เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ค้นหนักเข้าไปเรื่อยๆ รูป ดับ เวทนาดับสัญญาดับ วิญญาณดับ สังขารดับ ดับคือ ดับที่ใจนี้ โดยไม่ต้องให้ใจออกไปรับรู้อะไร อารมณ์ต่างๆ ก็ดับไปหมด เพราะขันธ์ฺ 5 อันเป็นอุปาทานนั้นดับลง นี่ตรงนี้ละเอียดที่สุด ก็นั่นแหละ ใจที่ไม่มีอะไรนั่นแหละนิพพานตรงนั้น

    บางคนหาว่า นี่คือ อรูป ก็ตอบว่า ที่ดับนั้นดับแต่กิเลสขันธ์ แต่ ขันธ์ ที่ไม่เป็นกิเลสนี้ยังลืมตาใสเป็นปกติ ไม่ใช่ การไปนั่งดิ่งลงสู่การดับแบบอรูป

    พูดลำบาก ลองไปค้นหาใจให้ดีๆ ว่าเรารุ้เข้าใจอะไรในใจ นั้นแหละ วิญญาณยังไม่ดับ สังขารไม่ดับ ยังค้างเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ ทีนี้เพิกออกๆ จึงต้องอาศัยการทวน การพิจารณา การใช้กำลังสมาธิ ให้เห็นละเอียดแบบนี้ แล้วดับมันเสียด้วยการ เลิกเข้าไปใส่ใจ นั้นแหละ มหาสติ มหาปัญญา

    การเลิกนี้จะเป็นการตื่นที่บริบูรณ์ แจ้งไปหมด ว่างอยู่ ไม่มีใคร ไม่มีอะไรให้สมมติกัน

    ทีนี้ สำคัญ คือ องค์ธรรมต้องดีพอ ต้องสมบูรณ์
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สรุปง่ายๆ ว่า สังขารธรรม มันค้างในใจ การที่เราเข้าใจในบัญญัติต่างๆๆ ว่าสิ่งนั้นคือนี่ สิ่งนี้คือนั่น ล้วนแล้วแต่เป็นการทำงานของ ขันธ์ ทีนี้ สรรพกิเลส อาศัยตัวนี้แหละเป็นเครื่องมือให้เราทุกข์ คือ กิเลสครองขันธ์ โดยที่เราไม่เท่าทัน

    ดูให้เห็น เรื่องราวที่ค้าง สมมติที่ค้างอยู่ในหัว ในใจ แล้วมองให้เห็นอนัตตา คือ แรกๆ ต้องฝืนกว่าจะหลุด แต่หลังๆ แค่เลิกถือ ทันกับมัน มันจะดับไปในทันใด

    เอาตรงนี้ให้ชัดนะ ตรงนี้แหละ จะเป็นทางวิปัสสนาที่ถูกต้อง
     
  3. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมก็ต้องไปนั่งสมาธิแล้วครับ

    ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เมื่อ ทำแบบนี้บ่อยๆ อบรมให้ดี เดินไปตามทาง เมื่ออบรมดีพอ ตัวทัสนะจะแจ่มแจ้งในสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด เป็นปัจจัตตัง และจะรู้ว่า อะไรคือมรรค อะไรไม่ใช่มรรค เรียกว่า มรรคญาณเกิดขึ้น
    มรรคญาณนี้จะเป็น ตัวรู้ ที่สะสมอบรม วิปัสสนาจนดีพร้อมนะ มันจะเข้าใจและเกิดขึ้นเอง

    เมื่อมรรคญาณเกิด ครานี้แหละ เวลาทุกข์เกิด จิตจะจับ แล้วการปฏิบัตินั้นจะหมุนเร็ว มรรคจะย่นย่อลงๆ เป็นปัีจจุบันธรรม ขณะนั้นด้วยกำลังแห่ง จิต กำลังแห่งสมาธิ และ สติ ก็อาจจะต้อง วิปัสสนาสู้กับกิเลสขณะนั้นนะ ว่าทางนั้น ทางนี้มาอย่างไร สุดท้ายจะไปแจ้งเมื่อกิเลสดับไป ไปสัมประยุตที่ องค์ สัมมาสมาธิ และ ผลญาณเกิดขึ้นตรงนั้น เกิดเป็น ผลญาณขึ้นมา ว่า สังโยชน์อย่างนั้น สังโยชน์อย่างนี้เกิดมาจากเหตุนั้นเหตุนี้
    เข้าใจแจ้งทันที ว่าไอ้ที่เรายังสงสัยว่า เรานั้นได้หรือไม่ได้ เราใช่หรือไม่ใช่นั้นเป็น อำนาจ วิจิกิจฉาทั้งสิ้น ก็อวิชชามันยังไม่ดับจริงเราก็สงสัยเรื่อยไป

    จำไว้ว่า พระโสดาบันไม่แจ้งเท่าไร จะไปแจ้งก็ต่อเมื่อ ได้สกิทาคามีมรรค หรือ ผ่านโสดาปัตติผลไปแล้ว

    คราวนี้ กิเลส ที่อยู่ตรงหน้า จะลอยเวียนแต่ ราคะกับโทสะ ส่วนตัวอื่นหายเงียบไม่เหลือเลย
    ไอ้ที่สงสัย ฟูมฟาย สับสนปนเป หรือ ทุกข์ร้อนใจ หรือวิ่งหาทางนั้นที วิ่งหาพระท่านนั้นท่านนี้เพื่อไปขอธรรม หมดสิ้น นี่ตรงนี้ จำเอาไว้ ใครหมดสังโยชน์ 3จะไม่มีอาการแบบนี้อีกเลย เหลือแต่ ราคะโทสะ ตรงหน้าเป็นเหมือน แมลงบินมาบินไป มีขึ้นดับไป มีขึ้นดับไป
    ละไม่ได้ แต่ก็ไม่เกิดโทษ

    นี่พูดละเอียดอย่างที่สุดแล้วนะ หาฟังไม่ได้แล้วนะครับ :)
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    โชคดีครับ ใครอ่านของผม เอาแต่ธรรมไป อย่าเผลอไปวิพากษ์ ตัวบุคคล ให้พอรู้เป็นกระษัยในการกระหายใคร่ธรรม
     
  6. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ก่อนอื่นเพื่อความ สมานฉันท์..ของทั้งสองท่าน ก็ต้องทบทวนนิดนึ่งคับว่า แนวทางปฏิบัติ มี2 ทางใหญ่ๆ
    1.สมถะ นำ วิปัสนา คือแนวที่่า ขันธ์ปฏิบัติอยู่
    2.ปัญญา นำ สมถะ... หรือวิปัสนา นำ สมถะ... อันนี้ก็แนว คุณ เอกวีร์ และคุณขวัญ

    ...ประเด็นที่โต้เถียง คือการดูจิต ดูเฉยๆ นี้นะมันจะละทุกข์ได้อย่างไร ???
    ...และคนที่ดูจิต แล้วทำไม? ไม่ก้าวหน้า เพราะ หลงเพ่งจิต ด้วยความอยากไงคับ เลยไม่เห็นตัวจิต เกิด-ดับให้ดู... เข้าไป เพ่งก็เท่ากับ ลงไปคลุกกะจิตที่รับอารมณ์เข้ามา.เหมือนเรามองสิ่งต่างๆที่ลอยมาตามน้ำ...แต่แทนที่จะนั่งมองบนตลิ่ง..กลับโดนลงไปมองในน้ำ ลอยคอ กลางน้ำการมองสิ่งต่างๆ ก็ไม่ชัดเจน แถมยังเหนื่อยกับการประคองตัวว่ายน้ำอีก...และที่สำคัญ..จิตที่ถูกเพ่งก็เท่ากับเรา กอดจิตไว้ไม่วาง... จิตก็เลยนิ่งซะไม่มี การเปลี่ยนแปลงไม่แสดงไตรลักษณ์ให้เห็น...ไม่เห็นไตรลัก วิปัสนาญาน ก็ไม่เกิด... นี่ชื่อว่าไม่เห็นธรรมตามจริง.. สุดท้านเลยไม่ได้อะไรออกจากการูจิต.. มีแต่โดนจิตเรากัดเราเองเลือดโชคออกมา... นี่คือปัญหา ของการดูจิต...ที่ฝายที่ปฏิบัติแบบดูจิตก็ต้องยอมรับในส่วนนี้... จึงไม่แปลกที่มีคนดูจิตแล้วไม่ได้ผล..หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านก็บอกนะ..การที่จะเข้าไปดูจิตเลยตรงๆ มักได้ผลกะ คนที่มีจริตทางชอบคิด หาเหตุหาผล...(ถ้าผมจำไม่ผิดเรียก ทิฏฺฐิจริต มั่ง)
    แต่ผู้ที่ เป็นราคะจริต ท่านว่า ควรทำกรรมฐานก่อน คือใช้ สมถะนำวิปัสนา..

    แต่โดยส่วนตัวผมเองนะ...ผมถึงแม้จะดูจิตมาก่อนพบหลวงพ่อปราโมทย์..แต่ ณ.วันที่ผมเร่งความเพียร ผมปฏิบัติ แนวพระป่านะคับ ...คือนั่งขัดเพชร 2 ชม. พิจารณาเวทา ที่เกิดตรงหน้า..พิจารณาจนแตก จน เข้าใจ รูป กะ นาม...
    ...แต่หลังจากนั้น...ผมก็มีแนะนำเพื่อนธรรม กัลญามิตรที่เจอกันในวัดปฏิบัติธรรม ให้ลองทำตามดู...แต่ผลที่ออกมา เขากลับไม่ได้อย่างผม...
    ทั้งๆที่เวทนาตัวเดียวกัน.. แต่ต่างคน ต่างกรรมต่างวาระ.. มองเวทนาตัวเดียวกัน ผลที่ได้ไม่เหมือนกัน ... ทำให้ผมเห็นสัจจะธรรม ว่า การนั่งสมาธิ พิจารณาเวทนา ก็ไม่สามารถ รับรองได้ว่า..."จะเห็นธรรม"เหมือนกัน... นี่ก็คือฝ่าย สมถะนำวิปัสนาก็ต้องยอมรับในจุดนี้..

    ในบทต่อไป จะคุยให้ฟังคับว่า ... กลไกของจิต...ทำไมดูจิต อย่างเดียวละวางกิเลสได้ อย่างไร ..ไม่เช่นนั้นมันจะ ยาวมากอ่ะคับ
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    พูดแบบนี้ ผมรู้เลยว่า ท่านนิวรณ์ มองไม่เห็นสิ่งที่มันค้างอยู่
    จริงอยู่มันดับเอง แต่คนเติมเชื้อตลอดเวลา นั้นคือ เราซึ่งมีอวิชชา

    ผมให้ท่านคิดง่ายๆ ว่า ถ้ามันดับเองแล้ว ป่านนี้เรานิพพานกันหมด เพราะมันดับเองไปทั้งหมด แต่นี่เรามีอวิชชา เราเติมเชื้อให้มันตลอดเวลา จนเป็นการค้างเรียกว่า ติดอยู่กับสภาะวนั้นไม่ไปไหน

    ซึ่งแม้ตัวท่านเอง ท่านค้างอยู่ท่านก็มองไม่เห็นหรอกท่านนิวรณ์ เพราะท่านไม่ดำเนินหา เหตุปัจจัยของมัน ด้วยอุบายธรรมและ ธัมมวิจย และวิปัสสนาญาณ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมไม่ใช่ สมถะนำหรอกครับ มันไม่มีสมถะนำหรอก

    ประเด็นที่ผมพูดคือ ท่านเอกวีร์ ติดวิปัสสนูกิเลส และหนทางเดินของท่านนั้น ปิดประตู

    อาจจะเป็นเพราะท่านเอกวีร์ ปราถนาพุทธภูมิก็เป็นได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะตรงนี้

    และผมไม่ได้ ไปโกรธเคืองจนต้องสมานฉันกับท่านเอก หรอกครับ เพราะถ้าผมยังโกรธ ยังเคือง แล้วผมจะมาสอนธรรมพวกท่านได้อย่างไร

    ประเด็นมันอยู่ที่ธรรม ที่ถูกต้องหรือไม่ถูกเท่านั้น ตอนนี้
     
  9. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    คับเช่นนั้นผมก็ต้องขอโทษ ด้วยคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2008
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอ้า ก็ท่านออกมาแสดงความเห็นไม่ใช่หรือ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะสอนท่านโดยตรง
    แต่ผมกำลัง พูดเรื่องธรรม ท่านเอก ผมพูดไปตามธรรมทั้งหมด ไม่ได้บอกว่าจะสอนหรือไม่สอน หรือกล่าวหาใคร ท่านคิดว่า มันเป็นสิ่งที่รับไม่ได้หรือไง ท่านจึงตั้งท่าปฏิเสธอยู่ร่ำไป

    ก็ไม่เป็นไรนี่ แต่ถ้าหากท่านแสดงความเห็นออกมาอีก ผมก็จะบอกอีกว่ามันผิดตรงไหน

    ท่านเอก ผมไม่ใช่ คนสอนท่านได้ แต่ท่านก็ควรเชื่อพระธรรมบ้าง
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิษณุ12, ananhesawadi, ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก", ขันธ์ </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->
    <!-- popup menu contents -->
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณนัท ครับ คุณไม่ต้องขอโทษอะไรผมหรอกครับ เพราะคุณไม่ได้ทำผิดอะไร
    ผมชี้แจงไปตามความจริง เท่านั้นแหละครับ
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การทำสมาธิ นั้น ควรทำด้วย การ ตั้งนโม แล้วสวดมนต์ เอาให้จิตแนบไปกับคำสวดมนต์

    แล้ว ค่อย บริกรรม เช่นพุทโธ แต่สำหรับผมหายใจเข้าออก หรือ เพ่งไปข้างหน้าก็ได้นะ

    พยายามให้สัญญาอารมณ์ต่างๆ ปล่อยวางไป เอาให้เหลือแต่สิ่งที่เราบริกรรม

    หรือ ใครมีนิวรณ์ธรรมมากๆ ก็ให้ทำ ชาคริยานุโยค คือ ทำให้จิตตื่น อยู่เสมอ เช่นเวลาง่วงหงาวหาวนอนก็ปลุึกจิต ให้มีกำลัง แล้วค่อย ทำสมาธินะ มีศรัทธาในจิตคือ รู้สึกดี รู้สึกว่า ทำแล้วดีมีผล

    อันนี้เป็นการเริ่มต้น จิตที่เป็นสมาธิ จะหลับสบาย ตื่นเป็นสุข หลับเป็นสุข นอนแป๊บเดียวแต่เหมือนหลับไปนาน

    ก็ศึกษาองค์ธรรมให้ดี แล้วปฏิบัติตามธรรม ที่พระพุทธงองค์ทรงสอนในพระไตรปิฎกนั้นแหละ มันอยู่ที่เราทำตัวเดียว ย่อมถึงธรรม
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แก้ต่างได้สิ แต่ทำไมท่านแก้ต่างด้วยการประชดบ้าง การกล่าวหาผมบ้าง และเหตุผลอะไรต่างๆ นาๆไม่ใช่หรือ
    ใครไปห้ามท่านหละ ท่านนิวรณ์ ว่าไม่ให้แก้ต่าง

    ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไรท่าน แต่ถ้าท่านแสดงไม่ถูกต้อง ผมก็พูดว่าไม่ถูกต้อง
    ผมเห็นว่า ท่านติดธรรม ผมก็บอกว่า ท่านติด
    ส่วนท่านจะปฏิบัติอย่างไรมา ผมไม่รู้ แต่รู้ว่าตอนนี้ท่าน มีทิฎฐิปักแน่น จะต้องไปสืบสาวราวเรื่องอะไรหละครับ

    แต่เอาเถอะ เอาไว้ค่อยชี้แจงวันใหม่แล้วกัน ผมขอตัวพักผ่อน จะไปสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แปลกเนอะ พุทธบริษัท 4 มีอะไรบ้าง ท่านไปพิจารณาดู

    ทิฎฐิท่านไขว้เขว ไม่มีหลักแล้ว ท่านนิวรณ์ ท่านไม่รู้สึกหรือว่า ทำไมท่านจึงขาดหลักที่ชัดเจน
    ผมขอตัวก่อนแล้วกัน
     
  16. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    การดูจิต..ละวางกิเลส ได้อย่างไร???
    ...ก่อนอื่นคงขอเกริ่น อาการของจิตโดยธรรมชาติ ก่อน.. วงจรการทำงานของ จิต... ผมเอาสั้นๆนะคับ เช่น ตาเห็น รูป --->สัญญาเกิด---> สัญญาดับ สังขารเกิด--->สังขารดับ วิญญาณเกิด--->วิญญาณดับ ตัญหาอุปทานเกิด--->ได้ดั่งใจอยาก ก็สุขเวทนาเกิด ..ไม่ได้ดั่งใจ ทุกข์เวทนาเกิด---> สัญญาก็เกิดอีก บันทึกสิ่งที่เรา รับรู้เข้ามา...
    ....พอตาเห็นรูปเดิม--->สัญญา ตัวสุดท้ายที่บันทึกไว้เกิด....ตรงนี้แหละคับ ตัวสัญญา ความจำได้หมายรู้นี่ เขาจะบันทึก เหตุการณ์ ต่างๆไว้หมด...โดยไม่เลือกว่าสุขหรือทุกข์ บันทึกทับซ้อนลงไปเรื่อยๆ (สัญญาที่บันทึกนี่แหละ จะเป็นตัววิบากกรรม ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ)
    ตรงที่สัญญา มันจำด่ะ นี่แหละคับ...เป็นกลไก ที่ว่า...แต่เราต้อง ป้อนขอมูลที่เป็นธรรมตามจริงให้เขา...ให้จิตมันจำได้แม่นยำ.. ว่านี่โกรธ นะ... นี่ทุกข์นะ...นี่เผลอนะ ...คือ ป้อนข้อมูล ให้ตัว สัญญามันจำไว้ พอต่อไปเรา(สติ)เห็นจิตที่กำลังจะปรุ่งแต่งเป็น กิเลสต่างๆ ..ด้วยข้อมูลที่มี อยู่ สติจะตามกิเลสตัวนั้นทันทันทีเลย...เช่น..สมมุติเราไม่เคยเห็นกินส้ม มาก่อน...ก็มีคนอธิบายส้มให้เราฟัง อย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจ ...ต่อเมื่อเราได้กินสักครั้งนึ่ง...(สัญญา เรามีข้อมูลเรื่องส้มแระ) ต่อมาพอเจอ ส้มปุ๊บ...เราจะรู้ทันที่เลย จากข้อมูลที่มีโดยไม่ต้องคิดเลย..
    หรือเอาอีก ตัวอย่างเช่นคน ธรรมดาที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม .. เวลาเขาโกรธอยู่..เราเข้าไปห้ามเขา...เขาจะ สวนเราทันที่เลยว่า... เพราะ อย่างนั้นอย่างนี้ จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร...เห็นไหม?คับ...คนที่ไม่เห็นตัวโกรธตามจริง...ก็จะยังมีเหตุผล ที่จะโกรธ ...ถามเขาว่า..แล้วไม่รู้สึกเหรอว่าโกรธ นะมันร้อนนะเหมือนไฟนะมันเผาเราเอง นะ....เขาก็จะ บอกว่าไม่หรอก มันต้องเอาคือ ถึงจะสะใจ ..เห็นไหม?คับ มีความสุขที่ได้โกรธ เพราะได้ดั่งที่อยากจะทำ (ความโลภ เกิดซ้อนอีก) คืออยากเอาคืน นี่แหละคับ เพราะเขาไม่เห็นธรรมตามจริง...เลยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว....
    ... แต่ผู้ที่ ฝึกจิต ให้ดูเฉยๆ(แต่ต้องมีสตินะคับ)ตัวสัญญา จะบันทึกข้อมูลไว้ ต่อมา พอจิตเริ่มโกรธ ..ด้วยจิตที่มีข้อมูลตัวโกรธอย่างถูกต้อง... สติจะทันกับกิเลสที่เกิดทันที่..เหมือนเรา มองสิ่งต่างๆ แล้วรู้ทันที่ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ คืออะไร...
    และด้วยธรรมชาติ ของสัตว์มนุษย์ทุกคน... มีสัญชาตญาณ ในการเอาตัวรอด.. อะไรที่ทะให้เราเจ็บ... จิตมันก็จะไม่เอา แล้ว....มัน จะคลายตัวของมันเอง ตั้งแต่ จิตเริ่มขุ่นแล้ว...
    ....แต่ จะเป็นอย่างที่ว่าได้ ... ต้องได้รับ การป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง หรือที่บอกกันว่า เห็นธรรมตามจริงนะคับ... ไม่เห็นนั้น ก็จะ มีเหตุผลที่จะโกรธ อยู่ล่ำไป...การที่จะได้ ข้อมูลที่ถูก ต้องคือ ไม่ไปแซกแซง หรือ ทำอะไร...เช่น อยากจะดับโกรธ... ถ้าอยากดับเมื่อไหร่ ... นั้นแหละ จิตเราเข้าไปเพ่งโกรธ โดยไม่รู้ตัว.. ที่นี้ จิตก็จะ ทรงอารมณ์โกรธนั้นอยู่... เพราะเรา ไปเกาะอารมณ์ไว้โดยไม่รู้ตัว... พอตัวโกรธทรงอารมณ์โกรธ.. จิตก็ไม่แสดง ไตรลักษณ์ ให้เห็น...เมือไม่เห็นไตรลักษณ์ วิปัสนาก็เลยไม่เกิด... ไม่เห็นธรรมตามจริง ..จิตก็ไม่อาจละวางกิเลสได้...
    ที่นี่แล้วสมาธิ มันเกิดได้อย่างไร... ถึได้บอกว่า ปัญญานำสมาธิ...สมาธิ เขาจะเกิด เองเมื่อปฏิบัติไป ระยะหนึ่งแล้ว... ตัวสัญญา ได้รับข้อมูลที่ครบ จิตจะเกิดเบื่อหน่าย คลายกำหนัด คือคลายความยินดีใน อารมณ์ ต่างๆ ที่จรเข้ามา... เมื่อถึงตรงนี้ จิตก็จะเกิดความตั้งมั่นขึ้น...ไม่ไหวเอนไปตาม การกระทบ ทางอายตนะต่างๆ ..เมื่อจิตตั้งมั่น สมาธิก็เกิด... แต่พวกนี้สมาธิจะเกิดไม่นาน นะ...แปปเดียวเอง แค่ขณิกะสมาธิเอง...แต่นั้น ก็เพียงพอที่จะ ทำให้ได้ความอิ่มเอิบในความวางจาก กิเลสที่ไม่กระทบใจแล้วแหละคับ ... และพอทำำไปเรื่อยๆๆ จนถึงขั้นนี้... ที่นี้เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าเสียง...อะไร อะไรมากระทบก็สักแต่ว่า ... ไม่ใช่สักแต่ว่าจากคิดนะคับ... มันไม่ต้องคิด มันเกิดเองเลย..กระบวนการของจิตตรงนี้ จะไวมากคับ
    ... ถ้าผมอธิบาย ผิดพลาด ประการณ์ ใดก็ต้องขออภัย ผู้รู้ทุกท่านด้วยนะคับ...เพี่ยงแต่อยากจะ แช่ประสพการณ์..ว่า การดูจิตก็ละวางทุกข์ได้คับ ...แต่ สติ(ผู้รู้) ต้องรู้อารมณ์แบบไม่เข้าไป จมแช่ในอารมณ์ ...ไม่งั้นก็ นานหน่อย จยอาจไม่ได้สัมผัสเลย...ว่า ดูจิต เขาดูกันอย่างไร อ่ะคับ ...

    สาธุ.....<label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label><label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2008
  17. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ....ขอบคุณคับที่เตือน<label for="rb_iconid_30">[​IMG]</label>

    เป็นคำเปรียบเทียบ คับ... ใครอ่านแล้วเข้าใจ ก็ถือว่า เป็นสิ่งดีที่ได้ไปคับ ..
    แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ยินดีจะอธิบายเพิ่มเติ่มคับ ตามกำลังปัญญา อันน้อยนิดของผม..
    แต่ถ้าดูถ้าว่าอธิบายแล้ว ยังคง กอดทิฏฐิตัวเองแน่นอยู่ ผมก็ถือว่า เขาไม่ได้ต้องการความรู้ แต่ต้องการเอาชนะ ...ผมก็วางจบ คับไม่แตะต้องให้มาติดกรรมกันเป่าๆ..<label for="rb_iconid_30">[​IMG]</label>
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คลาดเคลื่อนไปเยอะเลย ^-^
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    วันที่ 5 ธันวา ขับรถไปนอนศรีราชา เช้ามืดก็เข้าวัดฟังธรรม ท่านกล่าวถึงเรื่องโพธิสัตว์ ท่านยกประมาณว่า อย่างเราจะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร ต้องมีบุญบารมี ต้องช่วย ต้องทำเพื่อประโยชน์ของสัตว์หมู่มาก เป็นอย่างยิ่ง ต้องบำเพ็ญเพียรอยากยาวนาน แล้วท่านก็สรรเสริญในหลวงของเรา

    แล้วท่านก็กล่าวถึงเรื่องการตื่น ท่านว่าในปัจจุบันมีผู้ตื่น ผู้เห็นตามจริงเริ่มเยอะ อีกหน่อยจะเยอะกว่านี้อีก ท่านว่าถ้าได้ทิพยจักษุก็จะมองเห็น ความสว่างไสวของผู้เห็นธรรม จะสว่างไสวสัมผัสได้ เย็น อบอุ่น

    ท่านมองมากล่าวว่าหากไม่ทำตัวเอง ไม่เรียนรู้ให้แจ้งเสียก่อน ก็ยังไม่ต้องรีบสอน เพราะมันจะคลุมเคลือ มันจะพลาด ให้เอาตัวเองให้รอดเสียก่อน

    แล้วท่านยังกล่าวว่า ศาสดาเปรียบเหมือนการขึ้นยอดเขาโดยการเดินวนจนรู้ทุกซอกทุกมุม ส่วนสาวกก็เดินลุย ๆ ขึ้นไปตรง ๆ เลย ถึงจุดหมายเหมือนกัน แต่ช้าเร็วไม่เหมือนกัน

    เราโชคดีที่มีศาสดา มีพระธรรม มีคำสอน เป็นแนวทางอยู่ ท่านย้ำว่าให้เพียร ให้รีบ เพราะยิ่งนับวันโลกก็จะเบียดเบียน จะแก่งแย่งกันมากขึ้น ตามคนที่มันเยอะขึ้น ทรัพยากรมันก็น้อยลง

    กล่าวโดยจิตปรุงแต่งต
    ามกิเลสทั้งสาม
    ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2008
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนาคุณจินนี่ ด้วยนะ
    อ่านแล้ว ระลึกถึงท่านพระอาจารย์ ก็เกิดปิติ น้ำตาไหล อีกแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...