เรียนพระอภิธรรมกันเถอะค่ะ ปริยัติ และ ปฏิบัติไปด้วย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 12 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราก็แสดงความคิดที่เกิดจากการอ่านโพส์ทของท่านน่ะแหละ
    เราก็ไม่ได้รู้ใจของท่านสปาต้านินา เรารู้แค่สิ่งที่อยู่ในใจเรา อ่านแล้วใจเรามันคิดไปอย่างนั้น
    ก็เลยพิมพ์ออกมา ให้ท่านรู้
    อย่างน้อยก็ได้รู้ ว่าเราคิดผิด คิดไม่ตรงกับใจท่าน ไม่ตรงกับทิฏฐิของท่านไง
    เราก็เผลอตลอดแหละ กระทบแล้วหมุนเกิดเป็นความคิดความรู้สึกตลอดเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ท่านหมูดินคิดเหมือนเราไหม
    หรือว่าเราคิดแบบนี้อยู่คนเดียว เข้าใจท่านสปาต้าผิดไปจากความจริงของท่านสปาต้า
     
  3. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863

    นิดๆหน่อยๆครับ คุณพี่ขวัญ พอหอมปาก หอมคอนะ หุหุ

    ถ้าดีกันจริงๆ ก็เป็นอรหันต์ ก็นหมดแล้วเนอะครับ ทุกคนมีส่วนดี และไม่ดี

    แตกต่างกันไปนะ ผมว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 906433868.gif
      906433868.gif
      ขนาดไฟล์:
      2.6 KB
      เปิดดู:
      141
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]


    ............ค่อยคุยกันรู้เรื่องในเรื่องเดียวกันได้หน่อย ....[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  5. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    [​IMG] ขอด้วย เหนื่อยกันยัง ขอเสียงหน่อย
     
  6. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    หลากหลายความคิดนะค่ะ
    ทุกคนมีสิทธิ์เลือกเดินบนหนทางของตนเอง
    การเรียนพระอภิธรรม เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
    ที่ท่านมีสิทธิ์จะเลือก หรือ ไม่เลือก
    ก็แค่มาชวน และนำข้อดีมาเสนอ

    พระธรรม ก็อยู่ในพระรัตนตรัย เราก็ยกไว้สูงสุดอยู่แล้ว
    แต่คนไปเรียนนั้น ก็เรียนแล้วใช่ว่าจะไปนิพพานได้
    ไปเรียนมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่เหนือใคร ไม่ใช่ว่าสำเร็จ
    พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ได้

    ก็ยังไม่ไปไหน ยังเป็นคนธรรมดา ที่พยายามละอกุศล และเจริญปัญญาอยู่ เหมือนกับทุกคนนั้นแหละ แต่ก็ได้เปรียบตรงที่ไปฟังมาเองด้วย
    และเมื่อเจอใครสอนตนเองผิด
    ก็อาจจะรู้ได้ทัน ไม่หลงเดินตามไป ทำให้เสียเวลาไปชาตินึง

    การไปเรียนพระอภิธรรม เหมือนเราไปนั่งฟังพระปัญญาของพระพุทธองค์
    สิ่งที่เราฟังนั้น ถามว่า เราสามารถคิดเองได้มั้ย ตอบว่า ไม่ได้ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งพระธรรมไว้บอกเรา
    เราคิดเองไม่ได้ค่ะ
    คนที่ไปเรียนพระอภิธรรมจึงไปฟังว่าพระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างไร ใครฟังแล้วนำมาปฏิบัติได้ถูกต้อง
    ก็เป็นการเริ่มต้นเดินทางจากออกจากจุดๆ หนึ่งที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
    แล้วชีวิตท่านตอนนี้ ออกเดินทางจากจุด จุดไหนเส้นทางเป็นยังไง
    แล้ว ถ้าใคร อยากออกจากจุดเดิม มาเริ่มออกเดินทางที่จุดใหม่ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2011
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    <MARQUEE direction=up scrollAmount=1>

    หลากหลายความคิดนะค่ะ
    ทุกคนมีสิทธิ์เลือกเดินบนหนทางของตนเอง
    การเรียนพระอภิธรรม เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
    ที่ท่านมีสิทธิ์จะเลือก หรือ ไม่เลือก
    ก็แค่มาชวน และนำข้อดีมาเสนอ

    พระธรรม ก็อยู่ในพระรัตนตรัย เราก็ยกไว้สูงสุดอยู่แล้ว
    แต่คนไปเรียนนั้น ก็เรียนแล้วใช่ว่าจะไปนิพพานได้
    ไปเรียนมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่เหนือใคร ไม่ใช่ว่าสำเร็จ
    พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ได้

    ก็ยังไม่ไปไหน ยังเป็นคนธรรมดา ที่พยายามละอกุศล และเจริญปัญญาอยู่ เหมือนกับทุกคนนั้นแหละ แต่ก็ได้เปรียบตรงที่ไปฟังมาเองด้วย
    และเมื่อเจอใครสอนตนเองผิด
    ก็อาจจะรู้ได้ทัน ไม่หลงเดินตามไป ทำให้เสียเวลาไปชาตินึง

    การไปเรียนพระอภิธรรม เหมือนเราไปนั่งฟังพระปัญญาของพระพุทธองค์
    สิ่งที่เราฟังนั้น ถามว่า เราสามารถคิดเองได้มั้ย ตอบว่า ไม่ได้ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งพระธรรมไว้บอกเรา
    เราคิดเองไม่ได้ค่ะ
    คนที่ไปเรียนพระอภิธรรมจึงไปฟังว่าพระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างไร ใครฟังแล้วนำมาปฏิบัติได้ถูกต้อง
    ก็เป็นการเริ่มต้นเดินทางจากออกจากจุดๆ หนึ่งที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
    แล้วชีวิตท่านตอนนี้ ออกเดินทางจากจุด จุดไหนเส้นทางเป็นยังไง
    แล้ว ถ้าใคร อยากออกจากจุดเดิม มาเริ่มออกเดินทางที่จุดใหม่ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ค่ะ<!-- google_ad_section_end --> ​

    [​IMG]




    </MARQUEE>
     
  8. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    มีธรรมะ มาฝากจาก บ้านธัมมะ
    pirmsombat

    วันที่ 13 ก.พ. 2554 19:04
    อ่าน 55
    ความชนะในมนุษย์โลกและเทวโลกย่อมมีได้พราะ ศีล และ ปัญญา (๑)




    ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขต

    ท่านอาจารย์...............ทูตเหล่านั้นจารึกศีลที่คนทั้ง ๑๑ คนนั้นรักษา ลงใน​
    แผ่นสุพรรณบัตร แล้วได้กลับไปยัง ทันตะปุระนคร ถวายแผ่นสุพรรณบัตรแก่
    พระเจ้ากาลิงคราช แล้วได้กราบทูลเรื่องราวต่างๆให้ทรงทราบ พระเจ้ากาลิงคราช
    ประพฤติ กุรุธรรม นั้น ทรงบำเพ็ญศีล ๕ ให้บริบูรณ์ ในกาลนั้นฝนก็ได้ตกลงในแว่น
    แคว้นกาลิงครัฐท้งสี้น ภัยทั้ง ๓ ก็สงบระงับ และแว่นแคว้นก็ได้มีความเกษมสำราญ
    มีภักษาหารบริบูรณ์
    ....................................​
    จบ อรรถกถา กุรุธรรมชาดก ที่ ๖
    เรื่องของชวนจิตทั้งนั้ใช่ไหมคะ ถ้ากล่าวโดยกิจก็เป็นเรื่องของชวนจิต เรื่อง​
    ของกุศลจิต อกุศลจิต ตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์ มาจนกระทั่งถึงสมัยนี้ เพราะฉะนั้น
    ขณะที่จิตกระทำชวนกิจ เป็นขณะที่สำคัญมากนะคะ เพราะว่าการเห็นก็ดี การได้ยิน
    ก็ดี...การรู้สี่งที่กระทบสัมผัสกายก็ดี เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว เปลี่ยน
    แปลงไม่ได้แล้วแต่กรรมใดจะให้ผล แต่ว่า เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว กุศลจิตจะเกิด
    หรืออกุศลจิตจะเกิด นี่เป็นการสั่งสมของโลกิยชวนะ ที่จะทำให้เป็นผู้มีอุปนิสสัย
    ต่างๆกัน มีอกุศลต่างๆกัน มีสติปัญญา มีความละเอียดในทางต่างๆกัน และสามารถ
    ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้าได้รับการอบรมเจิญกุศล ที่เป็นการรู้สี่งที่กำลังปรากฏ
    ตามปกติ เพราะว่าในขณะที่จบอริยสัจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง บางพวกได้
    เป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี
    บางพวกได้เป็นพระอรหันต์
    เพราะฉะนั้น ​
    บางท่านก็ได้คิดถึงวิถีชีวิตของแต่ละคน
    ซึ่งต่างๆกันไปตามกรรม
    แต่ผู้ที่รู้กิจของจิตในวันหนึ่งๆ
    ก็จะรู้ได้ว่า ควรที่จะได้เตือนกันในเรื่องของชวนวิถี
    เพราะว่าขณะที่เป็นชาตินี้ในทุกวันนี้
    แต่ละท่านย่อมกระทำกรรม
    เพราะว่ากุศลจิตก็เกิด อกุศลจิตก็เกิด
    ถ้าอกุศลจิตเกิดแต่ไม่ถึงขั้นที่เป็นกรรมบท
    ก็เป็นการสะสมอุปนิสสัย
    แต่ถ้าเป็นอกุศลกรรมบทได้กระทำแล้ว หรือ เป็นกุศลกรรมบท เช่น​
    การฟังธรรม ในขณะนี้ก็ได้กระทำแล้ว ถ้าชาตินี้ผ่านไปล่วงไปเป็นแต่ละชาติๆ จนถึง
    พันชาติข้างหน้า ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า ชาตินี้เดี๋ยวนี้ได้กระทำกรรมอย่างนี้ๆ
    แต่ว่าผลของกรรมจะต้องเกิด เพราะฉะนั้นกรรมในชาตินี้ซึ่งได้กระทำแล้ว มีท่านผู้ใด
    จำได้หมด มีไหมคะ ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ทำแล้วก็ลืมไป แม้ในชาตินี้เอง
    อาจจะจำได้เพียงบางกรรม แต่ส่วนใหญ่มีกรรมมากทีเดียวที่ทำแล้ว ก็ลืมไปแล้ว
    นี่เพียงชาตินี้ก็ยังลืม เพราะฉะนั้นชาติหน้าก็ระลึกไม่ได้ ยี่งล่วงไปถึงพันชาติ ที่จะ
    ระลึกว่าชาตินี้เคยได้ทำไว้ ก็ยี่งเป็นสี่งที่เป็นไปไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะ
    เห็นความสำคัญของชวนจิต ซึ่งเป็นกุศลและอกุศล ว่าสะสมสืบต่ออยู่เรื่อยๆ
    ในเรื่องประโยชน์ของศีล ซึ่งเป็นสี่งสำคัญมาก เพราะว่าบางท่านอาจจะ
    ระลึกถึงทาน เวลาที่คิดถึงกุศล บางท่านอาจจะคิดถึงแต่เรื่องการสละวัตถุ เพื่อ
    ประโยชน์สุขของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นทาน แต่อาจจะไม่ได้สังวรในเรื่องของศีล
    (ยังมีต่อ)
     
  9. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ได้ยินมาว่าถ้าจำไม่ผิด

    ปริยัติ. ปฏิบัติ. ปฏิเวธ.
    ธรรมสามอย่างนี้ ปฏิเวธ เป็นผู้เสื่อมก่อน ปฏิบัติ เป็นผู้เสื่อมต่อมา ปริยัติ เป็นผู้เสื่อมทีหลัง

    พระวินัย. พระสูตร. พระอภิธรรม.
    ธรรมสามอย่างนี้ พระอภิธรรม เป็นผู้เสื่อมก่อน พระวินัย เป็นผู้เสื่อมต่อมา พระสูตร เป็นผู้เสื่อมที่หลัง
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ปิฏกหนะมันไม่มีเสื่อมหลอกจ๊ะ....ทุกวันนี้ที่ไอ่มันเสื่อมหนะใจคน.....
     
  11. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ครับขอบคุณ แต่ใช้คำพูดที่เข้าใจกันง่ายๆ หมายถึงจะแยกออกเป็นส่วนๆ ธรรมไหนที่เสื่อมจากใจคนก่อนกัน[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2011
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ไม่จริงนะ....สมัยนี้ยังมีอยู่นะทั้งสามอย่างจ๊ะ.....

    พม่าเขาท่องพระอภิธรรมปากเปล่านะ.....เดี๋ยวก็จะหาว่าเราพูดปริยัติ.....อันปฏิบัติเขาก็มีนะ.....เห็นโครงการสงฆ์เล่าเรียนหลวงไม..ป.โท เอกวิปัสสนาภาวนา มจร.ไม..นั่นหละ....พวกนั้นสติปัฏฐาน ๔.....สายพม่า(โครงการรอบก่อนเขาเอา อ.สยาดอ พม่ามาสอน รอบนี้ก็คงจะเป็นท่านเดิม)...จะว่าอภิธรรมก็รวมอยู่กันได้....อีกหน่อยจะเจริญมากในไทยนะ.....

    อภิธรรมโชติกวิทยาลัย มจร. เปิดสาขาทั่วประเทศไม่รู้กี่ที่นะ....เอาเฉพาะคนเรียนนี่ที่ สาขาวัดมหาธาตุฯ ใกล้ธรรมสาตร์หนะนะ.....คนเรียนเยอะจนไม่มีที่วางรองเท้าแล้วหละจ๊ะ.

    ไม่จริงนะ....ตอนนี้ยังมีอยู่ครบ....ไม่เชื่อท้าให้ไปดูเลยจ๊ะ.....ท่องชื่อ จิต เจตสิก กันดังสนั่นห้อง.....นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2011
  13. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741

    [​IMG]

    น่าเป็นห่วง แต่ยังไง เสื่อมจากใจคน ช้าชักกะนิดนึง ก็ยังดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2011
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่ชอบเรียนพระอภิธรรม เราว่าเป็นคนมีวาสนาดี ชอบเรียนก็ดีในตัวอยู่แล้ว
    ท่องจำพระอภิธรรมปิฎกได้ นับว่าเป็นเลิศในทางทรงจำอย่างหนึ่ง
    ถ้าปฏิบัติจนได้ปฏิเวชด้วย เรียกว่าเป็นเลิศอย่างยิ่ง แตกฉานทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวช
    ส่วนคนไม่ชอบเรียนพระอภิธรรมก็มี เป็นเรื่องวาสนาของแต่ละคน ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร
    เพราะถ้าปฏิบัติถูกทางจนเกิดปฏิเวชก็ได้เข้าใจพระอภิธรรมตามจริงได้อยู่ดี
    แต่ถ้ามาเรียนเรื่องบัญญัติที่เป็นคำสอนตามพระอภิธรรมในภายหลังก็ย่อมเข้าใจลึกซึ้ง
    ได้ง่ายเพราะมีปฏิเวชรองรับความรู้ความเข้าใจและทำให้ใช้บัญญัติได้ตรงตามพระ
    พุทธองค์สั่งสอนไว้ ก็เป็นแต่เรื่องดี ทั้งนั้น ยังมีตำราให้เราเรียนรู้ได้ย่อมเป็นโชคดี
    ของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าไม่มีตำราให้เรียนถึงจะเป็นเรื่องเศร้าอย่างแท้จริง
     
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ได้ยินมาจากไหน ได้ฟังมาจากไหน แล้วแน่ใจได้แล้วหรือว่าที่ได้ยินได้ฟังมามันจริง

    ที่กล่าวมันบัญญัติ มันสมมุติทั้งนั้น มันมองออกมาแต่ข้างนอก เมื่อมองออกมา มันก็คิดก็ปรุงไปเรื่อยไม่จบไม่สิ้น สู้ลงมือปฎิบัติให้เกิดผลกับตนไม่ได้เลย เมื่อปฎิบัติจนเกิดผลแก่ตน โลกจะเป็นเช่นไรก็ช่าง เพราะเราเป็นผู้ไม่เสื่อมแล้ว ไม่เห็นจะต้องไปห่วงกังวลอะไร
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    น่าสนใจ เลยลองพยายามเทียบเคียงดูค่ะ


    ไม่ทราบนะ ใครใคร่อ่าน แล้วพิจารณากันเอง ไม่ออกความเห็น

    อันตรธาร 5

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD class=wat_2_font vAlign=top width=410 align=middle></TD><TD width=20></TD></TR><TR><TD width=20>[​IMG]</TD><TD vAlign=top width=410 align=right><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=wat vAlign=top align=left>

    อันตรธาร คือ การสูญสิ้น มี ๕ ประการคือ

    </TD></TR><TR><TD class=wat vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TD class=wat vAlign=top align=left>๑. อธิคมอันตรธาน การบรรลุสูญสิ้น
    ๒. ปฏิบัติติอันตรธาน การปฏิบัติสูญสิ้น
    ๓. ปริยัตติอันตรธาน การศึกษาเล่าเรียนสูญสิ้น
    ๔. ลิงค์อันตรธาน เพศบรรพชิตสูญสิ้น
    ๕. ธาตุอันตรธาน พระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้น



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=20>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD width=20></TD><TD vAlign=top width=60 align=middle></TD><TD vAlign=top width=610 align=left>
    ๑. อธิคมอันตรธาน มรรค ๔ ผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ ชื่อว่าอธิคม
    อธิคมเมื่อจะเสื่อม ย่อมไปตั้งแต่ปฏิสัมภิทา นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๑,๐๐๐ ปีเท่านั้น ภิกษุไม่สามารถทำปฏิสัมภิทา ให้เกิดได้ต่อไปก็อภิญญา ๖ แต่นั้นเมื่อไม่สามารถทำอภิญญาให้เกิดได้ย่อมทำวิชชา ๓ ให้เกิด ครั้นกาลล่วงไปๆ เมื่อไม่สามารถทำวิชชา ๓ ให้บังเกิด ก็เป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสก ต่อไปก็เหลือเพียงพระอนาคามี, พระสกทาคามีและพระโสดาบันตามลำดับ เมื่อท่านเหล่านั้นยังทรงชีพอยู่ อธิคมชื่อว่ายังไม่เสื่อม เมื่อพระโสดาบันองค์สุดท้ายสิ้นชีพลง ย่อมได้ชื่อว่า อันตรธานแห่งอธิคม

    ๒.ปฏิปัตติอันตรธาน ภิกษุไม่สามารถจะให้ฌาน วิปัสสนา มรรค และผลบังเกิดได้ รักษาเพียงจตุปาริสุทธิศีลยังไม่ชื่อว่าปฏิบัติอันตรธาน เมื่อกาลล่วงไปๆ ภิกษุทั้งหลายคิดว่า เราจะรักษาศีลให้บริบูรณ์และจะประกอบความเพียรเนืองๆ แต่เราก็ไม่สามารถจะทำให้แจ้งในมรรคหรือผล บัดนี้ไม่มีการแทงตลอดในอริยธรรม จึงท้อใจมากไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่ตักเตือนกันและกัน ไม่รังเกียจกันและกันในการทำความชั่วตั้งแต่นั้นก็พากันย่ำยีสิกขาบทเล็กน้อย เมื่อกาลล่วงไปๆ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย และ ครุกาบัติตามลำดับ เพียงอาบัติปราชิกเท่านั้นยังคงอยู่ ยังไม่ชื่อว่า ปฏิปัตติอันตรธาน เมื่อภิกษุรูปสุดท้ายทำลายศีลปราชิก หรือสิ้นชีวิตย่อมชื่อว่า ปฏิปัตติอันธาน

    ๓. ปริยัตติอันตรธาน พระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา (คำอธิบายพระไตรปิฎก) อันเป็นที่รวมแห่งพุทธพจน์ยังคงอยู่เพียงใด การเรียนการศึกษาก็ชื่อว่ายังบริบูรณ์อยู่เพียงนั้น เมื่อกาลล่วงไปๆ พระราชาและพระยุพราชในกุลียุคไม่ตั้งอยู่ในธรรม ราชอำมาตย์ก็ดี ข้าราชการทั้งหลายก็ดี สมณพราหมณ์ก็ดี คฤหบดี และเหล่าราษฎร์ทั้งหลายในแว่นแคว้นก็ดี ต่างก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อเป็นดังนั้นฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าและพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไม่บริบูรณ์ ทายกผู้ถวายปัจจัยก็ไม่สามารถถวายปัจจัยแก่ภิกษุสงฆ์ได้

    ภิกษุสงฆ์เมื่อมีความเป็นอยู่ลำบากก็ไม่อาจสงเคราะห์ศิษย์ให้ศึกษาเล่าเรียนได้ แม้ภิกษุทั้งหลายก็มีความเห็นอันวิปลาสไป พระไตรปิฎก และอรรถกถา คือหลักฐานของพระธรรมวินัยนี้ เป็นคัมภีร์สำคัญรวมคำสอนของพระศาสดา มีความลึกซึ้ง ไพเราะ เป็นไปเพื่อความสูญสิ้นกิเลส เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ แต่ภิกษุทั้งหลายจะไม่สนใจ ไม่ยินดีศึกษาเล่าเรียน ส่วนคัมภีร์หรือพระสูตรอันนักกวีรุ่นหลังแต่งขึ้น ซึ่งเป็นของภายนอกพระธรรมวินัย ไม่เป็นไปเพื่อความสูญสิ้นกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ ภิกษุทั้งหลายจะสนใจยินดีศึกษาเล่าเรียน

    เมื่อกาลล่วงไปๆ ภิกษุทั้งหลายจะไม่ศึกษาเล่าเรียนอรรถกถาเมื่ออรรถกถาไม่มีผู้สนใจศึกษาเล่าเรียนก็จะหายสาปสูญไป ยังอยู่แต่พระไตรปิฎกเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎก โดยเริ่มจากอภิธรรมปิฎกก่อน เมื่อถึงความสูญสิ้นก็จะสูญสิ้นตั้งแต่ท้ายลงมาคือ มหาปกรณ์, ยมก, กถาวัตถุ, บุคคลบัญญัติ, ธาตุกถา และ ธัมสังคณี ตามลำดับ จากนั้นสุตตันตปิฎกก็ไม่มีผู้ใดศึกษาเล่าเรียน โดยเริ่มจากท้ายมา คือ อังคุตตรนิกาย, สังยุตตนิกาย มัชฌิมนิกาย และฑีฆนิกาย ตามลำดับ ยังคงอยู่แต่ชาดกต่อไปชาดกก็สูญสิ้น คงอยู่แต่วินัยปิฎกเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดศึกษาเล่าเรียนวินัยปิฎก โดยเริ่มจากท้ายมา คือ บริวาร, ขันธกะ, ภิกษุณีวิภังค์ และ ภิกษุวิภังค์ตามลำดับ

    เมื่อไม่มีผู้ใดศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกดังนี้ ผู้ศรัทธาที่จะจดบันทึกและจัดทำพระไตรปิฎกเพื่อสืบต่อเพื่อเผยแพร่แก่ชนรุ่นหลังก็ไม่มี เล่มพระไตรปิฎกเก่าก็พากันปล่อยให้ชำรุดเสียหาย ไม่มีใครเอาใจใส่ดูแล ในที่สุดก็ถึงคราวสาปสูญไป ปริยัตติคือการศึกษาเล่าเรียนชื่อว่ายังไม่อันตรธาน เมื่อคาถา ๔ บาทอันเป็นพุทธพจน์ยังมีการพูดถึงอยู่ในหมู่มนุษย์ จะมีสมัยหนึ่ง พระราชาองค์หนึ่งผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ทรงใส่ถุงทรัพย์หนึ่งแสนกหาปนะลงในหีบทองตั้งบนหลังช้างแล้วให้ตีกลองร้องประกาศไปทั่วแผ่นดินว่า "ชนผู้รู้คาถาแม้ ๔ บาทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วจงมารับทรัพย์ หนึ่งแสนนี้ไป" ก็ไม่มีผู้ใดมารับเอาไป ก็การเที่ยวตีกลองประกาศคราวเดียว ย่อมมีผู้ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง จึงให้เที่ยวตีกลองประกาศถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดรับเอาไป ราชบุรุษทั้งหลายจึงให้ขนถุงทรัพย์ หนึ่งแสนนั้นกลับสู่ท้องพระคลังตามเดิม ในกาลนั้นได้ชื่อว่า ปริยัตติอันตรธาน

    ๔. ลิงค์อันตรธาน เมื่อกาลล่วงไปๆ อิริยาบทต่างๆของภิกษุทั้งหลาย เช่น การทรงจีวร ทรงบาตร การคู้ การเหยียด การแล การยืน การเดิน การนั่ง การนอน จะไม่เป็นที่น่าเลื่อมใส จะพากันวางบาตรไว้บนบ่าบ้าง หาบด้วยสาแหรกบ้าง เที่ยวไปเหมือนพวกนิครนถ์ การนุ่งการห่มก็ไม่ทำให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติด้วยการใช้จีวรสีครามล้วน สีเหลืองล้วน สีแดงล้วน สีบานเย็นล้วน สีดำล้วน สีแสดล้วน สีชมพูล้วน จีวรที่ไม่ได้ตัดและเย็บให้เป็นกระทงจีวรที่ไม่ได้ตัดชาย จีวรที่มีชายยาว จีวรที่มีชายเป็นลายดอกไม้ จีวรที่มีชายเป็นแผ่น สวมเสื้อ สวมกางเกง สวมหมวก โพกผ้าเหมือนชาวบ้านผู้บริโภคกาม

    ส่วนผ้ากาสายะคือผ้าย้อมฝาดหรอสีเหมือนยางไม้อันสมควรแก่สมณะภิกษุทั้งหลายจะไม่ใช้ เมื่อกาลล่วงไป ๆ ก็คิดว่า " พวกเราจะต้องการอะไรด้วยการทำอย่างนี้ " จึงผูกผ้ากาสายะผืนเล็ก ๆ ไว้ที่ข้อมือบ้าง พันคอไว้บ้าง ผูกผมไว้บ้าง และประกอบอาชีพด้วยการไถหว่านบ้าง ค้าขายบ้าง เลี้ยงบุตรภรรยา ในกาลนั้นชนทั้งหลายเมื่อจะถวายสังฆทานย่อมถวายแก่บุคคลพวกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า "ในอนาคตกาล จะมี โคตรภูบุคคล (บุคคลผู้อยู่ระหว่างปุถุชนกับอริยะบุคคล) ผู้มีผ้ากาสายะพันคอเป็นผู้ทุศีล เป็นคนลามก ชนทั้งหลายถวายสังฆทานแก่คนเหล่านั้น เรา ก็กล่าวว่าเป็นสังฆทาน มีผลเป็นอสงไขย มีผลนับไม่ได้ " แต่นั้นเมื่อกาลล่วงไป ๆ ชนเหล่านั้นคิดว่า " พวกเราจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เสียเวลาเปล่า " จึงแก้ผ้ากาสายะผืนน้อย ๆ นั้นเสีย ในกาลนั้นชื่อว่า ลิงค์อันตรธาน

    ๕. ธาตุอันตรธาน เมื่อกาลล่วงไป ๆ ผู้นับถือพระพุทธศาสนาลดน้อยลง ผู้ที่สักการะบูชาพระสรีรธาตุของพระศาสดาก็ลดลง ในที่ใดที่ไม่มีผู้สักการะบูชาแล้ว พระสรีรธาตุก็จะออกจากที่นั้นไปสู่สถานที่ ๆ ยังมีผู้สักการะบูชาอยู่ กาลต่อไปก็ไม่มีที่ใด ๆ เลยที่มีผู้สักการะบูชาในกาลนั้นพระสรีรธาตุทั้งหลายที่อยู่ในที่ต่าง ๆ และในพิภพนาคบ้าง เทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ไปสู่โพธิบัลลังก์ อันเป็นสถานที่ตรัสรู้แล้วรวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธรูป มีมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการครบบริบูรณ์มีรัศมีซ่านออกจากพระวรกายวาหนึ่งโดยรอบ นั่งขัดสมาธิ ณ โคนต้นโพธิ์ กระทำยมกปาฏิหาริย์และแสดงพระธรรมเทศนา

    ในกาลนั้นมนุษย์จะไม่มีในที่นั้น จะมีแต่เหล่าเทวดาทั้งหลายที่มาจากหมื่นจักรวาล มาประชุมกันฟังพระธรรมเทศนา และได้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก เทวดาเหล่านั้นจะพากันคร่ำครวญรำพันว่า " วันนี้พระทศพลจะปรินิพพาน ตั้งแต่นี้ไปจะมีแต่ความมืด " จากนั้นไฟก็ลุกโพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ พลุ่งขึ้นสูงถึงพรหมโลก ไหม้สรีรธาตุหมดสิ้น ไม่มีเหลือแม้เท่าเมล็ดผักกาด หมู่เทวดาก็สักการะบูชาด้วยของหอม ดอกไม้และดนตรีทิพย์ เป็นต้น เหมือนวันที่พระองค์ทรงปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ทำปทักษิณา ๓ รอบแล้ว ถวายบังคมกราบทูลว่า " ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์จะได้เห็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปผู้จะเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต " นี้ชื่อว่า ธาตุอันตรธาน


    </TD><TD vAlign=top width=50 align=left></TD><TD width=20></TD></TR><TR><TD width=20></TD><TD class=wat vAlign=top colSpan=3 align=middle>
    (อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๓๒ หน้า ๑๖๗)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.watkhaohinturn.net/html/dangerous.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2011
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กลุ้มกับโสดาบันสมัยนี้ ไหมหนอ ท่านผู้เจริญมิเจริญแหล่

    กลุ้มให้รู้ว่ากลุ้ม กันไปเนาะ ทำอะไรไม่ได้แล้วหละมั้ง

    ขนาดโสดาบันของพระตถาคตยังกล่าวอย่างนี้
     
  18. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ครับที่พูดนั้นถูกต้องแล้วว่า.....ยังไม่เสื่อมไป.....ท่านกล่าวไว้ในอนาคต.....หรือกาลข้างหน้า....ตอนนี้....มีตั้งหลายวัด....วัดมหาธาตุ...วัดสามพยา...วัดจากแดง...วัดสร้อยทอง...วัดระฆัง....อีกหลายวัดจำไม่หมด....ผมเชื่อแล้วไม่ต้องท้า..ผมเรียนอยู่ที่นั่น...ผมตะเวณเรียนมาแทบทุกวัด....ที่สอบก็มีไม่สอบก็มี...
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เรียนมามาก รู้มามาก แต่ไม่สามารถรู้ตัวเองได้ ไม่สามารถเห็นกิเลสตัวเองได้ ไม่สามารถแก้ความเห็นผิืดตนเองได้ เป็นความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์
     
  20. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    เรียนมาน้อย รู้มาน้อย แต่สามารถรู้ตัวเองได้ สามารถเห็นกิเลสตัวเองได้ แก้ความเห็นผิดตนเองได้ เป็นความไม่รู้ ที่เกิดประโยชน์ เอาอย่างนั้นนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...