เจ้าหญิง Kaoru Nakamaru of Japan พูดถึงการเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติที่ 5 ของโลก & 3 วันแห่งความมืดมิด

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ ครับ อ่านแล้วน่าสนใจทีเดียว

 

The granddaughter of the Meiji Emperor, Princess Kaoru Nakamaru spent her early childhood in the Forbidden Castle in China. While at Columbia University and in graduate school, she furthered her research into international politics and since 1970, as a journalist, has interviewed kings and presidents, prime ministers and business people from many countries, and has given speeches, written books, and appeared on television as a commentator on international political affairs. In 1973, she was acclaimed in the U.S. magazine, Newsweek, as the “World’s No.1 interviewer,” and the Washington Post described her as “one of those rare women in the world with an outstanding international sensitivity.”
Later, she was producer, director, and interviewer of her own Japan/U.S. talk show, for which she traveled to war-torn areas around the world and carried out positive discussions with the heads of state of those countries. Among those were Colonel Gadhafi of Libya and then-president of Iraq, Saddam Hussein--figures that were considered hostile by the West. Nakamaru even covered the frontlines during the Iran-Iraq War (1980-88) and video taken of it was shown to President Hussein who suggested that the war be immediately halted. The images of her broadcast on TV pressing President Hussein with the question “Why is this war being continued?” and asking Colonel Gadhafi, “Are you really a terrorist?” drew strong reactions. From those experiences, she exerted her energy into “personal diplomacy,” serving as a go-between among warring countries, using her own funds.
In order to finance her “personal diplomacy,” she bears all expenses. Kaoru’s network of contacts include many “big names” of whom the staff at TV stations say “Even with our connections, there is no way we can approach these people,” and this is linked to the fact that Kaoru, who is not affiliated with any organization, travels the world at her own expense and as a private citizen. Saddam Hussein, Moammar Gadhafi, top North Korean leaders, and other important figures that western journalists are unable to meet, talk with her-- the main reason being “Princess Nakamaru is not a person who is moved by personal motives and so we considered a meeting with her.”
In response to her personal diplomacy Kaoru established the “International Affairs Institute for World Peace” in New York in 1985, and in 1991, the “Following the Sun Association” was organized for people aspiring toward peace. In doing so, royalty and presidents from various countries as well as cultural figures signed their names to the statement, “I endorse all of your activities,” and these people have been welcomed as advisers and special members. Accordingly, this began in earnest a movement of enlightenment in which the realization of a “one world” policy where the “path of life” is based on mutual understanding and trust, and not on a “one world” policy where the “path of power” is based on military power and tension. Since her days as an interviewer, she has so far traveled to as many as 186 countries.
Nakamaru’s aim is for a “world peace through human renaissance. Wealth, fame, power do not make humans happy, as true happiness is borne from a heart filled with love, harmony, and peace. When there is peace within the hearts of each person, from VIPs to average citizens, then world peace is realized. The phrase ”one world” mistakenly conjures up a religious movement, but Nakamaru has absolutely no religion ties. Nakamaru believes in a religion of her own, but does not belong to any group, saying that “The world transcends all the many religions, races, ideologies so there cannot be just one.
As for her personal life, in 1966 she married Tadao Nakamaru, an actor who worked with Toshiro Mifune. She has a son and a daughter.
In addition, she has maintained a close friendship with South Korea through its former prime minister, Kim Jong-Pil, and with North Korea through the late Kim Il Sung as well as Kim Yong Sun the Secretary of North Korea’s Worker Party (who died in 2003 in a car accident), and has strived to improve relations between Japan and both Koreas as a bridge between the Japanese and Korean governments by bringing about the temporary return of a Japanese woman while at the same time acting as a mediator in bringing about a summit meeting between South and North Korea.

Princess Kaoru Nakamaru of Japan - ประวัติการทำงาน | Facebook

 

ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆมีสาระที่นำมาให้อ่านกันค่ะ

 

ดีๆ คับ ถูก ใจ มากกก

กระทู้นี้และเจ้าหญิงเพี้ยนรายนี้จะได้เป็นหลักฐานพิสูจน์ชั้นดี สำหรับพวกคุยกับมนุษย์ต่างมิติ และเพ้อเจ้อเรื่องก้าวข้ามไปมิติที่ 5 เลื่อนระดับขั้นทั้งหลาย

ว่ามันของจริง
หรือแค่ติงต๊องบ้าบอ ไม่ต่างจากพวกคุยกับมนุษย์ต่างดาว คุยกับกวนอิม ทรงเจ้าเข้าผีคุยกับเจ้าพ่อเจ้าแม่-ฤๅษี-พญานาค หนุมาน พญาครุฑ อมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง

โดยเฉพาะเรื่อง 3 วันมืดมิด ถ้าเป็นไฟฟ้าดับน่ะไม่ว่าเลยมันเป็นไปได้
แต่กระทั่งถึงขนาดไม่มีดวงอาทิตย์และดวงดาวนี่ ไม่ต้องใช้หัวสมองกันให้เหนื่อยหรอก แค่ลองเอาหัวแม่ตีนตรองคิดดูซิว่ามันจะเป็นไปได้ไหม

มนุษย์เราเฝ้าสังเกตดวงดาวและจักรวาลตลอดเวลา ทุกๆตารางนิ้วบนท้องฟ้า ดาวหางดวงไหนอุกาบาตลูกใดมันจะโคจรมาแค่เฉี่ยวๆ ยังตรวจพบล่วงหน้ากันได้ตั้งร้อยปี
แล้วไอ้เหตุการณ์ยิ่งใหญ่วิบัติขนาดนี้่มันต้องมีร่องรอยบอกเหตุล่วงหน้า ต้องมีนักดาราศาสตร์ นักจักรวาลวิทยา นักวิทย์ฯ และอื่นๆ ที่ค้นพบออกมาเตือนชาวโลกมั่งแล้ว

จู่ๆจะมืดมิดหมดทั้งโลก ดวงอาทิตย์มันขอหยุดพักหลังจากทำงานหนักมาหลายพันล้านปีเหรอ ระบบสุริยะมันหยุดโคจรชั่วคราวเพื่อหยอดน้ำมันเครื่องเหรอ
ตา หลก น่าาา 555555555555

ถ้ามันจะมืดมิดดวงอาทิตย์ดับ ดาวหยุดหมุนจริงๆ
บอกไว้เลยมันไม่ใช่แค่ 3 วันแน่ จะยาวนานกว่านั้นมาก และเตรียมตัวตายกันได้เลยจะมีบุญหรือมีบาปก็ไม่ต่างกันหรอก
โลกและระบบสุริยะเราไม่สามารถทนกับสภาพผิดหลักภาวะวิสัยจักรวาลแบบนี้ได้แน่ๆ
ได้ดับสิ้นกันทุกชีวิตและดวงดาวแหละ

ไอ้เรื่องโลกมืดมิด 3 วันไม่มีแสงอาทิตย์นี่แหละ
จะเป็นบทพิสูจน์ตัวเก็งสุดยอด ว่าพวกบ้าคุยกับมนุษย์ต่างมิติ ชวนเลื่อนระดับขั้น อัพเกรดดีเอ็นเอ เพ้อหาพระผู้สร้าง พากระโดดไปมิติที่ 5 ..ฯลฯ
ว่ามันของจริงหรือแค่บ้าบอ จิตหลอนคุยกับตัวเอง
ไม่ต่างจากเจ้าด๊อกเอเลี่ยนทำนายภัยพิบัติล้างโลกมาตั้งแต่ก่อนปี 2000
หรือพวกนั่งฝันคุยกับหลวงปู่เทพโลกอุดรบอกว่าโลกจะวิบัติตายกันเกือบหมด แล้วประเทศไทยจะกลายเป็นมหาอำนาจและศูนย์กลางของโลก (เรื่องนี้ตรูละเบื่อที่สุด)

ซึ่งกะผมได้ติดต่อคุยข้ามมิติกับ เจ้าชาย "คารูอึ" (Karu-Ue)
ซึ่งท่านอ้างว่าสามารถติดต่อกับผู้ที่อยู่ใต้พื้นโลกได้ทุกครั้งที่ขุดหาแมงกะชอนมาคั่วกิน

ก็ได้รู้อนาคต และชะตากรรมของพวกนี้แร้วววว

55555
ก๊ากกกกกกกกกกก

(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)

 

เค้าก้อรอลุ้นอยู่เหมือนกันหละตัวเอง พูดจากใจเลยจ้า
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเชื่อรึไม่เชื่อ เราก็รอลุ้นในใจถึงผลที่เกิดขึ้นเหมือนกันเลยหล่ะ
นี่คือสิ่งที่เราเหมือนกันจ้า
โอ๋อ่ะ ไม่คาดหวังใดๆเลยค่ะ พอใจแล้วหล่ะ ที่อย่างน้อย ก็มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน
เพราะข้อความเหล่านี้หน่ะ
ส่วนจะเป็นอย่างไร ถ้าดีก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิต แต่ถ้าไม่เราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปตามประสาหน่ะจ่ะ

ขอบคุณนะคะ อย่างน้อยก็มีส่วนช่วยดันให้กระทู้ขึ้นมา เพราะบางทีก็มีเพื่อนบางคนยังไม่ได้อ่านเลยหน่ะ
ขอให้มีความสุขนะคะ ยังงัยเราก็หนึ่งเดียวกันแหละค่ะ รักค่ะ จุ๊บๆๆ

 

อืม เห็นมีคนสงสัยว่า พระพุทธเจ้าไม่พูดเรื่องพวกนี้แปลว่าไม่มีจริงอย่างนั้นรึ
ที่ไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่มีจริงหรอก และก็แปลว่าไม่ได้แปลว่ามีจริงด้วย
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ที่แน่นอนเลย เพราะมันไม่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตให้เป็นปรกติ มีความสุขของมนุษย์ไงละ
ยกตัวอย่าง เรื่องที่จำเป็นตอบชีวิตของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าสอน

 

ยกตัวอย่าง เรื่องที่จำเป็นตอบชีวิตของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าสอน
เช่นศีล5เป็นคุณธรรมของมนุษย์ บ้านเมืองใดประชาชนไม่มีศีลบ้านเมืองนั้นบรรลัย
ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องระบุด้วยคำว่าศีล5 แต่กฏหมายหรือกฏอะไรก็ได้ที่ระบุข้อห้ามคล้ายๆศีล ก็จัดว่าศีลด้วย แต่ต่างกันตรงกฏหมายต้องบังคับนะสิ

ธรรมของผู้ครองเรื่อน ธรรมของภรรยาที่ดี ธรรมของพระราชา เหล่านี้พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เพราะจำเป็นสำหรับมนุษย์

เพราะงั้นเรื่องแปลกๆที่โปรโมทกันเนี่ย ที่พระพุทธเจ้าไม่แสดงไว้เนี่ย ก็แปลว่ามันไม่มี ถ้ามีก็ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อมนุษย์ขนาดจะทำให้ตายกันเป็นเบือหรอก

 

เหนื่อยจิง แผ่นเสียงตกร่อง
กับมุขเอาพระศาสนาเป็นโล่กำบัง ต่อยกับพี่ฉันไหม
เค้าอยู่กับมิติของเค้า เอาพระศาสนาไปเทียบเคียงกับเค้าทำใม

 

เอาละเหวย

จะได้จัดไฟต์สะเทือนจักรวาล
มนุษย์โลก VS มนุษย์ต่างมิติ ซะที

55555555555

ห้ามกัด ห้ามข่วน ห้ามต่อยกกหู ห้ามกระซิบด่าแม่ ... ฯลฯ นะฮับ

เว็บนี้มันศูนย์รวมคนบ้าจริงจริ๊งงง

(||)(||)(||)(||)(||)

 

ตรรกะ แบนสองมิติ
เอาแบบมีความชัดลึกหน่อย
เห็นดอกบัวบูชา เห็นไรกั๊บป๊ม

 

นับวันยิ่งบ้าหนักเข้าไปเรื่อยๆ
อ่านไปอ่านมากลายเป็นแค่เรื่องเล่าของคนทรงเจ้าไปจริงๆซะแล้ว

 

นี่ไงจะทำให้โลกนี้มืดมิดไป 3 วัน
จากการที่ผมได้สื่อสารกับ คุณ ฉโลกจับกระเป๋า ในมิติที่7
ได้ความว่า เพียงกดก็น่าจะโอเคนะ

 

คนที่ชอบจับผิดผู้อื่น

1.[FONT=&quot]ได้ความสะใจ[/FONT] [FONT=&quot]เหมือนได้แก้แค้นและระบายความอาฆาตที่ผูกใจเจ็บมาก่อน[/FONT] [FONT=&quot]โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นเพื่อนกันหรืออยู่ในแวดวงเดียวกัน[/FONT] [FONT=&quot]ย่อมมีข้อมูลในการจับผิดได้ง่ายกว่าคนอยู่นอกวงการ[/FONT]

2.[FONT=&quot]อิจฉา[/FONT] [FONT=&quot]ลองสังเกตแววตา ท่าทาง คำพูด ของคนที่ชอบจับผิดคนอื่นดูซิ[/FONT] [FONT=&quot]จะออกแนวเยาะเย้ย ถากถาง ประชดประชัน มองเห็นถึงจิตใจที่ไม่มีความสุข[/FONT] [FONT=&quot]เขามักจะจับผิดคนเก่งกว่า ดีกว่า หรือมีคนชื่นชมชื่นชอบมากกว่า[/FONT] [FONT=&quot]หรือคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน เรียนรุ่นใกล้เคียง หรืออายุไล่เลี่ยกัน[/FONT] [FONT=&quot]ไม่เห็นมีใครไปจับผิดขอทานหรือคนที่ด้อยกว่าเลย[/FONT]

[FONT=&quot]การ[/FONT] [FONT=&quot]อิจฉาริษยานี้เป็นนิสัย การจับผิดก็เป็นนิสัยด้วย[/FONT] [FONT=&quot]เราจะเห็นคนที่ชอบจับผิดคนอื่นออกมาปรากฏตัวทางสื่อบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ กัน[/FONT] [FONT=&quot]และในชีวิตประจำวันเราก็จะเห็นคนที่ชอบจับผิดมักมีนิสัยอิจฉาคนอื่น[/FONT] [FONT=&quot]บางคนแลดูเป็นคนเงียบ ๆ รักความเป็นธรรม แต่ในจิตใจมักเหี้ยมโหด[/FONT] [FONT=&quot]แม้จะชอบกล่าวอ้างบ่อย ๆ ก็ตาม[/FONT]

3.[FONT=&quot]มองโลกในแง่ร้าย จึงมีข้อจับผิดคนอื่นได้มาก โดยมองข้ามข้อดีของคนอื่นไปหมด[/FONT]

4.[FONT=&quot]มักขาดคุณธรรม ขาดเมตตา มักชอบโทษหรือกล่าวโทษคนอื่นเกินจริง[/FONT]

5.[FONT=&quot]ตัวเองอาจเคยถูกจับผิดมาก่อน จึงผูกใจเจ็บและหาทางจับผิดคนอื่นเป็นการแก้แค้น[/FONT]

6.[FONT=&quot]เพื่อให้ตัวเองแลดูเก่ง ฉลาด โดยกดหรือกล่าวว่าคนอื่นมีความผิด[/FONT]

7.[FONT=&quot]เพื่อ[/FONT] [FONT=&quot]กลบเกลื่อนความผิดของตนเอง ซึ่งตนเองก็รู้และเกรงว่าคนอื่นจะจับได้[/FONT] [FONT=&quot]จึงจับผิดคนอื่นให้มาก ๆ เอาไว้ ทำให้คนสนใจความผิดของคนอื่น[/FONT] [FONT=&quot]จะได้ไม่สนใจตัวเขา[/FONT]

8.[FONT=&quot]เอา[/FONT] [FONT=&quot]ไว้แก้ตัว เวลาตัวเองทำผิดและมีคนอื่นจับได้ ก็จะได้บอกว่า[/FONT] [FONT=&quot]ทีคนอื่นทำผิดเล่า ไม่เห็นมีใครว่าอะไร[/FONT]? [FONT=&quot]และก็จะหาทางทำผิดต่อไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง[/FONT]

9.[FONT=&quot]มีลักษณะ [/FONT]Sadistic Personality [FONT=&quot]ชอบเห็นคนอื่นมีความผิดแล้วตัวเองมีความสุข จึงพบได้บ่อยที่เขายัดเยียดความผิดให้คนอื่นเกินความจริง[/FONT]

10.[FONT=&quot]ประเมิน[/FONT] [FONT=&quot]ตัวเองผิด คิดว่าเก่งกว่าคนอื่น สามารถจะปราบคนอื่นให้ได้ทั้งหมด[/FONT] [FONT=&quot]จึงใช้วิธีคอยจับผิดคนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อลดเครดิตคนอื่นลง[/FONT] [FONT=&quot]และตัวเองก็ไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่สังคมด้วย[/FONT]

[FONT=&quot]คน[/FONT] [FONT=&quot]ชอบจับผิดคนอื่นเป็นคนที่มีปมด้อยในใจ[/FONT] [FONT=&quot]ขาดความรักและความสนใจมาก่อนจากทางครอบครัวหรือสังคมรอบตัว[/FONT] [FONT=&quot]ขาดความรักมนุษย์ ขาดเมตตา มักคอยซ้ำเติมคนอื่น[/FONT] [FONT=&quot]คนในสังคมที่ขาดวิจารณญาณก็มักจะเชื่อข้อมูลของคนชอบจับผิด จึงให้ความสนใจ[/FONT] [FONT=&quot]เขาจะยิ่งหลงตัวเองว่าสำคัญยิ่งขึ้น[/FONT] [FONT=&quot]แนวโน้มที่เขาจะทำผิดกฎหมายและศีลธรรมจะมีได้มากกว่าคนทั่วไป[/FONT]

[FONT=&quot]สังคม[/FONT] [FONT=&quot]ทุกวันนี้ประเมินการจับผิดเป็นเรื่องของคุณธรรมและความถูกต้อง[/FONT] [FONT=&quot]แถมหลงผิดให้เครดิตว่า ใครจับผิดคนอื่นได้เก่งน่าจะเป็นคนไม่ทำผิด[/FONT] [FONT=&quot]และมีคุณธรรม ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย[/FONT] [FONT=&quot]คนที่จับผิดคนอื่นเก่งอาจจะเป็นคนทำผิดเสียเองมากกว่า[/FONT] [FONT=&quot]หรือเลวกว่าคนที่เขาจับผิดเสียอีก[/FONT]

[FONT=&quot]ขณะ[/FONT] [FONT=&quot]นี้มีคนจับผิดกันมากขึ้น ทำให้คนในสังคมเกิดภาวะระแวง ระวังตัว ใส่ความกัน[/FONT] [FONT=&quot]แก้ตัว ก้าวร้าว อาฆาตแค้น และแก้แค้น[/FONT] [FONT=&quot]ไม่คิดที่จะทำหน้าที่ของชีวิตหรือทำความดีอื่น ๆ กันแล้ว[/FONT] [FONT=&quot]นอกจากจับผิดกันและแก้ตัวกันวันหนึ่ง ๆ และรอคอยว่าจะถึงวาระ ทีใคร- ทีมัน[/FONT] [FONT=&quot]จะได้แก้แค้น [/FONT]– [FONT=&quot]ล้างแค้นกัน แล้วสังคมจะไม่ย่อยยับได้อย่างไร[/FONT]

[FONT=&quot]โดยคุณ ตะวันแห่งธรรม [/FONT]28 [FONT=&quot]ธ.ค. [/FONT]2553

[FONT=&quot]ที่มา[/FONT] ทำไมคนจึงชอบจับผิดคนอื่น - มีคำตอบ - กูรู

 

เนี่ยนะพูดเรื่องมิติื เรื่องเวลาไม่มีอยู่จริงด้วยจินตนาการล้วนๆ
ยังไม่เคยเข้าถึงจริงเลยเดาเอาล้วนๆเลย

คนที่เคยเข้าถึงเรื่องเวลาว่าไม่มีอยู่จริงอะนะ เขาไม่มานั่งพร่ำเดาถึงเรื่องอนาคตไกลๆที่ยังมาไม่ถึงหรอก
เขาจะย้อนกลับมาดูเวลาที่ไกล้ๆตัว คือเวลาชีวิตของตนเอง
แล้วรู้จะว่าที่เรารู้สึกว่าเรามีเวลาอยู่อีกกี่ปี กี่ปีเนี่ยมันก็ปลอมหมด โกหกหมด โดนสังขารของมนุษย์มันหลอกเอาซะมิดชิด

คนที่เขาไม่ถึงจริง ได้เแต่คิดจินตนาการก็จะเป็นเหมือนแมลงที่มีอายุเพียง7วันก็ตาย แต่กลับคิดว่า7วันนี้ช่างยืนยาวเหลือเกิน เดี๋ยวันที่5ฉันจะข้ามมิติไปสู่มิติที่5 6 7อะไร จะตายในวันที่7อยู่แล้วยังโง่รอคอยที่จะวิวัติข้ามมิติอยู่ได้ แทนที่จะทำให้มันเกิดขึ้นเอง ด้วยความเพียร แต่ก็อย่างว่าแลหะ คนในโลกมันชอบอะไรที่ง่ายๆ ก็รอไป จนตายแล้วตายอีก ๆ ไปเรื่อยๆแหละ

ที่พูดนี่จริงๆก็ไม่อยากพูดหรอก เพราะรู้ว่าเข้าไม่ถึงเหมือนที่คุณชยุตกาลีกล่าวหาคนอื่นว่าเข้าไม่ถุึงเรื่องของคุณนั้นแหละ

 

พูดเหมือนเป็นคนถูกกระทำซะเองเลยนะ น้อยใจอยู่หรือไงเนี่ย
ถ้าจะดูตัวอย่างของการเอาอะไรมาเป็นเกราะป้องกันตัว ก็ดูได้จากตัวอย่างนี้นะ

มองแต่คนอื่น แต่ไม่มองตัวเอง ใครโต้แย้งอะไรไม่ได้ สุดท้ายเที่ยวป่าวร้องหาคนเห็นใจ ใส่ร้ายป้ายสีคนที่คิดเห็นแตกต่าง เพื่อให้ตัวเองดูดี ว่าคนอื่นอยากให้คนยอมรับบ้าง ว่าคนอื่นดิสเครดิสตนบ้าง ทำอย่า่งกับตัวเองเป็นคนดีจัดเลย แล้วก็พยายามปิดปากคนอื่นไม่ให้ พูด ไม่ให้วิจารณ์ตนเอง

ด้วยข้อความประมาณตัวอย่างข้างบนนี้แหละ จะกลัวอะไร เดี๋ยวบอดีการ์ดก็ทยอยกันออกมาปกป้องเองแหละ
แต่ระวัง อย่าให้ผิดกฏที่ตั้งขึ้นซะเองละ
จะกล่ายเป็นว่าแต่คนอื่น แต่ตัวเองเป็นซะัเอง
คนชื่อชยุตกาลีที่
เอาศาสนามาเหยียบเป็นบันได สนับสนุนเรื่องที่เจ้าผ่านมิติเข้าทรงมาบอก ดีจัดเลยนะ

 

คุณนั้นแหละคุณชยุต กาลี ที่เริ่มต้ันเอาศาสนามาวิจารในทำนองดิสเครดิสให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ
แล้วอ้างว่า ศาสนาก็ไม่น่าเชื่อถือพอๆกับเรื่องที่คุณชยุตกาลีแปลเอามาจากฝรั่งเข้าทรงที่มีผีมากระซิบ อ้างว่าเป็นอะไรต่ออะไรก็เชื่อ

 

สู้ต่อไป ทาเคชิ !

 

เนี้ยะแหละ ตัวแม่แรกเริ่มเลยละ

 

จงเดินต่อไป ยังเส้นทางแห่งความสว่างไสว
แม้พายุเมฆฝนมาเยือน มันจะไม่จีรังตลอดไป
เพียงแต่เราไม่กลายเป็นเหมือนเขาไปเสียก่อน


เราก็จะไม่ถูกความมืดดำนั้นดึงดูดเข้าไปได้ ...

 

เสีอยงสะท้อน อาจทำให้ขี้หู สะเทือนได้
ถ้าไม่เขี่ยออกก็เก็บไว้ คันหูเล่น