อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093

    พี่กูนบอกไม่ไหว แค่ผ่อนระยะยาวก็มึนแล้ว นี่ขอเลย คงต้องแกล้งมึนละครับงานนี้
     
  2. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  3. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  4. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  5. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  6. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  7. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093

    นั่นงัยว่าแล้ว พี่กูน เมา ซะแล้ว งานนี้
     
  9. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  10. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  11. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093
    อารมณ์ฌานที่หลวงพ่อปานสอน โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    เมื่อเข้าบวชได้ ๓ วันนับตั้งแต่วันออกบวช หลวงพ่อปานท่านสั่งให้รักษาอารมณ์ ลมหายใจเข้าออก ท่านถือเป็นหลักใหญ่ ก่อนภาวนาท่านให้ปลงขันธฺ ๕ ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ต้องอธิบายนะ และสอนให้ใคร่ครวญอารมณ์ชั่วที่ใจให้ระงับเสียชั่วคราว คือ นิวรณ์๕ ได้แก่ การพอใจในรูปสวย เสียงเพราะหรือเสียงประจบใจ กลิ่นที่ชอบใจ รสอร่อยจากรสอาหารหรือรสสัมผัส และให้ตั้งอารมณ์เมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรับคนและสัตว์ทั้งโลก ตัดความสงสัย ตัดอารมณ์นอกรีต นอกรอยที่คิดเกินครูสอน ระงับความง่วงเมื่อมันเข้ามาขัดจังหวะ แต่ไม่ให้ทนง่วงจนเกินพอดี ท่านบอกว่าจะเกิดโรคประสาท เขาจะหาว่าทำกรรมฐานบ้า ความจริงทำกรรมฐานให้รักษาอารมณ์ให้เป็นปกติเป็นเป็นการปฎิบัติตัดอารณ์บ้า แต่ถ้าใครทำจนบ้า คนนั้นเป็นคนทำเกินพอดี เกินคำสั่งของพระพุทธเจ้า เรียกว่าศิษไม่เชื่อครู เรื่องการพยายามเกินพอดีท่านกำชับมาก ห้ามทำเด็ดขาด ถ้าทราบจะถูกประณามในที่ประชุม ท่านสอนการใคร่ครวญท่านให้ทำให้มาก เมื่อมีอารมณ์ระงับความชั่วได้แล้วและพอมองเห็นจริงกับไตรลัษณ์บ้างแล้ว จึงให้ภาวนา วิธีสอนของท่านมีผล ๒ ทาง คือ

    อารมณ์คิดหรือไคร่ครวญเป็นการปล่อยให้เรือไหลไปตามระแสน้ำ คือไม่เอาเรือขวางเมื่อน้ำเชี่ยว ทั้งนี้เพราะจิตมีความสัมพันธ์กับความคิดที่ไม่มีขอบเขตมาแล้วหลายแสนกัป คิดเป็นชาติ เกิดก็หลายล้านชาติ ทุกชาติที่เกิดมันคิดตามอารมณ์ของมัน ไม่มีใครห้ามปรามมัน มันมีอิสระในความคิด ตอนนี้เราจะเกิดมาห้ามมันคิด เอะอะก็ห้ามมันเลย มันจะไหวเหรอ ท่านให้คิดก่อน แต่หาเรื่องให้คิดมุมกลับ คือ คิดตัด คิดระงับ แต่ไม่ตัดไม่ระงับทันทีทันใด เช่น คิดถึงรูป มันต้องมองความสวยกันก่อน เมื่อจะระงับอารมณ์ที่ติดในความสวย คราวนี้ต้องแก้ผ้าคนสวยกัน เมื่อแก้ผ้าแล้วยังเห็นว่าสวย ต้องผ่าท้อง กันเอาตับไตใส้ปอดออมาดู คราวนี้จะมีอะไรสวย มันก็หมดเรื่องกัน

    เมื่อหาเรื่องให้คิด จิตพอมีอารมณ์สบาย แม้ไม่มีโอกาสเที่ยวใกลนักแต่ยังมีโอกาสเที่ยว อารมณ์กลุ้ม บรรเทา อันนี้ เป็นวิธีบรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิต

    อันดับ ๒ เมื่อใคร่ครวญตามนั้นก็เกิดอารมณ์เบื่อใน รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส หมดความสงสัยเพราะเห็นจริงกับความจริงที่มองเห็น เกิดอารมณ์ยับยั้งใจไม่ดิ้นมีอารมณ์เบื่อ หมดสงสัยใจก็เป็นสมาธิง่าย

    ถ้าพิจารณาไม่เห็นตอนความเปลี่ยวไม่ลด ท่านห้ามภาวนา เมื่อทำตามท่านรู้สึกว่ามันง่ายจริงๆ ใคร่ครวญพอสมเหตุผลแล้วเริ่มจำความเคลื่อนใหวของลมหายใจ จับภาพพระโดยเฉพาะหลวงพ่อองค์ยิ้มง่ายมากและแจ่มใสชัดเจน ทรงอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง

    คืนที่ ๒ ลองตั้งอารมณ์อย่างนั้น ๕ ชั่วโมง เห็นทรงได้สบาย จะทรงอารมณ์เมื่อไหร่ก็ได้ พอย่างวันที่ ๓ ยิ่งมีความคล่อง ทรงอารมณ์ได้ฉับพลัน นานเท่าไหร่ก็ได้ พอเช้าวันที่ ๔ เวลาฉันข้าวเช้า หลวงพ่อท่านฉันอิ่ม ท่านวางมือ มองไป มองมา ท่านหัวเราะและพูดว่า เอ่อเจ้ากระทิงเปลี่ยว ๔ ตัว มันเก่งวะ มันทรงฌาน ๔ ทั้ง ๔ องค์ น่ารักนะ เขามา ๓ วัน เขาทรงฌาน ๔ ได้ พวกที่บวชพระก่อนเขาได้อะไรกันบ้าง เรื่องของฌานที่ท่านบอกฉัน ฉันไม่เห็นมีอะไร มีอารมณ์สบายและตั้งมั่นเท่านั้น ไม่เห็นมีรูปร่าง คิดว่าหนังสือที่เขาเขียน เขียนมากไป ถ้าเราทรงฌานจริง ไม่มีอะไร นอกจากใจไม่กังวล รักษาอารมณ์ให้ทรงตัวเท่านั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์อะไรเลย
     
  12. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  13. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    [​IMG]


    [​IMG]

     
  14. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093
    เห็นพี่อ้วนอยากอ่าน เลยนำมาลงให้ครับ


    การเปรียบเทียบบาปกับบุญ : หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    เรื่องนี้มีคนถามมาหลายคนว่า ทำบาปมาตั้งมากมายแต่ทำบุญนิดเดียวแล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร ก็ขอเอาถ้อยคำของพระนาคเสนกล่าวตอบพระยามิลินท์มาให้ทราบ พระนาคเสนท่านเปรียบบาปมีอุปมาเหมือนก้อนหิน บุญมีอุปมาเหมือนเรือ เรือจะใหญ่มากใหญ่น้อยจอดลอยไว้ ก้อนหินจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ถ้าเอาก้อนหินโยนลงไปในเรือ เมื่อหินตกลงไปในเรือแล้วหินจะจมน้ำไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาก้อนหินโยนลงไปในน้ำหินมันก็จม การที่หินในเรือไม่จมก็เพราะเรือขวางไว้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดจิตใจของคนก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า “จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าจิตออกจากร่างมีอารมณ์เศร้าหมองก็ไปสู่ทุคติ คือ อบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน “จิตเต ปริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าเวลาจิตจะออกจากร่างมีความบริสุทธิ์ นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติ คือสวรรค์ก่อน ถ้าหมดอำนาจของความดีคือบุญ ก็จะกลับมารับโทษตามเดิม เว้นไว้แต่บำเพ็ญบารมีต่อ ข้อนี้อุปมาได้เหมือนกับคนเรา ถ้าเป็นหนี้เขามากๆ เจ้าหนี้เขาทวง ดีไม่ดีใช้หนี้เขาไม่หมดจะต้องติดตะรางแทนหนี้ แต่ในขณะที่เจ้าหนี้ทวงอยู่นั้น บังเอิญเราถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ สัก ๒-๓ ใบ มีทุนใหญ่แล้วไม่ชำระหนี้ หนีเจ้าหนี้ไปอยู่ต่างประเทศ เจ้าหนี้ก็ไม่มีโอกาสจะทวงได้ เราก็เป็นสุขสบายเพราะทรัพย์สินที่เรามีอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผู้มีอันจะกินต่อไป กินทุนเก่าถ้าหมดทุนกลับมาที่เก่าเมื่อไร เจ้าหนี้ทวงใหม่ เมื่อนั้นก็จะมีโทษตามที่เราเป็นหนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องบุญกับบาปก็เหมือนกัน

    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุปติฎฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือ เกิดมาตั้งแต่เด็กพอทำงาน แกก็มีปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ฆ่าสัตว์เป็นอาจิณกรรม อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอามาก กาเมสุมิจฉาจาร ท่านชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ ท่านก็ชอบมาก ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทเป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ใครเขามาบอกบุญบอกทาน วัดโน้นเขาจะสร้างนั่น วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเทศน์ก็ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก ฉะนั้น ถ้าพระองค์ไม่ช่วย เธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้วจะต้องไปตกอเวจีมหานรกไล่มาตามลำดับ พอมาเป็นคนก็เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เพราะกฎของกรรมที่คนเขาบอกบุญได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์หรือพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัด

    ต่อจากนั้นก็ต้องเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เพราะใครมาบอกบุญบอกทาน เห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัย หลังจากนั้นก็มาเป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุน เป็นเศษของกรรมจึงจะหมด พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า “ถ้าเทศน์อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรจะไม่ได้พระโสดาบัน จะต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก เพราะว่ามีกรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรมคือ มีอารมณ์หยาบมาก แต่ถ้าเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบก็จะได้พระโสดาบัน โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิดคือ ไม่มีโอกาสจะลงโทษได้ เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์ ถ้ายังไม่ไปพระนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม

    พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบ เกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ ไปพระนิพพาน

    พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลาง เกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ ไปพระนิพพาน

    พระโสดบันมีอารมณ์อย่างละเอียด เกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปพระนิพพาน

    ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มี แต่ทว่าการมีขันธ์ ๕ เป็นคนก็ต้องพบกับเศษของอกุศลกรรม ในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังไม่ได้จุติ

    เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ทำความชั่วมามากแต่ว่ามีความดีนิดหนึ่งก่อนจะตาย เมื่อเป็นเทวดาก็ประมาทในความดี หลงระเริงจนตัวเองจะต้องมารับผลของความชั่ว แต่ว่าได้ดีเพราะท่านอากาสจารีเทพบุตรไปเห็นวิมานเศร้าหมอง เครื่องทิพย์เศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ ตามธรรมดาเทวดาจะมีเครื่องทิพย์ผ่องใสอยู่เสมอ วิมานก็ผ่องใส เหงื่อไม่มี ถ้ามีเหงื่อเมื่อใด เครื่องทิพย์เศร้าหมองเมื่อใด ก็แสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องตายเป็นกฎของเทวดา แต่ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรยังมีบุญอยู่ อาศัยองค์สมเด็จพระบรมครูทรงช่วยจึงพ้นจากนรกไป เมื่อเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ชื่อว่ามีความสุขพ้นจากแดนอบายภูมิแน่นอน
     
  15. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093
    อ่านตอนว่างๆ นะครับ


    การถวายสังฆทานควรมีอะไรบ้าง?
    หลวงพ่อฤๅษีฯ ตอบปัญหาธรรม

    ผู้ถาม :- "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนบอกว่า การถวายสังฆทานควรมี พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบ ตามนี้ไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "ความจริงเราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทาน ในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ น่ะเป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่ง น้ำเพียงช้อนหนึ่งแล้วถวายไป บอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือว่าควรทำแบบนี้ เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อย คือขอเหมือนกัน ที่ฉันแนะนำเขาตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง..?" เขาบอกว่า
    ๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดามีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    ๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

    ผู้ถาม :- "ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จุติจากเทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "อานิสงส์ตามมา คือ
    ๑. มีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัว นี่อำนาจพุทธานุภาพนะ
    ๒. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยากเพราะอาศัยทาน
    ตัวอย่างนางวิสาขา เป็นคนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อนได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูป และปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป จึงเป็นปัจจัยได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ
    และนางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเป็นผู้ชายออกบวชในสำนักพระพุทธเจ้า เมื่อท่านตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ ก็จะได้ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ลอยลงมาสวมตัวทันที ทั้งนี้ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขาเป็นทั้งคนสวยคนรวย และเป็นคนที่มีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ"
     
  16. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  17. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093
    ผู้นับถือศาสนาอื่น ถ้าตายแล้วจะไปนรก-สวรรค์หรือเปล่า?
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

    ผู้ถาม : ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ถ้าตายไปแล้วจะไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่าครับ…?
    หลวงพ่อ : ไปทุกศาสนานะคุณ คือว่าสวรรค์หรือนรกนี่ก็มีเหมือนกัน เรือนจำนี่เขาขังเฉพาะผู้ที่นับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นด้วยล่ะ เขาขังทุกศาสนาใช่ไหม…นั่นฉันใด นรกหรือสวรรค์ก็เหมือนกัน ถ้าทำความชั่วก็ไปนรกแห่งเดียวกัน
    ผู้ถาม ถ้าผมทำความดี ผมจะได้เกิดมาในศาสนาพุทธไหมครับ…?
    หลวงพ่อ ถ้าคุณทำความดี อีกกี่ชาติๆ คุณก็พบศาสนาพุทธตลอด
    ผู้ถาม อย่างนี้ก็หมายความว่า ศาสนาอื่นไม่ดีเท่าศาสนาพุทธซิครับ…?
    หลวงพ่อ เราจะว่าเขาไม่ดีก็ไม่ได้ ศาสนาทุกศาสนาเขาดีเหมือนกันแหละ แต่ว่าคุณปฏิบัติตามแนวทางศาสนาพุทธคุณก็เกิดในเขตของศาสนาพุทธ ถ้าคุณปฏิบัติในเขตของศาสนาอื่น เพราะจิตใจมันจับอยู่ในศาสดาองค์นั้น ก็ต้องไปเกิดในศาสนานั้น นี่เราจะไปถือว่าศาสนาอื่นไม่ดีไม่ได้ศาสดาทุกองค์เขาต้องการให้คนเป็นคนดีทั้งหมด เขาจึงได้บัญญัติกฎปฏิบัติขึ้นมา แต่ว่าถ้าจะถือคุณธรรมของศาสนากันจริงๆ แล้วละก็ของเรามีต่างกับเขาอยู่นิดหนึ่ง ที่เรามีอริยสัจ ศาสนาอื่นเขาไม่สอนด้านอริยสัจ ของเรามากกว่าเขาหน่อย จะดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ก็เป็นเรื่องของการพิจารณาของคนนะอาตมาเป็นพระในศาสนาพุทธ จะมายกย่องศาสนาพุทธมากเกินไปมันก็ไม่ดี ดีหรือไม่ดี พระพุทธเจ้าบอกว่า เชิญมาพิสูจน์เอง
    ผู้ถาม แล้วศาสนาคิด…มีการตกนรกหรือเปล่าครับ…?
    หลวงพ่อ ศาสนาคิด…ถ้าคิดดีๆ ก็ยังไม่ตกนะ คิดหรือคริสต์ ถ้ามันยังคิดอยู่ ยังไม่ตาย ตกได้ยังไง
    ผู้ถาม (หัวเราะ)
    หลวงพ่อ เอาแล้วไง…นี่เป็นคนไทยยังพูดไทยไม่ชัดเลย มันตกเหมือนกันไม่ว่าศาสนาไหนก็ตกเหมือนกัน เพราะว่านรกไม่ใช่ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง คำว่านรก มันเป็นแดนสำหรับการลงโทษสัตว์ เพราะว่าคนที่ทำความชั่วก็ต้องไปเหมือนกันหมด
    ผู้ถาม แล้วเวลาที่ไปปรากฏกายในนรก สัตว์นรกจะแตกต่างกันด้วยผิวพรรณ เป็นไทย เป็นฝรั่งไหมครับ…?
    หลวงพ่อ ที่นั่นมันเป็นผิวนรกทั้งหมดรูปร่างก็เป็นรูปร่างของนรกทั้งหมด ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองไปดูซิ เอาขุมไหนก็ได้
    ผู้ถาม กระผมยังไม่มีความสามารถจะฝึกได้ครับหลวงพ่อ ไม่ใช่…ลงไปอยู่เลย
    ผู้ถาม โอ้โฮ ไม่ไหวล่ะครับ แล้วทำไมมนุษย์เราจึงมากขึ้นครับ…?
    หลวงพ่อ ก็ตายแล้วเกิดใหม่นี่ ถ้าไม่เกิดมันก็ไม่มากใช่ไหม ไอ้ที่เกิดใหม่ หรือมนุษย์มากขึ้น คุณอย่าลืมว่า ไอ้พวกสัตว์นั่นก็คือมนุษย์นะ ที่ทำความชั่วไปแล้วเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย สัตว์นรก ทั้งหมดก็คือมนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็มนุษย์ เพราะรักษาความดี ถ้าหมดความดีก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้าหมดอำนาจความชั่วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ทีนี้ไอ้สัตว์ต่างๆ ที่คุณกินเข้าไปทุกวันๆ นะ คุณมั่นใจหรือว่าจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เข้าใจหรือยัง…อย่าลืมนะว่า สัตว์ทุกประเภทก็คือมนุษย์ที่สร้างความชั่วนั่นเอง
    ผู้ถาม ครับ…เข้าใจแล้วครับ ผมเรียนถามอีกอย่างนะครับคือว่า…เมืองนรกอยู่ที่ไหน…?
    หลวงพ่อ เมืองนรก เขาก็อยู่ที่เมืองนรก เมืองนรกจะไปอยู่ที่เมืองมนุษย์ไม่ได้ คุณอยากจะไปดูไหมล่ะ?
    ผู้ถาม อยากครับ
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซินะ ถ้าคุณเป็นคนไม่มีมานะทิฏฐิ คุณถือว่าคำสอนเป็นคำสอน คุณจะยอมรับปฏิบัติตามคำแนะนำของครู ถ้าคุณอยากจะรู้จักนรก สวรรค์ พรหมโลกหรือนิพพาน ไปพิสูจน์ได้ที่วัดท่าซุง
    ถ้าคุณมีความมั่นใจจริงๆ ไม่เกิน ๓ วัน ไปเที่ยวได้ แต่ว่าคุณจะต้องเชื่อครูนะ ไม่ใช่จิตของคุณมีมานะทิฏฐิอย่างนี้ไม่ได้ เหมือนกับคุณมาเป็นนักเรียนนายร้อย ถ้าคุณเรียนมาจากสถาบันอื่นแล้ว แต่ทว่า
    คุณมาโรงเรียนนี้เขาสอนวิชาทหารคุณถือว่าไม่ใช่ ฉันเคยเรียนมาอย่างนี้ อย่างนี้คุณก็ไม่มีโอกาสจบหลักสูตรนี้ได้ ถ้าคุณต้องการฝึกอภิญญาสมาบัติคุณไปวัดท่าซุงได้ เขามีฝึกกันทุกวัน

    ที่มา : หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
    (หน้า ๔-๖)
     
  18. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093
    คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน
    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

    "..ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ "คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต" สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
    ๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช
    ๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
    ๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ

    ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ "จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

    วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์
    พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"
    ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"
    ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
    ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่าพุทโธ ได้ไหม"
    เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"
    อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"
    เธอก็ตอบว่า "มี"
    ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"
    เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า

    "จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"

    ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
    พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
    ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"
    ถามว่า "เห็นภาพอะไร"
    ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
    ถามว่า "เห็นชัดไหม"
    ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"
    เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
    แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
    ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
    ท่านตอบว่า "เห็นพระ"
    ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
    ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"
    เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"
    ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"
    จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
    ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"
    ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่าพุทโธ"
    ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"
    ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
    รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
    เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
    เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."
     
  19. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    [​IMG]
     
  20. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,039
    ค่าพลัง:
    +53,093
    เรื่องนี้น่าอ่านมากๆครับ


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์
    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    จากหนังสือตายแล้วไปไหน เรื่องที่ ๕๔จากทั้งหมด ๑๗๙ เรื่อง

    ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    เรื่องที่ ๕๔
    “..อาตมาขึ้นไปที่เทวสภาเพื่อไปหาพระกาลตามที่พระยายมราชบอก ก็พอดีท่านพระกาลออกมาจากที่ประชุมตอนนี้ท่านไม่แต่งชุดสีน้ำเงินแก่ ท่านแต่งเป็นเทวดาสวยมาก เพชรแพรว

    พราวเป็นระยับเต็มองค์ทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งหมดที่จะว่างจากเพชรไม่มี และมีแสงสว่างมาก การมีเพชรก็ต้องสังเกตว่า ถ้าธรรมดาๆ เพชรจะสว่างไม่มาก แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเพชรจะสว่าง

    มากขึ้น แต่ว่าท่านพระกาลท่านเป็นเพชรขนาดพระอนาคามี ก็มีความดีใจเพราะเห็นพระอริยเจ้า อาตมาจึงถามท่านว่า “เวลาท่านไปบอกว่าจะตาย ทำไมไม่ตายตามเวลา เทวดามีการโกหก

    ด้วยหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ผมไม่ได้โกหก ที่ผมไปบอกผมเห็นท่านไม่เกรงความตาย จะได้ตั้งใจให้มันแน่วแน่หลังจากบอกท่านแล้วท่านก็ปกติ ท่านก็ยอมรับว่าพร้อมแล้วเรื่องการตาย”

    ท่านบอก “ไม่ใช้คำว่าตายเขาใช้คำว่าไป ไปจากที่นี่ไปที่โน่น”ท่านบอกอีกว่า “ท่านไปนอนอยู่ที่นิพพานสบายใจผมก็เห็น ถึงเวลาตี ๓ ท่านลงมาผมก็เห็น” จึงถามว่า “เทวดาไม่หลับกัน

    หรือ” ท่านก็บอกว่า “เมืองเทวดาก็ดี เมืองพรหมก็ดี เมืองนิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืนกลางวัน เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มันสว่างตลอดเวลา สามแดนนี่ไม่มีการเหน็ดเหนื่อยไม่

    ต้องทำงานทำการ มีงานทางใจอย่างเดียว นึกจะไปไหนมันก็ถึงที่นั้นนึกอยากจะได้อะไรมันก็ปรากฏ ใช้ใจอย่างเดียว เมืองที่ดีจริงๆ ก็คือเมืองนิพพาน มีความสุขตลอดกาลไม่ต้องมีการเปลี่ยน

    แปลง”

    ท่านบอกอีกว่า “หน้าที่ของผมที่จะพึงรับทราบว่าใครจะเกิดหรือใครจะตายใครจะจนหรือใครจะรวย ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหนเป็นหน้าที่ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีที่ต้องการให้รู้จริงๆ

    คือบัญชีที่ท่านพระยายมราชเพราะบันทึกไว้ทั้งบุญและบาป แต่บัญชีของผมบันทึกไว้แต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ใครจะขึ้นมาอยู่สวรรค์ชั้นไหนผมรู้หมด และก่อนที่เขาจะขึ้นมาผมก็รู้ และใครจะ

    ตายเมื่อไรผมก็รู้” ถามว่า “ท่านเป็นพระกาลเพราะอะไร”ท่านบอกว่า “ตามวิสัยของผม สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ผมก็เป็นนักบวชอย่างท่าน ผมบวชได้ไม่นานนักเพียงแค่ ๑๐ พรรษาผมก็ต้อง

    ตายในขณะเป็นพระ” ถามว่า “สมัยที่บวชได้อะไร” ท่านตอบว่า “สมัยที่บวชผมได้อภิญญาโดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าก็แค่พระสกิทาคามี เมื่อตายไปแล้วก็ปฏิบัติตนถึงพระ

    อนาคามี และเวลาที่บวชอยู่ก็ดี เป็นฆราวาสก็ดีผมชอบรู้กาลเวลาของคนและของ เวลาไหนใครจะไปไหน เรียกว่าเป็นหมดดู ผมใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องดู รอบรู้ไปหมด ไอ้ตัวอยากรู้อยาก

    เห็นอย่างนี้ เมื่อตายแล้วเขาเกณฑ์ให้เป็นพระกาลเพราะนิสัยเดิมชอบอย่างนั้น และผมเองก็ชอบรู้ทั้งหมด คนทั้งโลกผมรู้หมดแต่ไม่มีหน้าที่จะพูด”

    ถ้าบรรดามนุษย์มาคุยกับผมได้ จะสนุกมาก ผมชอบคุยแต่ทว่าไม่มีใครมาคุยกับผม คนที่เขาเป็นพิสูจน์เขาบอกว่า นรกสวรรค์พิสูจน์ไม่ได้ ผมฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้าอยากพิสูจน์ได้อย่าง

    อ่อนเอาอย่างเล็กๆ เบาๆ ให้ฝึกสองในวิชชาสามให้ได้ ก็จะเห็นรกได้ เห็นเปรตได้ เห็นอสุรกายก็ได้ เมืองมนุษย์อยู่ขอบเขตแค่ไหนก็เห็นได้ สวรรค์ก็เห็นได้ พรหมโลกก็เห็นได้ ถ้าจิตสะอาด

    เห็นพระนิพพานได้ นี่อย่างเด็กๆ เห็นได้แล้วแต่ไปไม่ได้ ถ้าอยากจะไปให้ได้ด้วยก็ต้องฝึกอภิญญาอย่างอ่อนแล้วก็อย่างแก่ อย่างผมนี่สมัยที่เป็นมนุษย์เวลาจะไปไหนผมลิ่วลอยไปทั้งตัวเลย

    ไม่ใช่ไปเฉพาะอทิสสมานกาย แต่การไปทั้งตัวอย่างเข้มแข็งมันไม่ดี เพราะมันเหนื่อยต้องไปสู้แดด สู้ฝน สู้ลม สู้แบบถอดจิตหรือถอดกายภายในไปไม่ได้ อันนี้ดีกว่ามากไม่มีใครเห็นและก็ไม่

    ต้องใช้นีลกสิณไปบังไม่ให้เขาเห็น อย่างนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่นั่งตักเขายังไม่รู้เลย เขานั่งคุยกันสองคน เราไปนั่งกลางเขายังไม่รู้เลย อย่างนี้ดีกว่า อย่างท่านมานี่ท่านก็มาแต่กายในไม่

    ใช้กายนอกมา กายนอกนอนแหงแก๋อยู่ที่กุฏิ นั่นดูสิ กายนอกมันบิดไปบิดมา ตะคริวกินเห็นไหม”ก็เลยบอกว่า “ปล่อยให้ตะคริวมันกินเข้าไป มันอยากจะกินเนื้อดิบๆ ก็กินเข้าไปเถอะตามใจ

    มัน ฉันไม่สนใจมันหรอก ถ้ามันตายเมื่อไรฉันก็ไม่กลับเมื่อนั้น” ถามท่านว่า “ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” ท่านตอบว่า “ไทยยังคงเป็นไทยตลอดไปอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย

    เพราะคนไทยมีคนที่มีบุญมากปกครองอยู่” ถามว่า “ใคร”ท่านบอกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ครองที่ไหนรุ่งเรืองที่นั่น”

    ท่านพระกาลได้บอกกับอาตมาว่า “เวลานี้ผมเป็นพระอนาคามี เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ผมไม่กลับไปเกิดอีกแล้ว ผมจะต่อนิพพานโดยตรง” ถามว่า “นานไหม”

    ท่านบอกว่า “ไม่นานหรอก ท่านตายแล้วไม่กี่วันผมก็ตามไป”
     

แชร์หน้านี้

Loading...