มันเก้อๆ ต่างหาก
    "ตาว่างเปล่า" โดนมันหลอก

    ตรงนี้ ลองเอาไปพิจารณาใหม่

    ตรงที่ คุณออกมาดูโกรธ แล้ว เกิดการระงับ จะระงับด้วยอะไร อันนั้นไม่ใช่สาระที่ ดูนะคร้าบ

    สาระที่จะดู คือ

    ก็อุตสาห์ทำสมาธิแทบคางเหลือง แต่ ทำไมโกรธมันมีอยู่หละ !!

    เขาไม่ได้ไปดูว่า โกรธจะดับด้วยอะไร ท่าไหนนะ อันนั้น มันของจริง พูดเป็นต่อยหอย

    แต่ถ้า เห็นว่า โกรธ มันผุดเพราะ "............" มันมี เนี่ยะ อันนี้แหละ ทุกขสัจจ

    สวนกระแสไปหา "............" ไม่ใช่ไปนั่งลูบคลำศีล ลูบคลำผล ลูบคลำท่าทาง
    การพูดได้เป็นต่อยหอย

    นี่ดีนะ เป็นพวก ทิฏฐิจริต เลยทำให้ เห็น โกรธ

    แต่ถ้าเป็น พวก ตัณหาจริตนะ ออกจากสมาธิปั๊ป ชี้โด่เด่ ได้ทันที
    เพราะ กระทบ "....." นั่นต่างหาก ที่เขาดูกัน ไม่ใช่ ไปหาวิธี
    เดินลงไปในหญ้าคา หรืออะไรต่อมิอะไร ที่มัน พูดได้

    คนละเรื่องเลย

    "จิตรวม" กับ "รวมจิต" จึงต่างกัน แบบฟ้ากับเหว นะคร้าบ ลองเอาไปพินา

    เน้นอีกที

    ให้พินานะคร้าบ อาศัยระลึก ก็จะไม่มีได้อะไรมา ไม่เสียอะไรไป ไม่มีใคร
    พูดอะไรทั้งนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2012
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ตัวอย่างมีเยอะนะ ต้องหัดสังเกตดีๆ หาก ไม่ยกพิจารณา เพราะ หลงว่า
    มันจะนำสิ่งดีๆมาให้ ก็จะเผลอ ยกสิกขาไม่ถูก แทนที่จะอาศัยระลึก กลับ
    จมไปกับการปฏิบัติ ปฏิปทา

    ตัวอย่างนี่ มีทั้งที่เป็น พระพุทธองค์ครั้งยังเป็นโพธิสัตว์สำเร็จฌาณ เหาะมา
    กลางอากาศ พอเห็นมเหสีของกษัตริย์ในแคว้นเดินอยู่ในสวนเท่านั้น ...
    ไม่ใช่หมดฤทธิ์นะ แต่ เหาะไปหาเลย

    ตัวอย่างที่สอง เณร ศิษยพระกัสสปะ พอทำฌาณได้ ก็เลย เล่นรวมจิต
    ไม่ใส่ใจการพิจารณา จิตรวม วันหนึ่ง รวมจิตได้ก็เหาะไป กำลังเหาะอยู่
    ดีๆ เสียงหญิงที่ไหนไม่รู้แว่วเข้าหู เท่านั้นแหละ ร่วงพล๊อย !!

    ตัวอย่างทั้งคู่ นี่คือ ขั้นกว่าของปัญญาในการหมั่นสดับธรรม หากฟังเป็น
    จะ อ๋อ เขาให้พิจารณาว่า ฌาณพ่อของพ่อของพ่อ ฌาณของแม่ของแม่
    มันเอาไม่อยู่หรอก ขณะมีฌาณนั่นแหละเรียบร้อย เพราะ ว่างข้างนอก
    แต่ข้างในหมักหมมเรือหาย !!!

    แต่ถ้าฟังธรรมไม่เป็นนะ ก็จะดัดจริต ไม่จริ๊ง ไม่จริง " ฌาณต้องสู้ได้สิ ก็เขา
    ว่ากันมาปากต่อปากว่าสู้ได้ๆ " ไปเชื่อ คำสาวกไง ละทิ้งคำตถาคต

    ศรัทธากลับกรอก แล้วมา เที่ยวบอกใครต่อใครว่า ศรัทธา ศรัธทา กล่าว
    บ่อยๆ ผิดสัจจะ นะ หายจ้อย !!
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    อย่าหวังความสุข จากความสงบ อย่าหวังความพ้นทุกข์ จากฌาน
    ถ้าหวังแบบนี้... โดนกิเลสละเอียดหลอกเอาเสียแล้ว

    เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกอย่าง

    วัตถุต่างๆ คน สัตว์ สิ่งของ ญาติพี่น้อง ร่างกายของคุณ อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    แม้แต่ ความสงบ ในสมาธิ ก็ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    เพราะเรายังมีขันธ์ 5 อยู่ เราไม่สามารถรักษาความสงบในฌาน ได้ตลอดกาล เพราะเหตุปัจจัย ของการรบกวน ยังมีอยู่ และเราไม่สามารถห้ามการรบกวนนี้ได้

    ดังนั้น อย่าหวังว่า จะต้องรักษาความสงบของใจ ให้ได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ตามกฎไตรลักษณ์
    ถ้าเราจะไปหวัง ไปอยากให้มันรักษาความสงบได้ตลอดเวลา เราก็ฝืนกฎไตรลักษณ์ เป็นการนำมาซึ่งความทุกข์

    สิ่งที่ทำได้ คือ การเจริญสติ เจริญปัญญา จนเห็นทันสิ่งที่กระทบต่างๆ และสุดท้ายคือ ไม่ไหลไปตามการกระทบต่างๆ ไม่ยึดอุปาทานต่างๆ และไม่มีความอยาก แม้กระทั่งอยากสงบ ก็ต้องละตัวนี้ทิ้งไป ถ้าทำได้เมื่อไร เมื่อนั้น ทุกข์ก็หมดไป

    เมื่อนั่งสมาธิ แล้วมันเป็นสงบ ดิ่ง นิ่ง ลงไป ก็ให้มีสติระลึกรู้ไว้ ว่า อยู่ในความสงบ อย่าไปเผลอแช่นิ่ง เสพความสงบจนเพลิน
    พอจิตคลายออกจากสมาธิ ก็ให้มีสติระลึกรู้ ถึงการเปลี่ยนแปลงของจิต ที่ค่อยๆ รับอย่างอื่นเข้ามาในจิตมากขึ้น มีสติ อยู่กับตัวรู้ให้ตลอด จะได้ไม่หลงไปติดความสุขที่ไม่ทำให้เกิดปัญญา
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........................ก็ทำตามพระศาสดาสิครับ....นมสิการคำพระ และทำกิจให้มาก...ก็มีความเพียร วิริยินทรีย์.....วิริยินทรีย์เห็นได้ที่ใหน?เห็นได้ในสัมมัปธานสี่...จำพวกเจริญกุศล ละ อกุศล....(พวกประมาณว่า ภาวนาไป ด่า คนไป เขียน(วจีกรรม)อะไรจำพวกนี้...ว่าบรรพชิต เนี่ย เขาเรียกว่ายังไม่มี วิริยินทรีย์หรอก เจ่ก)...เจตนา มันคือกรรม เหตุของกรรมคือ ผัสสะ...ไม่เอาไม่เอา ม่ายพูด!!!!:cool:
     
  8. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เล่าปัง..ภูมิรู้ ภูมิธรรมคุณ มันภูมิตัดแปะ มันภูมิ นกกะจอก หรือสุนัขจิ้งจอก อย่าเอาไปเทียบกับคุณ supop เขาเลย
    คุณมาทำให้คนไม่รู้ รู้ไม่จริงอ่านไขว้เขวกับความรู้ผิดๆ มิจฉาทิฏฐิของคุณ ข้างบนนั่นนะ ปัญญาอบรมสมาธิ ของเขา..คนอย่างคุณไม่ข้าใจหรอก อย่าอวดรู้ในสิ่งที่ไมารู้.มันน่ารังเกลียด:mad::cool:
     
  9. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ท่องไปนะ ท่องให้ขึ้นใจ..ไม่ต้องลงมือทำ ไอ้ตัดแปะ อิอิ:mad:
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ไอ้นี่มาถาม..พอบอกก็เถียงทุกคำแถมมาสอนกลับอีก เออถ้าสอนถูกก็น่ายินดีแต่ยิ่งเข้าป่าเข้ารกไปใหญ่ เขาไม่ให้ส่งจิตออกนอก หรือตามนิมิตร .เอ็งดูตัวเองดีกว่า รำคาญเว้ยยส์ อิอิ:mad::cool:
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เพ้อเจ้อ..มารยาสาไถย์ อิอิ:mad:
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ปู่ว่าพุทโธนี่จัดว่าส่งจิตออกนอกไหมครับ หากนมสิการคำพระดีดีท่านไม่ได้ห้ามส่งจิตออกนอก หากแต่ให้ดู เห็น อาการของจิตที่ปรากฏครับจนไปสู่การเห็นธรรมในธรรม เพื่ออะไรล่ะปู่หากไม่ใช่เพื่อสละ วาง ปล่อย ไม่พัวพันแห่งตัญหานั้นๆ จนไปสู่การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาครับปู่
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ผมต้องการถามคุณ Supop ในบางประเด็นแทรกลงไปในของเก่า แต่ของใหม่ผมจะใช้ *** แทนนะครับ
    ============================================================
    ผมเพิ่งเจอสภาวะใหม่มาครับ อยากถามครับ

    มันจะเป็นคล้ายๆกับว่าจุดที่เรากำหนดอยู่นั้นคือเรา (ไม่ได้กำหนดตั้งจิตไว้ที่กาย แต่ตั้งไว้ลอยๆ) แล้วผมก็ไม่ได้เพ่งจิตหรือบีบเค้นจิต แต่ปล่อยรู้ตามสบายเมื่อเจอสภาวะใหม่นี้ผมจึงรักษาสภาวะไว้

    +++ เราตัวนั้น ยังเป็น เราที่ถูกรู้ ใช่ไหมครับ แล้วใครละครับที่กำลังรู้ตัวจริง ๆ หนะ

    *** เพื่อป้องกันการหลงของภาษา ผมจำเป็นที่ต้องลงไปในรายละเอียดของ คำว่า "จุดที่เรากำหนดอยู่นั้นคือเรา"
    *** ผมจะขอรวบรวมองค์ประกอบสักเล็กน้อยก่อนนะครับ

    *** เกิดจากการปล่อย รู้ ตามสบาย ไม่มีการเพ่งแต่อย่างใดทั้งสิ้น หากกรณีนี้ถูกต้อง แล้วคุณเห็น "อัตตาจิต" ซึ่งก็คือ จุด ๆ นั้น ซึ่งไม่ใช่ "ตัวนึกตัวคิด" แต่เป็น "ตัวคุณ" หรือเรียกได้้ว่า "ตัวกู" ในขณะนั้น เป็นอย่างที่ผมกล่าวมานี้ใช่หรือเปล่าครับ

    *** ถ้าหากใช่ สติของคุณในขณะนั้น อยู่ในสมาบัติระดับ จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เรียบร้อยแล้ว ส่วน "ตัวกู" คือ วิญญาณขันธ์ ที่ถูกรู้ในขณะจิตนั้น ๆ

    ก็มีความรู้สึกว่า จุดที่เรากำหนดนี้คือเรา เหมือนเราอยู่นิ่งเฉยๆ แล้วก็รู้สึกถึงสิ่งต่างๆที่อยู่แวดล้อม เช่น เสียงต่างๆ อาการทางกายต่างๆ (เช่นการหายใจ) เป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา

    +++ ถูกแล้วครับ ทุก ๆ อย่างที่กล่าวมาถูกทั้งหมด ยกเว้นจุดเดียวคือ เราที่ถูกรู้นั้น ยังเป็นเราตัวปลอมอยู่ครับ
    *** "ตัวกู" รวมทั้งสรรพสิ่งในขณะนั้น ไม่ใช่เรา

    *** "มันถูกแยกออกจากความเป็นเรา โดยสิ้้นเชิง" "และทุกสภาวะของ สรรพสิ่ง มีที่อยู่แบบ ส่วนของใครของมัน" ในขณะนั้น ๆ เป็นเช่นนี้หรือเปล่าครับ และในขณะนั้นทุกอย่าง ถูกต้องและสอดคล้องกับวาจาที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า

    *** "มันไม่ใช่ ตัวกู มันไม่ใช่ ของ ๆ กู" สภาวะของคุณในขณะนั้น เป็นไปตามคำ ๆ นี้หรือเปล่าครับ

    แล้วก็มีอาการเหมือนกับทุกสิ่งนั้นเคลื่อนไหวเร็วมากขึ้น ดูวุ่นวายมากขึ้น แต่เรานิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม ความรู้สึกน่าจะคล้ายกับเรานั่งนิ่งเฉยๆอยู่กลางถนน แล้วมีรถราวิ่งไปมา ผู้คนพลุกพล่าน ประมาณนั้นหน่ะครับ

    +++ สรรพสิ่งถูกรู้ มีแต่เราตัวจริงรู้อยู่ ยินดีด้วยนะครับ อย่างน้อย เราตัวจริงเริ่มโผล่ออกมาดูสภาวะธรรมกับเขาบ้างแล้ว

    *** "มันวุ่นวาย เราไม่ได้วุ่นวาย" "มันอยู่ส่วนมัน เราอยู่ส่วนเรา แยกกันต่างคนต่างอยู่ ไม่ผสมปนเปกัน" "สัพเพสังขาราอนัตตาติ" สังขารทั้งหลาย "ไม่ใช่ตัวกู"

    *** เป็นดังที่ผมกล่าวมานี้ ใช่หรือไม่ครับ

    แต่ผมครองอารมณ์นี้ได้แค่สักพัก ก็เกิดอาการตัวเกร็งสั่น แล้วลักษณะของจิตเหมือนจะเป็นอะไรสักอย่าง มันมีอาการแรงขึ้นจนผมหลุดออกมาอีกแล้ว แต่หลังจากที่หลุดชั่วแวบเดียวนั้นความรู้สึกทุกอย่าง หรือจะเรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันหายไปหมด ไม่มีอะไรเลย (แค่แวบเดียวเท่านั้น)

    +++ "ดับจิต" เป็นคำศัพท์ที่ถูกต้องที่สุดในกรณีนี้ แต่ไม่ได้ดับ "สภาวะรู้" "สังขารทั้งหลายถูกดับ เหลือแต่ วิสังขารเท่านั้น"

    *** หากความเข้าใจของผม ในการใช้ภาษาของคุณ ถูกต้อง นี่คืออาการของ "วิญญาณขันธ์" ที่ครองความเป็น "ผู้รู้และตัวกู" มาตลอดเวลา ได้กลายมาเป็น "ถูกรู้" จึงเกิดอาการ "ดับ" ไปชั่วขณะ เหลือไว้แต่ "สภาวะรู้ตัวจริง" เท่านั้น

    +++ ทุกอย่างหายหมด ยกเว้นอย่างเดียวที่หายไปไม่ได้ นั่นก็คือ เรา ที่ไม่สนใจความเป็นเรา และกำลังรู้อยู่ถูกไหมครับ อาการนี้แหละที่ผมใช้คำศัพท์ว่า "สภาวะรู้" เพราะมันไม่มีตัวให้ถูกรู้เหลืออยู่เลย และ "สภาวะรู้" นี้ก็ไม่เคยแสดงอาการที่จะเป็น "ตัวเรา" เลยสักนิดเดียว

    +++ "สภาวะรู้" นี้คือ อสังขตธรรม ที่ไม่เคยเสแสร้งแสดงความเป็น "ตัวกู" "ผู้รู้มากยากนาน" "ไม่เคยตาม ดู หรือ รู้ แม้กระทั่งจิตตน" "เป็นสภาวะรู้ที่ไร้กิริยาทั้งมวล" เพียงแต่ว่า "ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกรู้ จากสภาวะรู้นี้"

    และหลังจากที่หลุดออกมา ผมมีความสงบและมีกำลังจิตดีมากครับ
    มันเป็นสภาวะที่ต่างจากตอนเข้าฌาณหน่ะครับ

    +++ แน่นอนครับ มันเหนือกว่า ฌาณ (ชาน) ทุกชนิด เพราะมันเป็น ญาณ (ยาน แปลว่ารู้) ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ตาสติ"
    +++ ให้อยู่กับสภาวะนี้จนเป็น "นิสัย" แล้วจะรู้ได้เองว่าอะไรคือ ญาณทัศศนะวิสุทธิ หลังจากนี้แล้ว คุณย่อมรู้ได้เองว่า อะไรเป็น มรรคปฏิบัติที่ถูกต้อง และเป็นหนทางไปสำหรับคุณ

    แบบนี้คือสภาวะอะไรครับ

    +++ สภาวะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ แต่อาจถูกบดบังได้ถ้ายังไม่ได้นิสัย +++
    +++ ทราบทางเดินแล้วนะครับ ต่อจากนี้ไป คุณสามารถบัญญัติวิถีการฝึกส่วนตัวได้ด้วยตัวคุณเองแล้ว +++

    ========================================================================

    ต้องขอขอบคุณและอนุโมทนาในธรรมทานทุกท่านครับ

    ผมพอจะทราบแล้วว่าสภาวะนั้นคืออะไร ผมเคยเจอมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาก่อน อาจจะมาจากวิบากกรรมบางอย่างอย่างที่คุณ นิวรณ์ กล่าว แต่ในวิบากกรรมอันนั้นมันก็มีทั้งดีและร้ายคละเคล้ากันไป

    เมื่อก่อนการกำหนดในอารมณ์นี้ ผมจะไม่ชัดในอารมณ์นี้ แต่รู้ว่ามีอารมณ์สมาธินี้อยู่แต่จับไม่ได้ พอจะแล้วจะกำหนดจับอารมณ์ กายและใจก็จะกระเพื่อมสั่นไหวโดยทันที ทำให้ผมไม่เคยจับสมาธิในอารมณ์นี้ได้สักที แต่ที่ผมได้เจอมาล่าสุดนั้น จิตมีความนิ่งสงบกว่าเดิมและไม่เกิดอาการกระเพื่อมในเบื้องต้น จึงทำให้ผมเห็นอาการของอารมณ์นี้ได้ชัด และตอนนี้กำลังมีการพัฒนาอีก ผมขอทำไปเรื่อยๆก่อน

    *** การกำหนดจิตทุกครั้ง จะมีการ "กระเพื่อม" ทุกครั้งเพราะมันเป็น "กิริยาจิต" และสภาวะนี้ไม่ใช่อารมณ์ การเข้าสู่สภาวะนี้ สามารถเดินจิตได้ดังนี้
    *** กำหนด "รู้" แล้วปล่อยให้ การกระเพื่อม "ถูกรู้" แล้ว วางทั้งหมด ก็จะกลายเป็น "อยู่กับรู้" จากนั้นก็จะ "รู้" ทุกอย่างไปได้เอง

    และที่หลุดนั้น ผมก็เข้าใจได้ว่า เพราะผมเร่งเกินไปเนื่องจากเวลาพักหมดพอดี (ทำงานอยู่) อยากต่อก็อยาก เวลาพักก็หมด เลยเร่งมันซะ ผลคือเลยเป็นเช่นนั้นเลย เดี๋ยวเอาไว้รอมีโอกาสที่ดีกว่านี้ก่อน

    *** "หลุด" ตรงนี้ของคุณ คือการถอนจิตกลับเข้าสู่สภาพปกติ

    และทุกความรู้ทุกประสบการณ์ทุกคำแนะนำของทุกท่านก็มีประโยชน์ครับ ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่อง ผู้รับจะเจอเหมือนผู้ให้หรือไม่เหมือนก็อีกเรื่อง ผู้รับจะนำไปปฏิบัติตามหรือเปล่าก็อีกเรื่อง และในร้อยคำได้ประโยชน์เพียงสักหนึ่งคำสำหรับผมก็ถือว่ามีประโยชน์มหาศาลแล้วครับ

    ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งข้างหน้าผมคงได้เห็นหนทางของผม

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ

    =====================================================

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเสวนาและแนะนำ

    ผมเองก็มีการพิจารณาอยู่บ้างนะครับ ถึงจะไม่เยอะเท่ากับเน้นเอาสมาธิ ส่วนเรื่องการหลุดไปคิดฟุ้งซ่านทั้งภาพและความคิดผมก็เห็นแล้วและพอจะรู้ชัดในอารมณ์ของสมาธิที่ฟุ้งซ่านและไม่ฟุ้งซ่านบ้างแล้ว การคิดเองอยู่เนืองๆหรือฟุ้งซ่าน ผมเห็นแล้วอารมณ์ของสมาธิมันจะอื้อๆอึงๆ มันจะหนัก แต่ถ้าไม่คิดเองไม่ฟุ้งซ่านมันจะเบาโล่งครับ

    *** เป็นอาการแรกเริ่มในรอยต่อระหว่าง จิตตานุปัสสนา กับ ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน แสดงว่าาระดับการ วิวัฒนาการในสติของคุณเร็วมาก โดยเฉพาะการเห็นอารมณ์ในสมาธิ ซึ่งก็คือ ธรรมารมณ์ หรือ เวทนาจิต นั่นเอง (อาการหนัก ๆ อึ้ง ๆ ที่เกาะอยู่กับจิต หรือที่จิตเสพอยู่)

    และผมก็ยังได้รู้อีกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเอง คือเรื่องการมีสุขในสมาธิหรือเมื่อกำหนด เวลาที่ผจญทุกข์หรือเหตุที่ทำให้โกรธ เมื่อผมพิจารณาเพื่อดับอารมณ์นั้น เมื่ออารมณ์นั้นๆดับลงมันจะสุขทันที ผมเห็นชัดด้วยตัวเองแล้วว่ามันไม่ได้วางอย่างแท้จริงแต่มันวางชั่วขณะ แล้วหนีไปเกาะความสุข ซึ่งมันเป็นพื้นนิสัยเดิมของผม เมื่อผมมีทุกข์ผมจะหาอะไรทำที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินหรือมีความสุขแทน โดยไม่ได้แก้ไขในเหตุนั้นๆไป จิตผมมันเลยจะคอยแต่วิ่งไปเกาะสุข ทีนี้ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็จะมีแต่สุขตลอด คิดว่าไม่ติด เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ติด แต่จิตมันติด สุขจึงขวางสมาธิของผม

    *** คุณคอยสังเกตุตรงนี้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ทุกข์กับสุข นั้น มันเป็นตัวเดียวกัน ให้สังเกตุที่ อาการหนัก ๆ อึ้ง ๆ ที่จิตเสพอยู่นั้น หากมันรวมตัวเข้ามา มันก็จะค่อย ๆ หยาบขึ้น และจะค่อย ๆ กลายเป็นทุกข์มากขึ้น และหากมันค่อย ๆ คลายตัวออกมันก็จะละเอียดมากขึ้น และจะค่อย ๆ กลายเป็นสุขมากขึ้้น

    *** ธรรมารมณ์ หรือ เวทนาจิตตัวนี้ หากคุณชำนาญและรู้วิธีบังคับมัน คุณก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้ แล้วคุณก็จะเข้าใจได้เองว่า ไอ้ตัวนี้แหละที่เรียกว่า "ภูมิ" นั่นเอง

    จนเมื่อปฏิบัติสมาธิในอีกหลายรูปแบบ และร่วมกับมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกำลังนั่งสบายๆอยู่นั้น จู่ๆผมก็ได้ยินคนทะเลาะกันเรื่องอะไรสักอย่างจำไม่ได้แล้ว ผมก็เกิดความรู้แบบไม่ได้ใคร่ครวญคิดมาก่อน มีแค่คำเดียวที่เกิดขึ้นมา "ผู้ที่ถูกบาปชั่วครอบคลุมจิตเป็นจิตที่มีแต่ทุกข์" เมื่อนั้นผมก็รู้ไปอย่างกว้างขวางของความทุกข์ที่มีกิเลสทำให้เกิดการกระทำไม่ดีทั้งกายวาจาใจ ทั้งความทุกข์จากความกลัว จากการสนองต่อกิเลส จากสิ่งต่างๆ ฯลฯ ถ้าจะให้อธิบายก็ยาวมากๆ แล้วจู่ๆจิตผมก็สงบนิ่ง อารมณ์หายความนึกคิดทุกอย่างหายไปหมด มันสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีสุขเกิดแบบที่เคย แต่ผมมีความรู้สึกที่ดีกว่า นั่นแหละผมจึงรู้ว่าความสงบเป็นสุขนั้นต่างจากสุขโดดๆอย่างไร

    *** จริตของคุณอยู่เลยออกไปจาก สุขขะวิปัสสโก ค่อนข้างมาก คุณไม่ได้ไปเรียกร้องที่จะไปรู้มันเลย แต่มันดันอุตริมาเองใช่หรือเปล่าครับ และการมาของมันนั้นเป็นแบบ "ขณะจิตเดียว" ใช่หรือเปล่า คือเป็นเพียง "1 ความเข้าใจ" เท่านั้น

    เอาเป็นว่าสิ่งใดๆก็ตามที่กล่าวมา ผมก็ยังเป็นผู้ที่รักในการปฏิบัติและยึดมั่นในพระรัตนตรัย อันเป็นที่สุดของผมแล้ว

    ผมจะขอกล่าวประสบการณ์อีกนิดหนึ่ง

    ผมเคยเจอพระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สองท่าน มีชื่ออยู่ในวงนักปฏิบัติแต่ไม่โด่งดังเพราะท่านเน้นการปฏิบัติไม่เอาชื่อเสียง ซึ่งทั้งสองท่าน เมื่อกลุ่มผมได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมกับท่าน ท่านทั้งสองล้วนให้คำตอบที่เหมือนกันเป๊ะ เหมือนเป็นคนๆเดียวกันพูด ทั้งๆที่ถามคนละเวลาและสถานที่ และพูดออกมาโดยที่พวกผมยังไม่ได้เอ่ยปากคุยเลยด้วยซ้ำ คือเจอปั๊ป ท่านทักทันทีว่า "อย่าไปติดเลยฤทธิ์หน่ะ มันเป็นเหมือนของเด็กเล่นนั่นแหละ ทำปัญญาให้แจ้งดีกว่า เราเองเคยติดมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก" แต่พวกผมก็ยังไม่เชื่อ จนมาเจอเหตุการณ์เข้ากับตัวเองนั่นแหละ

    *** จริง ๆ แล้วเรื่องของ ฤทธิ์ เป็นเรื่องที่อยู่ใน ขันธ์ และเป็นเรื่องของ ปัญญาในการใช้ขันธ์ เมื่อคุณหลุดออกมาจากการเป็น ทาส ของขันธ์ได้แล้ว คุณจะใช้มันหรือไม่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่หลงขันธ์นั่นแหละ ดีที่สุด

    และอย่าได้ใส่ใจ ผมแค่คุยฟุ้งให้ฟังเท่านั้น

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ

    *** อาการต่าง ๆ ที่ผมกล่าวมานี้ ใช่อาการของคุณในขณะนั้น ๆ หรือเปล่า เพื่อเป็นการป้องกันการหลงของภาษา ช่วยตอบด้วยนะครับ
     
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    พุทธโธนี่..เขาใช้สติระลึกอยู่ที่ลมหายใจก็น่าจะอุปมาได้ว่า กาย..เพื่อกันไม่ให้ส่งจิตออกนอก..กันจิตเสื่อมกำลัง
    เห็นอาการของจิต..แล้วเฉย..หยุดดูไม่ใช่ตามดูหรือกระโดดเข้าไปผสมปนเปดูกลายเป็นสังขารไป..ก็คือดูจิตนั่นแหละ หากดูสังขารจิตแล้วเอ็งไม่มีกำลังสมาธิ อาการจิตก็ดึงเอ็ง ลากเอ็.ไปยำใหญ่ อิอิ:cool:
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........ม่ายหรอก เจ่ก เราไม่ใช่ ลี้คิมฮวง มีดบินไม่พลาดเป้า..เรา มนสิการในคำพระแล้ว แล้วเราทำสิ ทำแล้ว ผิดบ้าง ถูกบ้าง เราจะเริ่มเข้าใจ ปัญญาญานย่อมทำการ วิจัยธรรมให้เข้าใจเองไปตามความเพียร....ถ้ามัวแต่กลัว ว่าผิด แล้วเมื่อไหร่ จะเป็น:cool:
     
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เอ้ยยส์..ข้ามาคัสออดิเรียส แม่ทัพผสมกองกำลังทหารเสปญ..ข้าเคารพโรมเท่านั้น ..:mad:
     
  17. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับที่ร่วมเสวนาและแนะนำ

    สิ่งนั้นที่ผมรู้สึกว่าเป็นผมนั้น ไม่ใช่มาจากการจินตนาการภาพหรือคิด ในตอนนั้นไม่มีภาพและความคิดครับ แต่รู้สึกเหมือนว่าความรู้สึกของผมอยู่ตรงนั้นครับ

    สิ่งต่างๆรอบตัวนั้น ผมยังไม่ค่อยได้ชัดครับ รู้แต่ว่ามันวุ่นวายครับ

    ในช่วงที่มันหายไปหมดตอนหลุดนั้น ผมยังมีตัวตนอยู่ครับ แต่สิ่งต่างๆสภาวะต่างๆมันหายไปหมด ไม่รู้สึกถึงสิ่งใด

    มีอีกอย่างหนึ่งในการนั่งครั้งนั้น เนื่องด้วยเวลาเหลือน้อย ผมเลยมีการเร่งสมาธิโดยการกำหนดแบบพุ่งจิต จิตมันจะสงบเร็วมาก แต่สติจะไม่ดี ผมใช้เพื่อให้สงบเร็วแล้วผ่อนแล้วจึงต่อด้วยอานาปาณสติครับ

    เรื่องการทำอารมณ์ต่างๆผมก็สามารถกำหนดให้เกิดได้โดยทันทีเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ โกรธ ร้องไห้ อารมณ์ของธาตุสี่ ฯลฯ หรือจะลองกำหนดสภาพความทรมานจากการตายแบบต่างๆก็ได้ นี่คือเกี่ยวกับอารมณ์จิตที่ผมพอจะทำได้บ้าง

    ส่วนเรื่องของอารมณ์สุขและทุกข์อย่างที่คุณธรรมชาติกล่าวนั้น ผมก็เห็นของหยาบของเขาแล้วว่าทำให้จิตกระเพื่อมเหมือนกัน แต่ที่ผมจับอารมณ์ที่ไม่ดีที่เกิดในขั้นหยาบนั้นต่างกัน ของสุขนั้นจะมีความหยิ่งผยอง และบ้าอำนาจ เหมือนว่าไม่มีใครสู้ได้ประมาณนั้น เกิดขึ้นด้วย แต่ของทุกข์นั้นมันจะมีความหดหู่ ความไม่มีกำลัง ไม่อยากทำอะไร และความจมดิ่งในทุกข์ของตนอยู่ด้วย อันนี้เท่าที่ผมสังเกตเห็นนะครับ ก็ไม่รู้ว่าผมเห็นถูกต้องหรือเปล่า

    อีกอย่าง ผมมักจะเป็นเช่นนี้เสมอครับ คือ อยู่ๆก็เกิดมาเอง บางทีไม่ทันได้กำหนดอะไรเลยครับ ก็เคยลงไว้ในนี้บ่อยๆเหมือนกัน ทั้งในฝัน ตอนตื่นนอน หรือตอนที่ใช้ชีวิตประจำวัน

    จริงๆเรื่องสภาวะในสมาธิผมยังมีอีกหลายอย่าง เอาไว้ผมจะมาลงถามหรือพูดคุยในคราวหน้าถ้ามีโอกาสนะครับ

    ไม่รู้ว่าจะเข้าใจที่ผมตอบหรือเปล่า

    แต่ผมยังไม่คิดไปไกลหรอกครับว่าผมถึงขั้นนั้นขั้นนี้ แค่ทำไปเรื่อยๆหน่ะครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  18. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ต้องขอโทษเพื่อนสมาชิกที่เข้ามาโพสล่วงหน้าแล้วผมไม่ได้อ่านขอรับ
    ใครกำหนดขอรับ
    ที่ท่านว่าท่านกำหนด
    ท่านกำหนดทำไม
    จริงๆแล้วที่ท่านทำอย่างนั้นถูกต้องแล้วขอรับ
    แต่เราต้องรู้ก่อนหรือไม่ว่ากำหนด

    หากเราไม่กำหนดแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นมาอีก

    ท่านไปเล็กทางเดียวแล้วทำไมท่านไม่ทำให้โตขึ้นบ้างหรือไม่ขอรับ
    แล้วท่านคงเจอคำตอบทันทีด้วยตัวเองว่านั่นคือ..........
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สิ่งนั้นที่ผมรู้สึกว่าเป็นผมนั้น ไม่ใช่มาจากการจินตนาการภาพหรือคิด ในตอนนั้นไม่มีภาพและความคิดครับ แต่รู้สึกเหมือนว่าความรู้สึกของผมอยู่ตรงนั้นครับ

    +++ แสดงว่าผมยังตามภาษาในอาการของจิตคุณได้ถูกต้องคือ คุณเห็น "อัตตาจิต" นั่นเองซึ่งในขณะนั้น "ความนึกคิด" ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และ อัตตาจิตนี้ก็คือ วิญญาณขันธ์ ที่ถูกรู้นั่นเอง

    +++ สรุปคือ สติ เห็น วิญญาณขันธ์ (สภาวะรู้ เห็น ตัวกู) นั่นเอง

    สิ่งต่างๆรอบตัวนั้น ผมยังไม่ค่อยได้ชัดครับ รู้แต่ว่ามันวุ่นวายครับ

    ในช่วงที่มันหายไปหมดตอนหลุดนั้น ผมยังมีตัวตนอยู่ครับ แต่สิ่งต่างๆสภาวะต่างๆมันหายไปหมด ไม่รู้สึกถึงสิ่งใด

    +++ ใช่แล้วครับ "วิญญาณขันธ์" ยังมีอยู่ แต่มัน "ดับ" ความรับรู้ทั้งหมดไปเอง คำศัพท์ "ดับจิต" จึงตรงกับอาการในขณะนั้น "ความพยายาม ในการดับ" ไม่ปรากฏในขณะนั้น แต่ปรากฏการณ์แห่ง "ดับ" ปรากฏขึ้นเอง

    มีอีกอย่างหนึ่งในการนั่งครั้งนั้น เนื่องด้วยเวลาเหลือน้อย ผมเลยมีการเร่งสมาธิโดยการกำหนดแบบพุ่งจิต จิตมันจะสงบเร็วมาก แต่สติจะไม่ดี ผมใช้เพื่อให้สงบเร็วแล้วผ่อนแล้วจึงต่อด้วยอานาปาณสติครับ

    +++ คำศัพท์ "พุ่งจิต" เป็นการใช้ภาษาที่ผมไม่คุ้น ช่วยลำดับ อาการ ก่อน "พุ่ง" มาสักนิดหน่อยก็อาจเป็นที่เข้าใจได้ เช่น 1 กำหนดเป้าหมาย แล้ว 2 เพ่ง 3 ตาม 4 อยู่ อะไรทำนองนี้ ก่อนที่อาการ "พุ่งจิต" จะเกิดขึ้นได้ นะครับ

    เรื่องการทำอารมณ์ต่างๆผมก็สามารถกำหนดให้เกิดได้โดยทันทีเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ โกรธ ร้องไห้ อารมณ์ของธาตุสี่ ฯลฯ หรือจะลองกำหนดสภาพความทรมานจากการตายแบบต่างๆก็ได้ นี่คือเกี่ยวกับอารมณ์จิตที่ผมพอจะทำได้บ้าง

    ส่วนเรื่องของอารมณ์สุขและทุกข์อย่างที่คุณธรรมชาติกล่าวนั้น ผมก็เห็นของหยาบของเขาแล้วว่าทำให้จิตกระเพื่อมเหมือนกัน แต่ที่ผมจับอารมณ์ที่ไม่ดีที่เกิดในขั้นหยาบนั้นต่างกัน ของสุขนั้นจะมีความหยิ่งผยอง และบ้าอำนาจ เหมือนว่าไม่มีใครสู้ได้ประมาณนั้น เกิดขึ้นด้วย แต่ของทุกข์นั้นมันจะมีความหดหู่ ความไม่มีกำลัง ไม่อยากทำอะไร และความจมดิ่งในทุกข์ของตนอยู่ด้วย อันนี้เท่าที่ผมสังเกตเห็นนะครับ ก็ไม่รู้ว่าผมเห็นถูกต้องหรือเปล่า

    +++ เรื่องของ ความสุขที่มีความหยิ่งผยอง และบ้าอำนาจ เป็นองค์ประกอบนั้น แท้จริงแล้วยังมีอาการ "จิตคำราม" เป็นองค์ประกอบ แฝง อยู่ด้วยหรือไม่ ลองสังเกตุดูนะครับ เป็นความบังเอิญที่ผมผ่านจุดนี้เมื่อนานมาแล้ว

    +++ การเข้าไป "ศึกษา" ในกองอารมณ์นั้น ควร "เข้าได้-ออกได้" ดังใจปรารถนา แม้ว่าจะอยู่ในขณะสูงสุดของอารมณ์นั้น ๆ ก็ตาม การออก ควรทำให้ได้ "เบ็ดเสร็จถ้วนทั่ว" แบบไม่เหลืออะไรตกค้างไว้เลย เพื่อเป็นการป้องกัน "กับดักทางจิต" ทั้งที่เกิดจากของตนเอง และ เกิดจากผู้อื่น

    +++ ความเข้าใจในเรื่อง "อิทธิฤทธิ์-บุญฤทธิ์" อิทธิฤทธิ์ คือความรู้ความสามารถในการทำฤทธิ์ เหมือนอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่ตรงนี้เป็นเรื่องเพียง "ภายในของขนาด" เท่านั้น ส่วน บุญฤทธิ์ เป็นเรื่องของ "ขนาด" ในการทำฤทธิ์ ไม่ว่าฤทธิ์ของผู้ใดก็ตาม ย่อมยังถูกจำกัดด้วย ขนาด ของฤทธิ์จิตนั้น ๆ สรุปได้้สั้น ๆ คือ อิทธิฤทธิ์ คือความรู้ความสามารถ ส่วน บุญฤทธิ์ คือขนาดของความสามารถ ของขันธ์ที่ใช้ฤทธิ์นั้น ๆ ดังนั้น ผู้ที่มี อิทธิฤทธิ์ มากอาจทำ ฤทธิ์ ได้ในระดับเชื้อโรคเท่านั้น เพราะขนาดของบุญฤทธิ์ มีอยู่น้อยนั่นเอง

    +++ เรื่องของ "บุญ" ฐานของบุญอยู่ที่ เมตตา กำลังของบุญอยู่ที่ กรุณา ขนาดของบุญอยู่ที่ มุทิตา การทำบุญอยู่ที่ อุเบกขา (อารมณ์เดียว) ดังนั้น การสร้างฐานบุญคือ ทำอุเบกขา (อารมณ์เดียว) ในเมตตา การสร้างกำลังบุญคือ ทำอารมณ์เดียวใน กรุณา การสร้างขนาดของบุญคือ ทำมุทิตาอารมณ์เดียว นั่นเอง

    อีกอย่าง ผมมักจะเป็นเช่นนี้เสมอครับ คือ อยู่ๆก็เกิดมาเอง บางทีไม่ทันได้กำหนดอะไรเลยครับ ก็เคยลงไว้ในนี้บ่อยๆเหมือนกัน ทั้งในฝัน ตอนตื่นนอน หรือตอนที่ใช้ชีวิตประจำวัน

    +++ อะไรก็ตามหากมีความปรุงแต่งเข้าเจือปน ให้จัดว่าเป็น หลง ไว้ก่อน หากไม่มีความปรุงแต่งเป็นองค์ประกอบ ให้จัดได้ว่า เป็นบทศึกษา ได้เลย

    จริงๆเรื่องสภาวะในสมาธิผมยังมีอีกหลายอย่าง เอาไว้ผมจะมาลงถามหรือพูดคุยในคราวหน้าถ้ามีโอกาสนะครับ

    ไม่รู้ว่าจะเข้าใจที่ผมตอบหรือเปล่า

    แต่ผมยังไม่คิดไปไกลหรอกครับว่าผมถึงขั้นนั้นขั้นนี้ แค่ทำไปเรื่อยๆหน่ะครับ

    +++ ขั้นต่าง ๆ เป็นเพียงแค่คำศัพท์เท่านั้น ผู้ที่ได้คำศัพท์อาจจะทำไม่ได้ ส่วนผู้ที่ทำได้อาจจะไม่ได้คำศัพท์
    +++ การเอาบททำมาเป็นบทท่อง กับ การเอาบทท่องมาเป็นบททำ เป็นเรื่องของวาสนาส่วนบุคคล นะครับ
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มีปัญหาออกแล้วค้าง เป็นบางครั้ง แก้ไขอย่างไรดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...