อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ผู้ถาม:- “เมื่อจิตสงบแล้วเป็นเอกัคคตารมณ์ เราจะพิจารณาตอนนี้ หรือว่าต้องถอนจิตมาพิจารณาครับ?”
    หลวงพ่อ:- “ไม่ต้องถึงอย่างนั้นหรอกโยม เรื่องพิจารณานี่เราจะเริ่มตั้งแต่ตอนต้นได้เลย คือว่าวิธีปฏิบัติเพื่อมรรคผลจริงๆ เขาทำกันแบบนี้นะ คือว่าในตอนนั้นหรือจุดเริ่มต้นน่ะ เราพอใจในอะไร ถ้ามันกระสับกระส่ายก็ใช้อานาปาเข้าควบคุมให้จิตสงบเสียก่อน เมื่อจิตสงบดีแล้ว ก็ถอยมาสู่อุปจารสมาธิมาพิจารณาขันธ์ ๕ ไม่ใช่พิจารณาเฉยๆ ต้องเอาสังโยชน์เข้ามาคุมเป็นพื้นฐานด้วยว่า เราจะตัดจุดไหนกันแน่ พอพิจารณาไปอารมณ์มันจะซ่านออก พอซ่านออกต้องทิ้งการพิจารณาเสีย แล้วมาจับอานาปาใหม่ ให้จิตทรงตัวดีแล้วมีอารมณ์เป็นสุข จิตมันทรงตัวดีก็ไปพิจารณาใหม่ สลับกันไปสลับกันมาแบบนี้นะ นี่เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อมรรคผลจริงๆ
    บางท่านก็พิจารณาได้ดี พอเริ่มต้นพิจารณาอยู่ในขอบเขตได้ดี ตัวพิจารณานี่เป็นตัวตัดกิเลสตรง ถ้าหากว่าใครพิจารณาได้ตลอด โดยไม่ภาวนาเลยยิ่งดีใหญ่ เพราะการพิจารณานี่เป็นตัวปัญญา เป็นตัวตัด อารมณ์ทรงมีจิตเป็นสุข พิจารณาเฉยๆ สบายๆ จนกระทั่งตัดกังวลทั้งหมด กังวลที่ตัด ก็คือร่างกายของเรา เรียกว่าขันธ์ ๕ ถ้าเราตัดตัวเราได้ ก็ตัดคนอื่นได้ ใช่ไหม…ดีไม่ดี เราตัดคนอื่นได้ แต่เราตัดตัวเราไม่ได้ เพราะยังเกาะ
    ฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้ตัดจุดเดียว คือ สักกายทิฏฐิ ใน สังโยชน์ ๑๐ น่ะ ตัดสักกายทิฏฐิจุดเดียว ถ้าอารมณ์มันเบาลงไปหน่อยก็เป็นพระโสดาบัน เบามากไปอีกนิดก็เป็นสกิทาคามี เบามากขึ้นไปก็เป็นพระอนาคามี ตัดได้หมดเป็นพระอรหันต์”
    ผู้ถาม:- “ถ้าผู้ฝึกมโนมยิทธิแล้ว จะทำให้เป็นพระอรหันต์ได้เร็วไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ความจริงพวกที่ได้มโนมยิทธินี่ตัดง่าย เป็นกำไร เพราะว่าพวกที่ได้ทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง และพวกที่ได้มโนมยิทธิอย่างหนึ่ง ท่านมีขอบเขต ท่านบอกว่าคนพวกนี้
    ถ้ามีบารมีแก่กล้า ก็จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้ามีบารมีอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี
    ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ได้เลย ถ้าอ่อนก็ภายใน ๗ ปี อาจจะเป็น ๑ ปีก็ได้”
    .
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๒-๖๔ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)




    [​IMG]
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    " นักปราชญ์ จะไม่มัวหลงงมงายอยู่กับ
    ความรู้ภายนอก อันเป็นโลกียะอภิญญา..

    จุดหมายปลายทางของ..ปวงปราชญ์ราชบัณฑิตนั้น..
    อยู่ที่การกำจัดอาสวะกิเลสที่หมักดอง
    อยู่ในกมลสันดานของเรา ...
    ให้หมดไป สิ้นไป โดยไม่เหลือแม้แต่ เชื้อ ต่างหาก "

    ......................................................................

    คติธรรมคำสอน...หลวงปู่ชอบ ฐานสโม




    [​IMG]
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    "..การที่เราศึกษา ธรรมะ..ก็เพื่อให้เราไม่หลง
    คือ..ทำให้เราเข้าใจ ..ไม่หลงทาง
    เราทุกคนถ้าทำอะไรที่ไม่หลงแล้วก็ตาม
    เป็นเรื่องที่มันทำยากเหลือเกิน..

    แต่อย่างไร..ก็ตามพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
    ทรงกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้
    และให้เดินทางถูกต้องได้...
    พระสาวกก็เหมือนกัน จนมาถึงพวกเราๆ นั้น
    ก็เหมือนกัน ก็จะเป็นผู้สามารถรู้และเข้าใจ
    ขัดเกลากิเลสออกจาก ดวงใจได้
    ด้วยสติปัญญานั่นเอง ...!!

    เหตุฉะนั้น"" พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ว่า ...
    มีทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ..
    ทรัพย์ก็มีอยู่ภายใน และภายนอก
    คนทั้งหลายก็ต้องแสวงหาซึ่งทรัพย์ภายนอกแล้ว
    และ... ก็ต้องแสวงหาทรัพย์ภายในด้วย
    แต่ส่วนมากคนที่ไม่ได้ใส่ใจ
    ไม่ขวนขวาย...เข้าวัดฟังธรรมจำศีลและปฏิบัติ

    นั่นก็คือ ...ต้องคิดแสวงหาอยู่แต่ทรัพย์ภายนอก
    แต่ทรัพย์ภายในนั้นก็ไม่ได้แสวงหา
    เราก็เห็นได้ว่า ทรัพย์ภายนอกก็เป็น
    สิ่งที่อำนวยความสะดวก ให้สุขในพักหนึ่งในระยะหนึ่ง..'

    ................................................................

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่



    [​IMG]
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ ระยอง.
    เกจิตำนานแห่ง สยาม (ลองอ่านดู และคิด ไตร่ตรองบทความในโพสต์นี้
    ให้จงดี ) พระธรรมเทศนา เรื่อง ” ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ”

    “…นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ)

    มาบัดนี้อาตมาใคร่แสดงธรรมสั่งสอนของพระพุทธองค์ เพื่อที่ทุกท่านจะได้นำไปใช้ดำเนินในชีวิตให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านเป็นศาสดาเอกของโลก ท่านรู้เอง เป็นอนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ คือเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่านี้อีกแล้ว และเราทำไมไม่ตั้งใจรำลึกถึงพระองค์บ้าง วิธีรำลึกถึงพระองค์ ก็ให้หลับตาภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ เพราะพุทโธ แปลว่าผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระพุทธองค์ คือ ๑. ผู้ตื่น คือ ตื่นจาก กิเลส
    ๒. ผู้เบิกบาน คือ ผู้เปรียบได้กับดอกบัวที่แย้มบาน เปรียบหมายถึง ผู้ที่ตื่นจากการหลับไหลด้วยอำนาจของกิเลสนั่นเอง ..

    หลับตาให้เห็นรูปพระพุทธเจ้าให้อยู่ในใจเราตลอด อย่าพะวักพะวงไปที่อื่น ถ้าหากจิตนึกไปอยู่ในกาม รูป เสียง กลิ่น รส แสดงว่าจิตนั้นยังติดอยู่ในกิเลส สมาธิก็หาเกิดไม่ ความนิ่งเฉยก็ไม่มี เมื่อจิตนิ่งเป็นสมาธิแล้วก็ให้คิดซิว่า
    ..วันนี้เราทำอะไรไว้บ้าง ดีหรือชั่วอย่างไร ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ความดีความชั่วในใจนั่นเอง เมล็ดมะม่วงกว่าจะโตขึ้นเป็นต้นมะม่วง เมล็ดมะปรางกว่าจะโตเป็นต้นมะปราง เมล็ดของต้นอะไรโตขึ้นก็เป็นต้นไม้อย่างนั้น เช่นนั้น.

    บุญและบาปเป็นสิ่งหนึ่งที่คอยควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่เป็นวิญญาณคอยควบคุมโชคชะตาของมนุษย์ ฉะนั้นทำความดีไว้เถิด ไม่เสียหายอะไร ทำไปเถิดเดี๋ยวได้ผลตอบแทน ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าแล้ว ชาตินี้ก็เห็น

    แต่ถ้าเราคิดว่า ทำความดีแล้ว ต้องได้ดีอย่างโน้นอย่างนี้ หรือทำบุญ ๑๐ บาท ก็ขอให้ถูกหวย ล้านบาท ก็เป็นไปไม่ได้ เราทำความดี อย่าไปคำนึงถึงผลตอบแทน ทำไปเถิดถ้าคิดว่าสิ่งนั้นทำไปแล้วเราสบายใจ ถึงแม้ว่าเรายังไม่ได้สิ่งตอบแทนในตอนนี้ แต่เราก็ได้ความสบายใจไม่ใช่หรือ? เมื่อใจสงบ นิ่ง เฉย สมาธิก็เกิด ความอิ่มเอมในจิตใจก็ดีขึ้น ปัญญารอบรู้ก็เกิด ทำให้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

    ต้นไม้พันธุ์ดี แต่ถ้าปลูกในที่ซึ่งไม่เหมาะกับพันธุ์อย่างนั้น ต้นไม้นั้นก็คงไม่เกิดหรือเกิดแต่ไม่สวยไม่งาม ไม่มีผลมาก เช่นเดียวกับคนดี ถ้าอยู่ผิดที่ก็อาภัพได้ ความดีไม่ให้ผลเท่าที่ควรจะให้ หรือคนดีร่างกายไม่สมประกอบ ก็อาจน้อยใจไม่ประกอบความดีก็ได้ หรือคนดีบางคน ถ้ายังไม่ถึงที่ความดีจะให้ผลดีก็เหมือนต้นไม้ที่ยังไม่ถึงเวลาจะมีผล คนดีนั้นก็อาภัพ หรือนัยหนึ่งคนดีบางคน หากความดีไม่สมบูรณ์เช่นมีแต่ความซื่อ แต่ความฉลาดไม่มี มีแต่ความขยัน แต่ไม่รู้จักกาละเทศะ อะไรต่างๆทำนองนี้คนดีนั้นก็อาจอาภัพได้เช่นกัน

    เพราะแต่ละคนที่สร้างความดีขึ้นมานั้น ไม่ใช่ว่าเขาจะทำดีทุกครั้ง ส่วนมากคนเวลาทำความดีมักจะแทรกความชั่วลงไปด้วย ทำให้เชื่อไม่ได้ว่า คนที่มีบุญ จำเป็นจะต้องมีร่างกายดีเสมอไป ร่างกายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ตายแล้วเกิดเอาใหม่ได้ แต่ความดีที่มีอยู่ในวิญญาณนั้น ถ้าหมั่นประกอบความดีอยู่เสมอ ความดีนั้นจะไม่ตาย จะต้องยั่งยืนแน่นอน ถึงไม่ให้ผลตอนนี้ วันหนึ่งก็ต้องให้ผลอย่างแน่นอน ทำไปเถิดความดี คนเราไม่มีใครรู้ความตายได้ ถ้ารู้ความตาย ทุกคนก็ต้องเกรงกลัวต่อบาป หรือถ้ามีใครสามารถฝึกตนเองจนรู้ถึงนรก ไปเห็นความไม่สวยงามในนรก อาจจะเกิดความกลัว ไม่ทำในสิ่งที่ผิดได้ จงทำมันซะเดี๋ยวนี้ซิ ทำมันไปได้ประโยชน์แน่นอน และพยายามฝึกจิตใจให้สงบ แผ่เมตตาไว้ ทำใจให้เป็นสมาธิ สมาธินั้นเราสังเกตุได้ ๓ ทาง คือ นิ่ง เฉย เงียบ แต่จะเงียบแบบคนตายแล้วนั้น มักจะเงียบไปเฉพาะชาตินี้ ชาติต่อไปก็ไม่เงียบ มันก็เกิดอีก เพราะจิตมันจะมาเกิดอีก มันอยากได้ อยากดี อยากเป็นอยู่ตลอดเวลา

    เราทุกคนที่ใจกำลังจะคิดทำความดีนั้น ทำไปเถิด ความดีนั่นแหละ ดีแน่ๆ แต่ถ้าใจตอนนี้กำลังคิดจะทำความชั่ว ก็ให้รีบงดเสียเถิด จะปล่อยให้เวลาที่คิดนั้น ล่วงเลยไป อย่าลืมว่า เวลาเป็นสิ่งไม่แน่นอน แต่ความดีหมั่นทำไว้เสมอนั้นแน่นอน ตายแล้วก็พาเอาความดีติดตามไปถึงชาติหน้าได้อีก คนที่ซึ้งในคุณค่าของความดีจริงๆ เขาจะรอคอยจนกว่า จะถึงเวลาที่ความดีจะให้ผลได้เสมอ..

    ตรงกันข้ามคนชั่วที่ฉลาดในการปกปิดความชั่วของตนจนคนอื่นไม่รู้ หรือรู้แต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ชีวิตของเขาจะรุ่งเรืองอยู่เสมอ คนอย่างนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยในกลุ่มของคนที่มีการเรียนดี แต่เราอย่าท้อถอย จงเชื่อว่าความชั่วที่สะสมไว้ทุกๆวันนั้น มันก็จะมากขึ้นเป็นอันดับ ซึ่งในวันหนึ่ง ความชั่วนั้นจะต้องปรากฏออกมาให้ผู้อื่นรู้ แต่คนที่มีนิสัยเลวร้ายไม่นึกถึงความดี มัวแต่นึกถึงความชั่วที่คนอื่นกระทำได้ผลดีแล้ว โดยไม่นึกผลร้ายที่จะเดินมาสู่ทีหลัง เวลาเขาจับได้ก็หาว่าเขาโง่ หรือตัวเองฉลาดกว่าเขา หารู้ไม่ว่า ตัวเองหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา อาตมาขอยืนยันว่า คนที่ไม่ถูกหลอกเลย มีประเภทเดียว คือ คนที่ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    "คนโดยมาก ถ้าเก่งในทางไหน มักจะพูดถึงตัวเองในทางนั้น ซึ่งบางทีก็พูดมาก จนคนอื่นรำคาญหรือเหตุที่ตัวเด่นในทางนั้นจริงเลยเกิดเข้าใจผิดคิดว่า ความดีของคนอื่นซึ่งไม่เหมือนกับของตนไม่สำคัญ เขาไม่ยอมรับความดีของคนอื่น ไม่ยอมรับนับถือความดีในแง่อื่น "

    " มีคนถามว่า ทำไมคนชั่วถึงได้ดีอยู่เสมอ ตัวฉันทำความดีตั้งนานไม่เห็นใครเห็นเลย ขอให้พิจารณาให้ถ่องแท้คนชั่วพวกนี้มักใช้ความดีเป็นฉากกำบังความชั่ว เมื่อตอนที่ทำความดี ความชั่วก็ยังไม่เกิดผล เมื่อความชั่วถูกสะสมบ่อย ๆเข้า วันหนึ่งความดีก็อาจไม่คุ้มครองได้ ตอนนั้นแหละความชั่วก็จะต้องให้ผล หรือที่คนมักพูดกันว่า ”เพราะบุญเก่ายังมีผลอยู่ ความชั่วในปัจจุบันจึงยังไม่สนอง แต่เมื่อบุญเก่าหมดเมื่อไร บาปที่ทำไว้ก็จะให้ผลในทันที”

    " อาตมาภาพเองก็ได้พูดถึงเรื่องการทำความดีดีกว่าความชั่วให้ญาติโยมฟังมาก็นานพอควรแล้ว และเห็นว่าสมควรแก่เวลา และขอให้ญาติโยมที่นั่งฟังนี้ จงนำไปคิดเพื่อที่จะได้เป็นสิ่งที่ดีงาม สามารถนำไปใช้ในครอบครัวได้ ขอความสุขทั้งหลายจงมีแต่ญาติโยมทุกท่านเทอญ เอวังก็มีประการฉะนี้แล …..”

    บทความถอดจาก พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่

    “ มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ “
    .....




    ภาพหลวงปู่ทิม อิสริโก เกจิหนึ่งในตำนานแห่ง สยาม มรณภาพท่านได้ละจากทางโลกนี้ไปเมื่อ วันที่๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ รวมอายุได้ ๙๖ปี.



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    คนในโลกมี ๔ จำพวก คือ
    ๑. คนพาล ชอบทำชั่ว โทษของตัวเองมองไม่เห็น
    ๒.กัลยาณชน คนดีทำตนให้มีค่า ทำเวลาไม่ให้สูญ
    ๓.บัณฑิต ผู้ฉลาด เลือกการงานสิ่งคู่ควร คบคนรู้จักเลือก ทำความดีให้เกิดได้ในสังคมของนักปราชญ์
    ๔.มหาบัณฑิต ไม่รักไม่เกลียดเบียดเบียนใคร ประโยชน์ใหญ่จักเกิดมี ทำความดีให้บัณฑิตไม่ค่อยมีค่า ทำความดีให้เกิดแก่คนพาล มีค่าสูง พยุงเกียรติ์



    ....ท่านพ่อลี ธมฺมธโร




    [​IMG]
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    ปราชญ์แท้ ไม่คุยฟุ้งอวดตน
    คนดี ไม่เที่ยวยกสอพลอ
    คนเก่ง ย่อมทะนงอย่างเงียบ
    คนชั่ว อวดรู้ดีทั่วภพ
    คนโง่ อวดฉลาดมากมาย


    ...คำสอนสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี...




    [​IMG]
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]



    [​IMG]



    .เช้านี้( 29 พย.58) ที่วัดอรัญญวิเวก.. พระอาจารย์หลวงพ่อลงพระวิหารเสียงไม่ค่อยมี แต่เมตตาบอกว่าจะพูดสักหน่อย ให้โอวาทธรรม วันนี้ความว่า..



    การสร้างคุณงามความดีมีความสุข ทำบาปความชั่วเป็นความทุกข์ ใครๆก็ไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข สุขจะเกิดขึ้นต้องอาศัยตนเองเป็นผู้ทำ เพราะกรรมเป็นของๆตน คนเราเกิดมาตามอำนาจกรรม จะเป็นคนดีคนชั่ว สูงต่ำดำขาว ทุพลภาพ มาจากผลของกรรมทั้งสิี้น เราต้องน้อมมาพิจารณาด้วยสติปัญญา ว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้หนอ ก็เพราะคนเรานี้ถ้ามีความโลภโลภะมาก ก็ทำให้เกิดโทสะ เมื่อมีโทสะ ต่อไปพยาบาทก็เกิดขึ้น จองเวรจองกรรมกัน พระพุทธศาสนาจึงสอนให้มีเมตตาซึ่งกันและกัน รักใคร่ปรองดองกัน เหมือนพวกเรามาทำบุญ มาเจอกันในวิหารแห่งนี้ ก็เรียกว่เป็นญาติกัน เป็นญาติธรรมกัน ถ้าเรามาพิจารณาดูกิเลสโลภะที่มีความรุนแรงมาก ทำให้เกิดโทสะพยาบาท พี่น้องท้องเดียวกัน ก็ยังโกงกัน ฆ่ากันได้ ถ้าเรามีเมตตากันมันก็สงบ ท้้งครอบครัว หมู่บ้านตำบลอำเภอ ชุมชนมันก็สงบ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ก็อยู่ด้วยกันสบ้าย..สบาย.. ประเทศชาติก็เหมือนกัน ถ้าสงบ บ้านเมืองก็สุขสบาย พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี



    ...กราบสาธุ..
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    ธรรมประสิทธิพร เช้านี้ ( 30พย.2558 )

    [​IMG]




    " ...ในสังคมทำการงานอันใดก็ดี..
    ก็อยู่ด้วยกันแบบ..ผู้มีสติปัญญา
    สนิทสนมกลมเกลียว..มีเมตตาต่อกัน

    เราอยากอยู่ด้วยกันมีความผาสุก
    เราก็ต้องเป็น..ผู้มีสติปัญญา
    ให้ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ให้ซึ่งกันและกัน
    อภัยต่อกันเช่นนี้แล้ว.. เราก็ตั้งหลักเมตตา..
    ด้วยกายกรรม มองหน้ามองตากัน
    ด้วยหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสียบัดนี้..!!

    พูดจาปราศรัยก็พูด..ด้วยคำไพเราะเสนาะหู
    ต่อกันและกันเสีย..

    การคิดในจิตในใจก็ให้สนิทสนมกลมเกลียวกัน
    คิดให้มีเมตตาอารีย์ต่อกัน คิดตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ
    มาจนถึงหนุ่มสาว ท่ามกลางคน ..จนถึงเฒ่าแก่
    อยู่ร่วมโลกด้วยกันนี้ ก็อยากให้มีความสุขทั่วกัน

    ถ้าเขามีความทุกข์ก็อยากให้พ้นจากทุกข์
    ถ้ามีความสุขก็อยากให้เขามีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    เรา..ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ที่ไหน เป็นผู้มีเมตตา
    ด้วย กายกรรม วจีกรรม ด้วยมโนกรรม ..
    อยู่ภายในใจเช่นนี้แล้ว เราก็จะอยู่ด้วยกัน
    แบบมีความผาสุก..

    ถ้าเราฉลาดกว่าคนอื่นก็ตามเราก็มีความสุข
    ถ้าคนอื่นยังไม่ฉลาดกับเรา
    เราก็มีความสุขอยู่เฉพาะเรา
    เราก็จะให้ความสุขแก่..บุคคลอื่นต่อไปอีกได้.."

    .....................................................

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2015
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]
     
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]



    "..☆☆..ถ้าบุคคลใดไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท มีจริยาดี มีความสงบ ใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัวอย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน...
    ....แล้วบุคคลใดไม่ทำลาย ศีล ในตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลาย ศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลาย ศีล แล้วสามารถระงับ นิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรง พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่ พระองค์ทรงสั่งสอน...
    ....ถ้าบุคคลใดทำความดีดังนี้ตามลำดับมาครบถ้วนทรงตัว สามารถทำจิตให้ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัดอย่างนี้เข้าถึงกระพี้ความดีที่พระองค์สอน...
    ....ถ้าบุคคลใดทำ จุตูปปาตญาณ ให้เกิดขึ้น เห็นคนและสัตว์รู้ได้ทันทีว่าคนและสัตว์นี้ก่อนเกิดมาจากไหน คนตายแล้วไปอยู่ที่ไหน อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงแก่นความดีของพระองค์สอน แต่เป็นแก่นขั้นฌานโลกีย์...
    ....ต่อไปทบทวนความดีนี้ให้ทรงตัว ทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้าจะตัดกิเลส เป็น สมุจเฉทปหาน ได้ภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลางจะตัดกิเลสได้หมดภายใน ๗ เดือน ถ้ามีบารมีอย่างอ่อนจะตัดได้หมดภายใน ๗ ปี...☆☆."
    .
    .

    จาก...หนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๓๐
    โดย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    "กิเลสแก้ยาก เพราะมุ่งแก้กิเลสผู้อื่น"
    " .. อย่าไปมุ่งเพ่งเล็งแก้กิเลสของผู้อื่น แม้ปรารถนาเป็นผู้พ้นทุกข์ ทุกข์เกิดจากกิเลส เพราะการเพ่งเล็งแก้กิเลสของผู้อื่นนั้น
    นอกจากจะไม่ทำให้กิเลสของตนเบาบางห่างไกลออกไป ยังจะเพิ่มกิเลสของตนให้มากขึ้น กิเลสของใครคนใด ใครคนนั้นต้องแก้ ไม่ใช่คนอื่นจะไปแก้ให้ได้
    ดังนั้น แม้คิดจะไปเพ่งโทษคนอื่น คือคิดไปแก้กิเลสของคนอื่นนั่นเอง ก็พึงมีสติรู้ให้เร็วที่สุดว่า กำลังทำไม่ถูก ที่ถูกคือต้องแก้กิเลสของตนเอง กิเลสของตนเอง ของทุกคนที่ทุกคนควรแก้ของตนเอง ไม่ใช่ไปมุ่งแก้ของคนอื่น
    "คนนั้นก็ไม่ดีอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้" เช่นนี้ไม่มีทาง ที่ตนจะถึงความสุขได้ .. "


    (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)




    [​IMG]
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    จงเห็นทุกอย่างในโลกเป็นของธรรมดา ธรรมะโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง



    ก็รวมความว่า ตัดอารมณ์ความรู้สึก ๓ อย่าง
    ว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา
    ตัดโยนทิ้งไป เราไม่สนใจเขา เราสนใจแต่
    ตัวเราอย่างเดียว
    ชำระกายภายในให้สะอาด ให้สวยที่สุด
    เท่าพระอรหันต์ ท่านบอกว่า ถ้าจิต
    เข้าถึงตอนนี้อารมณ์จะมีแต่ความเป็นสุข
    จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นของ
    ธรรมดาไปหมด
    คนที่เขาแสดงความรักในเรา ก็จงทราบว่า
    ไม่ช้าเขาก็เกลียดเรา เพราะมันเป็นของธรรมดา
    ของชาวโลก ถ้าใครเขารักในเรา เราก็จงอย่าดีใจ
    ใครเขาเกลียดเรา เราก็อย่าเสียใจ เขาสรรเสริญเรา
    เราก็อย่าดีใจ เขานินทาเรา เราก็อย่าสะเทือนใจ
    ทำอารมณ์ใจเป็นสุข.
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    ..ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีๆ กิเลสมันก็เป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ เอ้า...กิเลสทำไมมันจึงเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ ก็กิเลสมันทำให้เกิดทุกข์ มันทุกข์เหลือที่สุด มันแสดงสัจธรรมให้ดู เธอเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทุกข์อย่างนี้ล่ะ กิเลสแสดงทุกข์ให้เห็นก่อน แล้วก็ทำให้คนเราอยากพ้นทุกข์ ก็เขาสอนเรานี่ ไปๆมาๆกิเลสเป็นครูสอน ครูสอนให้คนฉลาด ให้คนเข้าใจ พอเข้าใจแล้วมันก็อยากพ้นทุกข์สิ อยากหนีจากมัน..
    ..เหตุฉะนั้น อาศัยกิเลสคือความอยาก อยากละมัน อยากปล่อยวาง ความอยากนี้เองก็ละกิเลสได้ พระพุทธองค์จึงทรงเปรียบเทียบว่า กิเลสเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ ครั้นเขาไม่แสดงทุกข์ให้เห็น เราก็ไม่รู้จะละเขาได้อย่างไร..ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ เป็นหัวใจของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็คือ อยากให้รู้อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เอง ถ้าผู้ใดรู้ผู้ใดเข้าใจเขาก็ดับทุกข์ได้ รู้จักเหตุมันเกิดขึ้นก็ไปดับที่ต้นเหตุ แล้วทุกข์มันก็ดับไป เหมือนเราปฏิบัติอยู่นี่แหละ การที่จะปฏิบัติดับทุกข์นี่มันกินเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมตั้งใจกันอยู่ อยากพ้นทุกข์ ค่อยเป็นค่อยไป เรียกว่าเดินสายกลาง อย่าตึงเกินไปอย่าหย่อนเกินไป ทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ทำไปทุกๆวัน ทุกๆวัน เหมือนบุคคลที่กำลังก้าวขาเดินนี่แหละ ก้าวขาไปเรื่อยๆ ไปสบายๆ ไปเรื่อยๆก็จะเดินทางได้ไกลมากทีเดียว...




    [​IMG]
     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    "...หนีนรกได้อย่างไรในเมื่อที่ผ่านมาเคยทำบาปไว้..."

    [​IMG]




    "....ที่นี้วิธีปฏิบัติเราจะปฏิบัติอย่างไร ในเมื่อเราเองทุกคนต่างก็มีบาปและเวลาจะตาย เจ้าบาปเจ้าบุญทั้งสองประการ มันชิงกันเข้าสนองใจ หมายความว่าถ้าเรานึกถึงบาป บาปจะเกาะติด ไม่ยอมปล่อยมันจะดึงลงอบายภูมิ ถ้าเรานึกถึงบุญก่อนบุญก็จะเกาะติดบาปเข้าไม่ได้เหมือนกัน เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเข้า อีกอย่างหนึ่งก็เข้าไม่ได้เหมือนกัน
    ...และวิธีป้องกันก็มีอยู่ว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านบอกว่า ความชั่วหรือบาปที่ทำมาแล้วในกาลก่อน อย่าตามนึกถึงปล่อยทิ้งมันไปเลย คิดอย่างเดียวว่าเราเคยทำบุญอะไรมาบ้าง อย่างเคยใส่บาตร เคยบูชาพระ เคยสวดมนต์ เคยฟังเทศน์ เคยให้ทาน เป็นต้น ตามนึกถึงไว้โดยเฉพาะ จิตก็จะมีอารมณ์ชิน เฉพาะบุญ มันก็จะห่างในเรื่องบาป ..
    ....ทีนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าบาปมันเป็นของไม่ดี เราคิดว่าจะไม่ทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือศีล ๕ เราคิดว่าจะไม่ละเมิด บางทีก็เผลอไปละเมิดเข้า เมื่อละเมิดเข้าแล้วก็ตกใจ เมื่อตกใจก็ทิ้งมันใหม่ ไม่ตามนึกถึงมัน นึกถึงบุญต่อไป วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำง่ายๆ นึกถึงบุญก็คือว่าให้ภาวนานึกถึง พุทธานุสสติกรรมฐาน ก็ใช้คำว่า " พุทโธ " เพราะว่าคำภาวนานี้อย่างใดก็ได้นะ...."
    "....ถ้าคนทุกคนมีความไม่ฉลาดมากเกินไป เขาเรียกว่าโง่น่ะจำให้ดีต้องฉลาดพอดี ไม่ฉลาดมากเกินไป ก็ตั้งใจโดยเฉพาะมันจะไปได้หรือไม่ได้ก็ตามใจมัน เราทำบุญทุกอย่างตั้งใจไว้จุดเดียวคือ นิพพาน
    ..เราบูชาพระก็ปรารถนา นิพพาน เราใส่บาตรก็ปรารถนา นิพพาน เราสวดมนต์ก็ปรารถนานิพพาน เราให้ทานเราก็หวัง นิพพาน เราเจริญกรรมฐานเราก็หวัง นิพพาน
    ...จิตจับไว้จุดเดียวว่า ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานจุดเดียว...."
    .
    .
    จาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๑๔
    โดย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,029
    ค่าพลัง:
    +70,078
    [​IMG]


    การบอกเทวดารักษาตัวควรบอกให้ท่านเตือนล่วงหน้า ๑ หรือ ๒ ชั่วโมง
    "...นักปฏิบัติพระกรรมฐานนี่ถ้าจิตเริ่มเข้าถึงตั้งแต่อุปจารสมาธิพวกนี้ จะตามอารักขาตลอดนะ ให้รู้ตัวไว้นะ...ถ้าหากบังเอิญเราคิดว่ากลัวภัยอันตรายระหว่างทาง แล้วก็อย่าลืม ถ้ากรรมใหญ่ บุพกรรมที่เป็นอุศลใหญ่มีนี่เขาต้องหลีกเหมือนกัน แต่ทำให้หนักเป็นเบา มันไม่เต็มอัตรา กรรมที่เป็นอุกศลหนักนี่ เขาก็กันไม่ได้ แต่ว่าทำให้หนักเป็นเบาได้..
    " ...ถ้าเวลาเราออกเดินทางเราจะออกเดินทางด้วย คิดว่ามีอันตราย ก็บอกเขา เรียกกับแบบย่อๆ ก็ได้ บอกว่าพี่ชาย ไปนี่ให้มันปลอดภัยนะ อย่ามัวนั่งหลับ เดี๋ยวก็หลับ แล้วถ้ามีอะไรอันตรายให้เตือนด้วย อย่าลืมบอกว่า เราจะยืนอยู่ก็ดี จะนั่งก็ดี จะไปไหนก็ดี ถ้าอันตรายมันจะพึงมีล่ะก็ให้เตือนด้วย คำเตือนนี่อย่าเฉยๆ นะ ดีไม่ดีแกบอกเอาเวลากระชั้นชั่วนาทีนะ ต้องกะเวลาให้แกเตือนก่อน ๑ ชั่วโมง หรือ ๒ ชั่วโมง ล่ะก็ว่ากันไป.."
    ...แต่ถ้านอนอยู่ในบ้าน ทว่าอันตรายมันจะพึงมา คนร้ายจะเข้าบ้าน ให้ปลุกก่อนหนึ่งชั่วโมง อย่างนี้ก็ได้หรือ ครึ่งชั่วโมงก็ได้ แต่บังเอิญเราสั่งแบบนี้นะ ถ้าเรากลัวเป็นเรื่องหนัก ถ้าเราง่วงมันอยากนอนเต็มที และไอ้อันตรายประเภทนี้มันเข้ามาระยะใกล้เลย พอเข้าไปถึงที่นอนแทนที่จะหลับมันกลับตาโพลงสว่างหาความง่วงไม่ได้ มันจะรู้สึกว่าทำไมมันถึงไม่หลับ ถ้าไม่หลับคนร้ายก็เข้าไม่ได้ก็ทำแบบนี้ เดี๋ยวเราจะหาว่าเขาแกล้ง บางทีอาจจะเดินกุกกักๆ อย่าไปกลัวเขาล่ะ จะคิดว่าผีหลอกล่ะมัง...
    ...แต่เรากลัวแบบไหนก็อย่าให้เขาทำแบบนั้น เอาแต่พอรู้สึกตัวหรือสงสัย ถ้าระหว่างเดินทางสงสัยว่าจุดนั้นอาจมีอะไร ถ้ามันเกิดความสงสัยจริงๆ มันดึงใจไม่อยู่ล่ะ ก็หยุดวะอย่าเพิ่งไปมันมีแน่ อันนี้เขาบันดานให้เราสงสัย มันเคยมีบ่อยๆ เคยเจอะมาแล้ว เอ้อเคยมีหลายวาระ เขาเคยบอก ในสมัยเขามาปลุกมันเหมือนกับรู้สึกตัว มันตื่นขึ้นมาเฉยๆ ถ้าหากเราไม่กลัว จิตใจสบายก็ไม่เห็นตัวเขา แล้วเขาจะบอก เขาจะบอกว่ามันจะมาจากทางทิศไหน ทิศไหนก็ตามเวลาเท่าไร ถ้าหากคนจะมา มากี่คน อันนี้เขาบอกหมด
    ....แต่ถ้าเขากันแล้วจะเราบอกให้ปล่อย อย่านะ ถ้าเขาปล่อยเขาไม่ดู เคยโดนมาแล้ว ไอ้ผีผู้หญิงประมาณ ๔ ทุ่มมั้ง ไปนอนที่ต้นโพธิ์แห่งหนึ่ง แล้ว ๔ ทุ่ม ก็เห็นผีผู้หญิงห่มผ้าตะเบงมานเข้ามา เห็นเขาก็จับรัดคอออกไป เราก็เห็นเป็นเป็นผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี ก็คิดว่าแกจะลำบาก อาจจะมาขอส่วนบุญก็ได้ เลยบอกพี่ชาย ปล่อยเข้าเถอะ นั้นมันผีผู้หญิงเขาไม่ทำอันตรายหรอก อาจจะมาขอส่วนบุญก็ได้ แต่เขารู้นะ เขาก็ปล่อย ปล่อยแล้วยายนั้นก็ไม่เข้ามา แกก็นั่งอยู่เฉยๆ ก็เลยนอนหลับ หลับตีสองจึงรู้สึกตัวตื่น มันเจ็บหน้าอกทั้งสองข้างๆ เอานิ้วชี้จี้ ๒ จุด แหม ยายระยำเราสารมันเล่นเราเข้าให้ เอ บิดไปบิดมาก็ไม่พ้นมือมัน บิดอย่างไรก็หมดแรงทำอะไรไม่ได้ เห็นพรรคพวกนั่งกัน ๔ คน นั่งสบายยิ้ม เฮ้อ (หัวเราะ) ดีจริงๆ...
    ...ถามว่าพี่ชายทำไมไม่ตีมันไป จับลากแล้วตีมันไป ไล่ตีมันไปเลย ถามว่าปล่อยเข้ามา ก็บอก อ้าว ทำไมล่ะ กันก็แล้ว ดันบอกให้ปล่อยก็ปล่อยนะซิ แหม ตรงจริงๆ รักษาคำสั่งมั่นคงมาก บอกทีหลังอย่าเอาแบบนี้อีกนะ บอก ถ้ามันอันตรายอย่าให้มันเข้ามาเด็ดขาด บอก อ้าว ทำไมล่ะ กันก็แล้วกัน ดันบอกให้ปล่อยก็ปล่อยน่ะซิ จะได้รู้ว่ามันมาแบบไหน เอ้อ ดีเหมือนกัน แต่ความจริงท่านก็ดีแต่ระวังพวกนั้นนะ
    ...คือ ไอ้โลกที่มันพลิกแพลง มันมีโลกอยู่คือโลกมนุษย์ โลกเทวดาก็ดี หรือ โลกอื่นน่ะ หมายความว่าโลกอมมนุษย์น่ะ เขาพูดคำเดียว คำไหนคำนั้น แต่ถ้าเราขอร้องเขาก็ตาม ถ้าเขารับปากแล้วอย่าไปซ้ำว่าเขาว่า อย่าลืมนะ อะไรนั่นนะ ให้แน่นอน เขาจะต่อว่าทันที โลกนี้ไม่มี 2 ระบบ คือ พูดอย่างไหนเขาก็เป็นอย่างนั้น ก็บอกว่า ไอ้พวกที่ฟังกันไม่รู้เรื่อง ไอ้โลกมนุษย์โลกเดียว อาจจะเรียกผิดบางที่ก็เรียกหมานุษย์ เอ้าตอนนี้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศล..."
    .
    .
    จาก...หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพระราชพรหมยาน เล่ม ๘ หน้า ๔๔๘ - ๔๔๙ โดย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...