>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คิดคล้ายกันเลย
    รองเท้า(ของเก่า)ถูกขโมย(หายไป)
    คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับกรรมฐานที่จะเข้าสิงหานี้..:cool:
    อาจจะไม่ได้เท่าที่หวัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2012
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปฏิสนธิจิตอุบัติขึ้นโดยไม่มีพฤติกรรมการเดินทาง
    ไม่มีพฤติกรรมส่งต่อจากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ได้อย่างไร?

    ข้อนี้อย่าเข้าใจผิดว่าภพภูมิต่างๆ อยู่ในที่ไกลจากภูมิของเราในเชิงระยะทาง
    อย่างที่คิดคุ้นเคยกัน ในโลกของปรโลกนั้น ไม่มีระยะทาง ไม่มีกาลเวลา
    ไม่มีสถานที่ เป็นเพียงแค่ความต่างของมิติ คำว่า "ภพภูมิ" เน้นที่คุณภาพของ
    ขันธ์ ไม่ใช่เน้นที่สถานที่เชิงภูมิศาสตร์ ขันธ์ที่หยาบ สกปรก มีทุกข์โดยมาก
    ก็เรียกว่า "อบายภูมิ" ขันธ์ที่ประณีตละเอียดอ่อนมีสุขโดยมาก ก็เรียกว่า
    "สุคติภูมิ"

    ถ้าอบายภูมิจะนับกันที่สถานที่ไม่เน้นคุณภาพของขันธ์แล้วละก็ มนุษย์ก็จะ
    อาศัยอยู่ในภูมิเดียวกันกับเดรัจฉานบนโลกใบนี้ เพราะเดรัจฉานทั้งหลาย
    ก็อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเรา นอกจากนี้ร่างกายของมนุษย์ก็จะกลาย
    เป็นอบายสถานไปด้วย เพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกพยาธิต่างๆ
    เชื้อโรคต่างๆ ตั้งมากมาย

    เมื่อไม่มีบุคคล สถานที่ กาลเวลา ระยะทาง มีแต่คุณภาพของขันธ์ชนิดต่างๆ
    (ที่กำลังเกิดดับอนู่ในเวลานี้) เช่นนี้แล้ว ก็จะมีเพียงการเกิดดับต่อเนื่องไม่
    ขาดสายของขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้น ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น
    ปฏิสนธิจิตจึงเป็นเพียงจิตที่เกิดต่อเนื่องจากจุติจิต ไร้การเดินทาง ไร้บุคคล
    ผู้เดินทาง ไร้สถานที่และกาลเวลาในการเดินทาง

    แต่หากจะกล่าวแย้งว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องมีสิ่งแวดล้อมและดำรงชีวิตอยู่
    ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแล้วละก็ ภูมิสถานของปรโลกก็มิใช่ภูมิสถานระยะไกล
    ที่ต้องเดินทางไปแบบที่มนุษย์คุ้นกันในจินตนาการว่า มีระยะทางระหว่างภพ
    แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงความต่างมิติกันเท่านั้น กระพริบตาข้างเดียวเป็นเพียง
    แว้บเดียว ชีวิตหรือขันธ์ 5 ก็เกิดขึ้นในภพอื่นแล้ว คือเพียงขณะจิตเดียวก็ถึง
    อีกมิติหนึ่งแล้ว ดุจการพลิกฝ่ามือนิดเดียวหน้ามือก็กลายเป็นหลังมือไปแล้ว

    ทั้งหน้ามือและหลังมือก็ล้วนอยู่บนมือเดียวกัน คนส่วนมากไม่เข้าใจถึงมิติคู่
    ขนาน จึงมักจินตนาการถึงการเดินทางไปสู่ภพอื่นหลังความตาย ฉะนั้นปัญหา
    เรื่องการต่อไม่ติดระหว่างภพนั้น จึงตอบได้ด้วยเหตุผลสองประการ คือ

    กระแสเกิดดับต่อเนื่องของวิญญาณเป็นไปไม่ขาดสายนั้น นับรวมเอาความ
    ต่อเนื่องระหว่างจุติจิตกับปฏิสนธิเข้าไว้ด้วย ถ้าเราไม่สามารถยับยั้งกระแส
    วิญญาณที่เกิดดับต่อเนื่องในทวาร 6 ได้ฉันใด เราก็ไม่สามารถยับยั้งความ
    ต่อเนื่องระหว่างจุติจิตและปฏิสนธิได้ฉันนั้น และในมุมมองของความต่างมิติ
    ดุจการพลิกฝ่ามือ ตามที่กล่าวมานี้ นอกจากนี้ ควรทราบถึงพระปัญญาของ
    พระพุทธเจ้า ในการจำแนกธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ณ ปฏิสนธิขณะ
    ว่ามีอะไรบ้าง และทำกิจร่วมกันในลักษณะใด ดังต่อไปนี้....
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ณ ขณะใดก็ตามที่ขันธ์ 5 บังเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง ขณะนั้นชื่อว่า
    ชีวิตมนุษย์ ได้บังเกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะ
    ทั่วโลกมีความเห็นเรื่องนี้ไม่ตรงกัน บางวัฒนธรรมเห็นว่า หลังการผสมกันของ
    อสุจิและเซลล์ไข่แล้ว 120 วัน วิญญาณแห่งมนุษย์จึงจะเกิดขึ้น บางศาสนา
    เห็นว่าหลังการผสมแล้ว 30-45 วัน วิญญาณมนุษย์จึงจะบังเกิดขึ้น หรือใน
    ทางกฏหมายและวิทยาศาสตร์รับรองสถานะภาพแห่งความเป็นชีวิตมนุษย์
    ก็ต่อเมื่อตัวอ่อนมีอวัยวะและระบบประสาทครบสมบูรณ์ (ประมาณ 2-3 สัปดาห์)
    เป็นต้น

    ส่วนมติพุทธนั้น นับแต่วินาทีแรกที่อสุจิผสมเซลล์ไข่ได้สำเร็จ ชีวิตมนุษย์ก็
    เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

    ประเด็นที่ว่า ภาวะชีวิตดำรงและดำเนินไปเช่นไร

    ข้อนี้อธิบายได้ว่า ดำรงอยู่ในสถานะของสหชาตธรรม (รูป เวทนา สัญญา
    สังขาร วิญญาณ ที่เกิดร่วมกัน) ดำเนินไปด้วยการเกิดดับต่อเนื่องไม่ขาดสาย
    ของสหชาตธรรมนั้น "วิญญาณหรือจิตเป็นต้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไป
    ในกลางคืนและกลางวัน" คำว่า ดวงใช้แทนในความหมายว่า "ขณะ" 1 ดวง
    ก็ 1 ขณะ กล่าวคือ..........
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ทั้ง 5 นี้ ย่อมเกิดร่วมกัน อาศัยกัน
    และกันเกิดขึ้นแล้วดับไปในขณะหนึ่งๆ ด้วยอัตราความเร็วสูงมาก ถ้าเข็ม
    นาฬิกากระดิกหนึ่งครั้งหรือชั่วระยะเวลากระพริบตาเดียวเท่านั้น ขันธ์ 5 นี้
    เกิดดับไปแล้วแสนโกฏขณะ

    ขันธ์ 5 แบ่งเป็น 2 วาระ คือ ในวาระปฏิสนธิขณะจะผุดขึ้นพร้อมกันทั้ง 5 ขันธ์
    เรียกว่า ปฏิสนธิวาระ ต่อแต่นี้ก็เป็นขันธ์ 5 ต่อเนื่อง ในทวาร 6 เรียกว่า
    ปวัติวาระ คือ ขันธ์ 5 ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้น ขันธ์ 5 จึงได้แก่
    ขณะๆ แห่งความรู้สึกที่เกิดดับอยู่ในทวารทั้งหกของเราที่เกิดดับต่อเนื่อง
    กันไปไม่ขาดสาย จนถึงวันตายมากกว่าที่จะหมายถึงกายนี้ เป็นรูปขันธ์และ
    มีวิญญาณสิงอยู่ในร่างนี้เป็นนามขันธ์ ถ้าร่างนี้ตายลง วิญญาณก็จะออกจาก
    ร่างล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ ซึ่งออกแนวชีวาตมันสิงอยู่ในร่างกายอย่าง
    พราหมณ์ (หรือศาสนาอื่นๆ ทั่วโลก) มากกว่าที่จะเป็นมติของพุทธ
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จุติจิตและปฏิสนธิจิต ย่อมมีในขันธ์ 5 ค่ะ

    และขันธ์ 5 นั้น ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (จิต)
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะคนอวดรู้ แวะเข้ามาทักทายก่อน

    ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างค่ะ ถ้าว่างแล้วจะมาต่อเนื่องวิญญาณนะคะ
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ประเด็นที่ว่าชีวิตตายหรือสิ้นสุดนับกันที่ตรงไหน

    อธิบายได้ว่า เมื่อชีวิตดำเนินมาถึงใกล้จะอวสาน เข้าสูมรณาสัณวิถี
    (วิถีจิตแห่งความตายเกิดขึ้น) จุตจิตหรือนามธรรมขณะสุดท้ายของภพ
    จะเกิดขึ้นตัดกระแสชีวิตให้ขาดลง ต่อแต่นี้ ปฏิสนธิจิตซึ่งอาศัยกรรม
    เป็นปัจจัย (กรรมปัจจัย) ก็อุบัติขึ้นในภพใหม่่

    ในกรณี้ แม้จุติวิญญาณก็เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิวิญญาณ โดยความเป็น
    ปัจจัยพิเศษ คือ เป็นปัจจัยโดยความที่ต้องดับไปก่อน หมดไปก่อน สิ้น
    ไปก่อน จิตขณะถัดมา คือ ปฏิสนธิจิตจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าจุติจิตไม่ดับไป
    ก่อนปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนแสงอาทิตย์ต้องลับฟ้าไปก่อน
    กลางคืนจึงจะเกิดขึ้นได้ (ส่วนกรรมเป็นปัจจัยส่งผลให้เกิดปฏิสนธิจิต
    โดยความเป็นกรรมปัจจัย)

    ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ว่า เมื่อจุติวิญญาณเกิดขึ้นและดับไปแล้ว ปฏิสนธิวิญญาณ
    จะเกิดต่อเนื่องทันที โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นคั่นกลางระหว่างจิตทั้งสอง หรือที่นิยม
    ใช้สำนวณ เกิดดับต่อเนื่องโดยไม่มีระหว่างคั่น
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จะเข้าพรรษาแล้วจ้า....
    คงจะต้องหยุดรู้สักพักก่อน...เพื่อไปหาความรู้เพิ่มเติมนะคะ
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอนอบน้อมแด่พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เคยมีคนถามว่า "ใต้ต้นไม้นั้นพระสมณโคดมตถาคต ทรงตรัสรู้อะไร"
    หลายปีผ่านไป ถึงเข้าใจตรงนี้ว่า พระองค์ทรงพบความจริง

    อะไรละที่คือความจริง อะไรคือแก่นแท้ อะไรคือสัจจะ
    เราเคยถามคำถามพวกนี้กับตัวเราไหมว่า "เราเกิดมาทำไม และทำไมเราต้องเกิดมา"
    พระพุทธองค์ ทรงค้นพบ ทางสายกลาง อันเป็นเหตุให้พระองค์ ทรงพบสัจจะ หรือ ความจริง

    เราทุกคนต่าง คิดไปอย่างนั้นหรืออย่างนี้ ว่าตรงนี้กลาง อย่างนั้นกลาง อย่างนี้กลาง
    อะไรคือ คำว่ากลาง พระองค์ทรงตรัสกับปัญจวัคคี ว่า คำว่ากลางของพระองค์ คือไม่ยินดีไปในกามราคะ และ ไม่ทรมานกายใจ

    อะไรหรือ คือ กาม ใช้เรื่องเพศหรือ คำตอบ ไม่ใช่หลอก เพศเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความหมายอันแท้คือ รูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส เหล่านี้ต่างหากคือ กาม

    บางคน ก็อาจถามขึ้นมาว่า ไม่เกิดสิ่งเหล่านั้นเลยหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่
    กามเหล่านี้ ก็เกิดอยู่ แม้พระอรหันต์ ก็เกิด แต่ ท่านไม่ได้ไปยึดติด ยินดีในกามเหล่านั้น
    พระพุทธองค์ จึงใช้ความว่า กามราคะ อันราคะ คือความลุ่มหลง

    กามเป็นแต่เพียง การกระทบกันของ อายตนะเท่านั้น แต่ ราคะ ต่างหากเล่าที่ คือ สิ่งสกปรก
    เราหลงอะไร เราหลงว่ากายนี้เป็นของดีของวิเศษ เราหลงว่าใจนี้เป็นของดีของวิเศษ
    นี่ก็คือ ไม่เป็นกลาง

    หลายคนอาจถามว่า กลางนี่คือ อยู่กับปัจจุบันใช่ไหม คำตอบ ใช่ และ ก็ไม่ใช่
    ใช่ในที่นี้ คือ ปัจจุบัน อันมีความหมายถึง ระลึกถึงปัจจุบันที่กำลังจะเกิดขึ้น
    ที่ไม่ใช่ คือ ไม่ใช่เหตุการณ์ ขันธ์ทั้งหลายที่ปรากฎในปัจจุบัน อดีต หรือ อนาคต

    กลางอันนั้นคือ ความเห็นความจริงนั่นเอง
    ความจริงที่ว่านั้นคือ อะไร เห็นว่าขันธ์ ทั้งหลาย เกิด ตั้งอยู่และดับไป
    เห็นว่า ขันธ์ ทั้งหลายเหล่านั้น เกิดเพราะอาศัยเหตุ สืบเนื่องกันไป หมดเหตุก็ดับลง ไม่มีตัวตนถาวร

    เห็นว่า ขันธ์ ทั้งหลายคงสภาพเดิมไม่ได้ มีความบีบคั้นอยู่ตลอด เป็นทุกข์อยู่ตลอด
    อันความจริงเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน

    ที่มา : http://www.nonsiresidence.net/content-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-4-6324-105726-1.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อะไร คือ การตรัสรู้ บรรลุธรรม

    พระพุทธองค์ ทรงรู้อะไร คือ ทรงรู้ความจริงเหล่านี้ รู้ว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน
    ถาวร เกิดแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ทรงเห็นความเกิดขึ้น ของทุกข์ เห็นเหตุแห่งการเกิดเหล่า
    นั้น และทรงเห็นการดับไปของสิ่งเหล่านั้น จึงทรงเห็น ทางดับ ทุกข์ นั่นเอง

    ที่ว่า เห็นเกิดทุกข์เป็นอย่างไร อันที่จริงนั้นสภาพธรรมโดยปกติ นั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
    และดับไปตลอดเวลาเช่นกัน หลายท่านอาจไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ขออธิบายในส่วนที่ว่า การ
    ประจักรสภาพธรรมเป็นอย่างไร

    อัน ปัญญา นั้น มีด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ
    1. เมื่อเราได้ฟังอะไรอันเป็นความรู้ชัด แจ่มแจ้งขึ้นมา เราก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา ตื่นเต้นขึ้นมา เกิดปีติ ขนลุกขนพองบ้าง นั่นคือ ปัญญาอันเกิดจากการฟัง หรือ สุตมยปัญญา อันที่จริงนั้น บาลี ก็เป็นแค่ภาษาเท่านั้นเอง
    2. เมื่อเราได้พิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ถึงความจริงที่ได้ฟังมาบ้าง ที่ได้ประจักษ์มาบ้าง(คือเกิดแล้ว ค่อยกลับมาดู ไม่ได้รู้ทันในขณะที่เกิดขึ้น) อย่างนี้เป็นปัญญา อันเกิดจากความคิด หรือก็คือ จินตมยปัญญา
    3. ปัญญาอย่างที่สามนี้ เป็นปัญญาแท้ๆ เป็นปัญญาอันทำให้เราทั้งหลาย บรรลุธรรม ปัญญาตัวนี้คือ การประจักษ์สภาพธรรมจริงๆ ไม่ได้คิด ไม่ได้พากย์ คือเห็นสภาพธรรมเกิดดับ สืบเนื่องกันไป แม้แต่รูปขันธ์ที่เห็น ถ้าจะบอกว่าก็เห็นเกิดดับเช่นกันละ นั่นแหละเป็นอย่างนั้น ปัญญาอย่างนี้คือ ภาวนามยปัญญา อันมีลำดับการเกิด 9 ขั้น หรือ วิปัสนาญาณ ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปจำ บัญญัติตรงนี้มาก เพราะตอนเกิดมันจะเกิดเลย ต่อเนื่องกันไป หลายท่าน เข้าใจผิดคำว่า ภาวนามาก คิดว่าการไปสวดมนต์เป็นการ ภาวนา อันที่จริงไม่ใช่ การสวดมนต์ เป็นการทำให้จิตสงบ ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เป็นการทำสมาธิ
    เมื่อเกิด ภาวนามยปัญญา อันเกิดจากการเห็นนามรูปเกิดดับ บ้าง เห็น นามรูปไม่มีตัวตนบ้าง
    เห็นเป็นทุกข์ บ้าง (อุทยัพพาญาณ) ก็ จะเริ่มเกิดอาการเบื่อหน่าย เบื่อตรงนี้ไม่มีโทสะ
    เป็นการเบื่อธาตุ เบื่อขันธ์ เบื่อแบบจีดๆ เบื่อแบบ มันเห็นโลกแต่ไม่ได้ยึดอยู่กับโลก (นิพพิทาญาณ)

    เมื่อจิตเบื่อเต็มที่ จิตจะเริ่มวางลงไปเอง วางไปเอง ย้ำนะ มันเกิดเอง จิตจะเป็นกลางอย่างแท้จริง
    กุศลกรรมเกิด จิตก็ไม่ไปยึดถือ อกุศลกรรมเกิดก็ไม่ยึดถือเช่นกัน (สังขารุเบกขาญาณ)
    จากนั้นมันจะเริ่มเห็น อริยสัจ เห็นตั้งแต่ สมุทัย เป็นลำดับไป เรียก อนุโลมปฎิจสมุปบาท
    แต่ความละเอียดที่เห็นแต่ละคนไม่เหมือนกัน ย้ำว่าเห็นนะ ไม่ได้คิด พิจารณาอะไรเลย
    ก็จะเริ่มเห็น (แต่ละคนความละเอียดไม่เท่ากัน บ้างเห็นตั้งแต่กิเลสบ้างเห็นที่สังขาร บ้างเห็นที่ผัสสะ บ้างเห็นที่เวทนา)

    เวทนา >>> ตัญหา >>> อุปทาน >>>ภพ >>>ชาติ >>> ชรา มรณะ >>> ทุกข์
    เวทนา ก็คือ ความรู้สึก เมื่อเกิดความรู้สึก มันจะเกิดความปรารถนาให้ได้มาบ้าง ให้ไม่ได้มาบ้าง
    เมื่อนั้นใจ ก็จะไปถือเอา นามรูป เหล่านั้นเป็นของเราของเขา (ท่านพุทธทาสใช้คำว่า ตัวกูของกู)
    เมื่อนั้นจิตจะเริ่มไป ยึดเอานามรูปเหล่านั้น สุดท้ายก็ครอบครอง เมื่อครอบครอง
    นามรูปเหล่านั้น ก็เกิด ตั้งอยู่ ดับไป สุดท้าย จิตก็เป็นทุกข์

    ตอนที่เห็น มันจะไม่มีการ พากย์เลย ตอนนี้คือ เห็น สมุทัย และก็เห็นทุกข์ไปพร้อมๆกัน
    เมื่อจิตมันเห็น สมุทัย บ่อยๆจนเต็มกำลัง มันจะเริ่มสลัดนามรูปออก คือ ไม่เอาเลย เราจะ
    เริ่มเห็นการดับ เห็นนิโรธ นั่นเอง

    จากนั้นสิ่งสำคัญที่สุด ในสังสารวัฎจะเกิดขึ้น โคตรภูญาณ เมื่อข้ามได้ ก็จะเกิด มรรคญาณ
    ผลญาณ และ ปัจเวกญาณ ตามลำดับ ส่วนตรงนี้ของดการอธิบายเพื่อประโยชน์ของท่านทั้ง
    หลายจะไม่ไปปรุงแต่ง

    จึงสรุปว่าเส้นทางการ บรรลุธรรม หรือ การตรัสรู้ ก็คือ เมื่อเห็นตามความเป็นจริง ก็เบื่อ
    หน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็รู้ว่าหลุดพ้น
    แล้ว

    ที่มา : http://www.nonsiresidence.net/conten...-105726-1.html
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สังโยชน์ ๑๐ (กิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล)
    ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ)

    ๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น)
    ๒. วิจิกิจฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ)
    ๓. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร)
    ๔. กามราคะ (ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ)
    ๕. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง)


    ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (สังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปแม้ในภพอันสูง)
    ๖. รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ)
    ๗. อรูปราคะ (ความติใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ)
    ๘. มานะ (ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่)
    ๙. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
    ๑๐. อวิชชา (ความไม่รู้จริง, ความหลง)
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น ?

    *สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6ชั้น

    เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดา เพราะได้สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์

    วิมานปราสาท คือ ที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน

    การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้

    เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีจากหลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญไม่ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสมบุญ นานๆทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ

    ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
    ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
    ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
    ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

    เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำกระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริโอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมี ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมี พระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ

    เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอด และรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็นปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอา ไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป

    เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต หรือเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป

    เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับการยกย่องส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้วจะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป

    เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป

    ความเป็นอยู่ของ ชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้น แต่อาจจะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย

    เลือกกันเอาเองนะคะ ว่าตายแล้วจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน???

    ที่มา : ทำบุญอะไรจึงจะได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น?
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โทษของการเป็นคนลวงโลก

    ๑) ทุกข์ทางใจ

    จิต ที่เป็น ปกติสุขไม่อาจคิดพูดโกหกมดเท็จ การจะโกหกมดเท็จได้ต้องใช้จิตที่เป็นทุกข์เท่านั้น เพราะไหนจะต้องพยายามแต่งเรื่องขึ้นใหม่ ไหนจะต้องออกแรงบิดความจริงอันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยปากอันเล็กกระจ้อยร่อย แม้แต่การกลับซ้ายให้กลายเป็นขวาเพียงนิดเดียว ก็อาจพาคนหลงตามคำหลอกของเราไปลงเหวได้แล้ว ทุกคำมุสาที่นึกว่าเล็กน้อย จึงอาจก่อมหันตภัยใหญ่หลวงเกินกว่าจะคาดเดาได้

    การรู้ตัวว่าโดนหลอก เป็นความทุกข์ของผู้ถูกหลอก ถ้าเราเป็นคนหลอกเขา ใจเราจะเป็นสุขไปได้อย่างไร การสังเกตเข้ามาในตนเองจะทำให้เห็นทุกข์เป็นขณะ ๆ อย่างชัดเจน

    ทุกข์ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่ออยากหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะรู้สึกถึงความฝืดฝืน นั่นเพราะธรรมชาติของความจริงมีเหตุมีผล การอยากโกหกก็คือการอยากทำลายเหตุผล ซึ่งค้านกันกับสำนึกแบบมนุษย์ที่ต้องการเหตุผลตามจริง

    ทุกข์จะทวีตัว ขึ้นเมื่อตัดสินใจหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเหมือนใจถูกคลุมไว้ด้วยฝ้าหมอกมายา นั่นเพราะการตั้งใจแต่งเรื่องหลอกคนอื่น ก็คือการพลิกเอาตัวเองออกจากความจริงอันสว่างไปสู่ความเท็จอันมืด จึงไม่มีทางที่ใจจะสดใสโปร่งโล่งไปได้

    ทุกข์จะทวีตัวขึ้นอีกเมื่อ พยายามคิดคำลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นคล้ายมีตัวเราที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากเดิมกำลังดิ้นพล่าน พยายามจินตนาการจับต้นชนปลายความจริงกับความเท็จให้ต่อกันติด ที่มโนภาพของตัวเราแตกต่างจากเดิม ราวกับแปลกไปไม่ใช่ตัวเรา ก็เพราะขณะจิตนั้นเราไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ตัวจริงตามที่กำลังเป็น

    ทุกข์ จะทวีตัวขึ้นถึงขีดสุดเมื่อต้องฝืนขยับปากหลอกลวงคนอื่นให้หลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นการออกแรงเค้นคำ แตกต่างจากเมื่อพูดความจริงอย่างสบายอารมณ์ นั่นเพราะเรารู้ว่าความจริงเป็นเส้นตรง แต่จะอาศัยปากของเราเข้าไปดัดเส้นตรงนั้นให้เบี้ยวบิดผิดรูป แน่นอนว่าจิตใจและปากคอของเราย่อมเบี้ยวบิดผิดตามไปด้วย ไม่อาจตรงอยู่ได้

    ทุกข์ จะไม่จบโดยง่ายแม้เมื่อหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อได้สำเร็จ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความรู้สึกเหมือนมีสองภาค ภาคหนึ่งรู้ความจริง อีกภาคหนึ่งรู้ว่ามีความลวงซ้อนความจริงขึ้นมา อีกทั้งต้องคอยปกปิดให้ดี ยิ่งภาคแห่งความลวงหนาขึ้นกลบภาคแห่งความจริงมากขึ้นเท่าใด เราจะยิ่งรู้สึกคล้ายเกิดหน้ากากปิดบังหน้าตาของตนมากขึ้นเท่านั้น จนวันหนึ่งส่องกระจกเงาแล้วอาจรู้สึกครึ่งจริงครึ่งฝัน ถามตัวเองว่านี่ใบหน้าของเราแน่หรือ?

    ใน ทางปฏิบัติแล้ว การหลอกคนได้มักทำให้ภูมิใจ เพราะหลงนึกว่าตัวเองฉลาด และเห็นว่าคนอื่นโง่ ดังนั้น ทุกข์ที่เกิดจากการฝึกเป็นนักแต่งเรื่องจึงไม่ปรากฏชัดในช่วงต้นวัย ต่อเมื่อหลอกคนอื่นจนกระทั่งจิตทำงานเป็นอัตโนมัติ คล้ายหลอกได้แม้กระทั่งตัวเองให้เชื่ออะไรผิด ๆ หลงตัดสินใจโง่ ๆ และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงตระหนักว่าที่สุดของการเป็นคนลวงโลก ก็คือการพาตัวเองไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนจากการไม่รู้จักตนเองเสียแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2011_04.jpg
      2011_04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.3 KB
      เปิดดู:
      70
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ๒) การสั่งสมบาป

    เมื่อ ทราบแล้วว่าความมืดเป็นเครื่องหมายของบาป เราก็สามารถสำรวจใจตนเองแล้วทราบได้ว่าการโกหกเป็นบาป เพราะไม่มีการโกหกครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย

    แรงผลักดันให้ โกหกได้เต็มปากเต็มคำคือ โลภะ โลภะต้องชนะความอยากสบายใจ จึงขับให้เราก่อบาปด้วยการหลอกลวง แท้จริงมนุษย์เราต้องการความสบายใจเหนือสิ่งอื่นใด แต่เพราะอยากได้สิ่งที่ต้องการมากเกินไป หรือจำต้องเห็นแก่สิ่งอื่นยิ่งไปกว่าใจตน จึงยอมทำลายความสบายใจด้วยการพูดคำเท็จ

    ที่น่ากลัวก็คือบาปสามารถ สั่งสมตัวได้ นั่นหมายความว่ายิ่งโกหกมากขึ้นเท่าไร ใจก็ยิ่งอึดอัดทรมานมากขึ้นเท่านั้น มองไปทางไหนความจริงทั้งหลายดูน่าบิดเบือนให้ผิดจากเดิมไปหมด

    แม้ ขยับปากเอาตัวรอดหรือสร้างภาพให้ดูดี เช่น คนที่บ้านถามว่าไปไหนมา ความจริงเราไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูง แต่เราไพล่พูดโกหกว่าไปช่วยงานสำคัญที่นั่นที่นี่ ปากของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดัดจิตให้เบี้ยวบิดผิดรูปแล้ว เพียงคำลวงเล็ก ๆ ก็จุดชนวนความคิดไม่ตรงไปตรงมาได้ ต่อไปเมื่อต้องตอบแบบเสียภาพลักษณ์นิดเดียว ระบบความคิดของเราจะพยายามสร้างคำพูดไปในทางรักษาภาพทันที โดยไม่คำนึงว่าภาพดี ๆ จะมีความจริงปนอยู่ด้วยมากน้อยเพียงใด

    ความ คิดในทางปั้นน้ำเป็นตัวจะลดความฉลาดในการอธิบายให้คนเข้าใจความจริง ทั้งที่พูดความจริงโดยไม่ต้องให้คนฟังเสียความรู้สึกก็ได้ แต่เพราะมัวไปเชื่ออยู่ว่าขืนพูดความจริงก็พังเท่านั้น เลยเท่ากับปิดโอกาสฝึกใจให้ซื่อ ฝึกคิดให้ฉลาด น้อยคนจึงสามารถพูดแบบให้เกิดเรื่องดี ๆ โดยไม่ต้องแต่งเรื่องหลอก ๆ ขึ้นมา

    ฉะนั้น เพียงไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะเว้นขาดจากการโกหก ก็นับว่ามีโทษแล้ว เพราะเมื่อถูกตั้งเงื่อนไขให้เกิดโลภะอย่างแรงกล้า ความอยากสบายใจก็ลดระดับแทบไม่เหลือ ยังผลให้สติพร่าเลือนลง เปิดช่องให้โลภะเข้าครอบงำจนโง่เขลา หลงนึกว่าบาปแห่งการโกหกเป็นสิ่งสมควรทำยิ่งกว่าบุญแห่งการพูดความจริงให้ เกิดประโยชน์
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ๓) ความเป็นอยู่ที่เลวร้าย

    ไม่ มีความ รู้สึกอึดอัดอันใดย่ำแย่ไปกว่าความรู้สึกอึดอัดอันเกิดจากการโกหก เพราะบาปข้ออื่นยังทำลงไปแบบมีเหตุผลให้โล่งใจกันได้ เช่น เราอาจฆ่าโจรโฉดตามหน้าที่ของตำรวจ เราอาจโกงใครเพราะเขาโกงก่อน เราอาจกินเหล้าเพื่อไม่ให้คนรินเสียใจ แต่ถ้าต้องฝืนใจโกหกครั้งหนึ่ง เราก็ต้องฝืนทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับความจริงอันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หนึ่งครั้ง เมื่อสั่งสมมากแล้ว ในที่สุดทั้งอกทั้งใจก็ เต็มแน่นไปด้วยความอึดอัดครัดเครียด และสับสนอยู่กับตนเองว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ อันไหนตื่นอันไหนฝัน เห็นความจริงเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อ กับทั้งมีนิสัยดื้อด้าน ไม่ยอมรับความจริงอย่างน่าสลดสังเวชได้

    เมื่อบาปจากการการโกหกถูก สั่งสมมากแล้ว คนโกหกย่อมเลื่อนฐานะเป็นคนลวงโลก ดูเผิน ๆ เหมือนโกหกได้หน้าตาย คิดแต่งเรื่องได้เป็นตุเป็นตะในเวลาอันรวดเร็ว หลอกได้แม้กระทั่งเครื่องจับเท็จ ซึ่งสะท้อนว่าสามารถสะกดจิตตัวเองให้สำคัญไปว่ากำลังพูดเรื่องจริงอย่างเป็น ธรรมชาติ แต่นั่นแหละคือความผิดธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง จนก่อให้เกิดกระแสในตัวที่น่าระแวง ไม่ชวนให้อยากคบ อยู่ใกล้แล้วอึดอัด เหมือนอีกาที่ซื่อกับใครไม่เป็น หรือเหมือนลิงที่พร้อมจะล้อเลียนเราทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    การโกหก หลอกลวงแต่ละครั้งคือการบิดเบือนความจริง ซึ่งก็มีผลสะท้อนให้ความจริงของเราบิดเบี้ยวไปด้วย อาจจะในรูปของการโดนใส่ไคล้ หรืออาจจะในรูปของการถูกเข้าใจผิด คิดให้ดีก็สมกันแล้ว ไม่มีทางที่เราจะบังคับใครต่อใครให้พูดถึงเราตรงตามความจริงไปทั้งหมด เท่า ๆ กับที่เราเองก็ไม่ได้พูดถึงตัวเองตรงตามจริงทุกครั้ง เช่นที่เป็นกันมากคือโกหกเพื่อรักษาหน้า ไม่ยอมรับผิด เป็นต้น

    จิต ของคนลวงโลกย่อมมีความบิดเบี้ยว กลับกลอกไปมา แม้แต่เจ้าตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ว่าจะให้ชอบอะไรหรือรักใคร คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอนที่โยกเยกไหวเอนอยู่เกือบตลอดเวลา

    จิต ที่ บิดเบี้ยวย่อมเหมาะกับภพใหม่ที่เบี้ยวบิด เต็มไปด้วยความหลอกหลอนให้ผิดหวัง วันนี้นึกว่าดี พรุ่งนี้กลายเป็นร้ายให้ช้ำใจ น่าอึดอัดระอา ถ้ายังมีวาสนาพอจะเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ก็ย่อมตกอยู่ในภาวะผันผวนไม่แน่นอนอย่างรุนแรง

    หาก ตายเยี่ยงคนลวงโลก ผู้ยังไม่อิ่มไม่พอกับการปั้นน้ำเป็นตัว แต่ยังพอมีบุญพยุงไม่ให้ร่วงหล่นถึงนรก ก็อาจไปเสวยภพของพวกหาสัจจะได้ยากในระดับเดรัจฉานภูมิ เช่น อีกา หรือลิงป่าบางจำพวก เป็นต้น

    แต่หากตาย เยี่ยงคนลวงโลกที่ดีแต่เยาะ หยัน เห็นคนอื่นโง่กว่าตนเสมอ ก็จัดว่ามีความเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ที่ถูกกดขี่อย่างน่าสะพรึงกลัว ดังเช่นนรกภูมิสถานเดียว!

    ที่มา : โทษของการเป็นคนลวงโลก
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วันเพ็ญ [SIZE=-1]

    พระจันทร์วันเพ็ญส่องสว่างกระจ่างฟ้า สาดแสงลูบไล้แผ่นดินไปไกลสุดสายตา แม้ดึกเพียงใด ความมืดของราตรีกาลก็มิอาจลบเลือนความสว่างของพระจันทร์ได้เลย
    [/SIZE]

    ความสว่างนั้นปรากฏ ณ ที่ใด ย่อมขับไล่ความมืดให้เลือนหายไป ส่วนความมืดนั้นกลับไม่สามารถผลักไสความสว่างไปได้แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ยิ่งมืดมนเท่าไร ก็ยิ่งขับความสว่างให้โดดเด่นกระจ่างใสยิ่งขึ้น


    บุคคลที่เข้าถึงธรรม จิตใจย่อมสว่างกระจ่างดังพระจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยความมืดมน ผู้คนถูกครอบงำด้วยกิเลส ตำหนิติฉิน มุ่งร้ายหมายแกล้ง แต่ก็มิอาจทำให้ทุกข์ระทมหรือหม่นหมองได้


    บุคคลที่มีจิตใจแจ่มกระจ่างด้วยปัญญา ย่อมสามารถขับความหลงออกไปจากใจของผู้คนรอบข้าง ปลุกสติให้กลับคืนมา


    ปุถุชนนั้นจะสุขหรือทุกข์ ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหรือผู้คนแวดล้อม แดดร้อน ก็ทุกข์ ลมเย็นต้องตัวจึงสุข ยินดีเมื่อได้รับคำสรรเสริญ ขุ่นเคืองเมื่อถูกตำหนิ แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรม ย่อมเบิกบานสดชื่นอยู่เสมอ แม้แวดล้อมด้วยปัญหา ความขัดแย้งและแรงเสียดทาน ยิ่งคนพาลมารุมล้อม คุณงามความดีของผู้ใฝ่ธรรมยิ่งปรากฏโดดเด่นเพียงนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24 KB
      เปิดดู:
      70
  17. mutchalin

    mutchalin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +201
    หวัดดีค่ะพี่นุ๊ก ดีใจจังที่เจอห้องนี้ ขออณุญาติอ่านและcopy ด้วยนะคะ

    แวว สองเมือง
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะ คุณสองเมือง ยินดีต้อนรับสู่ห้องคนอวดรู้ค่ะ
    และยินดีสำหรับข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการจะก๊อปไปนะคะ
    *****************
    เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นลาภอันประเสริฐแล้ว

    เกิดเป็นมนุษย์ เป็นลาภ เป็นบุญกุศลอันประเสริฐ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากนักหนา เพราะว่าวาสนาบารมียังไม่ถึงที่จะได้มาเป็นมนุษย์มักต้องไปเกิดอยู่ในภพภูมิ ที่ต่ำกว่าคือเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตอสุรกายหรือสัตว์นรกอยู่นานและมากมายกว่าจะได้หวนมาเป็นมนุษย์แต่ละ ครั้ง ยากนักยากหนา

    เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บ้างก็มั่งมีศรีสุข ร่ำรวย ผิวพรรณวรรณะผ่องใส บ้างก็เกิดในตระกูลต่ำทราม วรรณะผิวพรรณไม่ผ่องใส แล้วแต่บุญกุศลที่สร้างสมอบรมมา ถ้าบุญประกอบ คิดนึกอะไรก็จะเป็นได้ตามปรารถนา

    มนุษย์มี ๒ แบบ แบบแรก สะสมวัตถุต่างๆ เพื่อให้กายอยู่เย็นเป็นสุข แบบสอง สะสมบุญกุศล ทั้งมีสร้างสมมาแต่ปางก่อน มาชาตินี้ นิสัยปัจจัยก็ตามมาอีก "ความสะสมบุญนำสุขมาให้" บุญกุศลที่ทำไว้แต่ชาติที่แล้ว ติดตามเรามาอยู่ บุญกุศลเป็นของละเอียด ถ้าบุญกุศล ไม่รักษา จะไม่สุขเท่า บุญกุศลนั้นจะพร้อมทุกอย่างทั้งสมบัติภายนอกและสมบัติภายใน คนที่เกิดมาร่วมกัน ก็เคยสร้างสมบุญกุศลมาคล้ายๆกัน

    หากสร้างสมบาปอกุศล ก็จะไม่สมบูรณ์ทั้งกายและใจและทรัพย์สมบัติ เพราะว่าอกุศลที่สร้างไว้แต่ชาติก่อนโน้นก็จะมาย่ำยี อกุศลย่ำยี สุขภาพย่ำแย่ การเงินก็ไม่ดี ถ้าสร้างสมบุญกุศลไว้มากๆ ชาติหน้าชาติต่อไปก็จะดี หมั่นสะสมบุญกุศลไว้เรื่อยๆ เพราะว่านอกจากในความเป็นมนุษย์แล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศลมนุษย์สะสมอะไรได้บ้าง สิ่งที่มนุษย์สะสมได้คือ การทำทาน - การรักษาศีล และการเจริญเมตตา ภาวนา

    เป็นมนุษย์เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้ทำทาน ในอัตภาพอื่นไม่มีโอกาสแล้ว ถ้าเราทำไว้มาก ความปรารถนาที่ดีก็จะสำเร็จสมดังหวัง ในเทวโลกมีปริมาณมากกว่าจำนวนมนุษย์ มนุษย์มีนิดเดียวเพราะกายหยาบ อยู่กันนิดเดียวก็แออัดแล้ว ส่วนเทพเจ้าแม้จะอยู่เป็นโกฏิๆ ก็ไม่อัดแอกันเพราะท่านมีกายอ่อนกายละเอียด แต่เทพหรือสัตว์เดรัจฉาน ทำบุญกุศลไม่ได้ มนุษย์ทำบุญกุศลได้ตามความปรารถนา ทั้งทำทาน รักษาศีลและเจริญเมตตา ภาวนา ได้ทั้งสิ้น เทพเจ้านั้นถ้าบังเอิญไปอยู่บนเทวโลก ในช่วงเวลาที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด ก็จะมีโอกาสได้ฟังธรรมเพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อตรัสรู้แล้วก็จะเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนเทวโลก

    มนุสสเทโว ได้มาจากความเป็นมนุษย์ ต้องสร้างความเป็นมนุษย์ให้เป็นเทโวคือเป็นมนุษย์เทวดาเสียก่อน
    มนุสสเปโต คือมนุษย์ที่ไม่มีโอกาสได้สร้างบุญกุศล มีแต่ความทุกข์ยากตลอดเวลา

    ดังนั้น เร่งสร้างกุศลดีกว่า อย่าให้กาลเวลาล่วงไปๆ ความเป็นมนุษย์ทำได้ทุกอย่าง อย่าให้เสียเวลาที่เกิดเป็นคน เป็นมนุษย์

    มีสามี ภรรยา สองคนอุ้มลูกน้อยเดินทางไป ทั้งสามอดอาหารมาหลายวัน เดินทางไปได้สามวันพบนายโคบาลเอาอาหารให้สุนัขกิน คนที่เป็นสามีคิดว่าสุนัขนี้กินดีกว่าตน คิดว่าเกิดเป็นสุนัขก็ดีพอดีอาหารไม่ย่อย ผู้เป็นสามีตายลงก็ไปเกิดเป็นสุนัขตัวผู้ในท้องแม่หมาตัวที่ตนเห็นนั่นเอง ใกล้บ้านนายโคบาล มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งท่านพำนักอยู่ สุนัขตัวผู้ตัวนี้เติบโตไปพร้อมกับมีหน้าที่เดินตามนายโคบาลเพื่อนิมนต์พระ ปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหาร เดินตามนายโคบาลไปๆ มาๆ วันละหลายๆเที่ยว เป็นวัน เป็นเดือน บางวันก็ถูกใช้ให้ไปตามพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยการไปเห่าเรียก (นิมนต์) ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเดินตามมาฉันอาหารก็มี อยู่มาวันหนึ่งมีคนเอาผ้ามาบังสุกุล พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงบอกกับนายโคบาลว่าตั้งแต่วันนี้จะไม่อยู่แล้วเพราะจะ ต้องไปตัดผ้าเนื่องจากจีวรเก่าขาดแล้ว นายโคบาลนิมนต์ไว้ว่าเมื่อเสร็จแล้วก็นิมนต์ท่านกลับมาอีก สุนัขตัวนี้ก็ได้ยินด้วย แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปแล้วไม่กลับมา สุนัขเกิดความห่วงใยพระปัจเจกพุทธเจ้ามากจนอกแตกตาย ไปเกิดในเทวโลก และอานิสงส์ที่เห่าหอนคอยนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้านี้เอง ก็ทำให้เมื่อไปจุติบนเทวโลกแม้จะพูดเพียงเสียงกระซิบก็จะเสียงดังได้ยินไป ทั่วเทวโลกจนได้ชื่อว่า "โฆษกเทวบุตร" (คือ ผู้มีเสียงดัง) เพราะอานิสงส์นั้น เมื่อสิ้นอายุขัย ก็ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นเศรษฐีชื่อโฆษกเศรษฐิ ต่อมาก็ลามารดาบิดาไปบวชและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นเอง

    ดังนั้น สร้างสมบุญกุศลไว้ให้เยอะๆ ขนาดเป็นเพียงสุนัขที่ให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาไม่เป็น ยังเป็นขนาดนี้เพราะ "การได้เห็นสมณะแล้วเกิดความยินดี ก็เป็นบุญกุศล" พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็มาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ ในอัตภาพที่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มีที่อื่นๆ ไม่มีในอัตภาพอื่น


    พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร
    วัดป่านาสีดา จ.อุดรธานี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ima.jpg
      ima.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.3 KB
      เปิดดู:
      50
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หนทางสู่การหลุดพ้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่าชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่ง ร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ

    ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้งเพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

    ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็นจะขาดเสียไม่ได้ ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้

    ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกายเป็นผู้สั่งบัญชางานให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดหรือ?


    โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 204205-7.jpg
      204205-7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.7 KB
      เปิดดู:
      68
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ธรรมะสอนใจ คำเทศน์ของพระปัจเจกพุทธเจ้า (พระองค์หนึ่ง)

    - ความดีของพวกเธอ คือ พรอันประเสริฐ สุนทรแล้ว

    - ทุกคนทรงได้ในฌาน ตั้งใจอธิษฐานกุศลให้แก่ผู้ปกครองบ้านเมือง ผู้ที่รักษาชาติ ผู้ที่ช่วยชาติ ตลอดจนบรรพบุรุษ

    - ความดี คือ การกระทำ ที่ถูกต้องตามธรรม (ธรรม หรือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ) ฉะนั้น เรียกความดีว่า การกระทำที่เป็นคุณ อานิสงค์ของการทำความดี มีมากสุดที่จะพรรณาได้ ความดีแบ่งออกได้เป็น 3 อย่าง คือ
    ๑. ความดีทางกาย
    ๒. ความดีทางวาจา
    ๓. ความดีทางใจ

    - อานิสงค์ที่จะรับความดีได้มากที่สุด คือ อานิสงค์กระทำความดีทางใจ ถ้าทำได้ทั้ง ๓ ทางจะดีมาก ความดีทางกาย คือ การกระทำในบุญ เช่นสร้างพระ ถวายของพระ การกระทำความดีทางวาจา คือ ชอบพูด พูดปรัชญา พูดเตือน การพูดต้องประสงค์ให้ผู้ฟังได้เกิดผล เป็นความดีออกมา ความดีด้วยใจ คือ เจตนาจะกระทำความดี คิดสร้างพระ เป็นต้น รวมแล้วความดีนี้ควรทำทั้ง 3 ทาง

    - อันที่ 1 ความดีทางกาย มีอานิสงค์ทดแทนเราทางร่างกายเช่นเดียวกัน มีอานิสงค์อย่างน้อย 5 ชาติ อย่างมาก 1 กัป ทำความดีด้วยวาจา อานิสงค์อย่างน้อย 3 ชาติ อย่างมาก 1 ใน 3 ของกัป ทำความดีที่ใจ อานิสงค์ 6 ชาติ อย่างมาก 1 กัป กับอีก 1 ส่วน 2 ถ้าทำความดีพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง ก็ได้ถึง 10 มหากัป เป็นอย่างยิ่ง

    - บุญเราทำด้วยพลังแค่ไหน อานิสงค์ทุกชาติก็ขึ้นอยู่กับกรรมตัดรอน คือ บุญมีอยู่ แต่กำลังอ่อน เจ้ากรรมนายเวรนั้น คือ ผู้ที่เคยได้รับทุกข์เพราะเราและยังฝังใจที่จะสนองเรา ส่วนการกระทำที่เราก่อโดยไม่มีผู้สนอง เช่น ด่าพระ ข้ามเศียรพระ เช่นนี้ ผู้คุ้มครองเค้าสนองกรรม เหมือนกระทำของปลอมออกมาใช้ แล้วตำรวจจับ แต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขามาเกิดแล้ว ส่วนก็ยังคงอยู่ คนทำบุญมากก็พ้น เหมือนกับเธอทำงานให้นายจ้าง แล้วทำของเขาเสียหาย แต่เธอเป็นผูทำงานเก่งก็พ้นไป

    - ศีล เป็นทางนำใจคนให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูก คือ ความดี สมาธิ เป็นสิ่งที่ก่อให้ทุกคนชำระจิตใจออกจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน หัดใจให้เป็นสามัญสำนึก ปัญญา เป็นแสงสว่างชี้ทางที่ควรจะดำเนิน

    - ศีล มีองค์ควบคุม คือ เมตตา กรุณา สมาธิ มีองค์ควบคุม มี มุทิตา อุเบกขา ปัญญา มีองค์ควบคุม คือ อริยสัจ 4

    - เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราก็จะรู้ถึงแผนความชั่ว เมื่อประจักแล้วก็เจริญวิธีอันทำให้จิตสงบ คือ วิปัสสนาญาณ เมื่อจิตสงบแล้ว เราจงใช้อิทธิบาท 4 มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ดำเนินไปอย่างสงบ

    - คนเราถ้ายืนอยู่ที่สูงก็จะมองเห็นที่ต่ำสะดวก รู้เห็นแล้วก็วางแผนได้คิดกันให้พอ คนๆหนึ่งเดินอยู่ริมแม่น้ำเขามองไปในน้ำ แล้วรำพึงกับตัวเองว่า สัจจะทำให้เป็นสุข หมายความได้อย่างไร รู้ไหม

    - สัจจะ คือความจริง ความจริงคือธรรมะ หรือ ธรรมดา หรือธรรมชาติ ฉะนั้น คนเขายืนอยู่ริมน้ำ เขามองว่าน้ำ มันเป็นเงา เห็นได้ สะท้อนได้ เห็นซึ่งตัวตนของเขา ว่าเขาเป็นคน ฉะนั้น น้ำเป็นธรรมชาติที่ต้องเหลว มีประโยชน์ มีความธรรมดา คือให้ความเห็น คือเห็นรูปได้แก่เรา

    - น้ำนั้นให้ความจริง เห็นรูปร่างทั้งส่วนดีและไม่ดี แต่เขารำพึงว่าสัจจะทำให้สุข คือใจของคนถ้ารู้จักมอง รู้จักสะท้อน ดูรูปร่างส่วนดี ส่วนเสียของคนแล้วรู้คิดให้เป็นธรรมดา ยอมรับนิสัยสันดานของคนว่าเป็นธรรมชาติของคน รู้จักกรรมดี กรรมชั่วว่าเป็นธรรม นั่นเป็นความรู้ เกิดปัญญาแตกฉาน เข้าใจ และคิดออก เขาจึงเป็นสุข


    (จากหนังสือพรสวรรค์ โดยคณะพรสวรรค์)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...