>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เจโตวินิพันธะ

    พระราชดำรินี้ก็ไปตรงกันเข้ากับข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เป็น เจโตวินิพันธะ คือเครื่องผูกพันใจ ๕ ข้อ อันได้แก่

    ความติดใจยินดี ความพอใจ ความรักอยู่ในกาม ข้อหนึ่ง ในกาย ข้อหนึ่ง ในรูป ข้อหนึ่ง เป็น ๓ ข้อ

    กับ ความที่บริโภคอิ่มแล้ว การเอน การซึมเซา เป็นข้อที่ ๔

    กับ ความที่ตั้งจิตปรารถนาว่า ด้วยการปฏิบัติในศีลในวัตรทั้งปวงนี้ ขอให้ไปเกิดเป็นเทพ หรือเทพชั้นใดชั้นหนึ่ง อันเป็นข้อที่ ๕


    ๕ ข้อนี้เรียกว่าเป็น เจโตวินิพันธะ คือเป็นเครื่องผูกพันใจ อันทำให้ไม่น้อมใจไปเพื่อประกอบความเพียร เพื่อกระทำความเพียรติดต่อ ฉะนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะทำให้บรรลุถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ดั่งนี้

    เพราะฉะนั้น ความที่ปรารถนาจะไปเกิดเป็นเทพนี้แหละจึงเป็นเทวบุตรมาร เพราะเมื่อต้องการสวรรค์สมบัติก็เป็นอันว่า ทำให้ติดอยู่ในสวรรค์สมบัติ ไม่ให้บรรลุถึงนิพพานสมบัติได้ เพราะฉะนั้น สมบัติทั้งปวง มนุษย์สมบัติก็ดี สวรรค์สมบัติก็ดี เมื่อติดอยู่จึงเป็นมารต่อนิพพานสมบัติ จะต้องละมนุษย์สมบัติได้ สวรรค์สมบัติได้ จึงจะบรรลุถึงนิพพานสมบัติได้

    เทวบุตรมารข้อนี้จึงหมายได้ถึงสมบัติทั้งปวงดังกล่าว ทั้งที่เป็นมนุษย์สมบัติ ทั้งสวรรค์สมบัติ เมื่อไปติดอยู่เสียแล้วก็เป็นอันว่าเป็นมารต่อนิพพานสมบัติ เพราะฉะนั้น มารทั้ง ๕ ประการเหล่านี้ จึงเป็นมารต่อนิพพานสมบัติ

    พระพุทธเจ้าได้ทรงผจญมารทั้ง ๕ นี้ได้ จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า และก็ได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน เพื่อให้ผู้มุ่งปฏิบัติเพื่อพ้นกิเลสและกองทุกข์ ได้รู้จักหน้าตาของมารทั้ง ๕ นี้ เพื่อว่าเมื่อต้องการนิพพานสมบัติก็ต้องปฏิบัติเพื่อละมารทั้ง ๕ นี้ เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะบรรลุถึงนิพพานสมบัติได้
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน

    ที่มา: ��Ե 6 ��ʵ��㹡����ҹ㨤�

    ขอเปลี่ยนแนวบ้างนะคะ วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง จริต 6 เพื่ออ่านใจคนที่เรารู้จักกัน

    คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติจากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ เรามาดูกันว่าคุณติดในจริตแบบไหนบ้าง

    แนวคิดเกี่ยวกับประเภทของจริต มนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งผู้ประพันธ์เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวะจิตหรือนิสัยมนุษย์ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ประเภท ได้แก่

    1. ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์

    2. โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน

    3. โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ

    4. วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ

    5. ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและ ผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น

    6. พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ราคะจริต

    ลักษณะ บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอมความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน

    จุดแข็ง มีความประณีตอ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกตุเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ

    จุดอ่อน ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง 5 ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง

    วิธีแก้ไข พิจารณาโทษของจิตที่ขาดสมาธิ ฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง หาเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต พิจารณาสิ่งปฏิกูลต่างๆของร่างกายมนุษย์เพื่อลดการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โทสะจริต

    ลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดินเร็ว ตรงแน่ว

    จุดแข็ง อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงาน มีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มองอะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ

    จุดอ่อน จิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย

    วิธีแก้ไข สังเกตดูอารมณ์ตัวเองเป็นประจำ เจริญเมตตาให้มากๆ คิดก่อนพูดนานๆ และพูดทีละคำ ฟังทีละเสียง อย่าไปจริงจังกับโลกมากนัก เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ พิจารณาโทษของความโกรธต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โมหะจริต

    ลักษณะ ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ้มง่าย อารมณ์ ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่นคง

    จุดแข็ง ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มีความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมากนัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร

    จุดอ่อน ไม่มีความมั่นใจ มองตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงโทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่าย อารมณ์อ่อนไหวง่ายใจน้อย

    วิธีแก้ไข ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ฝึกสมาธิสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ให้จิตออกจากอารมณ์ โดยจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเล่นกีฬา แสวงหาความรู้ และต้องจัดระบบความรู้ความคิด สร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต อย่าทำอะไรซ้ำซาก
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วิตกจริต

    ลักษณะ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้าจะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง

    จุดแข็ง เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนักพูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น

    จุดอ่อน มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้

    วิธีแก้ไข เลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากไป ฝึกสมาธิแบบอานาปานัสสติ เพื่อสงบสติ อารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายจากฟุ้งซ่าน สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา ฝึกมองภาพรวม คิดให้ครบวงจร หัดมองโลกในแง่ดี พัฒนาสมองด้านขวา
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ศรัทธาจริต

    ลักษณะ ยึดมั่นอย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ

    จุดแข็ง มีพลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ

    จุดอ่อน หูเบา ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุ่นแรง

    วิธีแก้ไข นึกถึงกาลามสูตร ใช้หลักเหตุผลพิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคลหรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวกูของกู
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พุทธิจริต

    ลักษณะ คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกตุ มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์

    จุดแข็ง สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง อัตตาต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร

    จุดอ่อน มีความเฉื่อยไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม

    วิธีแก้ไข ถามตัวเองว่าพอใจแล้วหรือกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มพลังสติสมาธิ พัฒนาจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เพิ่มความเมตตา พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น

    ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน

    แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน

    แต่นิสัย ใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยน!


    ____________________

    ที่มาจาก หนังสือ.......จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน
    โดย ดร. อนุสร จันทพันธ์
    ดร. บุญชัย โกศลธนากุล
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ภาพพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาทางอากาศ ขณะที่พระมหาอาวรณ์ วัดปันเส่า ประพรมน้ำมนต์ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 93_n.jpg
      93_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      108.1 KB
      เปิดดู:
      55
    • 37_n.jpg
      37_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.9 KB
      เปิดดู:
      83
    • 64_n.jpg
      64_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.5 KB
      เปิดดู:
      100
    • 72_n.jpg
      72_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.3 KB
      เปิดดู:
      70
    • 11_n.jpg
      11_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.7 KB
      เปิดดู:
      87
    • 29_n.jpg
      29_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.1 KB
      เปิดดู:
      87
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขั้นตอนอาการของมารที่เข้าแทรกผู้ปฏิบัติธรรม

    ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=504266

    ผู้ปฏิบัติธรรมมีมารแทรกนั้นเป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมารเข้าแทรกแล้ว จะมีสติรู้ทันได้อย่างไรว่ามารแทรก เพื่อจะหาวิธีแก้ไขได้ ในบทความฉบับนี้ จะกล่าวถึงอาการของมารเข้าแทรกเป็นขั้นตอนไปโดยละเอียด เพื่อประโยชน์แก่มวลสรรพสัตว์ในอนาคตซึ่งจะถูกมารแทรกจำนวนมาก และบางส่วนก็ถูกมารแทรกอยู่แล้ว ไม่รู้ตัวก็มี อาการมารแทรกนั้น เป็นอาการละเอียดแนบเนียนและยากที่จะสังเกตได้ทันท่วงที บางท่านมีมารแทรก บางท่านมีอสูรแทรก แต่มารและอสูรก็ไม่ถูกกัน จะไม่เข้าแทรกพร้อมกันทั้งสองอย่าง แต่จะผลัดกันเข้าแทรก จำต้องมีจิตที่พิจารณาตนเองตลอดเวลา ดังต่อไปนี้

    กระบวนการเข้าแทรกของมาร มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

    ๑) ช่วงดลจิตดลใจ

    ช่วงนี้ เรายังเป็นคนดีอยู่ ปกติอยู่ ไม่หลงทาง ไม่ออกนอกทาง แต่จะมีเรื่องราวเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม ให้เราตัดสินใจ และมักยากต่อการตัดสินใจ ในภาวะที่เรากำลังครุ่นคิด เพื่อตัดสินใจในเรื่องที่ยากอยู่นั้นเอง ก็จะมีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาในหัวเรามากมาย และไม่ค่อยไปในทิศทางเดียวกันเท่าไร จนกระทั่ง เหลือแนวทางที่ขัดแย้งกันทางสอง บางที เราก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งหรืออ่อนแอจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เผลอกระทำผิดไปโดยที่ไม่ทันรู้ตัวก็มี สถานการณ์บางครั้งเลวร้ายมาก บีบคั้นให้เราต้องทำก็มี และมักมีความคิดสร้างเหตุสร้างผลเพื่อเข้าข้างตัวเองเสมอ บางครั้งก็มีสถานการณ์ดีเข้ามา เช่น มีคนเอาเงินมาให้ และเราก็มีเหตุผลในการรับแต่นั่นหารู้ไม่ว่าได้หลงออกนอกทางของการปฏิบัติอันมีมาแต่เดิมแล้ว ช่วงนี้มารใช้การดลจิตดลใจ ไม่ได้เข้ามาแทรกในกายสังขารของเรา ทำให้เรายังไม่ใช่มาร แต่มีพลังมารและความคิดมารเข้ามาแทรกในหัวเป็นช่วงๆ เท่านั้น บางครั้งก็ดลจิตดลใจ แล้วบางครั้งก็หายไป ช่วงนี้ให้สังเกตตัวเองให้ดี เราจะมีเหตุผลดีๆ ที่เข้าข้างตัวเองเยอะมากและมีเหตุผลมากมายที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามกับเรา และดูน่าเชื่อถือมากด้วย แต่มันเป็นเหตุผลที่ไม่รอบด้านเลย

    ๒) ช่วงเปิดช่องกรรม
    เมื่อเราได้ถูกดลจิตดลใจโดยมาร และเผลอกระทำกรรมแล้ว กรรมนั้นเองทำให้เราเสื่อมจากธรรมที่เคยปกป้องเราจากมาร ช่องโหว่นี้เป็นสิ่งที่มารอาศัยควบคุมเรา ดลจิตดลใจเรา มารรู้ถึงจุดอ่อนลึกๆ ในใจของเรา หากเรายังมีจุดอ่อน มารจะโจมตีเราตรงจุดนี้ซ้ำๆ เพื่อควบคุมใจเรา นั่นแสดงว่ามารเห็นช่องโหว่ในจิตใจของเราแล้ว เราได้เปิดเผยช่องโหว่ให้มารรู้แล้วด้วยการพลั้งเผลอกระทำกรรมลงไปนั่นเอง เพราะกรรมที่เรากระทำ ทำให้เราต้องมีช่องโหว่ให้มารค่อยๆ อาศัยจุดอ่อนตรงนั้น แทรกพลังเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าดูด้วยตาทิพย์ในระยะนี้ จะเห็นพลังสีดำ ที่เข้ามาครอบในกายทิพย์เราได้ชัด บางทีเป็นเหมือนหมอกเมฆบางๆ เป็นกลุ่มเล็กๆ คลุมจุดใดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรัศมีที่ศีรษะ ซึ่งปกติ หากเรามีรัศมีสีขาวกลมแผ่ออกจากศีรษะ จะเห็นความแตกต่างของสีดำที่เข้ามาแทรกชัดเจนมาก และมารจะแทรกพลังดำเข้ามาที่จุดนี้เรื่อยๆ พร้อมความคิดเดิมที่คอยตอกย้ำจุดอ่อนของเรา หากเราไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนของตนเองได้ มารก็จะมีชัยชนะต่อไป
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ๓) ช่วงทำกรรมโดยไม่มีสติ
    เมื่อถูกพลังดำครอบงำไปถึงจุดหนึ่ง จนเริ่มมืดบอดแล้ว จะก่อกรรมโดยขาดสติ ช่วงนี้ มักหลงตัวเอง ไม่เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ และเชื่อสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ และดูมีเหตุผลและมั่นใจในตัวเองมากว่าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ แม้จะถูกต้องก็ส่วนหนึ่งไม่มากนัก แต่ความผิดนั้นมากกว่าความถูกต้องมากมายนัก เพราะก่อกรรมมากจนไม่อาจยับยั้งได้แล้ว และเริ่มไม่มีใครที่อยู่ฝ่ายดีจะต้านทานได้ หรือไม่ฝ่ายดีก็รู้เท่าไม่ทันว่ามารได้ครอบงำแล้ว ช่วงนี้ หากใช้ตาทิพย์ดูรัศมีที่ศีรษะจะหม่นหมองลงไปต่างจากเดิมชัดเจน คุณธรรมที่เคยบำเพ็ญได้ค่อยๆ เปลี่ยนไป เสื่อมลงไป อย่างที่คนรอบข้างเองก็ไม่ทันสังเกต และไม่มีใครรู้ทันความเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มองไม่เห็นจุดผิด

    ๔) ช่วงมารเข้าแทรกบางส่วน
    ช่วงนี้มารไม่ได้ใช้วิธี “ครอบงำ” อีกต่อไป แต่ได้เปลี่ยนเป็นยุทธวิธีที่เหนือกว่าเดิม นั่นคือ การ “เข้าแทรก” ไม่ใช่แค่ส่งพลังดำลงมาครอบที่ศีรษะ แต่เอาทั้งจิตวิญญาณของตนเข้ามาแทรกในกายสังขารของเรา มาอยู่ร่วมกับจิตวิญญาณของเราในกายสังขารเดียวกัน หากเพ่งด้วยตาทิพย์จะเห็นเป็นกายมาร เข้ามาอยู่ในกายสังขารของเรา เป็นกายทิพย์สีดำทรงเครื่องแบบกษัตริย์สวยงามอลังการมากๆ ช่วงนี้ มารเข้าแทรกได้ไม่เต็มที่ บางทีจะเข้ามาแทรกได้นานหน่อย บางทีจิตวิญญาณของเราก็สามารถใช้พลังภาคขาวที่เหลืออยู่บ้างขับดันออกไปได้ จิตของเราจะคิดว่าอยากเลิก หรือไม่เอาดีกว่า หรืออย่าทำเลย หรือพอเถอะ คือ เริ่มได้สติมาบ้างสักนิดหนึ่ง แต่ไม่มากพอที่จะเอาชนะมารได้ และบางครั้ง เราเริ่มเห็นตัวเราเองในด้านลบชัดเจนขึ้น เมื่อมารได้แทรกเข้ามาทั้งตัว เราจึงเริ่มรู้ทันว่าสิ่งที่ทำนั้นผิดพลาดไปแล้ว แต่เพียงคิดได้แวบเดียวดังไฟมีประกายชั่วครู่ก็ดับไป ไม่อาจต้านทานได้อีก จากนั้น ก็ยอมรับสิ่งที่ตนเองทำทั้งๆ ที่ไม่ดีนั้นในที่สุด เพราะไม่อาจทนความรู้สึกผิดในใจของตนเองได้ จึงกลบเกลื่อนว่าตนถูกต้องแล้ว บางครั้ง แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นผิด แต่ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไปทำไม บางครั้งเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ที่ทำไปเช่นนั้น สับสนในตัวเอง

    ๕) ช่วงมารเข้าแทรกทั้งดวงจิต
    ช่วงนี้ ผู้ที่ถูกมารแทรกทั้งตัว จะถูกมารแทรกเข้าถาวร มารจะอยู่ในร่างกายของคนผู้นั้นตลอดทั้งวัน ควบคุมไม่ให้ใครมาฉุดช่วยเหลือให้พ้นจากภัยมารได้เลยแม้แต่สักนิดเดียว ยกเว้นยามกลางคืนที่นอนหลับแล้วเท่านั้น จิตของคนผู้ที่ถูกมารแทรกจะถูกกดไว้ ทำให้บางครั้งมีอาการปวดหัว เครียดง่าย และมึนศีรษะบ่อยๆ บ้างเหมือนคนจะเป็นไมเกรนก็มี จากนั้น เมื่อหลับลงไปแล้ว จิตมารจะออกจากกายสังขารคนผู้นั้นไปทำกิจต่างๆ เช่น ไปหาบริวาร ไปครอบงำใจคนที่เกี่ยวข้องในชีวิตรอบตัว ทำให้ตนเองได้ดี มีเงินมีตำแหน่งอย่างรวดเร็ว มีความสามารถพิเศษมากขึ้นผิดปกติ ในช่วงเวลาสั้นๆ ประสบความสำเร็จเร็วผิดปกติ แต่มีความเครียดอยู่เสมอ ไม่หาย กลายเป็นคนชอบคิด ชอบเครียด ชอบแค้นโดยไม่รู้ตัว เวลาแค้นหมายถึง เอาเรื่องคนที่เราเห็นว่าไม่ดี หรือผิด แบบชนะปล่อยวางไม่ได้นั่นแหละ แม้เขาจะดูเลวขนาดไหน แต่ถ้าเราเอาเรื่องเขาแบบไม่ยอมลดละ ก็คือ การแค้นโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง ช่วงนี้ กรรมพอกพูนมากจนธรรมเสื่อมลงและจิตวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมที่เคยดีอยู่กลายเป็นมารเต็มตัว ระยะนี้ บุคคลผู้นั้นได้เป็นมารสมบูรณ์แล้ว จิตวิญญาณของเขาเป็นมารอย่างแท้จริง แต่ฤทธิ์จะน้อยกว่ามารที่เข้ามาแทรกในกายนั้น และถูกมารนั้นครอบงำเป็นบริวารมารไป ก่อกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ หยุดไม่ได้

    ๖) ช่วงมารแย่งชิงกายสังขาร
    ช่วงนี้ มารได้ใช้ร่างกายของคนผู้นั้นมากพอแล้ว ก่อกรรมมากพอแล้ว ดลจิตดลใจให้คนผู้นั้นก่อกรรมมากพอแล้ว จนถึงวาระที่จิตวิญญาณเจ้าของร่างเดิมจะสิ้นบุญในที่สุด มารก็จะคิดครองร่างกายมนุษย์ผู้นั้น โดยการฆ่าจิตวิญญาณเก่าที่อาศัยในกายสังขารนั้น คนที่ถูกฆ่าโดยมารในลักษณะนี้จะรู้สึกเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตกนรกเสียแล้ว ไม่อาจกลับเข้าร่างได้อีก ส่วนร่างกายนั้นจะกลายเป็นของมารไป มารจะอาศัยร่างกายและความทรงจำที่บันทึกไว้ในสมองเก่าก่อนนั้น สวมรอยเป็นคนผู้นั้นได้อย่างแนบเนียนมาก จนวันหนึ่งถึงจะดูออกว่าคนผู้นั้น เปลี่ยนแปลงไปราวกับคนละคน ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ช่วงนี้ เขาอาจรู้ตัวได้ว่าเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เขากลายเป็นคนเพราะการยึดครองร่างโดยสมบูรณ์ และอาจระลึกไม่ได้ว่าตนเป็นใครมาจากไหน แต่จะสงสัยนิดๆ ว่าตนเป็นคนนั้นคนนี้ มาจากนั่นจากนี่ บ้างก็ไม่รู้เลย แต่ความเป็นมารไม่ได้ลดลงไปเลย

    อนึ่ง มารเมื่อเข้าแทรกแรกๆ จะแค่ดลจิตดลใจให้เราทำกรรมเล็กๆ ที่เราคิดว่าทำถูก แต่เราไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ ไม่คิดให้ละเอียด ได้ทำกรรมลงไปแล้ว เมื่อมารทำได้สำเร็จก็จะครอบงำเราต่อ เมื่อนั้น เราจะรู้สึกได้ทันทีถึงความไม่เป็นตัวของตัวเอง บางครั้ง ก็สงสัยว่าฉันเป็นอะไรไปนะ เหมือนไม่เป็นตัวเองเลย หรือนี่ฉันทำอะไรลงไปนี่ เป็นต้น
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านคือใคร ???

    ที่มา: https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-3

    การที่พระอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติตรัสรู้ขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เป็นสิ่งที่ยากเหลือคณา เพราะกว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมีครบ ๓๐ ทัศ ให้เต็มบริบูรณ์นั้นอย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป แล้วในเวลาที่ว่างเว้นพระศาสนา ซึ่งบางครั้งยาวถึง ๑ อสงไขย สัตว์โลกที่ต้องเวียนว่ายายเกิดใจวัฏสงสาร ต้องมืดมนอลธกาลขาดที่พึ่ง ต้องอยู่ในอบายภูมิจำนวนมาก

    การอุบัติขึ้น ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ในระหว่างที่ว่างเว้นพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่าพุทธันดรนั้น นับว่าเป็นโชคมหาศาลของผู้ที่เกิดในยุคนั้น เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมมาสงเคราะห์สัตว์โลก ให้ตั้งอยู่ในทาน ในศีล เมื่ละร่างกายไปแล้ว ย่อมสู่สุคติภูมิ มีสวรรค์เป็นต้น ให้บุคคลที่ตกยากแต่มีศรัทธาเต็มเปี่ยมได้เป็นมหาเศรษฐี ด้วยการออกจากนิโรธสมาบัติแล้วมาสงเคราะห์บิณฑบาต

    พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็นเอกควรแก่การได้รับ "ไทยทาน" ที่เขานำมาถวาย หรือจะเรียกว่า "อัครทักขิไณยบุคคล" ในยุคพุทธันดรอย่างแท้จริง เพราะยุคนั้นไม่มีใครเปรียบเสมอ สมดังที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...

    " ในโลกทั้งปวงเว้นจากเราเสียแล้ว ไม่มีใครเสมอกับพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย "

    พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท

    สำหรับความปรารถนาของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะมีบารมีเป็นปัญญาธิกะ ก็ยังต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลา ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่อาจต่ำกว่านี้ พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ

    ๑. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปัญญาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป
    ๒. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปเล็กน้อย
    ๓. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าวิริยาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปมากแต่ไม่ถึง ๓ อสงไขย

    ผู้ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จำเป็นต้องปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ เพื่อเกิดอภินิหารของพระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๕ ประการ คือ

    ๑. ความเป็นมนุษย์
    ๒. ความถึงพร้อมด้วยเพศชาย
    ๓. การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย อาทิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจา, หรือพระอรหันตสาวก ท่านใดท่านหนึ่ง
    ๔. การกระทำอันยิ่งใหญ หรือ อธิการ
    ๕. ความเป็นผู้มีฉันทะ
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งหลายตลอดกาลตามประเภทแล้ว ด้วยความปรารถนานี้ และด้วยอภินิหารนี้ อย่างนี้แล้วเมื่อจะเกิดในโลก ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ หรือ สกุลพราหมณ์

    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ หรือ สกุลคหบดี สกุลใดสกุลหนึ่ง

    ส่วนพระอัครสาวก ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะในสกุลกษัตริย์ และสกุลพราหณ์เท่านั้น เหมือนอย่างพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เกิดขึ้นในวัฏกัป คือ กัปเสื่อม ย่อมเกิดขึ้นในวิวัฏฏกัป คือ กัปเจริญ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน

    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เกิดขึ้นในกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และสอนผู้อื่นให้รู้ตามไปด้วย แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรูเฉพาะตนเอง และไม่สอนผู้อื่นให้รู้ตาม

    พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมแทงตลอด "อรรถรส" เท่านั้น ไม่แทงตลอดตาม "ธรรมรส" เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่อาจยกโลกุตรธรรมขึ้นสู่บัญญัติแล้วแสดง พระปัจเจพุทธเจ้าเหล่านั้น มีการตรัสรู้ธรรมเหมือน "คนใบ้เห็นความฝัน" และเหมือน "พรานป่าลิ้มรสข้าวในเมือง" ฉะนั้น

    พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมบรรลุธรรมในอิทธิฤทธิ์ สมาบัติ และปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลาย เป็นผู้ต่ำกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เหนือกว่าพระสาวกโดยคุณวิเศษ

    พระปัเจกพุทธเจ้าย่อมยังบุคคลหล่าอื่นบรรพชา ให้ศึกษาอภิสมาจารด้วยอุเทศนี้ว่า พึงทำความขัดเกลาจิต ไม่พึงท้อถอย และเมื่อจะทำอุโบสถโดยเพียงกล่าวว่า "วันนี้เป็นวันอุโบสถ และจะทำอุโบสถย่อมประชุมกันที่รัตนมาลา โคนต้นไม้มัญชูกะ บนภูเขาคันธมาทน์" (มีต่อ)

    หมายเหตุ: ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อพระราชพรหมยานเคยบอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สอนธรรมเหมือน และสอนคนให้ไปนิพพานได้ แต่ไม่เป็นสาธารณะ
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ข้อกำหนด และ ปกิณณกะ : พระปัจเจกพุทธเจ้า

    ๑) พระปัจเจกพุทธลักษณะ :

    ... ในพระบาลีและอรรถกถาไม่ได้แสดงพระปัจเจกพุทธลักษณะไว้ชัดเจนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างไร ในอรรถกถาได้กล่าวไว้ว่าพราหมณ์ยุคนั้นมีคัมภีร์มหาปริสลักษณะว่าบุคคลผู้นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระพุทธบิดา พระพุทะมารดา แต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าลักษณะเช่นไรเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า... ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทาน และชาดกแสดงเพียงลักษณะของเพศบรรพชิตว่า ...

    ... "มีพระเกศาและพระมัสสุยาว ๒ องคุลี ครองผ้าสองชั้นที่ย้อมแล้ว คาดรัดประคตเช่นสายฟ้า มีจีวรเฉวียงบ่ามีสีดังแผ่นครั่ง ห่มเฉวียงบ่าไว้ข้างหนึ่ง มีผ้าบังสกุล จีวรสีเมฆพาดอยู่เบื้องขาว มีบาตรดินสีเหมือนแมลงภู่คล้องอยู่ที่บ่าเบื้องซ้าย" ...

    ... และถ้าหากท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณใน เพศคฤหัสถ์ : เมื่อท่านทรงบริขาร ๘ แล้วแลดูเหมือนพระเถระ ๑๐๐ พรรษา หรือ ๖๐ พรรษา

    ๒) พระรัศมีของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็มีรัศมีเหมือนกัน ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทานท่านแสดงไว้ว่า

    " พระปัจเจกพุทธเจ้า มีรัศมีสุกสกาวแห่งทองสีแดงและทองชมพูนุท"

    ... ส่วนอรรถกถาประวัติของพระโสณโกฬิวิสะแสดงไว้ว่า

    " พระรัศมีที่สรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเช่นกับสีของ ผ้ากัมพลแดง"

    ๓) อายุ และ ระยะเวลาบำเพ็ญเพียร ของ พระปัจเจกพุทธเจ้า :

    อายุของพระปัจเจกโพธิสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณ มิได้กำหนดชัดเจน แต่ตามที่ปรากฏในอรรถกถา ท่านได้แสดงไว้น้อยที่สุด ๑๖ พรรษา มากที่สุดมิได้แสดงไว้

    ระยะเวลาการบำเพ็ญเพียรของพระปัจเจกโพธิสัตว์ ที่ปรากฏในอรรถกถาท่านแสดงไว้นานที่สุด ๗ พรรษา และมีพระปัจเจกโพธิสัตว์ อยู่หลายองค์ที่ท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณใน เพศคฤหัสถ์ โดยมิได้ออกบำเพ็ญเพียรเหมือนอย่างพระสัพพัญญูโพธิสัตว์
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ๔) เหตุแห่งการบรรลุปัจเจกโพธิญาณ :

    พระปัจเจกโพธิสัตว์แต่ละองค์ได้ความสังเวชไม่เหมือนกัน แล้วบรรลุปัจเจกโพธิญาณ ในคัมภีร์อปทาน และขัคควิสาณสูตรได้กล่าวถึงเหตุแห่งการบรรลุปัจเจกโพธิญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๔๑ พระองค์ไว้เป็นพิเศษ จะขอยกตัวอย่างมาแสดงสัก ๒ เรื่องตามลำดับ ดังนี้

    ธรรมที่บรรลุ :
    ๑. พระปัจเจกพุทธเจ้าในปัจฉิมภพ (พระชาติสุดท้าย) ก็ไม่มีใครๆ เป็นอาจารย์เช่นเดียวกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านแทงตลอดในอริยสัจ ๔ ด้วยอัตตุกกังสิกญาณ คือ ญาณที่รู้เฉพาะตนเอง แต่มิได้บรรลุพระสัพพัญญุญาณ และ ทศพลญาณเหมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ๕) พระปัจเจกพุทธเจ้ายังมีวาสนาอยู่ :

    วาสนา : คือ "การทำด้วยอำนาจความเคยชิน" เช่น การกล่าวว่า "จงมาซิคนถ่อย"... "จงไปซิคนถ่อย"... แม้ท่านละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีวาสนาอยู่

    ... ในอรรถกถา คำว่า "วาสนา" นี้ ท่านกล่าวว่า คือ อธิมุตติ ปานประหนึ่งสักว่าความสามารถ อันกิเลสที่เธออบรมมาตลอดกาลหาเบื้องต้นมิได้ ติดอยู่ อันเป็นเหตุแห่งความประพฤติ เหมือนความประพฤติของคนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ในสันดาน แม้ของท่านผู้เว้นกิเลสได้แล้ว

    ... ก็ว่าด้วยการละกิเลสเครื่องกางกั้นไญยธรรมด้วยความสมบูรณ์แห่งอภินิหาร เหตุแห่งความประพฤตินี้นั้น ไม่มีในสันดานของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ละกิเลสได้แล้ว แต่ ยังมีในสันดานของพระสาวก และ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังละกิเลสอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพระตถาคตเท่านั้นทรงเห็น อนาวรญาณ (ญาณไม่มีเครื่องกั้น)

    ๖) อริยาบถที่บรรลุ :

    พระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลายบรรลุโพธิญาณในอริยาบถต่างๆ กัน ยืนก็มี นั่งก็มี นอนก็มี มีแม้แต่นั่งประทับบนคอช้างแล้วบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ๗) สถานที่สถิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    โดยปกติแล้วเมื่อพระปัจเจกโพธิสัตว์บรรลุปัจเจกโพธิญาณแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะไปประทับอยู่ที่ภูเขา คันธมาทน์ แต่ใน อิสิคิลิสูตร พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์ บุตรของนางปทุมวดีอาศัยอยู่ในถ้าของภูเขาอิสิคิลิ ต่อมาพระราชาสร้าง บรรณศาลา ในพระราชอุทยานถวาย เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ท่านก็อยู่ในที่นั้นจนตราบปรินิพพาน

    ส่วนภูเขา คันธมาทน์ ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายประทับอยู่ประจำนั้น อยู่เลยภูเขา ๗ ลูก ณ ภูเขา คันธมาทน์ มีเงื้อมเขาชื่อ นันทกะมูลกะ เป็นสถานที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เงื้อมเขานันทกะมูลกะแห่งภูเขาคันธมาทน์นี้มีถ้ำอยู่ ๓ ถ้ำ คือ

    ๑. มณีคูหา (ถ้ำแก้วมณี) ๒. สุวรรณคูหา (ถ้ำทองคำ) ๓. ชตคูหา (ถ้ำเงิน)

    บรรดาถ้ำทั้ง ๓ นั้น ที่ประตูคูหา มีต้นไม้ชื่อ "มัญชูสกะ" เป็น ต้นไม้สวรรค์ สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ต้นไม้นั้นจะเผล็ดดอกบานสะพรั่งทั่วไปในน้ำ และบนบกเป็นพิเศษ ในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามาถึง ข้างหน้าต้นไม้นั้นมีศาลาประชุมอยู่หลังหนึ่ง ชื่อว่า "รัตนมาฬกะ" เป็นศาลาประชุมใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยแก้วมณีทั้งหลัง ที่นี่เป็นที่ประชุมสันนิบาตแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ภายในบริเวณศาลานี้มีลมพิเศษพัดประจำอยู่ ๖ ชนิด คือ

    ๑. สัมมัชนกวาต : มีหน้าที่สำหรับพัดกวาดปัดหยากเยื่อทิ้ง

    ๒. สมกรณวาต : มีหน้าที่พัดทรายแก้วที่บริเวณให้ราบเรียบสม่ำเสมอ

    ๓. สิญจนวาต : มีหน้าที่พัดพาเอาละอองน้ำในสระอโนดาด มาประพรหมบริเวณศาลาให้ชุ่มฉ่ำเย็น

    ๔. สุคันธกรณวาต : มีหน้าที่พัดเอากลื่นหอมของต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมทั้งหมด มาจากภุเขาหิมวันต์

    ๕. โอจินกวาต : มีหน้าที่พัดดอกไม้ทั้งหลายมาโปรยลง

    ๖. สันถรกวาต : มีหน้าที่ปูลาดในที่ทั้งปวง

    ในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น และวันอุโบสถ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะมานั่งประชุมกันในที่นี้ อาสนะทั้งหหลายจะปูลาดไว้เรียบร้อยเป็นประจำ นี่เป็นปกติในที่นี้

    เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาใหม่ ได้เสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว ถ้าในเวลานั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นๆ อยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็จะประชุมกันในทันทีแล้วต่างก็นั่งบนอาสนะที่ลาดไว้แล้ว

    และครั้นนั่งแล้ว จะพากันเข้าสมาบัติหน่อยหนึ่ง แล้วจึงออกจากสมาบัติ แต่นั้นเพื่อที่จะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงอนุโมทนา พระสังฆเถระจะถามกรรมฐานกะพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาใหม่อย่างนี้ว่า "ท่านบรรลุอย่างไร?" พระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาใหม่นั้น ก็จะกล่าวอุทานคาถาและพยากรณ์คาถาของตน
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตัวอย่าง อุทานคาถา และพยากรณ์คาถา :

    พระปัจเจกโพธิสัตว์กุมาร ๕๐๐ องค์ บุตรของพระนางปทุมวดีได้เล่นในสระบัวในอุทยาน นั่งดอกบัวคนละดอก เห็นความสิ้นและความเสื่อม ทำปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น ได้พยากรณ์คาถาของท่านว่า...

    "ดอกบัว กอบัว เกิดขึ้นในสระ บานแล้วถูกหมู่แมลงภู่เคล้าคลึง ก็เข้าถึงความร่วงโรย บุคคลรู้แจ้งข้อนี้แล้ว พึงเป็นผู้เที่ยวไปเหมือนนอแรด"

    ๘) การทำพระอุโบสถ :

    ธรรมดาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทำอุโบสถที่ศาลาโรงแก้ว รัตนมาฬกะ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ในอรรถกถาบางแห่งกล่าวว่าแม้ที่ป่าอิสิตนทายวันก็ทำอุโบโสถ

    ๙) การสงเคราะห์โลก :

    ... พระสารีบุตรท่านกล่าวในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ว่า โลกัตถจริยา (การประพฤติเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก) เป็นจริยาส่วนเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เฉพาะในพระปัจเจกพุทธเจ้าบางส่วน และเฉพาะในพระสาวกทั้งหลายบางส่วน...

    ... จริงอย่างนั้น การสงเคราะห์ต่อชาวโลกของพระปัจเจกพุทธเจ้าปรากฏในที่หลายแห่ง เช่นว่าเมื่อท่านออกจากนิโรธมาบัติแล้วย่อมตรวจดูศรัทธา แล้วจึงไปสงเคราะห์ ธรรมดาผู้ที่ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมส่งผลเป็นเศรษฐี หรือเสนาบดีภายในวันนั้น แล้วยังให้คนถวายเกิดความโสมนัส โดยการเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่ยังแลเห็นอีกด้วย

    ... ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทานได้พรรณาว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงเป็นใหญ่ คือ เป็นประธานเป็นเจ้าของ เพราะรับอาหารประมาณน้อย ของเหล่าทายกมากมายแล้วให้ได้บบรรลุถึงสวรรค์ และนิพพาน"
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ๑๐) ทรงสงเคราะห์ พระโพธิสัตว์ :

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีต ได้สงเคราะห์พระโพธิสัตว์หลายครั้งหลายหนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การแสดงธรรม หรือแม้กระทั่งทำ ทรายเสก และ ด้ายเสก นอกจากนั้นยังทรงพยากรณ์ พระโพธิสัตว์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอีกด้วย ดังเรื่องตัวอย่างที่มาในชาดกนี้

    ... พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า : ได้ให้โอวาทพระพรหมทัตชักชวนให้ทรงผนวช โดยตรัสถึงโทษของกาม คุณของบรรพชา แสดงถึงทุกข์ทั้งที่มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการออกจากครรภ์เป็นมูลฐาน...

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ : เมื่อพระโพะสัตว์ทูลถามถึงอารมณ์ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงประพฤติภิกขาจาริยวัตร พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นได้ตรัสบอกเรื่องราวการออกบวชของตนแก่พระโพธิสัตว์ ภายหลังพระโพธิสัตว์ได้ออกบวชเป็นฤาษี...

    ... พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นคนยากจน : ได้ถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ ท่านเสวยทันที ทรงทำอนุโมทนา แล้วได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขา นันทมูลกะ...พระโพธิสัตว์ประคองอัญชลี แล้วเอาปิติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ แล้วรำลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นตลอดอายุจนถึงแก่กรรม แล้วไปเกิดเป็นพระราชา

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ : ได้พิจารณาเห็นสังขพราหมณ์จะเดินทางไปหาทรัพย์เพื่อจะให้ทาน จักมีอันตรายในสมุทร ถ้าสังขพราหมณ์เห็นท่านแล้วจักถวาย ร่ม และรองเท้าแก่ท่าน เมื่อเรือแตกกลางมหาสมุทร สังขพราหมณ์ได้ที่พึ่งด้วยอานิสงส์ที่ถวายรองเท้า
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงได้อนุเคราะห์สังขพราหมณ์ ได้เหาะมา ณ ที่ใกล้สังขพราหมณ์ เดินเหยียบทรายร้อนเช่นกับถ่านเพลิง เพราะลมแรงแดดกล้า ตรงมายังสังขพราหมณ์

    สังขพราหมณ์ได้นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าไปที่โคนต้นไม้ แล้วพูนทรายขึ้น แล้วเอาผ้าห่มปูลาด นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วล้างเท้าด้วยน้ำที่อบกรองใสสะอาด ทาเท้าด้วยน้ำมันหอม แล้วสวมเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ถวายร่มและรองเท้าด้วยวาจา

    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเพื่อจะอนุเคราะห์สังขพราหมณ์จึงรับร่มและรองเท้า และเพื่อให้ความเลื่อมใสเจริญยิ่งขึ้น จึงเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ให้สังขพราหมณ์เห็น...

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง : ทราบความที่ดาบลพระโพธิสัตว์มีมานะ เพราะอาศัยชาติของตน ไม่สามารถจะยังฌานให้เกิดขึ้นได้ จึงไปข่มมานะดาบส โดยไปนั่งเหนือกระดานหินของดาบส

    ดาบสขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหาท่านดบมือตวาดท่าน พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวกะท่านว่า :

    " พ่อคนดี เหตุไฉนพ่อจึงมีมานะ อาตมาบรรลุพระปัจเจกพุทธญาณแล้วนะใน กัปนี้เอง พ่อจักเป็นสัพพัญูญูพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว รอเวลาเพียงเท่านี้ ข้างหน้าผ่านไปจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้า จักมีชื่อว่า "สิทธัตถะ"

    บอกนามตระกูลโคตรและอัครสาวกเป็นต้นแล้ว ได้ประทานโอวาทว่า :

    " พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะ เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย "

    ดาบสนั้นแม้พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ยังไม่ไหว้ท่านอยู่นั่นเอง...มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า ข้าจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร

    พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า :

    " เธอไม่รู้ความใหญ่หลวงแห่งชาติ และความใหญ่โตแห่งคุณของเรา หากเธอสามารถ ก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา " แล้วเหาะไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้าตนลงไปในมณฑลชฏา ของดาบสนั้น ไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม พอท่านไปแล้วดาบสนั้นจึงสลดใจ สมาทานอุโบสถขข่มมานะ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้น

    ... พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๐๐ ของพระเจ้าพรหมทัต ได้ทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า "จักได้ราชสมบัติสืบสันติวงศ์ในพระนครนี้หรือไม่" พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็ตรัสพยากรณ์บอกว่า "จะได้ราชสมบัติในวันที่ ๗ นับจากวันนี้ ที่พระนครตักสิลา ซึ่งไกลไปจากพระนครนี้ ๑๒๐ โยชน์ แต่ถ้าจะไปทางตรง ๕๐ โยชน์ ต้องผ่านย่าน อมนุสสกันดาร มีฝูงยักษิณีเนรมิตบ้าน และศาลาไว้ในระหว่างทาง คอยหน่วงเ**่ยว เชื้อเชิญแก่ผู้ที่มาแล้วเล้วเล้าโลม ทำให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลส แล้วพากันเคี้ยวกินพวกนั้นเสีย แต่ถ้าไม่ทำลายอินทรีย์ทั้ง ๕ และดูพวกมันเลย คุมสติไว้ให้มั่นคงเดินไป จักได้ราชสมบัติในวันที่ ๗ แน่"

    พระโพธิสัตว์ จึงขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทำพระปริต รับทรายเสกด้วยพระปริต และด้ายเสกด้วยพระปริต เดินทางไปแล้วได้ราชสมบัติในภายหลัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...