>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ขอบคุณครับ! "ท่านปุณฑ์" สำหรับคำแนะนำดีๆ


    มีประโยชน์มากครับ!(deejai)
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หลวงป้า ....เอ้ย

    ราษฏร์ป้า "ปุณฑ์ปู้นดี กาสาโร" งานเข้า <--- click !!!
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แสวงหาอะไรกันหนอ

    สถานสงบในโลกลดลงทุกวัน แต่ยังพอค้นพบ ความสงัดในจิตเกิดได้ยาวกว่านัก
    แม้สำเนียงภายนอกเงียบลง แต่เสียงภายในยังกึกก้อง ฟุ้งซ่านเต็มที่ จิตโลดแล่น
    ตามสิ่งมาสัมผัส และเมื่อภาพภายนอกเลือนลางไปแล้ว จิตก็ยังขบเคี้ยวซากแห่ง
    อดีต คือความทรงจำไม่ลดละ ความอยากแยกผู้อยากออกจากสิ่งน่าใคร่

    เกิดการดิ้นรน โลดแล่นเข้าหา อัตตาเกิดขึ้น กาลเวลาเกิดขึ้น เมื่อใดความอยาก
    สิ้นไป อัตตาและเวลาย่อมไม่ปรากฏ ความสงัดแท้จริงเกิดก็เมื่อความอยากทั้งหลาย
    สิ้นลง เมื่อการปรากฏของความสงัดอันยิ่ง จิตจะต้องถูกชำระล้าง จากฝุ่นผงอัน
    ได้เกาะทับถมอยู่นานนับศตวรรษเสียก่อน ประสบการณ์แห่งอดีต ไม่ว่าปวดร้าว
    หรือหวานล้ำ หยาบหรือปราณีต จำต้องปล่อยวาง

    จิตจะปล่อยวางสิ่งทั้งหลาย อันเคยใฝ่หาสร้างสมและยึดมั่นไว้เป็นต้นว่า
    ทรัพย์สาร อำนาจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ สิ่งอันรักใคร่ ความรู้และแม้ความดี
    ความชั่ว เราจะต้องผ่านความตายแม้ชีพจะยังเต้นอยู่ ในความสงัดอันยิ่ง
    ชีวิตและความตายกลมกลืนกัน โลกและธรรมชาติแยกไม่ออกจากกัน
    ชั่วขณะจิตปรากฏเป็นนิรันดร.
     
  4. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เกี่ยวอะไรกับเราไม่ทราบ.. นิวรณ์
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขณะฉันนั่งเฝ้าดูแสงเทียน

    แสงเทียนแจ้งแล้วดับกลับสว่าง
    มืดกระจ่างแจ้งแล้วดับกลับอีกหน
    หากไม่สิ้นเหตุปัจจัยในตัวคน
    ต้องวกวนเวียนว่ายอีกหลายคราว
    ต่อเมื่อเจริญธรรมลุธรรมถึงที่สุด
    ธรรมวิมุติหลุดพ้นได้สบายยิ่ง
    สู่ความปรกติปล่อยวางว่างได้จริง
    เห็นทุกสิ่งล้วนแต่เป็นเช่นนั้นเอง
    มีอะไรควรจะทำก็ทำไป
    ทำด้วยใจเมตตาปัญญายิ่ง
    บริสุทธิ์สร้างสรรค์กันจริงๆ
    ไม่ประวิงเจริญธรรมค้ำโลกเอย.
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอ..... ก็เลือกเอา จิ

    อ่านกระทู้นั้นแหละ จะ พึง เลือกได้สองอย่าง คือ

    1. อะจึ๋ยส์ ๆ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ก็ ตัดเหล็กไหลออกมา ...... ก็แปลว่า ต้องตาม
    หามาครอบครองประกอบคาถา 108 จบได้เข็มขลังยิ่งขึ้น

    2. อะจ๊ากส์ๆ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ มีพระออกมาคัดค้านว่า พระท่านไม่มีปฏิปทา
    มิจฉา*ไปทางนั้น กล่าวยืนยันโดยหลวงพ่อพุธ

    *************

    ปล.ลิง : มิจฉา แก้ว่า "หลวงปู่เสาร์ดุ จะมาภาวนาเอามรรคผลนิพพาน ยังเอาตลับสี
    ผึ้งใส่ย่ามมาด้วยมันจะไปได้อย่างไร..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2012
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แล้วเลือกอันไหน งานเข้า?
    เข้ายังไง เข้าไปทำไม ..
    มาเกี่ยวกับเราอย่างไร ..
     
  8. นิวัตร์

    นิวัตร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +120
    สุดยอดเลยครับคุณนุ๊ก เป็นกระทู้ที่ต้องเก็บไว้ใน Favorits อีกแล้ว..

    ขออนุญาต copy บทกลอนบทกวี เก็บไว้หรือไปเผยแพร่ได้มั๊ยครับ
     
  9. zaxc

    zaxc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +422
    ตามมาเป็นแฟนคลับคนอวดรู้ของพี่นุ๊กด้วย คิคิ มาขอฟังความรู้จากผู้รู้ทุกคนนะคะ;aa27
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะคุณนิวัตร์ ห้องคนอวดรู้ยินดีต้อนรับค่ะ

    ด้วยความยินดีค่ะเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทาน

    อย่าลืมแวะเข้ามาอวดรู้บ้างนะคะ:cool:
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะน้อง zaxc ขอบคุณนะคะที่แวะมาทักทาย

    น่ารักอ่ะ....อย่ามาอ่านอย่างเดียวนะคะ เข้ามาอวดรู้กันบ้าง:cool:
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ในท่ามกลาง

    ความร้อนก็มีความเย็น ความขุ่นก็มีความใส

    ความหนักก็มีความเบา ความวุ่นก็มีความว่าง

    ความมืดก็มีความสว่าง ความหนาก็มีความบาง

    ความหยาบก็มีความประณีต ความเล็กก็มีความยิ่งใหญ่

    ความใกล้ก็มีความไกล ความช้าก็มีความเร็ว

    ความสกปรกก็มีความสะอาด ความมลทินก็มีความบริสุทธิ์

    ความมีก็มีความไร้ ความเกิดก็มีความดับ

    ความยึดถือก็มีความปล่อยวาง ความชั่วก็มีความดี

    ความคับแคบก็มีความกว้างขวาง ความโง่ก็มีความฉลาด

    ความวุ่นวายก็มีความสงบ ความผูกติดก็มีความอิสระ

    ความผูกพันธนาการก็มีความหลุดพ้น ความสมบูรณ์ก็มีความพร่อง

    ความลำบากก็มีความสบาย ความเศร้าหมองก็มีความผ่องใส

    ความมาก็มีความไป ความปิดบังก็มีความเปิดเผย

    ความเป็นอัตตาก็มีความเป็นอนัตตา ความเจริญก็มีความเสื่อม

    ความก้าวหน้าก็มีความถอยหลัง ความแข็งแกร่งก็มีความอ่อนนุ่มหรือความเปราะ

    ความเข้มแข็งก็มีความอ่อนแอ ความแข็งกระด้างก็มีความอ่อนโยน

    ความทึบก็มีความโปร่ง ความวิ่งวนก็มีความหยุด

    ความขัดแย้งก็มีความกลมกลืน ความรุ่มร้อนก็มีความเยือกเย็น

    ความหลงก็มีความรู้แจ้ง ในวัฏฏสงสารก็มีพระนิพพาน

    แล้วเราล่ะกำลังอยู่จุดไหนกัน?
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เหตุที่ผู้ปฏิบัติกรรมฐานบางคนต้องตกนรก

    นายแพทย์ชัยวัฒน์ : กระผมขออนุญาตเจ้าประคุณสมเด็จฯ คือมีคนเขาฝากมา
    ถามนะครับ ถามว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เทศน์ค้างไว้ตอนหนึ่งว่า ผู้ที่จะปฏิบัติ
    สมถกัมมัฏฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ต้องตกนรก ลูกศิษย์ส่วนมากใคร่จะให้เจ้าประคุณ
    สมเด็จฯ ขยายความในเรื่องนี้ให้เป็นที่เข้าใจด้วยเป็นเพราะเหตุใด ผู้ปฏิบัติโดย
    จิตเลื่อมใสจึงต้องตกนรก และต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกทางสติปัฏฐานสี่ มีวิธี
    การที่จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่ต้องตกนรก ได้ไปเกิดในมนุษยโลก เทวโลก
    พรหมโลก ตามที่เขาสอนวิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่

    ในปัจจุบันนี้ตามทัษนะของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เห็นเป็นอย่างไร พอจะให้เป็นแนว
    ทางปฏิบัติได้บ้างหรือไม่? ขอความกรุณาให้แสงสว่างกับบุคคลที่สนใจปฏิบัติ
    ธรรมด้วยเถิด เพื่อจะได้ไปปฏิบัติให้ถูกทาง

    หลวงพ่อสมเด็จฯ : คำถามข้อนี้ จะต้องแยกขยายความ คือคำถามข้อแรกถามว่า เพราะเหตุใดมนุษย์
    ยุคนี้ปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้วยังต้องตกนรก ใช่ไหม?

    ที่จะเข้าใจความข้อนี้ต้องย้อนเข้าไปให้ถึงวิถีทางแห่งการปฏิบัติว่าได้ปวารณาตนเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างไร?
    ทุกวันนี้คำว่า "พระพุทธศาสนา" ในกรุงสยามไม่รู้ว่าเป็นวิถีการอะไร? นักปฏิบัติทั้งหลายไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไร?
    ขั้นแรกทีเดียว ฆราวาสยังยึดมั่นในศีลห้าไม่ครบ สำหรับบรรพชิตเล่าอาตมภาพกล้าพูดว่า บางรูป
    แม้แต่ศีลสิบก็ยังปฏิบัติไม่ได้ อย่าว่าถึงศีล 227 เลย เพราะอะไรเล่า อาตมภาพจะขยายความให้ฟัง

    ทุกวันนี้มนุษย์ยุคนี้ถือว่าตนนั้น "แน่" แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติจิต ที่อาตมากล่าวว่าศีลห้าก็ยังถือ
    ไม่ได้เพราะอะไร? ยุคนี้เป็นยุคมนุษย์ก้าวหน้า ยุคนี้เป็นยุควัตถุก้าวหน้า ยุคนี้เป็นยุคยังต้องการชิงดีชิงเด่นกันใน
    เรื่องการที่จะถือตน คือมนุษย์ไม่แยกว่า "โลกียะ" กับ "โลกุตร" นั้นเป็นอย่างไร เราจะปฏิบัติสติปัฏฐานสี่
    หรือปฏิบัติกรรมฐานหรือวิปัสสนานั้น เราตัดสินใจแน่วแน่แล้วหรือ? เมื่อเราตัดสินใจแน่วแน่ เรารับศีลใน
    ศีลใดก็แล้วแต่ เราจะต้องเคร่งครัดปฏิบัติในศีลนั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ แต่มนุษย์ยุคนี้ระหว่าง
    การปฏิบัติชั่วอารมณ์นั้น อยู่ในกรรมฐานก็ควบคุมได้ แต่พอออกจากกรรมฐานก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ นี่คือ
    ทางหนึ่งที่จะต้องตกนรก เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่เฉพาะยุคนี้ แม้แต่สมัยที่อาตมภาพยังเป็นเจ้าอาวาส
    ครองวัดระฆังอยู่นั้น คำว่า "มุสาวาทา เวระมณีฯ" นี้ยังปฏิบัติกันไม่ได้ แม้กระทั่งบรรพชิตยังไม่ยอมพูด
    สู้กับความจริง มีความเกรงกลัว มีความเกรงใจ เช่น วันหนึ่ง ร.๕ ได้นำอาหารมาให้อาตมาฉัน (ขณะนั้นใครๆ
    เขาก็รู้ทั่วกันแล้วว่าท่านโตจะทำอะไรมันไม่มีพิธีรีตอง) วันนั้นอาตมภาพได้เอาอาหารนั้นไปเทลงกะทะ แล้วก็ไป
    เก็บผักอะไรต่ออะไรที่มีขึ้นอยู่ตามหน้าวัด ไปรวมต้มด้วยกัน ใส่เกลือ 1 ถุง ใส่น้ำเต็มกะทะ คงมีอาหารที่
    เทลงไปเพียงนิดหนึ่ง อาตมาได้สั่งพระเณรทั้งหลายตีกลองร้องกล่าวว่า วันนี้สมเด็จฯ จะเลี้ยงพระ ให้ทุกคน
    มารับอาหาร ซึ่งพูดตามหลักแห่งความจริง แล้วอาหารที่อาตมาทำขึ้นนั้นกินไม่ได้หรอก เมื่อทุกคนมารับอาหาร
    จากอาตมาแล้วไซร้ ตกแย็นพอจะเข้าโบส์ถสวดมนต์เย็น อาตมภาพได้รีบไปถึงโบส์ถก่อนคนอื่น และได้ยืนดักถาม
    พระในวัดทั้งหมดซึ่งก็มีถึง 29 รูป บอกว่าอาหารที่อาตมาปรุงวันนี้อร่อยไหม? พระทุกรูปตอบว่า "อร่อย" บ้าง
    "พอกินได้" บ้าง ในจำนวนพระทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 29 รูป มีอยู่รูปหนึ่งชื่อขรัวตาจ้อน ขรัวตาจ้อนผู้นี้รักษาคำว่า
    "มุสาวาทา" ไว้ได้เป็นอย่างดีบอก "ขอโทษท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขอให้กระผมพูดอย่างจริงใจเถิด อาหาร
    ท่านเลี้ยงวันนี้นั้น หมามันยังไม่กินเลย อาตมาได้ยกมือพนมขึ้นกล่าวคำว่า "สาธุ" บัดนี้ลูกของตถาคตยังมีอยู่
    ในวัดระฆังหนึ่งองค์ พอเข้าไปในโบส์ถอาตมาก็เทศน์คำว่า "มุสาวาทา เวระมณี" ศีลข้อนี้พึงระวัง เราเป็นบรรพชิต
    การที่อาตมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสก็ดี คำว่า "สมเด็จพระพุฒจารย์ (โต) ก็ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์คิดตั้งกัน
    เล่น เราเดินตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม เราต้องรักษาสัจจะ เราไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น เพระฉะนั้น
    อาตมาจึงว่าพวกเจ้านี่ห่มผ้าเหลืองเสียเปล่ากินข้าวชาวบ้านแล้วไม่รักษาศีล เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยร้อยปีก่อน ซึ่งอาตมา
    ยังมีสังขารแม้วเวลานี้อาตมาก็ไม่อยากถอยเข้าอนุสติฌาน ถอยเข้าอนุสติฌานทีใด อาตมาต้องปลงสังเวชว่า ยุคนี้หนอ
    ทำไมมนุษย์จึงเป็นเช่นนี้ ท่านลองไปสักเกตตามวัดต่างๆ ดูซิจะเห็นว่าเขาทำกันอย่างไร ยังมีติดปฏิบัติอย่างฆราวาส
    และเวลานี้ยิ่งหลงกันใหญ่ มีการคุยว่าได้ฌานนี้ แต่พอออกจากฌานก็ทำอะไรกันก็ไม่รู้มีมวนยาวๆ ดูดกัน นี่ละได้ฌาน
    เมื่อฆราวาสยังรักษาศีลห้าไม่อยู่ บรรพชิตยังรักษาศีลสิบไม่ได้เช่นนี้ ตายแล้วจึงพากันตกนรกหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2012
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สมเด็จโตฯ เยือนยมโลก

    วันนี้ก่อนจะมานี่อาตมาได้ไปเยือนยมโลก เมื่อไปถึงบังเอิญเกิดไปสนใจยมบาล
    กำลังสอบสวนคนๆ หนึ่ง ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ไปสนใจชื่อแซ่นามสกุลหมาแมวของมัน
    เพียงแต่ฟังดูแล้วเห็นว่าแปลกดี คือ

    พระมาตุลี ถามว่า ทำไมเจ้าจึงตายก่อนอายุขัย เจ้าก็เป็นนักสอนพระไตรปิฎก
    เป็นอะไร นายกสมาคมอะไร?

    อาตมาก็เดินผ่านไปดูซิว่าเขาจะสอบสวนกันอย่างไร

    เขาก็บอกว่า "ไม่รู้มันตายเอง"

    มนุษย์นี่มีสันดานอย่างหนึ่ง เขาบอกว่า "ข้าโกหกเป็น โกหกให้คนเชื่อ ก็เลย
    โกหกพระมาตุลี ซึ่งมนุษย์ผู้นี้เมื่อตายไปถึงยมโลกมันก็ยังไม่รู้ว่าโกหกพวก
    วิญญาณไม่ได้ก็เลยโกหก

    พระมาตุลี ได้เปิดบัญชีให้องค์ยมบาลดูแล้วบอกว่า ...
    "ดูนี่ มันตายเพราะตรอมใจ" คือ
    1. ตัวป่วยยังไม่ทันตาย เมียน้อยมีชู้
    2. การค้าที่ทำอยู่ ขาดทุนถึง ห้าแสนบาท
    3. หนี้สินที่กู้มามีคนมาตามทวง
    มันปลงไม่ตกเลยตรอมใจตาย ท่านดูบัญชีนี่ซิ พอพยายมยันบัญชีนี้ออกไปมัน
    เลยเงียบ และชักจะรุ้สึกตัวว่า เออเรานี้ตายเพราะความตรอมใจ

    ยมบาลเลยถามว่า ...
    "เราสอนพระไตรปิฎกนั้น เราได้อะไรบ้าง เราเป็นผู้นำ
    พระพุทธศาสนา แต่ไม่เผยแผ่ให้ถูกทาง สมควรเข้านรกขุมที่สี่ ไปไม่ต้อง
    สอบสวนนาน"

    นี่แสดงให้เห็นว่า ยุคนี้มนุษย์แบ่งแยกคำว่า "โลกุตระ" กับ "โลกียะ" ไม่ออก
    ที่ถูกควรคือว่าถ้าคนนั้นจะปฏิบัติอยู่ในหลักธรรมความจริงของโลกุตระ-ไม่ได้
    ก็อย่าปวารณาใดๆ ทั้งสิ้น ให้ถือมั่นอยู่ในหลักแห่งความซื่อสัตย์สุจริตนั้นแหละ
    จะเป็นวิถีทางแห่งการเดินไปสู่สุคติ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่ถามอาตมาว่า จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่ตกไปสู่นรกนั้น
    ก็อยู่ที่ว่าเราจะต้องตั้งมั่นอยู่ในสัจจะอย่างมั่นคง อย่าไปรับรู้ว่า "เรานี้จะได้อะไร"
    จงทำเท่าที่เราสามารถทำได้และพยายามขออโหสิกรรมในการที่เราทำผิดพลาดไป
    ทำได้เช่นนี้ตายแล้วจะไปสู่ "สุคติ" มากกว่า "ทุคติ" นี่คือวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่มนุษย์
    พอจะทำได้ จงสังวรว่า ในยุคนี้ไม่ควรหวังทางโลกุตระเลย เพราะการที่วัตถุเจริญ
    สิ่งชั่วย่อมมีมากกว่าสิ่งดี มันจึงทำให้มนุษย์สำเร็จได้ยาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ทำไมจึงมีพวกนักบวชตายแล้วตกนรก อาตมาอยากให้มนุษย์ทั้งหลายไปถาม
    มนุษย์ที่บวชว่า "ท่านนี้บวชเพื่ออะไร" ยิ่งยุคนี้ยิ่งไปกันใหญ่มีตำแหน่งอะไรมากมาย

    องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้หรือเปล่า? เอาแค่ง่ายๆ ตามกฏขององค์พระ
    สัมมาสัมพุทธโคดม พระองค์ทรงวางกฏเกณฑ์ไว้แล้วว่า "โบส์ถนี้ วัดนี้เป็น
    ส่วนกลาง สิ่งใดที่พระได้รับมาก็ควรเป็นส่วนกลาง คือพระองค์ทรงบัญญัติไว้ว่า
    "พระทุกองค์ผู้ที่ปฏิบัติตามตถาคต เมื่อได้สิ่งใดมาก็แล้วแต่จะต้องนำมารวมกัน
    ในโบส์ถแล้วก็แบ่งกันไปใช้ไปฉัน เสร็จแล้วจะได้อนุโมทนาตั้งเมตตาจิตแผ่ให้
    แก่ผู้ที่ให้เรามา" ทุกวันนี้สมมติสงฆ์ปฏิบัติกันทั่วไปหรือเปล่า บางแห่งบิณฑบาต
    มาก็เก็บเรียบวุธ บอกตรงๆ เวลานี้ถ้าไปยมโลกมาแล้วจะเห็นว่ายมโลกไม่มีที่
    มันจะเต็มอยู่แล้ว มิหนำซ้ำจะต้องขยายไปอีกด้วย
     
  15. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    แล้วคน "ไม่รู้" จะ "อวด" อะไรดีล่ะเนี่ย ^^
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มะเชื่อหรอกว่าไม่รู้สักเรื่อง มันต้องมีสักเรื่องจิ

    ไม่งั้นก็อวดไม้รู้กะได้นะ เผื่อว่าจะมีคนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้

    แล้วเอามาอวดให้รู้กันต่อไป...:cool:
     
  17. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    "ซันชาระกี ฮารีเชคา..........อิตตานาฮี พาชานาแฮ
    เอกะดุน เตเชยานาแฮ..........เอกะดุน ดะมียานาแฮ"

    อนิจจาเกิดมาเป็นมนุษย์..........ดังคำพุทธะ เตือนให้อาวร
    จนมีผู้ดีไม่ไฟฟอน..........เมื่อตอน ถึงวันสิ้นลมปราณ
    เวลามีชีวิตวายวุ่น..........ทำบุญกุศลให้คงมั่น
    ดับขันธ์เราจะไปไหนกัน..........ขึ้นสวรรค์หรือนรกให้เลือกเอา
    เกิดมาต้องตาย ใครจะค้ำฟ้า..........วัฎฎะสังขารา อย่ามั่วเมา
    บารมีนั้นมีไม่นานเนา..........ถูกเผาแล้วได้อะไรไป
    อวดศักดิ์บารมีจนหลงคิดทำชั่ว..........เมามั่วลืมตนหลงอำนาจ
    ขาดคุณธรรมค่ำคอยเจือจุน..........กรรมจึงหนุนให้ต้องได้เป็นไป

    ซันชาระกี ฮารีเชคา..........อิตตานาฮี พาชานาแฮ
    เอกะดุน เตเชยานาแฮ..........เอกะดุนดะมียานาแฮ

    เกิดแก่ดับจิตเป็นนิมิตฝัน..........ใครจะสรรคหาได้ดังใจ
    เกิดทำไม ต้องตายไม่จีรัง..........ถูกฝังแล้วไป ที่ใดกัน
    หยุดพนมมือ ยึดถือพระธรรมมั่น..........เบียดเบียนกันสวรรค์ไม่คอยท่า
    หลับตาลงฟังพุทธวาจา..........กิเลสหนา ขอจงจางไป
    พุทธังสรณัง คัจฉามิ
    ธัมมังสรณัง คัจฉามิ
    สังฆังสรณัง คัจฉามิ
    "เดดุล ปายา นีนาฮี"

    เนื้อเพลง"หนี้กรรม"เห็นว่ามีสาระธรรมดี
    เลยนำมา อวด ให้ได้รู้กัน ครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กรกฎาคม 2012
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะท่านหน่อนรคุณ ยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง
    และขอบคุณนะคะ ที่แวะเข้ามาอวดรู้
    แต่น่าจะมีมากกว่านี้นะ .....
    เชิญแสดงรู้ เพื่อเป็นธรรมทานด้วยค่ะ
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เล่นสติ

    สติ ในที่นี้มีความหมายเป็น 3 นัย คือสติสัมปชัญญะ อนุสติ และสติปัฏฐาน

    ธรรมะขั้นพื้นฐานที่ว่า จงทำดี และจงทำดี เป็นคำง่ายๆ สั้นๆ แต่กินความหมาย
    ได้กว้าง

    ดีนั้นดีอย่างไร ดีมาก ดีน้อย ดีจริง ดีปลอม เอาอะไรเป็นเครื่องตัดสินการกระทำ
    ดีๆ เหล่านี้

    สติ ความยั้งคิด ความเฉลียวใจ นึกขึ้นได้ ระลึกถึง จะเป็นเครื่องวัดตัดสินการกระทำ
    เหล่านี้ๆ ว่าดีอย่างไร ถูกต้องดีไหม ทำถึงดี..ไหม ถูกกาลเทศะไหม ดังนี้

    สติในความหมายแรก ได้แก่ สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมอุปการะมาก สติระลึกได้
    สัมปชัญญะ เป็นธรรมะที่ติดตามเราไปตลอดเหมือนองค์รักษ์ขวาซ้าย ทำอะไร
    ไม่พลาด คาดอะไรไม่ผิด คิดอะไรไม่เผลอ เพราะมีสติสัมปชัญญะ นั่นเอง

    ความหมายต่อไปคือ อนุสติ ได้แก่อุปกรณ์แห่งความระลึก มี 10 ประการ ใน
    กรรมฐาน 40 คือ
    1. ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
    2. ระลึกถึงคุณพระธรรม
    3. ระลึกถึงคุณพระสงฆ์
    4. คุณแห่งศีล
    5. คุณแห่งทาน
    6. คุณแห่งเทวดา
    7. นึกถึงความตาย
    8. คุณพระนิพพาน
    9. ความไม่งามของร่างกาย
    10.ลมหายใจเข้า-ออก

    อาจกล่าวได้ว่า "สติ" เป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง เพราะถ้าเราหมดสติแล้ว ก็เหมือน
    กับท่อนไม้ไร้วิญญาณ ฉะนั้น สติจึงเป็นเสมือนพี่เลี้ยงคอยแยกแยะถูกผิดดีชั่วแก่เรา
    เป็นเหมือนจอมทัพใหญ่ หากได้รับการฝึกที่ดี มิฉะนั้นแล้วก็เหมือนกับทหารเลว
    คนหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเห็นความสำคัญของสติแล้ว จึงต้องฝึกสมาธิเพื่อสร้างสติ
    เลื่อนสถานะจากทหารเลว ให้เป็นจอมทัพ "อนุสติ" จึงเป็นเสมือนวรยุทธที่จะฝึก
    ปรือให้มีกำลังฝีมือเข้มแข็ง.....(มีต่อ)
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ยอดรำลึกคือพระพุทธองค์

    การฝึกสติบทแรกต้องเข้าถึงพระพุทธองค์เสียก่อน ด้วยพุทธานุสติต่อไปนี้
    อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน
    สุขะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัทธา เทวะมะนุสสานัง
    พุทโธ ภะคะวาติ
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นสัพพัญญูผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ทรงเป็นผู้ไกลจากข้าศึก คือ กิเลส บรรลุธรรมแล้วซึ่งวิเศษอันสูงสุด
    ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำพังพระองค์เอง
    ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ มีความรู้ และความประพฤติอันดีงาม
    ทรงเสด็จไปดี มาดี อยู่ดี
    ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก
    ทรงเป็นยอดนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ
    ทรงเป็นศาสดาของเหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    ทรงเป็นผู้มีโชคลาภจำแนกพระสัทธรรม สั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
    ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานตลอดกาลนิรันดร์

    การเจริญพุทธานุสตินี้ มีอานิสงส์หลายอย่าง คือเป็นการสวดมนต์ด้วย
    ทำสมาธิด้วย ได้ความสงบและเพิ่มพูนสติ ทำให้จิตผ่องใส ขัดเกลา
    กิเลสให้เบาบาง เกิดความละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาป เหมือนอยู่
    ต่อหน้าเฉพาะพระพักตร์พุทธองค์ เกิดความอดทน มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิต
    ขจัดความกลัว เกิดความเลื่อมใส มีจิตคิดปรารถนาพุทธภาวะ (อยาก
    สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า) เป็นผู้สมควรอยู่ร่วมกับพุทธองค์ เมื่อละโลกนี้
    ไปแล้ว ได้ไปสู่สุคติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...