เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ต้องไปคู่กัน จะเกินกว่ากันมิได้ ท่านเห็นเป็นเช่นไร

เคยได้ยินแต่ ปล่อยไก่ หุๆๆๆๆ

 

เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับอรูปฌานนี่ เป็นยังไง อยากรู้ครับ ....

 

...

 

ท่านกล่าวชอบแล้ว

ผมสรุปให้แล้วกัน
การปฏิบัติ ถ้าไปติดเพ่งรูปบางอย่าง ก็เป็นรูปฌาณไป
แต่ถ้าเป็นการรู้รูปนามปรมัตถ์ ก็ถือว่าเป็นวิปัสสนา
นี่คือหลักการ
ในความเป็นจริงของการปฏิบัติ แต่ละคนต้องฝึกทบทวนสังเกตุทดลองเอง จึงจะเข้าใจ

 

จะไปรู้เหรอ ก็ตะกี้เห็น คนบ่นๆว่า มีบางคนดูถูกฌาณ เพราะว่ายึดแนวดูจิต

ก็เลยทำให้เข้าใจไปว่า คุณยังไม่เข้าใจ วิธีดูจิต ตรงตามพระท่านสอน เลย
ไม่รู้ว่า ดูจิต มันก็ได้ทั้งฌาณ และ อรูปฌาณ หากเผลอเข้าไป ซึ่งการดูจิต
ของหลวงพ่อปราโมทย์จะเป็น เผลอแล้วรู้ เผลอเข้ารูปฌาณก็จะรู้ เผลอ
ไปทำอรูปฌาณก็จะรู้ หากเข้าใจว่า ดูจิต นี่ดูถูกฌาณ ก็แสดงว่า ยังแปล
ความหมายว่า เผลอแล้วรู้ นั้นเป็นว่าไม่ให้ทำ แต่หากดูบริบทให้ละเอียดจะ
เห็นว่า ผู้ดูจิตบางคนจะทำฌาณ และ อรูปฌาณ ไปแล้ว เสร็จไปแล้วจึงได้
ตามรู้ทีหลัง

และพอมีคำว่า ให้รู้เฉยๆ ก็เลยตีความไปอีกว่า ไม่ให้ทำ

พระท่านไม่ห้ามคนที่ทำได้

แต่คนที่ไม่เคยทำ ไม่เคยสัมผัส หากทำได้ก็เอาแต่ตกใจ ติดใจ พระท่าน
ก็เลยบอกว่า ให้รู้เฉยๆ ทำได้ไม่ได้ก็เรื่องของจิตมันทำ

 

ท่านก็เข้าใจดีแล้วหนิ อิอิ

 

ที่นี้ทำไม ถึงต้องให้ตามรู้เวลาเข้า รูปฌาณได้ หรือ เข้าอรูปฌาณได้
ก็เพื่อตามดูจิตยินดียินร้ายในรสสุขของฌาณ ถ้าไม่ตามดู ก็จะไปเป็น
แบบ พระอลากดาบส และ อุทกดาบส

อันนี้ก็ต้องหมายถึง ฌาณ 4 ฌาณ 5 ขึ้นไป ซึ่งก็อธิบายไปแล้วว่า
หากเลย ฌาณ3 ไปแล้ว จะมีแต่จิตดวงเดียว จะไม่สามารถทำวิปัสสนาได้อีก

วิปัสสนานั้นจะทำได้เหมาะที่ ฌาณ2 สำหรับ ฌาณ3 หากฝึกวิปัสสนาไม่
ถูกก็ทำวิปัสสนาไม่ได้

และเพราะว่า วิปัสสนา นั้นเป็นการเจริญปัญญา พระท่านจึงสอนให้อยู่กัน
ที่ฌาณ2 ส่วนฌาณ 3 นั้นจะสอนเฉพาะบุคคลที่มีอินทรีย์จริงๆ

หากเข้าใจแนวพระสอนโดยถ่องแท้ ก็จะเห็นว่า พระท่านสอนให้ทำ ฌาณ2 เป็นหลัก
ไม่มีนักดูจิตที่ไหนปฏิเสธฌาณอย่างที่พวกคุณคิดไปเอง

โดยการทำฌาณ2 ให้ได้นั้น มีสองทาง สมถะยานิกก็สอนอย่างหนึ่ง วิปัสสนายานิก
ท่านก็สอนอีกอย่างหนึ่ง

 

ใช่แล้วล่ะครับ หากใครยังคิดว่า การดูเฉยๆ เป็นการไม่ทำอะไร ก็แสดง ว่ายังไม่เข้าใจหรือตีความให้เข้าใจอย่างที่หลวงพ่อท่านสอน ....

 

การดูจิต การดูเฉยๆ หรือการรู้ หรือรู้ เป็นกระบวนการที่เรียกว่า
วิปัสนา

 

..อวด...อุด ตะ หลุด...มานุด สะยะทำ..ผมชอบท่านจรตรงนี้ล่ะครับ...ผู้ส่งที่ดีครับ

 

ผมก็ชอบน้าจรครับ อ่านทีไร ฮาได้ทุกทีสิน่า

ถ้าเป็นผู้หญิง อาจจะหลงรักไปแล้ว อิอิ

 

แล้วจะมีอะไรให้ดู ให้รู้ล่ะท่าน ถ้ามันมีแต่เฉยๆหน่ะ อิอิ

 

ได้ข่าวมา...

 

ท่านจรเอากระดูกมาให้ผมแทะก้ได้ พอดีผมเป็นม๋า พอมีฟันแทะอยู่...บุ๋ย

 

ยืม มีด บินน่ะ...

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 7 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิษณุ12, วิมุตติ, Dussanee_k, khajonsak9999, sriaraya5, to2504 </TD></TR></TBODY></TABLE>
7 7 0

 

อรหันต์ มรรคไม่ใช่พรหมลูกฟักแต่เป็นขั้นสุดท้ายที่ต้องจบกิจในชาติเดียวจะไม่ไปต่อที่สุทธาวาสพรหมคำพูดของเราไม่เปลี่ยนแปลง
อรหันต์ มรรคเธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้ว่าท่านเข้าใจอะไรผิดหรือคาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ธรรมะทั้งหลายเปรียบได้เท่ากับเรือหรือแพอาศัยข้ามฟาก
แม้แต่ธรรมะยังต้องทิ้งไว้
ทิ้งได้แล้วก็เรียกว่าอรหันตผลเพราะละปล่อยวาง
จากบุญบาปได้แล้วจึงเป็นธรรมเหนือโลกสงสาร​

 

ความคิดเห็น ....จึงเรียกได้ว่า มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1
ก็จะทิ้งโลกุตระ ที่ท่านจรเข้าใจ

 

เทกระจาด..

 

ผมเทกระจาด จะไปเอาของท่านจรทำไมล่ะครับ....