เวลากำหนดลมหายใจ จะเกิดความรู้สึกเบื่อ กับ รำคาญ ขึ้นมาทันที จะแก้อย่างไรดีคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย no-ne, 2 ธันวาคม 2010.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การดูนิวรณ์ นั้น จะต้องพิจารณา เหตุที่มาให้ดี

    นิวรณ์นั้น หากมาจาก พื้นจิตที่ไม่มีสมาธิอยู่ ก็อย่างหนึ่ง

    นิวรณ์หากมากจากพื้นจิตที่มีสมาธิ มันก็อีกอย่างหนึ่ง

    นิวรณ์ที่มาจากพื้นจิตต่างชนิดกัน มีวิธีแก้ไม่เหมือนกัน

    หาก นิวรณ์มาจากพื้นจิตที่ไม่มีสมาธิอยู่ก่อน อันนี้ให้ แก้ด้วยการเกาะความ
    คิดที่เป็นสุข(ทำสมถะ)เข้ามา ถึงจะกำจัดนิวรณ์ได้

    หาก นิวรณ์มาจากพื้นจิตที่มีสมาธิอยู่ก่อนหน้า อันนี้ แก้ด้วยการเกาะความ
    คิดที่เป็นสุข(ทำสมถะ)เข้ามาไม่ได้ จะยิ่งทำให้เกิดนิวรณ์เพิ่มขึ้น ต้องแก้ด้วย
    การหยุดปฏิบัติสมถะสมาธิไปก่อน ไปหางานบ้านๆที่อยู่ในข่าย กุศลกรรมบท
    มาทำก่อน จนลืมอารมณ์ความสงบที่ย้อมจิตอยู่(แต่อยู่ในขั้นเสื่อมถอยอันเกิด
    จากความไม่เที่ยงของตัวความสงบเอง) ถึงจะปฏิบัติต่อได้ [ ถ้าเป็นพระป่า
    ก็ไหนก็หยุดทำสมาธิแล้ว ก็มา พิจารณา ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปเรื่อยๆ]

    เนื่องจาก จขกท ไม่ได้บอกว่า ก่อนหน้าจะเกิด ความ เบื่อ แล้วตาม
    ด้วยรำคาญใจ ก่อนหน้านั้นสมาธิมีอยู่หรือไม่ จึงยากที่จะชี้วิธีแก้

    แต่เนื่องจาก การแก้ หรือ การหาวิธีแก้ ก็คือ การจะทำให้ ความสงบ
    เกิดขึนกับจิตดังเดิม ซึ่งเป็นเรื่องของ การทำสมถะกรรมฐาน ก็ลองพิจารณา
    ดูว่า ควรจะทำอย่างไร ในสมัยนั้นๆ(เวลาเกิดเบื่อ)

    * * * *

    จริงๆแล้ว นอกจา สมถะ เราก็สามารถ ยกการวิปัสสนา เข้ามาในสมัย
    ได้ หากเราทิ้งสมถะลงแล้วไปทำกุศลกรรมบท อาจจะเป็นการประมาทเกิน
    ไป แต่ถ้าเราทิ้งสมถะลง คือ ปล่อยให้มันแสดงสภาวะเสื่อมถอยให้เราดู
    เราก็อาศัยดู อำนาจสมถะมันถดถอย ไปตรงๆ หากเราทนต่อการเสื่อมถอย
    ที่ปรากฏไม่ได้ เราก็อยากจะฝืนการเห็นตามความเป็นจริง เราจะปรุงสมถะ
    เข้าไป มันก็จะค้านกัน ขัดกัน ฝืนกัน ยิ่งทำยิ่งเบื่อ ยิ่งเบื้อก็ยิ่งรำคาญใจ

    คือ จิตกำลังสอนเราว่า มาดูความเสื่อมถอยกัน แต่เรา ไปค้านมันไม่
    อยากเรียนสภาพธรรมที่มันสอนเรา มันก็เลยขัดแย้งกัน และ หนทางที่
    ควร หรือ ผลิกออก ก็คือ หยุด

    พอ หยุด เราก็ไม่พอใจอีก แทนที่จะดูว่า นี่แหละ ธรรมชาติของจิตมัน

    ก็ถ้า เรายกมาเห็น และยอมรับการเห็น ความเสื่อม บ้าง

    ไม่ใช่ปฏิบัติ แล้วเอาแต่การเห็น สิ่งที่เป็นฝ่ายดีด้านเดียว

    เราก็จะสามาถปฏิบัติได้ในทางสายกลางได้มากขึ้น

    การที่เราปฏิบัติอยู่ในทางสายกลางได้มากขึ้น จะมีประโยชน์กว่าไหม
    อันนี้ขึ้นกับ วาสนา บารมี ในการเห็นธรรม

    เพราะถ้าหาก ไม่เห็นความสำคัญต่อการเดินทางสายกลาง ผู้ปฏิบัติ
    ก็จะมีใจใฝ่ถึง ความสงบอยู่ข้างเดียว(รูปราคะ อรูปราคะ)อยู่อย่างนั้น

    แต่เมื่อไหร่ สงบก็รู้ เสื่อมก็รู้ ดูได้ทั้งสอง ไม่ปฏิเสธ และก็ไม่ได้รับ
    มาเป็นเรา(ให้มันครอบเราตลอดเวลา) เราก็จะภาวนาได้ทั้ง สมถะก็ได้
    และ มาวิปัสสนาก็ได้ งานในธรรมวินัย ก็จะเดินไปพร้อมๆกัน ด้วย
    ปัญญาอันยิ่ง(ดูสมัยของจิต พื้นจิต ในปัจจุบันเป็น)

    หากผันตัวมาเป็น ผู้เดินงานทั้งสองได้เคียงกัน สมัยใดควรเจริญอัน
    ใดก็เจริญอันนั้น แนวโน้มย่อมนมสิการมาฝั่ง วิปัสสนามากกว่า ตรง
    นี้จะทำให้พบว่า "จิตไม่รวม เหมือนแต่ก่อน" อันนี้ต้องทำความเข้า
    ใจ และพิจารณาลงไปว่า จิตมันคลายออกจากรูปราคะ และอรูปราคะ
    เท่านั้น ไม่ใช่ว่า มันจะปฏิเสธการมีอยู่ หรือการเกิด ฌาณ เพียงแต่
    จิตจะพิจารณาไปเก็บฌาณ ยามที่มันเห็นสมควร หรือ มันเก็บตังค์เอา
    ไว้ใช้ในยามจำเป็น

    ฌาณของนักภาวนาที่ยกวิปัสสนาญาณได้ ฌาณจะเกิดขึ้นโดยไร้ รูปราคะ
    และ อรูปราคะ ฌาณตัวนี้จึงเป็นสภาวะธรรมที่หมดความจงใจ มันจึงมี
    ความบริสุทธิของ สมาธิธาตุ มากขึ้น ซึ่งจะมีกำลังมากกว่า ฌาณที่เกิด
    จากมีอำนาจรูปราคะและอรูปราคะหลงเหลือในจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2010
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ให้ปรับลมหายใจเข้าให้ยาวขึ้น แล้ว ผ่อนออก ในขณะที่ผ่อนออกเราจะรู้สึกผ่อนคลาย

    เมื่อผ่อนคลายแล้ว ให้ประคองอารมณ์นั้นไว้

    จำเอาไว้ว่า หากเอาสุข คู่ไปกับลมหายใจ ก็จะเกิดสุขมาก

    หากเอา เวทนา คู่ไปกับลมหายใจ ก็ยิ่งเกิดเวทนามาก

    ดังนั้น เมื่อเจอเวทนา ให้ หายใจเข้า วาง หายใจออกวาง เวทนานั้น

    เมื่อเจอสุข ให้หายใจเข้าสุข หายใจออกสุข
     
  3. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    หลวงพี่มาโปรดเองเลยครับ

    สาธุ
     
  4. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ให้คำแนะนำค่ะ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  5. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    จะสร้างบารมี ก็ต้องมีขันติน่ะค่ะ
     
  6. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขอบคุณที่ตักเตือนค่ะ ตบะแตกทุกทีสิน่า เป็นคนที่มีความอดทนน้อยมากถึงมากที่สุด จะพยายามค่ะ เพราะปรารถนาสร้างบารมีทั้ง 10 ค่ะ
     
  7. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    อนุโมทนาด้วยน่ะค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ เจริญอิทธิบาท4 ให้มากก็จะดีค่ะ
    ทั้งนี้และทั้งนั้น กิเลสเป็นของคู่กับการปฏิบัติ ต้องอดทน จ๊ะ
     
  8. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    พ่ายต่อกิเลสทุกทีค่ะ
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมคิดว่าการทำกรรมฐานที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นแสดงว่าไม่ตรงกับจริตของตัวคุณเองครับลองเปลี่ยนวิธีดูครับ ไม่รู้ว่าอันจะถูกไหม เวลาที่คุณดูลมหายใจแล้วจะรู้สึกลำบาก อัดอั้น และรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ เกิดความรำคาณใจ นั่งแล้วไม่มีความสุข ทรมาน หรือไม่ก็หลับไปเฉยๆเพราะจริตของคุณมีความสงสัยอยู่ในใจบ่งบอกว่าคุณเป็นคนชอบแสวงหาค้นคว้าเป็นนิสัยฉนั้นการดูลมหายใจจะทำให้รู้สึกทรมาน หากจะให้แนะนำ คุณลองเพ่งกสิณ รึไม่ แค่ภาวนาอย่างเดียวครับ หากที่ผมได้กล่าวมาถูกต้องอ่ะนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...