เรื่องราวอารยธรรมวัฒนธรรมตำนานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกิณกะ

ที่มาครับ
http://palungjit.org/threads/%E0%B8...58369.509/
_

 

วันเสาร์ผมตื่นจากนอนเฝ้าแม่ผม แล้วปวดหน้าผากบริเวณตาที่สาม แล้วจิตผมนิวรณ์ไปที่ภาพพระครูวินัยธรณ์พระอาจารย์ยุคลธรณ์ ธัมมปุตโต สถานปฏิบัติธรรมเจโตวิมุติ ตลิ่งชัน วัดป่าเขาดิน กาญจนบุรี ท่านมีกำหนดจัดพิธีที่ตลิ่งชัน
ผมก็เลยเดินทางไปที่สำนักปรากฏว่าท่านเลื่อนพิธีไปเป็นวันที่ 7พฤษภาคม ถ้าจำไม่ผิด ได้สนทนาธรรมกับท่านสบายใจดีครับ
แล้วพอ11นาฬิิกา ผมได้เผอิญอยู่หน้าชุดดาบและมีดหมอศักดิ์สิทธิ์ครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณเก่าก่อนที่มีชื่อเสียงมากมายและอื่นๆ รวมทั้งเหล็กและโลหะอาถรรพณ์นานา ก่อนหน้านั้นผมทำสมาธิกับวัตถุกายสิทธิ์แท่งเหล็กน้ำพี้หล่อถลุงแล้วประมาณ10กิโลกรัม เป็นพลังล้ำลึกเย็นสบายแผ่ซ่านไปทั่วกายใจดี พอใกล้11โมงผมนึกถึงว่างานฤกษ์พิธีเสาร์5 ที่นั่นเลื่อนไปแล้ว นึกถึงงานสมเด็จพระนเรศวรฯที่พิษณุโลก เรามาทำกรรมฐานฤกษ์พิธีเสาร์5(ติดใจมาตั้งแต่ฤกษ์เสาร์5พระกริ่งพุทธภูมิซึ่งศักดิ์สิทธิ์มาก)ส่งกำลังไปยังงานตามที่พวกเราแนะนำกันในกระทู้ดีกว่า ผมก็เลยนำมือมาจับที่กล่องรวบรวมเครื่องศาสตราวุธโลหะอาถรรพณ์เหล่านั้นซึ่งแรงมาก ปกติพระอาจารย์ยุคลธรณ์นำมาใช้ในการปราบและรบทางธรรมมีประสบการณ์มากมายลูกศิษย์สนิทของท่านคงทราบดี ปลายนิ้วมือของผมเหมือนมีพลังแหลมคมวิ่งเข้ามาปรากฏตามปลายนิ้วผมมากมาย (พระอาจารย์ท่านเตือนอยู่แล้วว่า ถ้าเข้าใกล้วิญญาณที่มีพลังงานน้อยอาจเกิดอันตรายได้ ต้องบอกให้เขาออกไปห่างๆ) บางที่เหมือนมีรัศมีคมมาปรากฏบนคอหอยผมด้วย? *_* ผมได้หยิบชุดเหล็กน้ำพี้10กิโลยกขึ้นมาวางร่วมด้วยแล้วเริ่มภาวนาด้วยอารมณ์ที่เย็นสบาย คราวนี้อารมณ์ดังกล่าวปกคลุมไปทั่ว ร่องรอยแหลมคมหายไป กลายเป็นขุมพลังความเย็นสบายพัฒนาขึ้นแทนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงนึกไปถึงมณฑลพิธีที่พิษณุโลกส่งอารมณ์ดังกล่าวไปที่พิธีและเหรียญ นึกถึงสมเด็จพระนเรศวรฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ภาพของท่านทั้ง2ตามเหรียญเก่าที่ผมเคยสร้างไว้ คราวท่านทรงช้างศึก ทรงม้าศึกบ้าง นึกถึง คำว่า กูผู้ชนะ ขึ้นมา นึกถึงยอดปราสาทขึ้นมาแวบๆ แล้วเดาว่าน่าจะเป็นยอดปราสาทของท่่านนักรบเงา แล้วผมก็นึกถึงว่า กูผู้ชนะนี้ เกี่ยวข้อง กับยันตร์พิชัยสงครามของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน ก็เลยน้อมนำยันตร์นั้นมาเป็นอารมณ์ ซึ่งดีมาก พอดีที่สำนักมึภาพหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และยันตร์พิชัยสงคราม ที่เป็นกระจกแก้วงดงามบานใหญ่ ผมจึงนำมาเป็นอารมณ์ประกอบส่งพลังไปร่วมในพิธี แล้วคราวนี้ ก็นิวรณ์ไปนานา อาทิเช่น รู้สึกว่ามีกองกำลังเทวดาชุดหนึ่งซึ่งทรงกำลังมาก(รู้สึกเองว่ามาจากชุดเหล็กน้ำพี้)เดินทางไปร่วมในพิธี แล้วพระภิกษุครูบาอาจารย์เจ้าพิธีท่านก็กำหนดให้เทวดาชุดนี้ รักษาพระบรมรูปที่จะไปประดิษฐานตามชายแดน ผมอธิษฐานสิ่งต่างๆตามที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ครับ รายละเอียดความชื่นใจและความรู้อื่นๆขอข้ามไป เพราะความรู้ยังไม่ทรงตัว ต้องเรียนรู้อีกมาก อย่างไรก็ตามกรรมฐานการอธิษฐานที่มีผลกระทบในลักษณะนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับพลังทำลายล้างและรักษา ควรต้องมีศีลมีพื้นฐาน และปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาโดยถูกต้องดีงามนะครับ

พอผมออกจากกรรมฐาน พระอาจารย์ยุคลธรณ์ ท่านมากล่าวกับผมสั้นๆว่า เป็นพลังจิตครับ

พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง
พระอนุตตรสัมาสัมโพธิญาณ ปัจจโย โหตุ
เมื่อได้พุทธภูมิแล้วจักช่วยให้ผู้อื่นได้ด้วย

ผิดพลาดพลั้งไปขออภัยขมาทุกรูปนามด้วยครับ

 

เนื้อเงินและทองแดงนั้น พอดีตอนที่ผมภาวนานั้น ผมระลึกบุญสมเด็จองค์ปฐมเงินล้วนหน้าตัก10นิ้ว ที่พระอาจารย์ยุคลธรณ์ สถานปฏิบัติธรรม เจโตวิมุติวัดป่าเขาดินท่านหล่อโลหะเงินล้วนไว้ และผมร่วมบุญตกแต่งพระไปพอดี ท่านตั้งอยู่ข้างๆด้วย ผมจึงส่งบุญการหล่อพระเงินไปตามอารมณ์กรรมฐานนั้นมายังพิธีด้วย เพราะตั้งใจว่าจะส่งอานิสงส์กำลังจักรพรรดิ์ ไปหลอมรวมกับพระรุปหล่อในพิธีด้วย แล้วโจ๊กบอกเป็นทองแดงล้วน สาธุๆๆ นับว่าน่าสนใจมาก พิษณุจึงอาจอ่านไม่ผิดก็ได้ครับ

http://palungjit.org/threads/นอกชานระเบียงบ้าน.258369/page-540

 

อะไรๆก็เอามารวมกันมั่วสั้วไปหมด

 

น่าสนใจไหมครับ
อ่านอะไรไม่รู้เรื่องถามได้ครับ
เขาถึงเรียกว่า ปกิณกะ
สนใจเฉพาะเรื่องไหน ก็คัดกรองเฉพาะเรื่องนั้นก็ได้
อยากจะแบ่งปันเรื่องที่สนใจกับหัวข้อก็เชิญครับ

เมื่อทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้ด้วยอัตราเร่งที่เพิ่มสูงขึ้น
ผู้คน (Man)
เครื่องจักร (Machine)
เงินทุน (Money)
การจัดการ (Management)

ต้องถูกเรียนรู้ประยุกต์ใช้อย่างเขี่ยวชาญมีประสิทธิภาพ
ข่าวสารการเรียนรู้ (Message)
อารยธรรมวัฒนธรรมตำนานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกิณกะ (Myths)
เป็นเครื่องมือที่ปรากฏเด่นขึ้นมากในช่วงเวลาเหล่านี้

 

เดี๋ยวนี้ในอินเตอร์เน็ต ชอบเขียนแบบข้างบนมากครับ ซึ่งเป็นคำเขียนที่ผิด ที่ถูกเขียนตามข้างล่างนะครับ
พจนานุกรม แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษ [มั่วซั่ว] # แปลความหมาย [มั่วซั่ว]
มั่วซั่ว
ADV. haphazardly
def:[ทำแบบโมเม ไม่รู้จริง]
syn:{มั่ว}{ส่งเดช}
sample:[บ่อยครั้งที่เธอชอบพูดมั่วซั่วไปโดยที่ไม่ได้รู้ว่าความจริงคืออะไร]
V. pick at random
def:[ทำแบบโมเม ไม่รู้จริง]
syn:{มั่ว}{ส่งเดช}
sample:[นักเรียนมั่วซั่วกาข้อสอบเพราะแก้โจทย์เลขไม่ได้]

 

บังเอิญจริงเหรียญสร้างเสริมของสมเด็จพระนเรศวรที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์นี่แหละครับ ที่ผมบังเอิญไปได้มาจากร้านนำไปเข้าพิธี กับครูบาอาจารย์ที่กาญจนบุรี พระอาจารย์ยุคลธรณ์ สำนักปฏิบัติธรรมเจโตวิมุติ ท่านจัดทำบายศรีตามแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แล้วมีการเจริญพระพุทธมนตร์ธัมมจักกัปปวัตนสูตรโดยพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จำนวนมาก แล้วมีพระอาทิตย์ทรงกลดแรงกล้าใหญ่มากนานหลายชั่วโมงกล้องธรรมดาของผมไม่สามารถถ่ายวงกลดได้ครบรอบ เพื่อนผมอีกสายใช้วิชาตามแบบของเขาดู บอกว่าพระอาทิตย์ทรงกลดนี้พระอินทร์ดูแล (แต่ผมดันกดพิมพ์ผิดเป็นคำว่าพระอาทิตย์ได้ไง?นี่ แก้เป็นพระอินทร์แล้วครับ) ผมไม่ทันได้บอกเขาว่าในรูปจะเห็นจุดสีเขียวเล็กๆอยู่ในกลดด้วย เหรียญชุดนี้ถวายครูบาอาจารย์ที่มาในงานมากมายครับ ประมาณว่าบางอาจารย์ท่านระบายลมหายใจเปล่งลมอุทานออกมาด้วยครับ บางท่านขอเพิ่มไปให้ลูกศิษย์ด้วยครับ

 

กลับมาแล้วครับไปทำบุญเข้าพรรษาวัดภาคอิสาณมากับทัวร์บุญกุศลขอบคุณคณะเพื่อนทัวร์บุญครับ ตระเวณหลายวัด ถวายผ้าจำำนำพรรษา ถวายสังฆทานอาหาร หลอดไฟแสงสว่าง ไฟฉาย ฯลฯ น่าจะไม่ต่ำกว่า6วัดครับ ได้นำทอดผ้าป่ายอดเจดีย์และฉัตรวัดบึงพลาราม ขอเชิญอนุโมทนากันครับ สาธุ <!-- google_ad_section_end -->

 

นามศาสตร์ เป็นศาสตร์ ที่ใช้ในตำราพิไชยสงคราม ว่าด้วยการเลือกและตั้งไชยภูมิ ด้วยนะครับ
เช่นชื่อแม่ทัพ และชื่อไชยภูมิที่ตั้งทัพ เกื้อกูลกันหรือไม่ ? เป็นต้น

ยกตัวอย่าง ชื่อจริงผม ขึ้นต้นวรรคพยัคนาม ( เสือ )
นามสกุล ขึ้นต้นด้วยสิงหนาม ( สิงห์ )
สถานที่บ้านเป็นชื่อถนน สิงหวัฒน์ อันนี้เอื้อต่อกันดีครับ ^^

ชื่อเล่น ก็เป็นอย่างคำถามแรกนั้นละครับ หุหุ.....

เมื่อคราวประชาธิปไตยเบ่งบานเต็มกรุง นักโหราศาสตร์ หลายท่าน ก็เคยทำการคำนวนนามศาสตร์เช่นนี้
เช่น พรรคชื่อนี้ มีผู้นำชื่อนี้ ตั้งฐานกำลังอยู่สถานชื่อนี้ เป็นคุณหรือเป็นโทษ ?
และก็นำมาเทียบเคียงกันทั้ง ๒ ฝ่าย ดูผลคำทำนาย และผลที่เกิดขึ้นจริง ว่าตรงกันหรือไม่ ?

ยกตัวอย่าง ผู้นำนาคนาม ( ด ต ถ ท น ) ชนะมาตลอด
แต่เมื่อปะทะกับผู้นำครุฑนาม ( อ และสระทั้งหมด ) ไม่น่าแพ้ ก็แพ้ขึ้นมาได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาดูชัยภูมิที่ตั้งฐานทัพ และขุนพลหัวหอกคนสำคัญ เข้าประกอบด้วยนะครับ

วิชานี้ก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่ง ที่เรียนรู้ไว้ ก็ไม่เสียหายอะไรครับ ^^<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->http://palungjit.org/threads/นอกชานระเบียงบ้าน.258369/page-570

 

วิชาพิชัยสงคราว่าด้วยการจัดทัพ เริ่มเลย



เริ่มด้วยภาพแรก "ครุฑพยู่ห์" การจัดทัพรูปครุฑ ซึ่งเท่าที่อ่านจากวรรณคดีต่างๆ
เช่น อิเหนา หรือ ลิลิตตะเลงพ่าย จะพบว่าการจัดทัพในรูปแบบนี้จะใช้ในการสงครามมากที่สุุด
ด้วยรูปแบบทัพที่จัดง่ายๆ แต่ทรงพลัง เปรียบดัง พญาครุฑโพบินอยู่กลางเวหา เพื่อพุ่งจับเหยื่อ



ภาพที่สอง "มังกรพยู่ห์ข้ามน้ำ" นับเป็นการจัดทัพที่ใช้ในการสงครามมากรองมาจาก ครุฑพยู่ห์ก็ว่าได้
มีการเคลื่อนพลในแนวหน้ากระดาน หรือ แนวลึกในบางครั้ง ส่วนใหญ่มักใช้ในการตีโอบล้อมข้าศึกในตกอยู่ในวงล้อม
ของกองทัพฝ่ายเรา หรือจะเป็นการต่อสู้แบบประจันหน้า ดังที่เห็นกันในหนังในละครก็ได้



ภาพที่สาม "ปทุมพยู่ห์" การจัดทัพรูปดอกบัว ใช้ในการเดินทัพแบบระแวงระวัง
หรือจะเป็นการ ตั้งทัพอยู่กลางทุ่งในบริเวณภูเขา ก็ได้



ภาพที่สี่ "เพชรพยู่ห์" เหมาะอย่างยิ่งในการตั้งทัพในป่า เพื่อซุ่มโจมตี



ภาพที่ห้า "กรศพยู่ห์" ใช้ในการเดินผ่านบริเวณซอกเขา จะมีหน่วยแซง ซ้าย-ขวา
เพื่อใช้ในการต่อสู้ในเวลาฉุกเฉิน การเคลื่อทัพตามซอกเขา
ถ้าหากใครอ่านสามก๊ก ก็จะรู้ว่า เหตุการณ์ต่อไปก็คือ กองทัพนี้ก็จะถูกโจมตีด้วยก้อนหินขนาดใหญ่
จากกองทัพศ ัตรูที่อยู่บนเขา จึงนับเป็นการเคลื่อนทัพที่เสี่ยงพอควร<!-- google_ad_section_end -->

ที่มาครับ
http://palungjit.org/threads/นอกชานระเบียงบ้าน.258369/page-570

 

ภาพที่หก "มหิงสพยู่ห์" ใช้ในการจู่โจมทัพเล็ก มีการจัดรูปแบบทัพที่ไม่ซับซ้อน
และง่ายต่อการบัญชาการทัพ ทำให้การจัดทัพรูปแบบนี้ มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงทีเดียว



ภาพที่เจ็ด "จักรพยู่ห์ 1" ใช้ในการตั้งทัพตามที่ชัน เช่น ด้านล่างภูเขาเป็นต้น



ภาพที่แปด "จักรพยู่ห์ 2"ใช้ในการตั้งทัพบนเขา และแถบที่เป็นทุ่ง



ภาพที่เก้า ไม่ปรากฏชื่อที่แน่นอน (หรือบุษบาหาข้อมูลมาไม่พอ- -")
ใช้ในการเคลื่อนย้ายทัพแบบรวดเร็ว



ภาพที่สิบ "สิงหพยู่ห์" รูปแบบการตั้งทัพริมเขา ห่างไกลจากกัน 1 เส้น
ใช้ในการตีกระหนาบ หรือ การหยั่งกำลังข้าศึก



ภาพสุดท้าย "อัชฌตติกสุริโย" เป็นการตั้งทัพกลางที่ทุ่ง
รูปแบบ เหมือนกับพระอาทิตย์ตอนเที่ยง

( ทั้งหมดนี้...ลอกเขามาอีกทีครับ อาจมีถูกผิดบ้าง ต้องขออภัย ^^ )<!-- google_ad_section_end -->

 

แม่ซื้อ .....

คนไทยสมัยโบราณเชื่อว่าเมื่อทารกเกิด ใหม่ๆจะต้องมีแม่ซื้อมาซื้อทารกนั้นไป เป็นการซื้อกันท่าผี คือถ้าไม่มีแม่ซื้อก็กลัวผีจะมาแย่งเอาไปเลี้ยงเสีย นั่นหมายถึงเด็กทารกจะตายเมื่อคลอดใหม่ๆ

ประเพณีเมื่อทารกเกิด
เขามักเอามาใส่กระด้งร่อน แล้วร้องว่า - สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครมารับเอาไป เน้อ - แล้วก็มีผู้หนึ่งร้องตอบว่า - ลูกข้าเอง แล้วก็เอาเงิน 32 เบี้ย ออกมาซื้อ เป็นการลวงผีว่าเด็กนี้ไม่ดี แม่ของตัวที่คลอดออกมาไม่รัก

จนต้องมีคนอื่นมาซื้อไปเลี้ยง เมื่อเป็นดังนั้นผีก็ไม่อยากได้ คือไม่เอาไปเลี้ยงเมืองผี เด็กคนนั้นจึงอยู่รอดในโลกมนุษย์ได้ พอเด็กคลอดออกมาหมอตำแย จะต้องส่งเด็กให้กับผู้ที่บิดามารดาเด้กจัดเตรียมไว้ คือผู้ที่มีนิสัยและความประพฤติเป็นที่ถูกใจของบิดามารดาเด็กนั้น ถือกันว่าเด็กนั้นจะมีนิสัยเหมือนกับผู้ที่มารับอุ้มครั้งแรก ต่อมาก็อาบน้ำ

เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง อาบน้ำแต่งตัว แล้วก็วางบนเบาะซึ่งอยู่ในกระด้ง ถ้าเป็นเด็ย เข็มลงไปด้วย จะได้เก่งในการเย็บปักถักร้อย ถ้าเป็นเด็กชายก็ใส่กระดาษดินสอจะได้เป็นปราชญ์

พออายุๆได้ประมาณ 1 เดือน ก็จะทำพิธีโกนผมไฟ พราหมณ์ผู้ทำพิธีจะนำถุงถั่วต่างๆ วางไว้ข้างเปลทั้งสองข้าง เอาหินบดยาวางไว้ข้างหนึ่ง ฟักวางไว้ข้างหนึ่ง แล้วเอาแมวที่แต่งตัวไว้ลงเปลเสียก่อน

มีความหมายว่า ให้เด็กนั้นงอกงามเกิดมูนพูนผลเหมือนถั่ว ให้เนื้อเย็นเหมือนฟัก ให้หนักแน่นเหมือนหิน ให้รู้อยู่เหมือนแมว

แม่ซื้อ เชื่อว่าเป็นเทวดา หรือ วิญญาณที่คอยดูแลเด็ก เชื่อว่ามี 7 ตนอยู่ประจำวันได้แก่

​

วันอาทิตย์ ชื่อว่า วิจิตรมาวรรณ มีหัวเป็นสิงห์ มีผิวกายสีแดง

วันจันทร์ ชื่อว่า วรรณนงคราญ มีหัวเป็นม้า มีผิวสีขาวนวล

วันอังคาร ชื่อว่า ยักษบริสุทธิ์ มีหัวเป็นมหิงสา (ควาย)" ผิวกายสีชมพู

วันพุธ ชื่อว่า สามลทัศ มีหัวเป็นช้าง ผิวกายสีเขียว

วันพฤหัสบดี ชื่อว่า กาโลทุกข์ มีหัวเวาง มีผิวกายสีเหลืองอ่อน

วันศุกร์ ชื่อว่า ยักษ์นงเยาว์ มีหัวเป็นโค ผิวกายสีฟ้าอ่อน

วันเสาร์ ชื่อว่า เอกาไลย์ มีหัวเป็นเสือ ผิวกายสีดำ ทุกตนทรงอาภรณ์(เสื้อผ้า)สีทอง

ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต<!-- google_ad_section_end -->
ที่มา
http://palungjit.org/threads/นอกชานระเบียงบ้าน.258369/page-569

 

วันอาทิตย์ชื่อ “วิจิตรมาวรรณ” มีหัวเป็นสิงห์ มีผิวกายสีแดง




วันจันทร์ชื่อ “วรรณนงคราญ”มีหัวเป็นม้า มีผิวสีขาวนวล




วันอังคารชื่อ “ยักษบริสุทธิ์ มีหัวเป็นมหิงสา (ควาย) ผิวกายสีชมพู




วันพุธชื่อ”สามลทัศ” มีหัวเป็นช้าง ผิวกายสีเขียว




วันพฤหัสบดี มีชื่อว่า “กาโลทุกข์” มีหัวเป็นกวาง มีผิวกายสีเหลืองอ่อน



วันศุกร์มีชื่อว่า “ยักษ์นงเยาว์” มีหัวเป็นโค ผิวกายสีฟ้าอ่อน



วันเสาร์ชื่อว่า “เอกาไลย์” มีหัวเป็นเสือ ผิวกายสีดำ





“แม่ซื้อ” เป็นวิธีการต่างๆที่บรรพบุรุษของเราคิดขึ้น
เพื่อปกป้องลูกหลานให้มีชีวิตที่ดี หลีกเลี่ยงการเจ็บไข้ได้ป่วย
ทั้งยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก ๆของตนด้วย
ซึ่งทั้งหมดเป็นการสื่อให้เห็นถึงความรักจากรุ่นสู่รุ่น
<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

 

เขามักเอามาใส่กระด้งร่อน แล้วร้องว่า
- สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครมารับเอาไป เน้อ
- แล้วก็มีผู้หนึ่งร้องตอบว่า
- ลูกข้าเอง
แล้วก็เอาเงิน 32 เบี้ย ออกมาซื้อ เป็นการลวงผีว่าเด็กนี้ไม่ดี แม่ของตัวที่คลอดออกมาไม่รัก

( เป็นที่มาของคำว่า " แม่ซื้อ " ก็คือคนที่เอาเบี้ยมาซื้อนั้นเอง )

 

เรื่องแม่ซื้อ หรือ ภูติกึ่งเทวดาผู้หญิง ที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กทารกแรกเกิดนี้
ไม่ได้มีแต่เฉพาะในไทยเรานะครับ แม้ต่างชาติ และอีกหลายๆทวีปในโลก ก็มีกัน

ทางคริสต์ ก็จะมีการนำทารกแรกเกิด ไปโบสถ์ ยกให้เป็นลูกของพระเจ้า
มีแม่ทูนหัว พ่อทูนหัว ( godmather , godfather )

คนโบราญที่มีฐานะ ก็จะมี แม่นม เป็นการยกเด็กที่เกิดใหม่ ให้เป็นลูกอีกแม่หนึ่ง เพื่อลวงผีเช่นกันครับ

คนจีน ก็จะมีพิธี ยกเด็กแรกเกิด ให้เป็นลุกคนอื่นๆ เช่นกัน เพื่อแก้เคล็ด หากเด็กขี้โรค หรือเจ็บป่วยบ่อยๆ
อาจยกให้เป็นลูกเทพ ลูกพระ ลูกคนดีใดใด เป้นการยกแต่เพียงในนาม เพื่อความสวัสดิมงคลแก่ตัวทารกนั้นครับ ^^

ตอนตาเคี่ยมเกิด ย่าขอซื้อมาจากแม่ เพราะตาเคี่ยมแรกเกิด ก็เจ็บไข้หัวโต ขี้มูกเกรอะตลอดเวลา ๕๕๕
พอย่าซื้อมาเป็นลูก ก็ดีขึ้น
น้องสาวผม ย่าขอเป็นลูกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ( ทีแรกแม่จะไม่เอาไว้ ) ก็แข็งแรงดีครับ เป็นคนที่แข็งแรงดีมาตั้งแต่เกิดเชียวละ

ส่วนผม สงสัยจะไม่ได้ซื้อขอไว้ เจ็บป่วยมากจนโตเลยละครับ จนทิ้งชีวิตแล้วตอนอายุ ๑๘
พอสมเด็จท่านกลับมาใหม่ ท่านขอไว้ และก็ทำการขอกับแม่ ขอกับตาเคี่ยม ตลอดจนขอกับอาฤาษี ( เป็นพ่อในยุคสมเด็จท่าน )
แล้วให้แม่ย่าพิจิตร ทำพิธียกให้ พอมีท่านเป็นผู้ปกครองแล้ว ก็ไม่เคยเจ็บไข้ ได้ซวยถึงขนาดเกือบๆ จะตายอีกเลย

ของแบบนี้มองไม่เห็น แต่เชื่อไว้ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ
มาถึงสมัยนี้แล้ว ความเชื่อเรื่องนี้ก็ลางเลือนไป เพราะมีหมอ มียา เด็กทารกจึงเสียชีวิตน้อยลง ^^<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ที่มา
นอกชานระเบียงบ้าน<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->

 

http://palungjit.org/threads/ทหารพระองค์ดำรายงานตัวหน่อยครับ.146519/page-11

 

พระแสงปืนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าประเทศไหนเป็นผู้ผลิต แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นฝรั่งชาติตะวันตก ธรรมดาความกว้างของแม่น้ำสะโตง มีผู้เคยเล่าว่าความสามารถปกติคือพิสัยการยิงของปืนที่ผลิตนั้นไม่สามารถยิงข้ามแม่น้ำ แต่ที่ข้ามได้เพราะพระองค์ท่านทรงบารมีมีวิชากระสุนคด เพิ่มกำลังกระสุนนำพากระสุนไปสู่ชัยชนะแห่งสงครามได้
ท่านใดพอจะทราบรายละเอียดมาเล่าให้ฟังเป็นความรู้วิทยาทานด้วยครับ

 

ที่มา
http://palungjit.org/threads/%E0%B8...146519.11/

 

ปาฏิหาริย์แห่ง"กระสุนคด"(1) "หลวงพ่อเอียด"เกจิฯดังเขาอ้อ

คอลัมน์ มุมพระเก่า

สรพล โศภิตกุล

"เขาอ้อ" ตักกสิลาแห่งวิชาพุทธาคมที่พระเกจิอาจารย์ดังทั่วแดนทักษิณต่างมุ่งเข้ามา ศึกษา อีกทั้งยังเป็นสำนักเรียนทางแพทย์แผนโบราณอันเก่าแก่แห่งหนึ่ง

"การอาบน้ำว่าน แช่น้ำยา" นับเป็นสุดยอดวิชาของสำนักเขาอ้อ

กล่าว กันว่า ผู้ใดที่ได้ลงไปนอนแช่น้ำยา อาบน้ำว่าน และผ่านการปลุกเสกตามหลักวิชาไสยศาสตร์ของพระอาจารย์ผู้มีกฤติยาคม แกร่งกล้าของวัดเขาอ้อแล้ว หากคนนั้นได้ประพฤติตนปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ผู้ทำพิธีให้ แล้ว คนๆ นั้นจะอยู่ยงคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้าอย่างแน่นอน

เจ้า อาวาสวัดในพื้นที่จังหวัดพัทลุง อาจกล่าวได้ว่าล้วนเป็นศิษย์สำนักเขาอ้อทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น วัดดอนศาลา วัดบ้านสวน วัดประดู่เรียง ซึ่งอยู่ในอำเภอควนขนุน ตลอดจนวัดปากสระ และวัดยาง ที่อยู่ในเขตอำเภอเมือง ซึ่งเป็นสำนักที่โดดเด่น <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" width="20%" align="right" border="1" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#ffe9ff"><td></td></tr></tbody></table>

และ "หนึ่ง" ในพระเกจิอาจารย์ที่ "เด่น" อีกรูปหนึ่งของสายสำนักเขาอ้อ คือพระครูสิทธิยาภิรัตน์ (เอียด ปทุมสโร) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานอย่างคุ้นปากว่า "พระอาจารย์เอียด"

พระอาจารย์เอียดนั้น ยังได้ทันศึกษาวิชาจากพระอาจารย์ทองเฒ่า หรือพ่อท่านทอง ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "พ่อท่านเขาอ้อ" เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน มีความรู้ความสามารถในทางวิทยาคม และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป ตรงศีรษะของท่านมีเส้นผมสีขาว ไม่สามารถโกนหรือตัดให้ขาดได้

ในสมัยที่พระอาจารย์ทองเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ สานุศิษย์ของท่านนิยมทำพิธีแช่ว่านยา กินเหนียว กินมัน กันมาก <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" width="20%" align="left" border="2" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#ffffe8"><td></td></tr></tbody></table>

การแช่ว่านยาของสำนักเขาอ้อ น่าสนใจทีเดียว

วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มีหลักฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ 22 และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-2301)

พิธีกรรมอันสำคัญยิ่งของสำนักเขาอ้อ ที่เป็นที่กล่าวขานมาโดยตลอด คือ

พิธีแช่ว่านยาให้มีความขลังอยู่ยงคงกระพัน พิธีนี้จะทำกันในเดือน 5 และเดือน 10 โดยผู้ที่ทำการแช่ว่านยาจะลงนอนแช่ในรางว่านยา แต่ก่อนที่จะลงแช่ว่านยานั้น ต้องหาฤกษ์ที่จะลงในพิธีกรรม ว่านยาที่ใช้จะต้องนำมาลงอักขระเลขยันต์ปลุกเสกตามกรรมพิธี ครั้นได้ฤกษ์แล้วก็แต่งเครื่องบูชามาไหว้ครู จากนั้นจึงทำพิธีเกิดใหม่หรือบริสุทธิ์ให้กับผู้ที่จะลงรางแช่ว่านยา

ต่อมาเป็นการนิมนต์พระอาจารย์พร้อมพระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป มาสวดปลุกเสก

ถึงเวลาจะลงรางแช่ว่านยา ผู้ทำพิธีจะหาทิศทางวันที่เป็นเดช แล้วจึงนำผู้ที่จะแช่ว่านยาไปในทิศทางนั้น แล้วให้ยื่นเท้าเหยียบเหล็กกล้า หนังเสือ หนังหมี ไว้บนศีรษะ ลงอักขระเลขยันต์ที่มือ เท้า หน้าอก หลัง ลงกระหม่อมให้แล้วพาลงทางทิศที่หาไว้

เมื่อแช่ว่านยาตามกำหนดแล้ว ผู้ที่ทำพิธีจะทำพิธีพาขึ้นจากรางว่านยา แล้วป้อนน้ำมันงา ข้าวเหนียวดำ จากนั้นทำพิธีผูกครอบให้เรียบร้อย ทำพิธีบูชาครู หรือไหว้ครูอีกครั้งเป็นการเสร็จพิธีแช่ว่านยา


Ref.
http://www.matichon.co.th/khaosod/kh...day=2006/10/19 <!-- google_ad_section_end --> <fieldset class="fieldset"> <legend>รูป</legend>



</fieldset>
ที่มา http://palungjit.org/threads/ปาฏิหาริย์แห่งกระสุนคดหลวงพ่อเอียดเกจิฯดังเขาอ้อ.54600/


ที่มา
http://palungjit.org/threads/%E0%B8...146519.11/

 

ที่มา
http://palungjit.org/threads/%E0%B8...146519.11/