แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    เจ้าคุณมหาไข เปรียญ ๖ ประโยค (จ.หนองบัวลำภู)

    ไม่ไปภาวนาผีจะฆ่าเอาให้ตาย สมัยนั้นมีผีใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง อยู่วัดมหาชัย มันก็ไปกำคอ กำเอว จะฆ่าทิ้ง บวชมา ๔๗ พรรษา ไม่ได้รับผลอะไรสักอย่างในศาสนา ผีมันกำคอแน่นเข้าๆ จนจะตาย ถ้าไ่ม่ไปภาวนามันจะเอาให้ตาย ท่านจึงยอม พอเช้าจึงไปวัดถ้ำกลองเพล ก็มอบตัวให้หลวงปู่หลุยและหลวงปู่ขาว

    “ขอให้ท่านช่วยสอนในด้านสมถวิปัสสนา เดินจงกรมภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนาทำอย่างไร แต่คืนนี้ผมไม่เดินหรอก กลัวเสือและกลัวช้าง จะเอาแต่นั่ง”

    “เออดี ไม่เป็นไร นั่งภาวนาทั้งคืนไม่ต้องนอน ” หลวงปู่ขาวบอกวิธีให้

    “นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นเฉพาะหน้า ปล่อยวางความอยากและอุปทานปล่อยวางหมดเสียสิ้น ทำใจให้เหมือนดินและน้ำ หรือผ้าเช็ดเท้า หายใจเข้า พุท ออก โธ เท่านั้น อย่าส่งจิตไปอื่น นั่งคืนยังรุ่งนั้นแหละ ถ้านอนแสดงว่าเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน มาเลี้ยงกิเลส"

    ท่านเจ้าคุณก็เจริญในคืนนั้น มีนกเค้าไฟมันมาร้องว่า “อ๊ด…อ๊ด…อ๊ดเถิด”

    แหม…ถึงใจ ธรรมะนี้มันถูกกับความอดทนเป็นตะปะ แผดเผาเสียซึ่งกิเลส จิตก็เลยรวมใหญ่ ลงถึงฐานอุปจารสมาธิ ค้นคว้าในกายนี้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงสภาพตายก็ตายพื้บ ท่านก็เพ่งอืดพองเปื่อยเน่าขึ้น เห็นแจ้งชัด ท่านก็ใช้ปัญญาถอนสังโยชน์ ๓ ขาดจากใจทีนี้ ความหิวโหยอยากนอนไม่มี กลัวเสือ กลัวช้าง ไม่มี จิตของท่านสว่างผ่องใส น้ำตาไหลคืนยันรุ่ง คิดว่าพึ่งได้บวชวันนี้คืนนี้ แต่ก่อนนี้บวชเป็นโมฆะ ถึงได้เปรียญ ๖ ก็เป็นโมฆะ ๔๗ พรรษาก็เป็นโมฆะ…

    “สาธุ อะโห พุทโธ ธัมโม สังโฆ ข้าพเจ้าเป็นคนประมาท…นึกประมาทแล้วหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น หรือหลวงปู่ใดก็ดี หลาย ๆ องค์หลวงปู่ที่ท่านเที่ยวธุดงธ์ภาวนา ประมาทว่าไปนั่งหลับหูหลับตาอยู่ในป่าเขาลำเนาไพรนั้น หาว่าอวดดี และว่าจะได้รู้วิชาอะไร เราเรียนเราจึงได้ นั้นแหละ…ประมาทไปแล้วเพราะความไม่รู้ ขอขมาโทษอย่าให้เป็นบาปเป็นกรรม จะได้ปฏิบัติบูชาคุณท่าน ทั้งหลายตลอดชีวิตไปจนวันตาย”

    ต่อมาในฤดูแล้ง ปีนั้นท่านเจ้าคุณก็ป่วยหนักเป็นโรคตับ ไต เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าไม่ไหวแล้วจะสิ้นลมโดยเร็วให้กลับบ้าน… พระหลวงปู่ขาวได้ให้โอวาทบอกแนวทางว่า

    “ตั้งใจดี ๆ นะ อารมณ์อดีต อนาคต ปล่อยวางให้หมด เอาปัจจุบันธรรม พิจารณาทุกข์ ทุกลมหายใจเข้าออก เกิดก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ในโลกทั้ง ๓ นอกจากทุกข์ไปแล้วไม่มี นั้นแหละ มีสติ ปัญญา กำกับจิตให้รู้ทุกข์อย่างนั้น จิตมันจะรื้อถอนเครื่องร้อยรัด อวิชชา ตัณหา สังโยชน์ ปัจจัยให้หมดเสียสิ้น ในขณะนั้น…นั่นแหละ พระอริยสัจเจ้าทั้งหลายในครั้งพุทธกาลโน้น ท่านก็ได้สำเร็จอรหันต์ในขณะที่เจ็บป่วยก็มาก ได้สำเร็จอรหันต์ในระยะสิ้นลมหายใจก็นับไม่ถ้วน”

    คืนนั้นหลวงปู่ขาวไม่นอนนะภาวนาเพ่งดู ช่วยอยู่…
    ท่านเจ้าคุณก็ตั้งใจภาวนา เมื่อจะสิ้นลมในคืนนั้น ปัญญาเกิดขึ้นเห็นพร้อมว่า

    “เรามาอยู่กับกองทุกข์ เกิดก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ ไปโลกหน้าก็ทุกข์ มีแต่กองทุกข์”

    ท่านก็เลยปล่อยวางสังโยชน์ ปัจจัย ๑๐ หมดสิ้นกิเลสในระยะนั้น พอสิ้นกิเลสพื้บก็รู้แจ้งว่าสิ้น…







    ลอกมาจาก
    ๘๐ ปี หลวงปู่ขาว ถาวโร (หน้า ๑๑๔)
    เจ้าคุณมหาไข « The Dark and the Light
     
  2. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดียามเย็นค่ะ..
    ส่วนหนึ่งของหนังสือ อังควิชา ทำนายกรรม บำบัดเคราะห์

    ...เคล็ดลับการทำบุญ
    การทำบุญในทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญด้วยอาหารคาวหวานการถวายสังฆทาน หรือการทำบุญบริจาคสาธารณูปโภคทั้งหลายทั้งมวล หากต้องการที่จะมอบหรืออุทิศผลบุญให้กับผู้อื่น อาทิเช่น บิดามารดา ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ศัตรู เจ้ากรรมนายเวร พระภูมิเจ้าที่เทวดา พระอรหันตสาวก และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จำจะต้องมีการกรวดน้ำและกล่าวคำอุทิศแก่ผู้ที่เราต้องการให้ได้รับผลบุญนั้นๆ เพราะหากไม่มีการกรวดน้ำกล่าวอุทิศให้ ผลบุญที่กระทำก็จะถูกสั่งสมเอาไว้เป็นบุญของผู้กระทำเพียงตนเอง

    การกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ ปรากฎในพระไตรปิฏกว่าด้วยเรื่องของพระเจ้าพิมพิสารและเปรตพระญาติมีความว่า ในครั้งอดีต ก่อนที่พระสมณโคดมจะมากำเนิดและสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระราชโอรส 4 พระองค์ พระราชาและพระโอรสนั้นมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยนั้นมาก ในยามที่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน พระราชาและพระโอรสก็จะทรงบำรุงเลี้ยงพระพุทธเจ้าและพระพุทธสาวกเป็นอย่างดี
    แต่ด้วยพระภิกษุที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนมาก การเลี้ยงพระจึงเป็นงานหนัก ดังนั้นพระราชโอรสทั้ง 4 พระองค์จึงได้มอบหมายงานเลี้ยงพระให้เป็นหน้าที่ของนายเสบียงผู้หนึ่ง คอยจัดเงินในพระคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระเลี้ยงคน

    ต่อมานายเสมียนเห็นว่างานนี้งานใหญ่ ลำพังตนเพียงผู้เดียวยังทำงานได้ขาดตกบกพร่องอยู่ จึงได้ชวนญาติมิตรของตนมาช่วยในการทำงาน ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตเพราะมีศรัทธาต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่บรรดาญาติทั้งหลายนั้นหาได้เป็นคนซื่อสัตย์เช่นเดียวกันไม่ ในตอนตั้นก็ช่วยงานเสมียนผู้นั้นเป็นอย่างดี แต่นานๆ เข้าก็ต่างชวนกันหาประโยชน์จากงานที่ทำ
    เช่นการยักยอกปัจจัยที่ใช้ในการเลี้ยงสงฆ์ โก่งราคาข้าวของที่ต้องไปซื้อ อาหารรสอร่อยก็แอบกินเสียก่อนบ้าง ทำจนเป็นปกติวิสัย
    ครั้งเมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ตาย ด้วยกุศลจิตที่ได้กระทำทำให้นายเสมียนไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนบรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นกลับต้องไปเกิดในอเวจีมหานรกสิ้นระยะเวลากับหนึ่ง เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วต้องไปเกิดในนรกบริวาร 4 ขุม และยมโลกียนรกอีก 10 ขุม พ้นจากนรก 10 ขุมแล้วก็มาเป็นเปรตอีก 11 จำพวก โดยไม่มีโอกาสโมทนาส่วนกุศล
    จนมาเกิดเป็นเปรตจำพวกที่ 12 คือ ปรทัตตูชีวีเปรต ซึ่งเป็นเปรตที่เหลือกรรมไม่มากนัก ไม่ต้องกินคูถกินหนอง ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ต้องเดินโหยหิวหาอะไรกินไม่ได้ รอเพียงให้มีผู้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น
    ปรทัตดูชีวีเปรตเหล่านั้นท่องเที่ยวมานานหลายกัป จนมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าในสมัยต่อๆ มาและได้ทูลถามว่า
    "ข้าพระพุทธเจ้าอดยากหิวโหยมานานเหลือแล้ว ไม่ว่าเห็นอาหารหรือน้ำผู้ใดกองไว้ พอจะเข้าไปกินกลับกลายเป็นถ่ายเป็นไฟลุกจนกินไม่ได้ เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะสิ้นการรอดอยากหิวโหยเสียที"
    ซึ่งความจริงพระพุทธเจ้านั้นมีบุญเหลือคณานับ หากจะเผื่อแผ่บุญทั้งหลายให้กับปรทัตตูชีวีเปรตเหล่านี้ก็ทำได้ แต่ถึงกระทำไปเปรตเหล่านี้ก็ไม่สามารถโมทนาบุญเนื่องด้วยอำนาจของกรรมบังคับ ต้องทรงวางอุเบกขา เมื่อทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าเบื้องหน้าอี 91 กัป จะมีพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโคดมทรงอุบัติขึ้นในโลก และญาติของเปรตเหล่านี้ที่เป็นเสมียนจะจุติจากเทวโลกลงมาเกิดเป็นพระราชามีพระนามว่าพระเจ้าพิมพิสารในประเทศมคธ จะเป็นพระสหายและเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2011
  3. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ส่วนหนึ่งของหนังสือ อังควิชา ทำนายกรรม บำบัดเคราะห์

    พระเจ้าพิมพิสารจะทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตเหล่านี้ และเมื่อเหล่าปรทัตตูชีวีเปรตโมทนาบุญก้จะพ้นจากความเป็นเปตรตไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อเปรตทั้งหลายทราบจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ต่างก็พากันดีใจและเฝ้ารอวัน
    ครั้นเวลาล่วงเลยไปจนถึงยุคสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจะบันทรงอุบัติขึ้น ยามนั้นพระเจ้าพิมพิสารมีความเลื่อมไสในคำสั่งสอน พระองค์ได้ทรงจัดสร้างวัดเวฬุวันมหาวิหารขึ้น จากนั้นจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าและพุทธสาวกมาปรทับและบำรุงเลี้ยงเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยอุทิศส่วนกุศลและไม่เคยกรวดน้ำให้แก่ผู้ใด
    บรรดาปรทัตดูชีวีเปรตต่างก็พากันมายืนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวันเพื่อรอรับส่วนกุศลแต่ก็ไม่ได้สักที เมื่อทนไม่ไหวจึงไปส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญให้ปรากฎแก่ห้องพระบรรทมของพระเจ้าพิมพิสารในคืนหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงเปรตค่ำครวญก็แปลกใจ ในตอนเช้าพระองค์จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถาม พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า เสียงเหล่านั้นคือเปรตญาติของพระองค์มาร่ำร้องขอส่วนบุญ

    เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้สดับคำของพระพุทธเจ้า จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายประมาณ 500 รูป ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหารเข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงฉันเสร็จ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้กรวดน้ำกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลแก่ปรทัตตูชีวิเปรตญาติในอดีตชาติของพระองค์ เมื่อบรรดาปรทัตตูชีวีได้โมทนาบุญแล้ว อัตภาพแห่งความแห่งความเป็นเปรตก็หมดไป เนื้อตัวที่ซีดเซียวก็กลับผ่องใส มีความอิ่มเอิบ มีความสุขสบาย มีร่างกายสวยงามอย่างเทวดา แต่ทว่าเปตรทั้งหลายเหล่านี้ในชาติก่อนไม่เคยได้ถวายผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนา เมื่อได้โมทนาบุญแล้วร่างกายกลับเป็นเทวดาแต่ก็ยังไม่มีผ้านุ่ง ยังไม่มีเสื้อใส่ ก็มีความลำบากใจ ตอนกลางคืนจึงเข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสารอีก เพียงแต่ครั้งนี้คราวนี้ไปยืนให้เห็นร่างกายสวยงามโดยไม่มีอาภรณ์ใดๆ ปกปิดกายเลย
     
  4. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    พอถึงตอนเช้าพระเจ้าพิมพิสาร ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีก พระองค์จึงตรัสตอบว่า ผู้ที่ปรากฎให้พระเจ้าพิมพิสารเห้นนั้นก็คือเปรตพระญาติที่ได้รับโมทนาแล้ว มีความสุข มีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเสื้อผ้าสวมใส่เพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลถวายผ้าไว้ในพระพุทธศาสนา
    พระเจ้าพิมพิสารทราบดังนั้น ก็ได้ถวายผ้าไตรแก่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้ง 500 รูป เมื่อถวายอาหารและอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาก็มีเสื้อผ้าเครื่องประดับอันเป็นทิพย์เกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้นก็ไม่มารบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีกเลย

    คำว่า "อุทิศ" มีความหมายแปลว่า "เฉพาะเจาะจง" การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ก็คือเจตจำนงที่จะส่งต่อผลบุญไปให้กับบุคคลใดๆ โดยเฉพาะเจาะจงนั่นเอง
    ซึ่งการกรวดน้ำนั้นแต่แรกเริ่มเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เมื่อมีการมอบสิ่งของให้ผู้ใดก็จะใช้น้ำราดลงไปบนพื้นดินเพื่อเป็นการยืนยันการให้ พุทธศาสนิกชนจึงรับสืบทอดต่อมาในทางปฏิบัติด้วยความเคยชิน แต่ในความเป็นจริงนั้น การอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ใดนั้นใช้เพียงแค่การตั้งจิตกล่าวคำอธิษฐานเท่านั้นโดยไม่ใช้น้ำก็ได้

    สำหรับ การทำบุญโดยทั่วไป อันที่จริงหากบุคคลมีจิตเป็นกุศลไม่คิดหวังผลบุญใดๆ ตอบแทน ท่านอาจจะทำบุญด้วยวิธีใดก็ได้ตามความสะดวกและตามกำลัง แต่หากท่านเป็นคนที่มีภาระหน้าที่การทำงานมากไม่ค่อยจะมีโอกาสได้แวะเวียนไปทำบุญที่ใด ก็ขอแนะนำวิธีทำบุญแบบที่จะได้บุญตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน

    ใน วนโรปสูตร เทวตาสังยุค ได้กล่าวไว้ มีใจความว่า
    เทวดาได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุญย่อมเจริญในกาลทุกครั้งเมื่อทั้งกลางวันกลางคืนแก่ชนพวกไหน พระพุทธเจ้าตรัสตอบแก่เทวดานั้นว่า ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้ดอกไม้ผล) ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา สร้างสะพาน สร้างประปา สร้างบ่อน้ำ และให้ที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้นย่อมเจริญทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนี้

    เพราะฉะนั้น หากผู้ใดที่ไม่มีเวลาได้ทำบุญนัก ต้องการบุญที่เกิดตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ท่านก็ควรหาโอกาสทำบุญดังกล่าวมาข้างต้น บุญนี้จะช่วยเกื้อหนุน เสริมดวงชะตาชีวิตของคุณให้ดีได้ตลอดไป เพราถือเป็นการทำบุญที่ชาญฉลาด เป็นการทำบุญให้ได้ผลกลับมามหาศาล ถือได้ว่าผู้ทำบุญเช่นนี้คือบัณฑิตผู้มีปัญญา


    โมทนาบุญค่ะ....
     
  5. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    คัดลอกมาครับ...


    บทความนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ ที่กำลังฝึกสมาธิและพบเจอกับนิมิตต่างๆ อยู่ บางคนก็หลงใหลไปในนิมิตเมื่อพบนิมิตที่ดี
    บ้างก็กลัวนิมิตที่เกิดขึ้นไม่กล้าปฏิบัติต่อไปเมื่อพบนิมิตที่ไม่ดีหรือนิมิตร้าย หรือบางคนอาจจะกำลังคิดแก้ไขเรื่องนี้อยู่
    แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้แสดงธรรมเรื่องนิมิตนี้พอประเทืองความรู้สำหรับผู้เห็นนิมิตในขณะทำสมาธิ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมาได้เทศน์แสดงธรรมที่เกี่ยวข้องกับนิมิตในเทปเรื่อง "นิมิตและวิปัสสนา"เมื่อครั้งหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่
    นักปฏิบัติบางท่านที่ติดนิมิตจน ถอนตัวไม่ขึ้นหลับตาทำสมาธิก็ตกลงในวังวนแห่งภาพต่างๆที่ปรุงแต่งขึ้นในห้วงสมาธิจริงบ้าง
    ปลอมบ้าง แล้วแต่สภาพของสังขารปรุงแต่งหรือญาณกำเนิด

    ครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานจึงเตือนผู้ปฏิบัติชั้นหลังมาทุกยุคทุกสมัย ในเรื่องนิมิตและความสุขในสมาธินักปฏิบัติธรรมบางท่าน
    ก็หลงใหล ได้ปลื้มกับนิมิตหรือให้ความสำคัญกับผู้รู้เห็นนิมิตว่าเป็นผู้วิเศษเลิศเลอ ภาพในนิมิตที่ปรากฏและถูกต้องนั้นมีเพียงเล็กน้อย
    นอกนั้นเกิดจากสังขารปรุงแต่งเสียเป็นส่วนใหญ่ทั้งนิมิตที่ปรากฏขึ้นเองและนิมิตที่กำหนด

    จิตเมื่อเข้าสู่สมาธิอ่อนๆ ก็มีนิมิตจางๆ แล้วค่อยๆชัดขึ้นเมื่อสมาธิสงบจนกระทั่งชัดที่สุด ทุกครั้งที่ปรากฏนิมิตต้องใช้ปัญญาอบรมจิต
    ควบคู่กันไปด้วย (เพราะนิมิตที่ปรากฏอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์)แล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในนิมิต เพื่อพัฒนาการจิตในระดับต่อไป
    ก็จะออกมาในอีกหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นปิติในลักษณะต่างๆรวมทั้งความรู้สึกหลากหลายของความสงบก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับ
    ทั้งนี้ต้องใช้ไตรลักษณ์เป็นหัวข้อธรรมใหญ่ในการพิจารณาองค์ประกอบของสมาธิทุกรูปแบบก็ว่าได้
    เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติทั้งหลายพึงสังวรระวัง เกี่ยวกับเรื่องนิมิตต่างๆ

    ถ้าท่านภาวนาแล้วเกิดนิมิตต่างๆ ขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มักเกิดขึ้นเพราะอุปาทานที่ท่านคิดว่าอยากรู้อยากเห็น ระดับจิตที่สงบลงเป็น
    สมาธิในขั้นอุปจารสมาธินั้น ถ้าจิตมันปรุงแต่งอะไรขึ้นมาในขณะนั้นมันจะกลายเป็นตัวเป็นตนไปหมด เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นรู้สึกมองเห็น
    ด้วยตาธรรมดา ตาท่านหลับอยู่แต่ท่านก็มองเห็นได้ ทำไมจึงมองเห็นได้ก็เพราะจิตท่านเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอันนี้พึงสังวร
    ในเมื่อเหตุการณ์ที่กล่าวนี้เกิดมาแล้วควรจะปฏิบัติต่อนิมิตทั้งหลายเหล่านี้อย่างไร

    ๑. ท่านอย่าไปเอะใจ อย่าไปตื่นในการที่ได้พบเห็น ให้ประคองจิตอยู่ในท่าทีที่สงบเป็นปกติ
    ๒. อย่าไปยึดว่าสิ่งนั้นเป็นจริง ถ้าจริงมันจะสงสัย สมาธิ อ่อนๆ กระแสจิตส่งออกไปข้างนอกให้ประคองจิตให้เป็นสมาธิไว้นานๆ
    ภาพนิมิตนั้นจะอยู่ให้ท่านชม บางทีท่านอาจจะนึกว่าภาพนิมิตที่มองเห็นนั้นเป็นสิ่งที่สนุกเพลิดเพลิน สนุกยิ่งกว่าไปดูหนัง อันนี้แล้วแต่มันจะ
    เป็นไปตามอำนาจกิเลสของใคร แต่ถ้าผู้เห็นนิมิตนั้นเคยมีสมาธิดีมีปัญญาดีอาจจะจับเอานิมิตนั้นเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของ
    สติพิจารณาเป็นกรรมฐานในแง่ของวิปัสสนาเลย

    กำหนดหมายว่านิมิตนี้ก็ไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่เสมอ ถ้าท่านสามารถกำหนดพิจารณาได้อย่างนี้ ท่านก็จะได้ความรู้ในแง่วิปัสสนา
    เรื่อง นิมิตต่างๆ นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายโดยถ่ายเดียวเป็นสิ่งที่ให้ทั้งคุณเป็นสิ่งที่ให้ทั้งโทษ ถ้าผู้ปฏิบัติกำหนดหมายเอานิมิตเป็นเครื่องรู้ของจิต
    เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นอารมณ์ที่จะน้อมนึกพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานหรือสมถะกรรมฐานก็แล้วแต่ ย่อมได้ประโยชน์สำหรับผู้มีสติปัญญา
    สามารถรู้เท่าทันนิมิตนั้นๆ

    แต่ถ้าผู้หลงว่าเป็นจริงเป็นจัง จิตอาจจะไปติดนิมิตนั้นๆ ชอบอกชอบใจในนิมิตนั้นๆ บางทีก็จะไปเที่ยวกับนิมิตนั้น ฝากเอาไว้ให้นักปฏิบัติได้โปรดพิจารณาเอาเอง
    เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นทางผ่านของผู้บำเพ็ญจิต แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับนิมิตต่างๆ ซึ่งเกิดจากการพิจารณากรรมฐาน โดยยกเอากายของเราเป็นเครื่องรู้ของจิต
    เป็นเครื่องระลึกของสติ จะน้อมนึกไปในแง่ไม่สวยงามก็ตาม จะน้อมนึกไปว่ากายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ตาม

    ในเมื่อจิตสงบลงแล้ว ยิ่งเห็นจริงในอสุภกรรมฐานหรือในธาตุกรรมฐาน จนมองเห็นอสุภกรรมฐานว่าร่างกายนี้เป็นของสกปรก เป็นสิ่งปฏิกูลเน่าเปื่อยน่าเกลียด
    ผุพังสลายตัวไปจนไม่มีอะไรเหลือ ยังเหลือแต่สภาพจิตที่ยังสงบนิ่ง ใส บริสุทธิ์ สะอาด สิ่งที่รู้เห็นทั้งหลายหายหมดไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ
    แต่เมื่อจิตถอนออกมาจากความเป็นสภาพ เช่นนั้นแล้วมาสู่ปกติธรรมดาร่างกายที่มองเห็นว่าสาบสูญหายไปนั้นก็ยังปรากฏอยู่ จะปรากฏว่าสูญหายไปหรือปฏิกูล
    เฉพาะในขณะที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่รู้เห็นอันนี้เป็นเพียงนิมิตซึ่งหลักของการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน เมื่อจิตเพ่งจดจ่ออยู่ในสิ่งที่รู้แน่วแน่ นิมิตย่อมเกิดขึ้น อันดับ แรกเรียกว่า "อุคคหนิมิต"
    ในอันดับต่อไปเรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต" อุคคหนิมิตจิตจดจ่อรู้ในสิ่งๆ เดียวอย่างแน่วแน่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นิมิตนั้นก็อยู่ในสภาพปกติ จิตก็อยู่ในสภาพปกติ แต่รู้เห็น
    กันอย่างติดหูติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น อันนี้เรียกว่า"อุคคหนิมิต" ทีนี้ถ้าหากว่าจิตสามารถปฏิวัติความเปลี่ยนแปลงของ นิมิตให้มีอันเป็นไปต่างๆขยายให้ใหญ่
    โตขึ้นหรือย่อให้เล็กลงหรือถึงขนาดสลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ จิตก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิของ"ปฏิภาคนิมิต"


    ถ้าหากว่านิมิตมีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตสำคัญมั่นหมายในการเปลี่ยนแปลงของนิมิต โดยกำหนดอนิจจสัญญา คือความจำหมายว่าไม่เที่ยง เข้ามา
    แทรกความรู้เห็นในขณะนั้นโดยอัตโนมัติ จิตของท่านจะกลายเป็นการเดินภูมิวิปัสสนากรรมฐาน และนิมิตที่ปรากฏนั้นก็ปรากฏในขณะที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น ในขั้นนี้
    เรื่องราวหรือนิมิตอะไรที่พึงเกิดขึ้นภายในจิตของผู้ปฏิบัติอยู่ก็ตาม ให้สังวรระวังรักษาความรู้สึกนึกคิดเอาไว้ว่า สิ่งนี้คือจิตของเราปรุงแต่งขึ้นในขณะที่จิตของเรามีสมาธิ
    เอาความรู้สึกอันนี้มาสกัดกั้นเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของเราหลงหรือรู้ผิด นี่คือหลักการปฏิบัติที่เราพึงสังวรระวัง

    นั้นเป็นคำสอนของพระเดช พระคุณหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ผู้พิมพ์ได้ย่นย่อใจความจากหนังสือที่เขาเขียนถอดมาจากเทปของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    มาให้ได้อ่านกันพอเข้าใจ และขอยกเรื่องที่หลวงพ่อพุธตอบปัญหาคำถามเรื่องนิมิตที่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ ทรงถามหลวงพ่อมาให้ได้อ่านเพิ่มความเข้าใจ
    ในเรื่องนิมิตอีกหน่อย

    ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพ่อพุธเดินทางจากวัดป่าสาลวัน เพื่อไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่พระราชวังไกลกังวล ท่านมีรับสั่ง
    นิมนต์หลวงพ่อพุธไปแสดงธรรมโดยเฉพาะ

    พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯ : นิมิตมีหลายอย่างบางอย่างแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งก็ให้เห็นเหมือนฝัน และอีกอย่างหนึ่งก็แสดงให้เห็น
    เหมือนทิพย์ เป็นนิมิตความหมายขอท่านอาจารย์ได้อธิบายให้ฟัง

    หลวงพ่อพุธ : นิมิตก็มีความหมายตรงตัวอยู่แล้วว่าเป็นเครื่องรู้ของจิต นิมิตจะเกิดขึ้นได้ในจิตสมาธิ เช่น ผู้ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ เมื่อจิตมีอาการเคลิ้มๆ ลงไป
    จิตสงบสว่าง กระแสจิตส่งออกไปข้างนอกแล้วก็เกิดขึ้นมาในลักษณะต่างๆ เช่น ภาพคน ภูตผี ปีศาจ เทวดา และ อีกอย่างหนึ่งในการพิจารณาอสุภกรรมฐานหรือธาตุกรรมฐาน
    ในขั้นต้นผู้ปฏิบัติอาศัยการน้อมนึกพิจารณาน้อมไปสู่การเป็นอสุภกรรมฐาน ความไม่สวยไม่งามน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย น้อมไปสู่ความเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    คือเป็นองค์ประชุมของธาตุ ๔ ด้วยความตั้งใจก็ดี เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว จิตอยู่ในระดับอุปจารสมาธิก็จะเกิดนิมิตภายนอกขึ้นมา เมื่อผู้ปฏิบัติพิจารณาดูนิมิตภายนอกกาย
    นิมิตภายนอกกายจะย้อนกลับเข้ามาภายใน หมายถึง จิตนั้นน้อมเข้ามาภายในกายในขณะที่จิตรู้อยู่ภายในตัวนั้น จิตจะมีลักษณะตั้งอยู่ระหว่างกลางของกาย แล้วจิตจะไปรู้อยู่กับ
    สิ่งใดสิ่งหนึ่งภายในกาย เมื่อจิตมองดูสิ่งที่รู้เห็นอยู่ภายในกายนั้น จิตจะพิจารณากายต่อไปจนกระทั่งจิตละเอียดลงไปจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ

    เมื่อจิตถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว จิตจะมีลักษณะคล้ายๆ กับถอนตัวออกจากร่างกายแล้วจิตจะมาลอยเด่นอยู่แล้วจิตจะย้อนกลับไปมองดูกายเดิม ในเมื่อจิตย้อนกลับไปมองดูกายเดิม
    จิตก็มองเห็นกายในลักษณะที่นั่งหรือนอนอยู่ก็ตาม แล้วกายนั้นจะแสดงอาการขึ้นอืด เน่าเปื่อย ผุพัง สลายไป ในที่สุดก็ยังเหลือแต่โครงกระดูก ก็หลุดออกไปเป็นชิ้นๆและแตกหัก
    เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ในที่สุดกระดูกก็หลุดละเอียดลงไปและหายไปในที่สุด
    อันนี้เป็นนิมิต ซึ่งเกิดขึ้นในจิตโดยปราศจากสัญญาใดๆ ที่น้อมนึก

    นิมิตอันนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต ในขณะที่จิตมองเห็นนั้น จิตยังไม่บอกว่าเป็นอะไรเรียกว่าอะไร คือเมื่อกายที่จิตมองเห็นนั้นมีอาการต่างๆ ผิดแปลก เช่นขึ้นอืดเน่าเปื่อย ผุพังลงไป
    ดังที่ได้บรรยายมานั้น อันนี้จิตอยู่ในขั้นปฏิภาคนิมิต เป็นอุบายฝึกฝนอบรมจิตในขั้นสมถะ เมื่อจิตมองดูนิมิตนั้นนิมิตนั้น อาจจะหายไป เมื่อนิมิตนั้นหายไป ก็ยังเหลือแต่สภาวะจิต
    ผู้รู้ นิ่ง สดใส สว่างชั่วขณะหนึ่ง ก็จะเกิดภูมิรู้ขึ้นภายในจิต คือมีแต่เกิดขึ้น ดับไป อยู่ภายในจิต จิตของผู้ปฏิบัติก็จะจดจ้องมองดูจิตที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยปราศจากเจตนา
    สัญญาใดๆ ทั้งนั้น สิ่งที่มองเห็นนั้นเรียกว่าอะไร เรียกไม่ถูก ไม่มีความหมายในสมมติบัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธัมมจักกัปวัตนสูตร

    สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่นี้หมาย ถึงอะไร จะเรียกชื่อตามสมมติบัญญัติไม่ถูก พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    อันนี้เป็นความรู้ของจิตที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรมขั้นสูง ถ้าหากว่าจิตมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปแล้วก็ถอนออกมาจากสภาวะรู้อย่างนั้นจิตของผู้ปฏิบัติดีในขั้นนี้ก็เรียกว่า
    จิตอยู่ในขั้นสมถะกรรมฐาน แต่ถ้าหากสิ่งที่จิตมองดูนั้นเกิดอนิจสัญญาความสำคัญมั่นหมายว่า สิ่งที่รู้เห็นนั้นเป็นของไม่เที่ยงแล้วก็เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตของผู้ปฏิบัติก็จะวิ่งเข้าสู่
    ภูมิวิปัสสนา ในขณะที่จิตรู้อย่างนั้น ไม่มีอะไรปรากฏ คือมีแต่จิตผู้รู้นิ่งเด่นอยู่ และสิ่งที่ผู้รู้ก็ปรากฏอยู่ คือจิตกับความรู้ที่เกิดขึ้นภายในจิต และมีสติตามรู้จิตคือสิ่งรู้อันนั้น อันนี้เรียก
    ว่าการปฏิบัติอยู่ในภูมิจิตภูมิธรรมขั้นสูงและอีกอย่างหนึ่งในลักษณะเช่นนี้ไปตรงกับพุทธสุภาษิตที่ว่า ในกาลใดก็ดีเมื่อธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏอยู่แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรในกาล
    นั้นความสงสัยย่อมสิ้นไป

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ : สำหรับนิมิตนี้ถ้าเป็นถึงอุคคหนิมิตหรือปฏิภาคนิมิต ทำให้สามารถที่จะเห็นได้จากการที่เราดู หมายความว่า ภาพที่เห็นนิมิตอีกอย่างหนึ่งคล้ายๆ
    กับฝันมีความจริงเพียงใด กายหยาบหรือนิมิตในฝัน ตัวเองมีนิมิตว่าอย่างนั้นแล้วไปถามว่าแปลว่าอะไร บางทีก็มีความจริงหรือบางทีก็ไปถามพระอาจารย์อธิบายว่ามีนิมิตว่ากระไรบ้าง
    และท่านก็บอกว่านิมิตอย่างนั้นๆ ที่แปลนิมิต เรื่องนิมิตนี้มีความจริงอย่างไร


    หลวงพ่อพุธ : นิมิตนี้บางครั้งก็มีความจริง บางครั้งก็ไม่มีความจริง เหมือนๆ กับความฝัน คือนิมิตหรือการฝันในขั้นนี้เป็นเรื่องพื้นๆโดยทั่วไป

    พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ : แต่เรื่องนิมิตนี้เคยนำไปถามท่านผู้ทรงศีลหรือพวกหมอดู เคยไปถามท่าน อย่างเมื่อเร็วๆนี้ได้ไปถามหลวงปู่ขาวว่าจะเป็นอย่างไรกับเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้
    ท่านมีนิมิตหรือเปล่า หลวงปู่ท่านก็บอกว่ามีนิมิต เห็นแปลกก็ตีความหมายว่าไม่มีอะไรมาก แต่ท่านก็ตีความว่าไม่ค่อยจะดี อย่างนี้นิมิตของผู้ทรงศีลจะเป็นความหมายได้อย่างไร
    และอีกอย่างหนึ่งถ้าท่านแปลมาจะมีวิธีการอย่างไร


    หลวงพ่อพุธ : นิมิตของผู้ทรงศีลก็อาศัยความมีศีล และอาศัยความคิดที่เกิดขึ้นของความรู้ เมื่อเกิดนิมิตขึ้นมาโดยพิจารณาในนิมิตสมาธิภาวนา ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นจริง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ : คำว่าอุคคหนิมิตมีความหมายมาจากคำว่าการทำจิตใจให้มีสติ ไม่ให้หลงในความสวยความงามในทางตรงใช่ไหม

    หลวงพ่อพุธ : ความมีสติ ความไม่หลงติดในความสวยความงามเป็นผลเกิดจากการพิจารณาทำอุคคหนิมิตให้เกิดขึ้นได้แล้ว แต่อุคคหนิมิตหมายถึงสิ่งที่มองเห็นติดตา เกิดจากการเพ่งกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งจนเกิดสมาธิแน่วแน่ มองเห็นเป็นนิมิตลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็นเรียกว่า อุคคหนิมิต อีกอย่างหนึ่งเมื่อ โยคาวจรมาพิจารณาอาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
    โดยน้อมไปสู่ความเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด สกปรก โสโครก จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ สว่างไสว มีปิติสุข เอกัคคตาเป็นหนึ่งแน่วแน่ แล้วเกิดนิมิตมองเห็นอาการใดอาการหนึ่งในอาการ ๓๒ เช่น กระดูกเป็นต้น หรือเกิดนิมิตมองเห็นสิ่งปฏิกูลภายในร่างกายก็ดี หลับตาก็มองเห็น ลืมตาก็มองเห็นติดตา เรียกว่า อุคคหนิมิต มีผลเพื่อบรรเทาราคะให้เบาบางลง หรือขจัดราคะให้หมดไปตามกำลังแห่งสมาธิและสติปัญญา

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ : การพิจารณาความไม่สวยไม่งามนี้ มันเป็นสมมติบัญญัติ ไม่มีความหมาย หรือแล้วแต่จะคิดไปใช่หรือไม่

    หลวง พ่อพุธ : แล้วแต่จะคิด ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะเกิดความจริงขึ้นมา ต้องอาศัยความเป็นจริงที่ปรุงแต่งขึ้นมา เพื่ออบรมจิตของตัวเองให้มีความคล้อยตาม และเกิดความเชื่อถือว่าเป็นอย่างนั้น ถ้าหากจะพิจารณาในปัจจุบันนี้ ให้พิจารณาน้อมไปถึงอดีต หากร่างกายนี้แตกสลายไปแล้ว ผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี หนังก็ดี ฟันก็ดี ล้วนแต่แตกสลายไป ให้น้อมไปพิจารณาเพื่อให้
    จิตเกิดความรู้ความจริงเห็นจริง แม้จะไม่เกิดความเห็นอย่างนี้ แม้จิตจะไม่น้อมเข้าไปสู่พระธรรมวินัยที่ถูกต้องดังกล่าวก็ตาม

    ที่มา http://www.dhammajak.net
    ที่มา [URL="http://palungjit.org/posts/2225842
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2011
  6. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    จากหนังสือทำนายกรรม บำบัดเคราะห์
    อลงกรณ์ รัชวงษ์

    กรรมแก้ไม่ได้ ทำกรรมใดต้องได้รับกรรมนั้น

    กรรมที่บุคคลแต่ละท่านได้พึงกระทำลงไปนั้น ท่านเชื่อเถอะครับ....ว่าท่านจะต้องได้รับผลของมันอย่างแน่นอนโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านอย่าได้หวังที่จะแก้ไขมันหรือลบล้างมันไปหมดเหมือนกับการซักล้างสิ่งสกปรกบนเนื้อผ้า สิ่งเดียวที่ท่านพอจะทำได้ก็คือการสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อให้ผลจากการทำบุญกุศลเหล่านั้นมาช่วยผ่อนบรรเทาอกุศลกรรมเพียงเท่านั้น
    เปรียบเสมือนการที่ท่านเป็นหนี้อยู่ 10,000 บาท หากครบกำหนดชำระหนี้แล้วท่านไม่มีเงินให้แก่เจ้าหนี้สักบาท เจ้าหนี้ก็อาจจะทุบตี ทำลายข้าวของ สร้างความลำบากให้กับท่าน แต่หากท่านเร่งรีบทำงานสะสมเงินเมื่อถึงเวลาชำระหนี้ ท่านมีเงินคืนให้เขาสัก 2,000 บาท ท่านอาจสามารถต่อรองขอผ่อนชำระได้ทีละน้อยโดยที่เจ้าหนี้ไม่ก่อความลำบากให้กับท่านมากเท่าที่ควร แต่จะอย่างไรท่านก็ต้องชำระหนี้จนครบพออยู่ดี
    ส่วนเรื่องของเคราะห์หรือกรรมที่มาตกกระทบท่านนั้น อธิบายได้ว่าเป็นของกรรมเช่นกัน แต่มันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมของท่านอยู่บ้างน้อยนิด นั่นคือช่วงที่ท่านดวงตกหรือเคราะห์ร้ายอยู่นั้น
    เปรียบเสมือนท่านมีเงินทองติดตัวอยู่ 2,000 บาท แม้ยังไม่ถึงกำหนดช้ำระหนี้ 10,000 บาท นั้น แต่บังเอิญวันหนึ่งมีคนรู้จักมาบังคับหยิบยืมหรือขโมยเงินของท่านไปอีก ทำให้ท่านซึ่งลำบากอยู่ต้องลำบากซ้ำช้อนมากขึ้น แน่นอนกรรมตกกระทบนี้ ผู้ที่กระทำกับท่านย่อมต้องไปชดใช้ในวัฏจักรกรรมของตนเอง ส่วนท่านก็ต้องไปพัวทวงถามเอาในวัฏจักของเขาภายหน้า ทางที่ปลอดภัยกว่าก็คือหลบเลี่ยงการสร้างหนี้สินรอบใหม่นี้เสียก่อนที่มันจะเกิด ด้วยการสร้างบุญกุศลไว้เป็นทุนรอน แต่หากท่านสร้างทุนรอนเอาไว้ไม่เพียงพอ

    นับ...ตั้งแต่บวชเรียนเป็นมหาเปรียญมา ผมมีความเชื่อถือศรัทธาในเรื่องกรรมมาก แม้กับตัวผมเอง ผมก็เคยได้รับผลกรรมที่เห็นได้ชัดเจนมาแล้วเช่นกัน เรื่องหนึ่งที่ชัดเจนพอจะเล่าสู่เป็นประสบการณ์ได้ก็คือเรื่องในสมัยผมเป็นเด็ก
    ตอนที่ยังเล็กๆ อยู่นั้น ผมจำได้ว่าเคยทะเลาะมีปากเสียงกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "อ้วน" จนถึงขั้นชกต่อยกัน ครั้นนั้นผมสู้เขาไม่ได้ผมก็เก็บความแค้นเอาไว้ในใจ เย็นวันนั้นหลังจาจบเรื่องชกต่อยแล้วผมกลับมาถึงบ้านก็คิดได้ว่าทางครอบครัวของอ้วนได้เอาเป็ดมาฝากเลี้ยงโดยสร้างเล้าเอาไว้ในสวนใกล้บ้าน
    เมื่อสบโอกาสที่จะล้างแค้น ผมจึงแอบเดินออกจากบ้านไปนั่งคอยเวลาที่เป็ดของครอบครัวอ้วนจะเข้าเล้า เห็นเป็ดสีขาวตัวหนึ่งในนั้นเป็นตัวโปรดของอ้วน ผมก็คว้าไม้ไผ่ท่อนยาวฟาดลงไปที่ด้านขาวของหัวเป็ดขาวตัวนั้น มันถึงกับล้มลงไปนอนชักทันทีแต่ก็ไม่ถึงกับตาย
    ที่ผมทำลงไปในตอนนั้นก็ด้วยความที่ยังเป็นเด็กไม่รู้ถึงบาปบุญคุณโทษคิดเพียงแต่ว่าต้องการให้เจ้าของมันเจ็บปวดหัวใจ.......แล้วผลกรรมในเรื่องนี้มันก็ตามมาถึงผมในวันหนึ่งจนได้.......ในตอนนั้นผมโตขึ้นมากแล้ว อายุได้ประมาณยี่สิบกว่าปี ผมก็ไปมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับคนจนถึงกับชกต่อยกัน ยังไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่ๆผมก็ถูกคนหนึ่งในกลุ่มที่ชกต่อยกันนั้นเอาไม้มาฟาดที่ศีรษะด้านขวาข้างเดียวกับเป็ดตัวน้นจนล้มคว่ำ ขณะที่ผมกำลังรักษาตัวอยู่นั้นผมก็ระลึกถึงเรื่องของเป็ดขาวของอ้วนขึ้นมาได้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจดจำมันในหัวสมองเลย
    การรำลึกได้ถึงกรรมที่ตัวเองกระทำมาก่อนอย่างนี้ทุกท่านที่มีการปฏิบัติธรรมมาบ้างจะเข้าใจได้เอง และเมื่อมานึกถึงผลกรรมในครั้งนั้นขึ้นมาทีไร ผมก็ได้แต่คิดว่ากรรมขอคนเรามันไม่จำเป็นต้องไปรอชดใช้กันชาติหน้าเลย จะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลว ส่วนใหญ่แล้วมันก็ส่งผลให้เห็นกันในชาติหนี้นั่นแหละครับ.......นอกเสียจากผลกรรมมันมหาศาลจนใช้ไม่หมดถึงจะทดเอาไว้ใช้กันต่อไปในชาติหน้า
     
  7. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    บางกรณีกรรมที่คนเรากระทำลงไปในชาตินี้ก็อาจจะระลึกขึ้นมาได้เองเป็นบางเรื่องเมื่อกรรมนั้นส่งผล แต่ส่วนใหญ่แล้วทั้งผมและท่านผู้อ่านเองคงไม่มีทางทราบว่าขณะนี้ตนเองกำลังได้รับผลจากกรรมใดที่ทำเอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอดีตชาติ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้าซึ่งทรงเป็นพระสัพพัญญู แปลว่าผู้รู้ในทุกสรรพสิ่ง
    คนเราได้รับผลของกรรมที่สร้างสมในชาตินี้อยู่แล้วทุกวี่ทุกวันโดยไม่รู้ตัวและไม่คาดคิด แต่คำว่ากรรมในความเข้าใจส่วนใหญ่ของคนไทย ก็คือ "วิบากกรรม" หรือเศษของกรรมที่หลงเหลือมาจากชาติปางก่อน เราหลบหนีจากมันไม่ได้ เพราะแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลกก็ยังต้องรับวิบากกรรมที่เหลืออยู่ติดตามพระองค์มาในชาติภพสุดท้าย.....
    ขอยกเรื่องวิบากกรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงให้พระสาวกสดับฟังใกล้สระอโนดาด ซึ่งปรากฎอยู่ในพระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย พุทธาปทาน ชื่อ ปุพพกัมมปิโลติมีความว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงฟังกรรมของเรา เราเห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรจึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น เราปราถนาการตรัสรู้เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าได้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า

    "ในชาติปางก่อน เราเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นจึงห้ามมันไว้ ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปราถนา"

    "ใน ชาติอื่นๆ ในปางก่อน เราเกิดเป็นนักเลงชื่อ "ปุนาลิ" ได้กล่าวตู่พระปัจจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า "สุรภี" ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยปลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราได้รับการกล่าวตู่เพราะ"นางสุนทรี" เป็นเหตุ
    "เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า "นันทะ" ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น "นางจิญจมานวิกา" จึงมากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2011
  8. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    "เราเกิดเป็นพราหมณ์ผุ้มีสุตะซึ่งประชาชนสักการบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ 500 คน ในป่าใหญ่ เราได้เห็นฤาษีผู้ได้อภิญญา 5 มีฤทธิ์มากมายยังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ครั้นนั้นเราได้บอกศิษย์ว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้นพวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมาพวกมาณพทั้งหมดไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่าฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ 500 รูปเหล่านี้ได้รับการกล่าวตู่เพราะ "นางสุนทรี" เป็นเหตุ

    "ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ตหิตกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด"

    "ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าจึงหว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้พระเทวทัตจึงชักชวนนักแม่ธนูผู้เป็นนักฆ่ามาเพื่อฆ่าเรา"

    "ในชาติก่อน เราเป็นทหารราบ ได้ใช้หอกฆ่าคนเป็นจำนวนมากด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ ในบัดนี้ ไฟนั้นยังตามมาไหม้ผลหนังที่เท้าของเราทุกแห่งเพราะกรรมยังไม่สิ้นไป"

    "ในชาติก่อน เราเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏคามเห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้วเกิดโสมนัส ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะยามเมื่อจ้าศากยะทั้งหลายถูกพระเจ้าวิฑูฑกฃภะฆ่า"

    "ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐีถึงแก่ความตาย ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ"

    "ครั้นนั้น เราชื่อ "โชติปาล" ได้กล่าวกับพระสุคตพระนามว่า"กัสสปะ" ว่า "การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก" ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง 6 ปี ต่อจากนั้นจึงบรรลุพระโพธิญาณที่ตำบลอุรเวลา แต่ว่าเราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุดด้วยทางนี้ เราถูกกรรมแต่ปางก่อนตักเตือนแล้วจึงแสวงหาพระโพธิญาณผิดทาง"

    ดังที่ผมยกมาให้ผู้อ่านทุกท่านได้พิจารณานั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลกก็ยังไม่สามารถแก้กรรมหรือวิบากกรรมให้กับพระองค์ได้ พระองค์ก็ยังทรงรับกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วใครจะสามารถแก้กรรมให้แก่ทุกท่านได้ล่ะครับ....ผมขอนำพระพุทธพจน์ คือคำสอนของพระพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้ว่าดังนี้

    "ไม่ควรคำนึงถึงอดีต ไม่พึงคาดหวังอนาคต สิ่งใดที่เป็นอดีตก็เป็นอันละไปแล้ว สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังไม่มาถึง ผู้เห็นแจ้งปัจจุบันธรรมในที่นั้น ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

    พระพุทธเจ้าเอง ทรงพยายามที่จะไปห้ามวิบากกรรมมิให้เกิดขึ้นแก่พระญาติของพระองค์เช่นกัน โดยพระองค์ได้เสด็จไปห้ามพระเจ้าวิฑฑูภะไม่ให้ฆ่าล้างโคตรของพระองค์ด้วย ญาตัตถะจริยา คือความประพฤติอันเป็นประโยชน์ต่อพระญาติ พระองค์ไม่สามารถแก้กรรมที่เกิดขึ้นแก่พระญาติของพระองค์ได้ ผลสุดท้ายพระญาติทั้งหลายของพระองค์ก็ถูกฆ่าล้างโครตจนหมด....

    เรื่องกรรมเก่าของพระญาติของพระพุทธเจ้าที่นำมาเล่า เพื่อยืนยันจากพระไตรปิฏกคำสอนอีกครั้ง่า กรรมผู้ใดได้กระทำไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแก้ให้เราได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงแก้กรรมของพระองค์และพระญาติของพระองค์ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดสำหรับชาวพุทธทุกท่านนั่นก็คือ ควรหมั่นทำความดี สร้างบุญกุศลบารมีเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติละเว้นอกุลกรรมตามศีล5 ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ หากเว้นไม่ได้ค่อยๆ ลด ละ

    หากคุณมั่นใจว่าได้ทำบุญทำความดีมาโดยตลอดแล้วก็ยังไม่ได้รับผลดี อย่าเพิ่งท้อถอยนะครับ ขอให้คุณมองเสียว่าขณะนี้คุณกำลังได้รับผลกรรมหรือวิบากที่คุณบังเอิญทำไว้ชาติปางก่อน อดทนต่อไปเถอะครับเมื่อวิบากกรรมนั้นหมดสิ้นลง กรรมดีที่คุณได้ทำไว้ในชาตินี้ก็จะให้ผลแก่คุณอย่างแน่นอน

    อนุโมทนาบุญค่ะ.....
     
  9. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    จากหนังสือดังกล่าวท่านได้พูดถึง

    กรรมที่ได้ล่วงเกินบิดามารดา....
    เพราะว่าทุกคนมีโอกาสก้าวล่วงบิดามารดาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะโดยเจนตนาหรือไม่เจตนา และสำหรับท่านใดที่เคยก้าวล่วงบิดามารดาเดาไว้ด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งยังไม่เคยแม้แต่จะกราบขอขมาหรือขออโหสิกรรมต่อท่านลองสังเกตดูสิครับว่าชีวิตของท่านเองมีความยุ่งยากบ้างหรือเปล่ามีชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือความรักบ้างหรือเปล่า

    เพราะบิดามารดานั้นเป็นเสมือนพระอรหันต์ในบ้าน เป็นผู้ให้กำเนิดอบรมเลี้ยงดูเรามา หากได้กระทำกรรมต่อพวกท่าน บาปกรรมที่ได้รับย่อมหนักหนาและสนองตอบรุนแรงรวดเร็วกว่ากรรมทั่วๆ ไป
    สำหรับวิธีการลดทอนเคราะห์กรรมจากการก้าวล่วงบิดามารดาแนะนำให้ท่านไปร่วมบริจาคเงินเพื่อการปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เช่นที่วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ที่วัดภูเขาทอง กรุงเทพ หรือจะเป็นที่พระเจดีย์ไหนก็ได้ที่มีประวัติว่าเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

    จะเป็นการดียิ่งขึ้นหากมีโอกาศได้ทำทักษิณาวัตรหรือเดินเวียนขวารอบเจดีย์ 3 รอบ (การเวียนอุตรวัตรหรือเวียนซ้ายใช้ในพิธีศพ) รอบแรกให้สวดพุทธคุณ รอบที่สองให้สวดมนต์พระธรรมคุณ และรอบสุดท้ายให้สวดพระสังฆคุณ แต่ถ้าหากไม่สามารถท่องบทสวดได้ก็ให้การทำจิตเป็นสมาธิแล้วกำหนดลมหายใจภาวนาพุทโธ ขณะทำทักษิณาวัตรรอบเจดีย์ เมื่อเดินเวียนจนครบ 3 รอบแล้ว จึงกล่าวขอขมากรรมต่อบิดามารดาว่า

    "กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หากข้าพเจ้าได้สบประมาทพลาดพลั้งต่อบิดาหรือมารดาของข้าพเจ้า ด้วยกาย วาจา และใจทั้งต่อหน้าก็ดีลับหลังก็ดี ข้าพเจ้าขออภัยโทษเสียเถิดตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอให้เป็นอโหสิกรรม"
    จากนั้นค่อยตั้งอธิษฐานจิต ขอพรว่า

    "ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำบุญบริจาคทรัพย์เพื่อปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุเจดีย์นี้ และได้มาทำอามิสบูชาพระธาตุเจดีย์ด้วยเครื่อง สักการบูชาเหล่านี้ ด้วยการกล่าวอ้างความสัตย์จริงนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากโรคทั้งปวง จงหายจากความเดือดร้อน จงก้าวล่วงเสียได้ซึ่งเวรกรรม จงมีความใจเย็น(พระนิพพาน) และประสบความสำเร็จในชีวิต หน้าที่การงาน ธุรกิจการค้า ชีวิตคู่ และขอให้ข้าพเจ้ามีความสุขอันเกิดจากการมีทรัพย์ ความสุขอันเกิดจากการมีโภคทรัพย์ ความสุขอันเกิดจากการไม่มีหนี้สิน ความสุขอันเกิดจาการไม่มีโทษและไม่ติดขัดเทอญ"

    ผู้เขียนได้เล่าว่าเคยแนะนำให้ผู้ที่ประสบปัญหาชีวิตจากรรมกับการกล่าวล่วงบิดามารดาซึ่งเมื่อได้ลองสอบถามภายหลังก็เห็นว่าชีวิตของบุคคลดังกล่าวประสบความสำเร็จดีขึ้นกว่าเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2011
  10. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ในอีกมุมหนึ่ง.....
    <TABLE style="WORD-WRAP: break-word" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="99%" border=0><TBODY><TR><TD background=../picture/page-html/page-two_04.gif bgColor=#3c1311></TD><TD></TD></TR><TR><TD background=../picture/page-html/page-two_07.gif></TD><TD style="PADDING-RIGHT: 2px; PADDING-LEFT: 2px; PADDING-BOTTOM: 2px; PADDING-TOP: 2px" bgColor=#3c1311>

    กราบไหว้บิดามารดา เพิ่มพูนโชคลาภและบารมีแก่ชีวิต




    [​IMG]

    ผู้ที่ปรารถนาจะแสวงหาโชคลาภและความสำเร็จต่างๆ นั้นมักจะมองหาสิ่งที่อยู่ไกลตัวออกไป หลายคนหลงลืมไปว่าบิดามารดาของเรานี้แหละ คือ "พระ" ที่มีคุณวิเศษนัก

    ผู้ที่หมั่นกราบไหว้บิดามารดา และปฏิบัติดูแลท่านเป็นอย่างดีย่อมบังเกิดสิริมงคลแก่ตนเอง ชีวิตจะมีแต่โชคลาภ บารมีและความสำเร็จ การปฏิบัติดูแลบิดามารดาตามควรนั้นมีดังนี้

    1.ดูแลให้ท่านได้กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ มิต้องอดอยาก
    2.ดูแลให้ท่านได้มีเสื้อผ้าสวมใส่อย่างดี และเหมาะสมฐานะ
    3. ดูแลให้ท่านได้รับการรักษาตนอย่างดียามเมื่อเจ็บป่วย
    4.ดูแลให้ท่านได้ทำบุญบริจาคทานตามที่ตั้งจิตตั้งใจไว้
    5.ดูแลให้ท่านมีความสุขใจ ไม่ทุกข์เพราะตัวเราผู้เป็นบุตรหรือธิดา
    6.เชื่อฟังคำสั่งสอนและคำตักเตือนของท่าน
    7.พูดกับท่านอย่างไพเราะและมีสัมมาคารวะเสมอ
    8.เคารพเทิดทูน ไม่กระทำการใดๆที่ลบหลู่ท่าน
    <!--content_desc-->
    </TD><TD background=../picture/page-html/page-two_09.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD></TD><TD background=../picture/page-html/page-two_11.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง...
    มหาโชคดอทคอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2011
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    การแนะนำเรื่องให้ไปลดทอนกรรมที่ก่อกับบิดามารดาตนเองวิธีดังกล่าว.....

    เรื่องนี้มีที่มาตั้งแต่ต้นสมัยพุทธกาลเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารแห่งเมืองราชคฤห์ได้หลงเชื่อถ้อยคำของพระเทวทัตผู้เป็นปาปมิตรให้กระทำปิตุฆาตพระบิดาเสียเพื่อขึ้นครองราชสมบัติ ส่วนพระเทวทัตเองก็จะลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเพื่อปกครองคณะสงฆ์เช่นกัน
    นับตั้งแต่พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ปลงพระชนม์พระบิดาไปแล้วก็หาได้มีความสุขไม่แม้สักวัน ทรงทราบตลอดว่าพระเทวทัตใช้วิธีการต่างๆในการลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า ไม่ว่าเป็นการปล่อยข้างนาฬาคีรีให้ไปเหยียบ ให้นายขมังธนูไปยิง หรือแม้แต่กลิ้งไปเพื่อหวังให้ทับพระพุทธเจ้า แต่ทุกประการก็ไม่สำเร็จ มีเพียงครั้งสุดท้ายที่ทำให้เศษหินก้อนเล็กๆ กระเด็นไปกระทบนิ้วพระบาทจนห้อพระโลหิต ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมที่หนักจแม้แต่แผ่นดินก็ไม่อาจทานน้ำหนักบาปของพระเทวทัตได้อีจึงสูบร่างพระเทวทัตลงไปทั้งเป็น
    เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรุเห็นผลของบาปนั้นก็ไม่อาจทำพระทัยได้เป็นสุขได้อีก จนเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระมหากัสปะผู้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการทำสังคยนาครั้งที่ 1 ได้คำแนะนำต่อพระเจ้าอชาตศัตรุจนเกิดพระราชศรัทธา สร้างสธูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นการไถ่ถอนกรรมจากการทำปิตุฆาต ซึ่งอนันตริยกรรมเช่นเดียวกันกับที่พระเทวทัตได้กระทำ

    อนันตริยกรรม...หมายถึงกรรมหนักที่สุดฝ่ายอกุศลกรรม ให้ผลกรรมทันทีหลังจากที่ตาย ไม่ว่ากุศลกรรมหรืออกุศกรรมอื่นใดก็ไม่อาจมีผลมาคั่นกลางหรือมาผ่อนปรนได้
    มี 5 อย่าง คือ

    1.มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
    2.ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
    3.อรหันตฆาต- ฆ่าพระอรหันต์
    4.โลหิตตุปบาท -ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ
    5.สังฆเภท - ยังสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสถาบันสงฆ์

    ในทางพุทธศาสนานั้น ผู้กระทำอนันตริยกรรม เมื่อจากมนุษย์โลกจะไปเกิดยังอเวจีมหานรกทันที ไม่ว่าในชีวิตจะเคยทำความดีมามากแค่ไหนก็ไม่อาจช่วยบรรเทาได้ ต้องไปรับกรรมในนรกจนกว่าสิ้นผลของกรรมนั้นจึงค่อยไปเกิดใหม่ยังภพภูมิอื่น และรับผลกรรมอื่นที่ยังเหลืออยู่
    เช่นเดียวกับพระอชาตศัตรู ซึ่งหลังจากสวรรคตไปแล้วก็ต้องไปเกิดในนรกกเพื่อรับกรรมก่อน แต่อานิสงส์ที่พระองค์ได้รับสั่งให้สร้างสถูปเจดีย์เป็นพุทธบูชานั้นก็ส่งให้พระองค์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้งในอนาคตข้างหน้า ทั้งยังจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    (พระพุทธเจ้าที่สามารถตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เองแต่ไม่อาจสั่งสอนผู้อื่นให้สำเร็จอรหันต์ได้เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)


    [​IMG]


    อ่านเพิ่มเติม.....
    นรกภูมิจาก......ลิงค์
    http://www.larnbuddhism.com/godgram/nr/04.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2011
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ในประเทศไทยเองก็มีเรื่องการสร้างเจดีย์เพื่อไถ่บาปจากการกระทำปิตุฏาตมาตุฆาตและฆ่าผู้มีพระคุณเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากตำนานเรื่องพญากงพญาพานซึ่งมีเนื้อหาใจความอยู่ว่า
    ครั้งนั้นพญากงได้ครองเมืองศรีวิชัย หรือเมืองนครชัยศรี(จ.นครปฐมในปัจจุบัน) สืบต่อจากพระเจ้าสิการาชผู้เป็นพระราชบิดาต่อมาก็ได้มีพระราชบุตรที่ประสูติจากพระมเหสี และเป็นพระราชธรรมเนียมเมื่อมีพระประสูติกาล โหรหลวงจะทำการถวายคำพยากรณ์ถึงชะตาชีวิตพระราชกุมารในเบื้องหน้า ซึ่งโหรหลวงได้ถวายคำพยากรร์เอาไว้ว่าพระราชกุมารนี้ต่อไปจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก จะได้ครองสมบัติเป็นกษัตริย์สืบต่อในภายภาคหน้า แต่ว่าพระชกุมารนี้จะเป็นผู้กระทำปิตุฆาตเป็นแม่มมั่น

    เมื่อพญากงได้ทราบดังนั้นจึบสั่งให้ราชบุรุษพาพระราชกุมารไปฆ่าทิ้งเสียในป่า แต่ราชบุรุษไม่อาจหักใจฆ่าพระราชกุมารน้อยผู้ไร้เดียงสาได้....(สมัยก่อนเขามีจิตใจปรานีนะคะ สมัยนี้ทำแท้งเอาทำเอา...) ....จึงนำไปทิ้งไว้ที่ป่าไผ่ท้ายไร่ของยายหอม

    สมัยปัจจุบัน ก็ทิ้งแถวห้างดัง ก็ตั้งน้องที่โดนทิ้งว่า น้องคาร์ฟรู น้องโลตัส
    ถ้าทิ้งกลางนา ก็ชื่อฝรั่งค่ะ น้องนานา... นอกเรื่องอีกแล้ว ....ฟังเรื่องกันต่อนะคะ

    ยายหอมได้เลี้ยงพระราชกุมารไม่ช้านานจนเจริญวัยขึ้น เจ้าเมืองราชบุรีให้มาพบและบังเกิดความรักใคร่ ขอตัวพระราชกุมารไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
    ยามนั้นเมืองราชบุรียังเป็นเมืองขึ้นของเมืองศรรีวิชัยอยู่ กระทั้งภายหลังพระราชกุมารเติบโตเป็นหนุ่ม ก็ได้ทำการแข็งเมือง ไม่ยอมส่งบรรณาการ ทำให้พญากงโกรธและยกทัพไปตีเมืองราชบุรีคืน ขณะที่เกิดการยุทธหัตถีกันระหว่างพญากงและพระราชกุมารนั้น พระราชกุมารได้ใช้ง้าวฟันถูกพญากงสะพายแล่ง สวรรคตคาคอช้าง ทัพเมืองศรีวิชัยจึงแตกพ่ายยอมจำนน
    เมื่อฆ่าพญากงสำเร็จแล้ว พระราชกุมารก็เสด็จเข้าเมืองศรีวิชัยเพื่อไปกินเมืองตามราชประเพณี พระองค์ทรงได้ข่าวว่าพระมเหสีของพญากงนั้นมีพรสิริโฉมงดงามนัก
    (555....เริ่มคิดไม่ดีแล้ว...กาเมมีตั้งแต่โบราณกาล) พระราชกุมารก็คิดอยากจะได้มาเป็นมเหสีจึงเสด็จไปยังตำหนักของพระนาง
    ฝ่ายเทวดาเห็นว่านอกจากพระราชกุมารจะกระทำบาปหนัก สังหารพระราชบิดาตนเองแล้ว ยังคิดจะบังคับพระราชมารดามาเป็นมเหสีอีกหากปล่อยให้เป็นไป พระราชกุมารจะตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกจึงได้จำแลงกายมาเป็นแมวแม่ลูกอ่อน นอนขาวงอยู่ยังชั้นบันไดประสาท (ท่านเทวดาช่างแปลงกายนะคะ)

    ในขณะที่พระราชกุมารดำลังก้าวข้ามสัตว์ทั้งสองนั้น ลูกแมวจึงพูดกับแม่ว่า
    "เห็นทีพระองค์จะเห็นเราเป็นเพียงเดรัจฉาน จึงได้ข้ามไปไม่เกรงใจกัน
    (555...ก็ปลอมเป็นแมวนี่ค่ะ)

    แม่แมวฟังลูกแมวว่าก็ตอบกลับ
    "แม้แต่มารดาพระองค์เองยังจะเอาทำเมีย นับประสาทอะไรถึงจะมาเกรงใจกับสัตว์เดรัจฉานเช่นเรา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2011
  13. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    พระราชกุมารได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนัก เมื่อเข้าไปถึงห้องพระบรรทมจึงได้ทรางตั้งจิตอธิษฐานว่า
    "ถ้าหากพระมเหสีของพญากงเป็นพระราชมารดาของเราจริงแลวขอให้น้ำนมหลั่งออกจากถันทั้งสองข้างให้ปรากฏ ถ้าไม่ใช่พระราชมารดาของเราก็ขออย่าให้น้ำนมไหลออกมาเลย"
    ตั้งอธิษฐานจิตแล้ว ทันใดนั้นน้ำนมก็ได้หลั่งออกมาจากพระปทุมถันของพระมเหสีเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา พระราชกุมารจึงได้ไต่ถามจนได้ความว่าที่แท้พระมเหสีของพญากงนั้นเป็นพระราชมารดาจริง และทราบว่าพญากงที่พระองค์ได้สังหารไปเสียแล้ว ที่แท้ก็คือพระราชบิดา

    พระราชกุมารนั้นทั้งโทมนัสและกริ้วยายหอมนัก หาว่ามิได้บอกให้ตนรู้ความว่าเป็นบุตรใครจนได้ทำบาปถึงฆ่าพ่อ จึงได้เรียกยายหอมมาแล้วจับยายหอมฆ่าเสีย (อุ้ย..ฆ่าผู้มีพระคุณเลี้ยงดูมา....อีกท่านเลือกลงนรก...)

    คนทั้งปวงเห็นพระราชกุมารเป็นคนพาลไม่รู้คุณคนจึงเรียกพระราชกุมารว่า "พญาพาล" ต่อมาจึงเพี้ยนไปเป็นพญาพาน บ้างก็ว่าได้ชื่อพญาพานนั้นเพราะเมื่อเวลาประสูติ ขณะเอาพานทองเข้ารองรับร่างพระราชกุมาร พระพักตร์ได้ไปกระทบพานทองจนเป็นแผล

    ต่อมาเมื่อพญาพานได้ฆ่ายายหอมแล้วก็เกิดสำนึกเสียพระทัยว่าตนนี้บาปหนัก ทั้งฆ่าพ่อ มิหนำยังพลั้งฆ่าผู้มีพระคุณด้วยโทสะ จึงเข้าพบเพื่อสอบถามพระเถระผู้ใหญ่ในเวลานั้นว่าจะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์และพ้นบาปกรรมไปเสียได้ พระเถระจึงได้ถวายพระธรรมเทศนาเรื่องของพระเจ้าอชาตศัตรูทางสร้างพระสถูปเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าให้ฟัง และถวายพระพรให้ทรงสร้างพระเจดีย์สูงเท่านกเขาเหินเพื่อบรรเทาบาป พญาพานจึงได้สร้างพระปฐมเจดีย์ขึ้นเพื่อล้างบาปจากการกระทำปิตุฆาต และได้สร้างพระประโทนเจดีย์ขึ้นเพื่อล้างบาปที่ฆ่ายายหอม

    แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นเพียงตำนานปรัมปรา ไม่ปรากฎหลักฐานถึงชื่อบุคคลและชื่อเมืองต่างๆ ที่กล่าวอ้าง แต่จากหลักฐานวัตถุและสถานที่ที่ปรากฎ เช่น ดอนยายหอม พระปฐมเจดีย์ และพระประโทนเจดีย์ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นตำนานคำบอกกล่าที่มีความลึก จากการสืบค้นทางโบราณคดี ก็ได้สันนิษฐานว่าหากพญากงพญาพานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ก็น่าจะอยู่ในช่วงประมาณปี พ.ศ.1500 ส่วนพระปฐมเจดีย์นั้น แท้ที่จริงถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.325 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งได้ส่งสมณฑูตภายใต้การนำของพระโสณะและอุดรมาประกาศพระพุทธศาสนายังดินแดนไทยในสมัยนั้น

    ในหนังสือบอกว่า หากท่านผู้อ่านท่านใดมีความปราถนาในตำแหน่งหน้าการงานใหญ่โต หรือต้องการให้ชีวิตตนสมปราถนา ก็ควรที่จะหาโอกาสไปกราบไหว้สักการะบูชาพระเจดีย์ธาตุองค์นี้เสียด้วย จะเป็นมหากุศลอย่างยิ่งค่ะ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2011
  14. เพพัง

    เพพัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +8,250
    เมื่อวานนี้(16/7/54) วันเข้าพรรษา ได้มีโอกาสไปทำบุญไหว้พระแก้ว ที่วัดในเวียงจันทน์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_1139.jpg
      SAM_1139.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      59
    • SAM_1140.JPG
      SAM_1140.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      42
    • SAM_1141.jpg
      SAM_1141.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      39
  15. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    กราบพระแก้วมรกตค่ะ...
    ขอบคุณ คุณเมฆดำ ค่ะ หลายวันแล้วไม่ได้ออกไปไหนเลย
    ไม่สบาย...ออกไปก็กลัว....ไปแพร่ให้คนอื่น.....
    วันนี้วันแรกที่จะออกไป....(ไปเรียน).....

    อนุโมทนาบุญค่ะ...
     
  16. moo noi

    moo noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    6,328
    ค่าพลัง:
    +23,902
    กราบองค์พระแก้วมรกตด้วยค่ะ.....

    ขอบคุณคุณ "เมฆดำ" ด้วยค่ะ

    ขอให้หายเร็วๆ นะคะพี่นวล .....(เป็นพยาบาลก็ป่วยได้เนอะ....^^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2011
  17. จักราช

    จักราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +511
    สุดท้ายผมก็อ่านจบจนได้ เริ่มอ่านมาตั้งแต่หน้าแรก 25 มิ.ย. 54 จนมาถึงวันนี้

    ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณคุณหนุ่มและทุกท่านที่ได้แบ่งปันความรู้ต่าง ๆ ทำให้ผมได้รู้

    อะไรดี ๆ เพิ่มขึ่นอีกมาก จะขอบอกว่าอันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เขียนในกระทู้นี้เพราะตั้งใจไว้ว่า

    ถ้าเรายังอ่านไม่จบจะไม่ยอบเขียนลงกระทู้เด็จขาด อ่านตั้งแต่ประสบการณ์ของคุณหนุ่มและ

    เรื่องราวความเป็นไปภายในกระทู้เต็มไปด้วยสีสันสนุกสนาน บางครั้งแอบมีดาม่านิดหน่อย

    เรื่อยมาจนถึงตอนสร้างพระรุ่นมงคลชีวิตหลวงพ่อกวย รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ร่วมมีโอกาศได้

    ทำบุญกับเขาบ้าง..(ขอโมทนา)..เคยอ่านประวัติของท่านมานานแล้วมีความเคารพท่านอยู่

    เสมอ ส่วนตัวไม่มีพระของท่านอยู่เลยแม้แต่องค์เดียวเพราะไม่รู้จะไปหาของแท้ ๆ มาจาก

    ไหนจึงได้แต่ใช้ใจรฤกถึงท่านเสมอมาพอมาถึงปัจุบันเห็นกำลังร่วมบุญสร้างศาลาการเปรียญ

    ได้ตังใจว่าจะ่ร่วมกองบุญในครั้งนี้ด้วย

    ท้ายนี้ขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านอีกครั้ง
    จักราช
     
  18. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ขอบคุณน้องเอมค่ะ แข็งแรงแล้วค่ะ
    (ไม่ได้เป็นพยาบาลค่ะ แต่ทำงานในโรงพยาบาล)

    ขอชื่นชมคุณ....จักราชนะคะ ที่อ่านกระทู้พี่หนุ่มจนจบ....
    อนุโมทนาบุญค่ะ...
     
  19. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดียามเช้าค่ะ

    ข้อมูลจากหนังสือ น่าอ่านค่ะ

    มนุษย์ทุกคนหวังความสุข ความสงบ หวังความเยือกเย็น หวังความปลอดโปร่งโล่งใจ ฉะนั้นมนุษย์เราไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลย เพียงแต่ตั้งสติกำหนดจดจ้อง ตั้งสติควบคุมจิตของตนนี้ให้อยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง จุดที่เรากำหนดนั้นคือ จุดรู้ โดยให้กำหนดอยู่ในจุดนั้น พยายามไม่กระสับกระส่าย พยายามไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไปไหน พยายามตั้งใจในจุดนั้นให้มั่นคง ให้ตรง ให้เที่ยง เรียกว่าเที่ยงตรง คงที่ ดิ่งลงไป ปักลงไป ฝังลงไป ตอกย้ำลงไปให้หนักให้แน่นเท่าไหร่ยิ่งดี เมื่อมีสติเพียบพร้อมสติสัมปชัญญะแล้ว ปัญญาเป็นผู้ดูแลแล้วจิตของเราก็จะปลอดภัย ใจของเราก็เยือกเย็นเป็นสุขสงบสว่าง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มีคือ ยอดของความสงบสุขต่างๆ

    อำนาจจากพลังจิตน้อมนำพลังเหนือโลก พลังธรรมจากจักรวาลนั้นเป็นสิ่งสำคัญย่อง สิ่งต่างๆ รอบๆตัว มนุษย์ล้วนเกิดขึ้นจากจิตใจเราเป็นสำคัญ หากผู้ใดรู้จักควบคุมรักษาสติ รักษาควบคุมจิตใจไว้ในธรรม บุคคลนั้นย่อมประจักษ์ในปาฏิหาริย์แห่งธรรม

    ย่อมสามารถนำพาชีวิตตนสู่ความสงบในจักรวาลโลกใบนี้ได้อย่างรื่นรมย์ที่เรามีโอกาสเกิดมาพบสัจธรรมของพุทธองค์ที่ยังคงปรากฎมาจนถึงปัจจุบัน น้อมโอปนยิโก น้อมสู่จิตตน พลังจิตของตนย่อมมีพลานุภาพ และสามารถแผ่พลังครอบคลุมไปทั่วจักรวาลไตรโลกธาตุ เมื่อผู้มีปัญหารู้จักนำพลังจิตจากกายจิต น้อมถึงพลังจักรวาล พลังเหนือโลกจักรวาล นำมาสู่ความผาสุกสันติ สมดังจิตอธิษบาน สมความมุ่งปราถนา อธิษฐานแผ่เมตตาสู่เพื่อนมนุษย์ในไตรภพนี้ ก็ย่อมประจักษ์ในปาฏิหาริย์พลังจักรวาลได้อย่างน่าอัศจรรย์แห่งจิตผู้รับสัมผัส

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุส้องเสพ เจริญ ทำในใจซึ่งเมตตาจิต แม้ชั่วกาลสักว่าลัดนิ้วมือเดียวเรา ย่อมกล่าวว่า เธอผู้นี้อยู่อย่างไม่ว่างจากฌาน เป็นผู้ทำตามคำสอนของศาสดา เป็นผู้ปฏิบัติตามโอวาท ไมฉันอาหารของราษฎรไปเปล่า ๆ จะกล่าวไยถึงข้อที่ภิกษุจะเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า"

    ฐานะที่ควรพิจารณาเนืองๆ
    ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ฐานะ ๕ เหล่านนี้ อันสตรีบุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควร
    พิจารณาเนือง ๆ
    ๑.ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
    ๒.ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
    ๓.ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
    ๔.ควรพิจราณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง
    ๕.ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตนเป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กรกฎาคม 2011
  20. ติ้งลิงติง

    ติ้งลิงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,365
    ค่าพลัง:
    +3,977
    """""""""""""""""""""""""""""""""""
    ขอบคุณครับคุณนวล
     

แชร์หน้านี้

Loading...