เรียนถามเรื่อง อรูปฌาน(อรูปสัญญา)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย bentagon, 19 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    อรูปฌานแปลว่าฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ การไปน้อมเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอารมณ์ สิ่งนั้นล้วนเป็นรูปทั้งสิ้น การน้อมเอาอากาศเป็นอารมณ์ก็ไม่ต่างกับดูลมหายใจ เพราะลมหายใจก็คืออากาศนั้นเอง
    หากว่าถึงฌาน4แล้ว อารมณ์ฌาน4เขาจะเป็นอุเบกขา มีอารมณ์ทิ้ง ดิ่ง นิ่ง สงบอย่างมาก เขาจะไม่รับอารมณ์ใดๆอย่างแน่นอน เป็นสภาวะจะละการรับรู้สภาวะของรูป หากเอารูปมาเป็นอารมณ์ก็เท่ากับถอยมาที่ฌาน1
    ไม่อาศัยรูปก็ต้องอาศัยนามนั้นเอง นามที่จะใช้ในขณะนั้นก็คือความรู้สึกที่ปรากฏชัดที่สุด ซึ่งจะปรากฏท่ามกลางใบหน้าตรงนี้เรียกว่าจุดมโนทวาร
    จุดมโนทวารจะอยู่ตรงดั้งจมูกหักระหว่างลูกนัยตาทั้งสองข้าง ให้เอาสติจับที่จุดนี้ดูความรู้สึกที่จุดนี้ (อย่าให้ขึ้นเกินคิ้วจะเป็นอันตราย)
    สติจี้ที่จุดไ(ไม่มีการกำหนดอะไร) มันออกมาก็เข้าไปใหม่ บางครั้งจี้ติดได้ก็จี้ติด หากจี้ติดไม่ได้ก็จี้เท่าที่จะจี้ได้
    สภาวะอรูปฌานจะปรากฏขึ้นมาตามลำดับตามความแก่กล้าของอินทรีย์
    ผมปฏิบัติมาแล้ว ปัจจุบันต้องถอยกลับมาที่รูปฌาน เพราะเหตุอรูปฌานไม่เหมาะกับโลกีย์วิสัยครับ
    หมายเหตุ. การนั่งใช้ท่านั่งแบบสมาธิทั่วไปแตกต่างที่มือทั้งสองข้าง ให้นำมาวางจับที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ท่านี้เรียกว่าปรางค์พุทธองค์เสวยวิมุติสุข(ปรากฏมีอยู่แต่น้อยไม่ต้องหา ปฏิบัติตามนี้ไปก่อน)
    เมื่อขึ้นอรูปฌานขึ้นสูง จะปรากฏสิ่งลี้ลับมากมาย อย่าติด อย่าหลง อย่ากลัวโดยเด็ดขาด
    มีปัญหาสอบถามทางข้อความ pm หรือที่โพสต์"ผลของการปฏิบัติฌานสมาบัติระดับโสดาบัน-พระอรหันต์" ที่หัวข้อพระพุทธศาสนา หรือที่นี้ครับ
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2014
  2. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ขอแจมด้วยคนนะคับ
    ขอออกตัวก่อนว่าผมเป็นเพียงปุถุชนที่หาได้ทั่วไป มีกิเลสครอบงำ โดยรูปบ้าง สัมผัสบ้างเป็นต้น...

    สั้นๆย่นย่อกันเลยเพราะดูเหมือนแท็บเลทผมจะแลมต่ำหน่อย
    หากเพื่อนธรรมคนใดไปถึง จตุ คือฌานที่สี่มีอารมณ์สุขเอกคตารมณ์ บางคนเก่งหน่อยอาจเห็นสีของดวงจิต บางคนเห็นแต่อารมณ์กับอาการทางกายสัมผัสที่บ่งบอกได้ว่าอยู่ จตุ การไปต่อไม่ยากอย่างที่คิด เดินอารมณ์ญานให้ไปตกที่อุเบกขาญาน (ไม่ขอเจาะรายละเอียด) ส่วนฌานสี่คือจตุให้ปลงทิ้ง ท่องไว้ สุขเอกคตารมณ์ในฌานสี่ไม่เที่ยงหนอ ไม่เที่ยงหนอ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจาณากาย เมื่อตายไปดังศพเน่า ข้างหนึ่งย่างไฟข้างหนึ่งเน่าไปตามกาล นำหนองใหล ไฟในกายดับ ลมพัดออกกระดูกสามร้อยท่อน ต่อจากนั้นอฐิฐานจิตเข้าสู่ อากาศา คือธาตุดิน ร่างกายจะหนัก จักษุภายในจะมืด หากเราปลงฐาตุดิน ก็จะเข้าสู่ธาตุน้ำคือวิญา เหมือนวิญญานที่แผ่ออกไปไม่สิ้นสุด รู้สึกเบาแต่ยังไม่ได้เบาสุด ปลงธาตุน้ำ ก็จะหลุดเข้า อากิญมีความเป็นธาตุคือธาตุไฟ จะรู้สึกร้อนแน่นๆที่ลิ้นปี่ด้านบนและร้อนไปทั่วร่างกายเหมือนไฟเผา ปลงไปเรื่อยๆ หลุดจากธาตุไฟ ก็จะเข้า เนวสัญญา จะเบาสุดเหมือนลมจุกคอหอย บางคนเหมือนมีลมวิ่งออกทั่วร่างกาย ปลงธาตุลม หรือปลงเนวสัญญาก็ได้ ทุกอารมณ์มี5ขั้น แรงสมาธิยิ่งดีอารมณ์ยิ่งชัด ถ้าไม่ชัดก็อย่าสนใจ ทำผ่านๆ หากมาถึงนี่แล้วเบาสุด ก็ให้ปลงเนวสัญญา กำหนดจิตลงปฐมใหม่ เอาใจจดจ่อเหนือสะดือสองนิ้ว ท่องในใจปฐมฌานหนอๆๆ วิตกในศีลหนอ วิจารในสมาธิหนอ....จบรอบสมาบัติแปด ก็ทำรอบใหม่ไล่ขึ้นไปอีก ^^ ตอนนี้ผมมืดอยู่ในกิเลสปุถุชนอยู่ ^^ ขอให้เพื่อนสหายทำสำเร็จสมาบัติแปดสมมุ่งหมายนะคับ
     
  3. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ปล.ใครคิดว่าสมาบัติแปดไม่สำคับนี่ผิดเลย มันเป็นทางเดินจิตยังไงก็ต้องได้ผ่านก็ต้องได้เจอดังนั้น ทำได้ไม่ยึดติด อาศัยได้เหมือนศาลาริมทาง พักกินน้ำกินขนมแล้วก็ไปต่อ...ถึงบางคนจะผ่านไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ก็ผ่านก็มี เหมือนขับรถจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ บางสถานที่ก็รู้จักบางสถานที่ก็ไม่รู้จัก ผ่านบ่อยๆก็รู้จักจำได้ บางสถานที่น่าพักติดใจแต่พักที่เก่าบ่อยๆก็เบื่อหน่ายไม่ติดใจ แต่ก็ไปทางเดียวกันที่เดียวกัน บางทีไปที่เดียวกันยังเรียกชื่อสถานที่ไม่เหมือนกันยังมีเลย ^^
     
  4. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ฌาณสี่คือการนั่งสมาธิที่เลยกายใจเลยอายตนะกายใจไปแล้ว เหลือแค่จิตรู้
    กายใจหรืออายตนะกายใจคือรูปญาณ ก็คือญาณหรือปัญญาหรือความสงบที่ได้จากรูป
    ถ้าเรานั่งสมาธิแบบเลยกายใจไปสู่จิตรู้เลยแบบนี้ไม่เรียกว่าเกิดปัญญา แบบนี้เรียกว่าเข้าสู่อรูปที่ขาดปัญญาทำให้ไปต่อไม่ได้เพราะขาดทั้งฌาณที่สงบและญาณที่รู้ความจริงของกายใจ ดังนั้นถ้าจะเข้าสู่อรูปที่จะไปได้ จะต้องผ่านรูปกายใจโดยมีความสงบหรือได้ฌาณและรู้เห็นความจริงของกายใจคือปัญญาหรือญาณจากการปล่อยวางกายใจเพราะเข้าใจความจริงของกายใจให้ได้เสียก่อน คือผ่านรูปกายใจมาได้เสียก่อน เมื่อเข้าสู่อรูปหรือเหลือจิตรู้ตัวเดียว มันถึงจะเห็นตนเอง(จิตรู้)ได้ชัดเจน ซึ่งเปรียบเหมือนคนที่ตายแล้วเหลือแต่จิตวิญญาณที่เด่นชัดนั่นเอง ถึงจะเป็นสภาวะอรูปจริงๆ

    ส่วนคนที่ไม่ผ่านการปล่อยวางกายใจก็เหมือนคนที่ ยังไม่ตายมีกายใจจิต รวมกันทำงานอยู่ซึ่งหมายถึงแยกรูป แยกอรูป ยังไม่ได้ชัดเจน เหมือนคนที่นั่งสมาธิแล้วเหลือเพียงจิตรู้ตัวเดียว อันนี้ไม่ถืออรูปจริงเพราะส่วนที่เป็นรูป ยังไม่ผ่าน
     
  5. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    การฝึกสติปัฎฐานสี่ การเอาจิต(สติรู้)ดูกาย เมื่อทำการดูกายเมื่อไหร่ จะเห็นได้(รู้)ทั้งกาย เวทนากาย และส่วนของความคิดทั้งสามส่วนพร้อมกันเลยทีเดียว แต่ให้จิตรู้ รู้โดยทั่วกันแบบนี้ให้ได้ตลอด เพื่อสะสมความสงบจากการฝึกดูกายจนสามารถเห็นรู้ชัดเจนทั้งสามส่วนคือ กาย เวทนากาย และความคิด ดูจนกว่าสติหรือจิตรู้จะเข้าใจใน กาย เวทนากาย และความคิด แล้ว หมดความสงสัยในกาย หมดความสงสัยในเวทนากาย แล้วมีความสงบอย่างมาก เพื่อที่จะมาดูในส่วนของความคิดและรู้ทันความคิด จนสามารถเห็นการเกิดขึ้นของความคิดรู้ว่าตัวไหนที่เป็นตัวคิด ส่วนจิตที่ดูก็ดูอยู่อย่างนั้นและจะรู้ด้วยว่า ความคิดเกิดจากตัวไหนที่คิด ซึ่งตัวสติหรือจิตที่ดูไม่ได้คิดอะไรเลย แล้วการดูนี้ จะต้องดูจนเห็นตัวที่คิดให้ได้และเข้าใจการทำงานของตัวที่คิดให้ได้ เพื่อเป็นการเกิดปัญญาที่ว่า ระหว่างตัวที่ดู(รู้)กับตัวที่คิดมันเป็นคนละตัวกัน
     
  6. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ถ้าใครที่ดูกาย เวทนากาย และจิต(ความคิด) ไม่ผ่านหรือไม่เข้าใจ หมายถึงคุณไม่ผ่าน ส่วนของรูป (อายตนะที่รับรู้โลก หรือ โลกี หรือ โลกนั่นเอง) แม้จะนั่งสมาธิจนเหลือจิตรู้อย่างเดียวเข้าถึงอรูปได้ แต่ก็ จะไม่สามารถ มีความสงบ(ฌาณ) มีปัญญา(ญาณ) ไม่สามารถผ่านด่านอรูปได้ อรูปคือ การไม่เหลือรูป ไม่เหลือรูปคือ เหลือแต่ ขันธ์สัญญา วิญญาณ เวทนา สังขาร ที่รู้ แต่มองไม่เห็น (นี่คือต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง) ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายที่จะต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวดในการ ชำระ
     
  7. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อรูป เปรียบได้เหมือน จิตเหนือโลก(จิตวิญญาณของคนที่ตาย)
    ถ้ายังมีชีวิตอยู่แล้วปล่อยวางกายใจได้คือ ตายแล้วแต่ยังมีสติ
    แต่ถ้าคนทั่วไปตายแล้วแต่ปล่อยวางกายใจไม่ได้ก็คือไม่มีสติ เหลือแต่กรรมพาไป
    ดังนั้นการฝึกสตปัฏฐานสี่ ก็คือ ฝึกเพื่อปล่อยวางกายใจ(ตายก่อนตายจริง)เพื่อจะได้ มีสติที่สะสมปัญญามาพร้อมแล้วในการหาเหตุแห่งทุกข์(เหตุแห่งการเกิด) ว่า ส่วนของนาม(อรูป) คือ เวทนา วิญญาณ สังขาร สัญญา ขันธ์เหล่านี้ มันรวมกันมาเกิดได้อย่างไร (กายใจคือส่วนของรูปคืออายตนะที่เกิดมาเพื่อรับรู้รูป รับรู้โลก) แต่นามหรืออรูปหรือเวทนา วิญญาณ สังขาร สัญญาขันธ์เหล่านี้ มันเกิดจากอายตนะกายใจได้อย่างไร หาเหตุการเกิดของพวกมันให้พบ ท่านก็จะได้คำตอบที่แท้จริง
     
  8. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    กสิณ ที่ฝึกที่สร้างนั้น เอาอะไรสร้างก็เอาสติรู้(จิต)และอายตนะใจ สร้าง
    กสิณขึ้นมา กสิณที่สร้างที่ฝึกเรียกว่า เป็นการสร้างรูป(เปรียบได้กับการเกิดว่าเกิดได้เพราะมีเหตุปัจจัย) เราฝึกกสิณ เราเห็นเรารู้ในกสิณที่สร้าง แต่เรายังไม่เห็นตัวเองว่า กสิณที่สร้างนั้นสร้างจากจิต(สติรู้)หรือสร้างจากใจ

    ควรทำความเข้าใจว่า ที่สร้างกสิณใครสร้าง ที่รู้ว่ากสิณถูกสร้างใครรู้ ทำความเข้าใจสองตัวนี้ให้ได้ ให้เห็นชัดเจนระหว่างผู้สร้างกับผู้รู้ เพราะมันเป็นคนละตัวกัน
     
  9. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    กสิณที่สร้าง เปรียบได้เหมือนเงาในกระจกที่ส่องกลับมาบอกกับเราว่า มันมีผู้สร้างผู้รู้ อยู่ในกายใจเรานี้ ยิ่งกสิณแรงชัดเจนแค่ไหน ก็บ่งบอกได้ว่าผู้สร้างผู้รู้มีตัวตนชัดเจนแค่ไหน เพราะกสิณคือ ตัวแทนของความอยากตัวแทนของตัวตนของตนเอง นั่นเอง
     
  10. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ขออธิบายเรื่อง สภาวะอรูปคือการที่ เหลือเพียงจิตรู้
    รู้นี้ ครอบคลุมอะไรบ้าง ก็คือ รู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น รู้ว่าว่างแบบไม่มีที่สุดไม่มีประมาณหรือเปล่า(อากาศ) รู้ว่าเหมือนไม่มีอะไรแต่มันก็ยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่(สังขาร วิญญาณ) รู้ว่าไม่มีอะไรเลยแต่ทำไมมันยังคงมีความเป็นนั่นเป็นนี่ได้อยู่(สัญญา)

    สิ่งเหล่านี้ คืออรูปสภาวะ ที่ ไม่มีรูปกายและความคิดของใจ(อายตนะทั้งหกมา รบกวน)
     
  11. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อรูป คือ สภาวะที่รู้ทุกอย่างนอกโลกว่าไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เป็นอะไรก็ได้เท่าที่เคยอยากจะเป็น ยกเว้นอย่างเดียวคือ ไม่รู้รูปไม่รู้โลกไม่สนการรับรู้ของอายตนะกายใจ
    นี่ถึงเรียกว่า สภาวะอรูป
     
  12. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ถ้าไม่ผ่านรูป คือ กายใจ ก็คือไม่ผ่าน โลกมนุษย์ ความเป็นโลก
    ถ้าไม่ผ่านอรูป ไม่ผ่าน เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญาขันธ์ ก็คือ อรูปพรหม
    ไม่ผ่านอรูปก็คือไม่ผ่านโลกนรกและโลกสวรรค์

    การผ่านโลกมนุษย์ ผ่านได้ด้วยการเข้าถึงพระไตรลักษณ์
    การผ่านโลกนรกโลกสวรรค์ ผ่านได้ด้วยการเข้าถึง อนัตตาธรรม

    อาจมีหลายท่านที่ผ่านโลกนรกโลกสวรรค์แต่ไม่ผ่านโลกมนุษย์(นั่งสมาธิเข้าไปที่เหลือจิตรู้ได้แล้วเข้าถึงอนัตตาธรรม) เขาเหล่านี้จะไปอยู่แดนไหนล่ะ

    ที่ผ่านยากที่สุดคือ โลกมนุษย์เพราะคำว่ามรรคทั้งแปดนั้นผลมันมีที่โลกมนุษย์เท่านั้น
     
  13. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    การฝึกกรรมฐานทั้งหลาย ก็คือการฝึกสติปัฏฐานสี่นั่นเอง
    กาย เวทนา จิต ธรรม ทางสายเอกแห่งการพ้นทุกข์
     
  14. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา ขันธ์ทั้งห้า มาประชุมกันเกิด
    รูป จิต เจตสิก นิพพาน นั่นหมายถึง นิพพานทั้งรูปและจิตและเจตสิก ก็คือรวมขันธ์ทั้งห้า
     
  15. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา

    รูปคือ(กายและใจคืออายตนะที่รับรู้โลก ตัวแทนความเป็นโลก เป็นโลกี)ใจคือส่วนของนามที่เป็นอายตนะ ที่สามารถสร้าง นามขันธ์ที่เป็นเวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา ได้ถ้าใจมีอวิชชา(อุปทาน)

    นามขันธ์ที่เหลือคือ เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา เกิดจากสร้างได้จากนามใจที่มีอวิชชา

    และเมื่อตัวรู้หรือจิตดวงเดียวที่ เข้าถึงสภาวะอรูป โดยปล่อยวางโลกหรือกายใจได้แล้ว ก็หมายความว่า จิตหรือตัวรู้นี้ต้องรู้ความจริงให้ได้ว่า เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา ขันธ์เหล่านี้ เกิดได้ เพราะสาเหตุใด
     
  16. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เมื่อปล่อยวางโลกมนุษย์ได้(อายตนะกายใจ) คือ เข้าถึงพระไตรลักษณ์
    เมื่อปล่อยวางโลกนรกโลกสวรรค์ได้(อุปทานขันธ์) คือ เข้าถึงอนัตตาธรรม

    ทั้งสองข้อคือ สามข้อของอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ
    ทั้งสองข้อคือ รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ผลของการดับทุกข์ รู้นิพพาน
    แต่ไม่ไช่ผลของมรรคทั้งแปดข้อ
     
  17. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อริยสัจข้อที่สี่ คือมรรคแปดข้อ เกิดขึ้นได้ที่โลกมนุษย์เท่านั้น เกิดได้ ทำได้กับมนุษย์คนที่เข้าถึงนิพพานแล้วยังมีชีวิตอยู่เพื่อเสวยผล ในชีวิตที่เหลืออยู่เท่านั้น
     
  18. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    รูป คือ ตัวแทนของโลกมนุษย์
    เวทนาสังขารวิญญาณสัญญา คือ ตัวแทนของโลกนรกและโลกสวรรค์(อวิชชาหรืออุปทาน)

    ความจริงที่ไม่มีอุปทานไม่มีอวิชชาคือ อายตนะกายใจ เท่านั้น
    สิ่งที่จะชี้วัดให้เราทุกคนเข้าใจความจริงนี้ได้ ก็คือ มรรคทั้งแปดข้อ นั่นเอง
     
  19. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ให้พากันทำความเข้าใจ ในพระไตรลักษณ์ ให้ดีดี
    ให้พากันทำความเข้าในคำว่า อนัตตาธรรม ให้ได้

    แล้วให้ทำความเข้าใจให้ได้ว่า ธรรมทั้งสองข้อนี้ มีผลอย่างไร
    ถ้าขาดความเข้าใจข้อใดข้อหนึ่งไป แล้วไม่ผ่านในข้อใดข้อหนึ่ง ผลจะเป็นอย่างไร
     
  20. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ถ้าโลกและจักรวาลที่รู้เห็นทั้งหมดคือ รูป ความจริงของรูปทั้งหลายทั้งปวงคือ พระไตรลักษณ์ ไช่หรือไม่ คือ มีการเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่ มีการดับไป

    ถ้าจิตที่รู้สิ่งทั้งหลาย คือนาม ความจริงของนามรู้ที่รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงคือ ความเป็นไตรลักษณ์ ดังนั้นจิตที่รู้นี้ คือส่วนหนึ่งของอนัตตาธรรม ไช่หรือไม่ คือ ยังจะต้องยึด การรู้ นี้ด้วยหรือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...