แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    มีรายละเอียดเยอะมากครับได้ความรู้ดีมากครับ
     
  2. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,352
    ค่าพลัง:
    +19,459
    ขอบคุณ คุณ หนุ่ม สำหรับบทความดีๆมีสาระ และ ขออนุญาติก๊อป ข้อมลูเอาไว้ศึกษาค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  3. joenok

    joenok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    812
    ค่าพลัง:
    +2,157
    ขอขอบคุณเจ้าของบทความและคุณหนุ่มด้วยครับ
     
  4. tanatsan

    tanatsan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,082
    วิชาอ่านคิดวิเคราะห์ครับ ขอบคุณพี่หนุ่มและเจ้าของบทความด้วยครับ เยี่ยมมาก :cool:
     
  5. ติ้งลิงติง

    ติ้งลิงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,365
    ค่าพลัง:
    +3,977
    ขอขอบคุณพี่หนุ่มและเจ้าของบทความ...ขออนุญาตเซฟไว้นะครับ
     
  6. ก้องครับ

    ก้องครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    2,447
    ค่าพลัง:
    +10,647
    "ความจริงก็คือความจริง"

    ขอบคุณพี่หนุ่มที่นำความจริงมาเล่าสู่กันฟังครับ

    อ่านจนจบแล้วนึกถึงคำๆนี้เลยครับ "ของบางอย่างเขาก็มีไว้ขาย" แหะๆๆ
     
  7. รักรังสิต

    รักรังสิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    2,418
    ค่าพลัง:
    +17,140
    ขอบคุณครับพี่หนุ่ม สำหรับยาดีทอร์กสมอง ตะกรันที่เกาะขอบๆ กบาล หลุดไปแยะเหลือแต่ วิเคราะห์และใช้ตรรกค้นคว้าเอาเอง
     
  8. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    คัดลอกมาจากเวปศิษย์หลวงพ่อกวยครับ...

    ..."หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"...ในเรื่องราว ประสบการณ์
    ...ข้าพเจ้านี้ เคยได้ยินได้ฟังเรื่อราว ต่างๆที่ พี่ๆน้องๆนั้นมาเล่าสู่กันฟังมานานแล้ว อยู่เหมือนกัน บางครั้งอ่าน แล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้งในความรักและเคารพ ในองค์หลวงพ่อนี้ ของพวกเรา แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้มาถ่ายทอด ประสบการณ์ ของตัวเอง ให้พี่ๆน้องๆได้ฟัง....

    ...ด้วยความที่ข้าพเจ้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ของชาวสรรค์บุรี เพราะมารดานั้นเป็น ชาวบ้านแค อยู่ห่างจากวัดของหลวงพ่อไม่-
    ไกลมากนัก ข้าพเจ้าก็ได้รับการปลูกฝัง จากเราชาวบ้านแค อยู่อย่างหนึ่งว่า เรานี่เป็นคนจริง มีสัจจะ ไม่รังแกใคร ไม่ลบหลู่ใครก่อน และถ้าเป็นเรื่อง"อาคม"แล้ว เราย่อมไม่ลงให้ใครง่ายๆ เกรงคนดี แต่ไม่คร้ามนักเลง ตอนสมัยเด็กนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเลย ว่า"หลวงพ่อ กวย"นั้น ท่านนั้นเป็นใครหรือมีความเป็นมาอย่างไร เพราะข้าพเจ้านั้น ไปเติบโต อยู่ที่ เมืองกาญฯ( อำเภอบ่อพลอย) บ้านบิดาของข้าพเจ้า แต่ก็ได้ยินได้ฟังจากปู่ย่าตายาย ว่า "หลวงพ่อกวย"นั้น ท่านเป็นพระที่ศักดิ์มาก องค์หนึ่ง ตอนเด็กๆข้าพเจ้าเคยเห็น บนหิ้งพระของบ้านนั้นก็มีรูป หลวงพ่ออยู่แต่มิได้สนใจประการใด...

    ...เรื่องราวประวัติในองค์ของ"หลวงพ่อ"นั้น ต่างคนก็ต่างความเป็นมา ประจักษ์มา ไม่เหมือนกัน ในประวัติ เคยได้เห็นคนที่ แสดงตนว่าเป็น ลูกศิษย์ และนับถือ"หลวงพ่อ"มากๆ อยู่หลายคน เช่น ขออนุญาติเอ่ยนาม พี่ที่ชื่อ ครู(อ้ายครู) คุณ เฒ่า สุพรรณ คุณเอ๋ สรรพยา และท่านอื่นๆฯลฯ ก็เทิดทูลท่าน เพราะมีครูบาร์อาจารย์ องค์เดียวกัน นิ้วมือยังไม่เท่ากัน ต่างคนก็ย่องต่างนิสัยใจคอ แล้วแต่เจตนา แต่สำหรับข้าพเจ้าในชีวิตนี้ จะไม่ขายครูบาร์อาจารย์เด็ดขาด คนเราถ้าขายครูบาร์อาจารย์ แล้วก็ไม่น่าจะเรียกตัวเองว่า"ลูกศิษย์" ให้เป็นให้ หรือแลกก็ได้ แต่ของทุกชิ้นของ หลวงพ่อ ต้องควรยกไว้สำนักหนึ่ง มั่นหรือไม่มั่น ให้ดูกัน วัดที่ตรงเจตนา...

    ...ในสมัยเด็กๆนั้นด้วยความที่ครอบครัวของข้าพเจ้านี้ถูกปลูกฝัง ในเรื่องบาปบุญคุณโทษมาเป็นอย่างมาก ปู่ของข้าพเจ้านั้น เป็น
    มาคทายกวัด และเคยบวชเรียน ตอนสมัยท่านรุ่นๆ ได้บริจาคที่ดิน สร้าง"วัดดอนตาเพรช"(จ.กาญจนบุรี) ท่านนั้น เป็น ลูกศิษย์ ของหลวงปู่ซ้ง แห่ง วัดดอนตาเพรช" พระเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ของ จ.กาญจนบุรี พ่อ ของข้าพเจ้าและลุงๆจึงได้บวชกันคนละหลายพรรษา ...และนี่เองเป็นที่มาของ ความศรัทธาใน อิทธิ์ปาฏิหารย์ แห่งความเข็มขลังของ สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกตอนเด็กๆว่า "ของดี"....

    ...เย็นวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าได้วิ่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน ก็เป็นปรกติทุกวัน ย่าของข้าพเจ้านั้น แกจะมากวาดลานบ้าน เพราะที่หน้าบ้านของข้าพเจ้านั้น มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่งที่เรียกว่า "ต้นหูกว้าง" ต้นไม้ชนิดนี้ใบมันจะดกเป็นพิเศษ...ล่วงลงมาทุกวัน ย่าของข้าพเจ้าแกก็กวาดแล้วจุดไฟเผาของแกทุกวันเหมือนกัน ทุกๆวันก็ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อะไร ที่น่าแปลกใจ แต่วันนี้แกกลับ บ่น อุทานของแกอยู่นาน ข้าพเจ้า จึงเดินเข้าไปถาม แกว่าเป็นอะไรหรือ ย่า เห็นบ่นอยู่พักใหญ่ ย่าแกบอกว่า "วันนี้ทำใมใบไม้กองนี้จุดไฟยังไงก็ไม่ติด??" ทุกวันมันติดง่าย ทั้งๆที่ใบไม้ก็แห้งดี เอาไฟจ่อ ก็แล้ว ก็ก็บ่นของแกไป ข้าพเจ้าลองดูบ้าง ก็พบกับความฉงนใจจริงๆ เพราะจุดเท่าไร่ก็ไม่ยอมติดสักที ขนาดใช้ รองเท้าเก่าๆ จุดไฟลนแต่กองใบไม้มันกลับไม่ยอมใหม้เลย สักพัก เสียงคงดังเข้าไปในบ้านของข้าพเจ้า ลุงของข้าพเจ้าจึงเดินออกมา ถามว่ามีอะไรกัน ก็เล่าให้ลุงฟัง ลุงข้าพเจ้าเงียบไปสักพัก เหมือนพิจารนาดู (ไม่ได้เพ่งกระแสจิต) แล้วลุงข้าพเจ้าก็เอามือขวานเหมือนคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกองใบไม้ แกหาอยู่สักพัก ทันใดนั้นแกก็อุทานขึ้นมาว่า เอ้า!!!ตายล่ะ มันจะไปติดได้ยังไงละแม่ ไม่รู้ว่าใคร มาทำของดี ตกไว้ในนี้ กวาดไม่เห็นบางหรือ"ข้าพเจ้า ก็งงๆ ลุงข้าพเจ้า จึงพูดบอกว่า นี่ก็คือ"แหวนพิรอดแขน ของพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อม่วง แห่ง วัดบ้านทวน" เชียวนะ ย่าของข้าพเจ้า พอรู้แกก็รีบยกมือสาธุขอขมาใหญ่เลย(แบบคนแกเขาทำกัน)...นี่จึงเป็นที่มาของความศรัทธาในพระเกจิอาจารย์อันทรงวิทยาคม..ที่เกิดขึ้นภายในใจของข้าพเจ้า แต่นั้นมา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  9. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ...ต้นเรื่องแห่งความศรัทธา"หลวงพ่อ"....

    ...วันเวลาผ่านไปหลายปี...และทุกปีข้าพเจ้าและครอบครับ...ก็จะเดินทางทุกๆครั้งที่ไปบ้านแค ข้าพเจ้าก็จะไปหาวัดเที่ยว อยากไปดูอะไรๆที่มันแปลกตา...ในใจคืออยากจะไปทำบุญ เพราะชอบทำ ทำแล้วมีความสุขสบายใจดี วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าขี่จักรยานออกมาซื้อของในหมู่บ้าน(บ้านแค)ก็ไปเจอร้านค้าร้านหนึ่ง ก็เลยเข้าไปเดินดูอะไรในร้านเพลินๆ อยู่สายตาของข้าพเจ้าก็เพ้อไปเห็นรูปพระอยู่บานหนึ่ง จำได้คับคล้ายคับคราว่าเหมือนรูปที่บ้าน ก็เลยถามเจ้าของร้านว่านี่รูปหลวงพ่อ อะไร รู้สึกคุ้น แม่คาแกบอกว่าเป็น รูป"หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค" ท่านศักดิ์มาก ว่างๆก็ลองไปกราบท่านที่วัดซิ แล้วแกก็ชี้มือบอกไป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าต้องมนต์ตราอะไรบางอย่าง ข้าพเจ้ามองดูรูปของ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" ยืนมองอยู่นานมาก มองอยู่อย่างนั้น คล้ายๆใจมันพูดขึ้นมากับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ผมคิดถึงมากๆเลย คิดถึงเหลือเกิน ไม่ได้เจอหลวงพ่อ นานเหลือเกิน"เท่านั้นล่ะน้ำตาข้าพเจ้า นั้นปลิ่มออกมาตาสองตาเลย แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบรูป"หลวงพ่อ"บานนั้น ตรงหน้าร้านค้าเลย ทุกคนมองงงกัน บางคนก็ยิ้มๆ แบบแสดงออกว่า นี่เราลูกพ่อเดี๋ยวกันนะ ทั้งที่ที่บ้านข้าพเจ้าก็มีรูปหลวงพ่ออยู่ แต่รูปคงบานเล็ก ข้าพเจ้าก็เลยสังเกตเห็นหน้า ของหลวงพ่อไม่ถนัด หรืออย่างกันก็ไม่ทราบ แต่วันนั้นข้าพเจ้า รู้สึกสุขใจมากจริงๆ...จึงเริ่มศึกษาประวัติ

    ..."ไม่มีพระของหลวงพ่อเลยน้อยใจ"...
    ...เรื่องก็มีอยู่ว่าหลังจากตอนที่ ตา ของข้าพเจ้าเสียนั้น ตา แกก็เก็บของๆหลวงพ่อไว้มากอยู่ แต่ด้วยความที่แม่ของข้าพเจ้านั้นเป็นผู้หญิง ...ก็เลย(ไม่ขอกล่าว) เวลาที่ข้าพเจ้าไปชัยนาททีไร ญาติเขาก็โชว์พระของหลวงพ่อกันกัน เหรียญหนุมานบ้าง แหวกม่านบ้าง
    เหรียญดังๆทั้งนั้น ฯลฯ หลายอย่าง ข้าพเจ้าไม่มีเงินจะไปเช่าอย่างนั้น ก็เคยมีที่ลองเอ่ยปากขอเขาดู ก็เฉยๆกัน ก็ไม่เป็นไร คว้าจักรยานได้ ทีบมาวัดหลวงพ่อ3โล กว่าๆ เองไปกลับก็6 โลเอง ชิวๆสบาย อารมณ์นั้น พอไปถึงวิหารเท่านั้นล่ะ หน้าล่ะห้อยเลย เก็บอาการไม่อยู่ ไม่ไหว กราบหลวงพ่อ 3 ครั้ง ก็ได้ปรารภกับหลวงพ่อในเชิง น้อยใจว่า หลวงพ่อ ครับ ผมก็ลูกหลวงพ่อ เหมือนกัน ถ้าผมได้เกิดทันได้รับใช้"หลวงพ่อ"ละก็ ผมก็ต้องมีของดีของ"หลวงพ่อ"ไม่น้อยกว่าใคร ถ้าผมเกิดทันหลวงพ่อ ผมก็คงจะไม่ถูกคนบางคนที่ หวงแม้กระทั้ง ความรู้ หวงแม้กระทั้ง ประวัติของ"หลวงพ่อ" คนบางคนเขาถือว่าเขาได้เห็นหลวงพ่อได้เคยสัมผัส แต่ที่พบส่วนหนึ่ง คือใจไม่นักเลง(แต่ไม่ทุกคน) ถ้าลูกนี้มีบุญวาสนากับหลวงพ่ออยู่ ก็ขอให้หลวงพ่อ โปรดเมตตาลูกด้วยเทอญ ลูกขอของดีติดตัวไว้ประจำกายสักชิ้นเทอญ...นั่งพรรณาอยู่ครึ่งวัน.

    ...จริงแล้วพูดเยอะมาก น้ำตางี้ซึมเลย...
    ....ของ"หลวงพ่อ"ทุกชิ้น ย่อมมีเจ้าของ ของตัวเอง....

    ...หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับบ้านที่ เมืองกาญฯ ตอนนั้นก็ยังไมมีพระของหลวงพ่อใช้ ประกอบกับไม่ค่อยมีเงิน ก็ได้แต่นึกเอา เวลาไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจก็ใช้นึกถึง ระลึกถึงภาพหลวงพ่อ แล้วกล่าวชื่อ กับฉายาของท่านแทน 2 เดือนผ่านไป มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวของข้าพเจ้า นึกยังไงไม่รู้ อยู่ๆก็มาชวนข้าพเจ้าเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกาย บอกว่าให้ไปเป็นเพื่อน ทำฟันหน่อย ไปคนเดียวไม่มีเพื่อนคุย ตอนนั้นข้าพเจ้ามีเงิน ติดกระเป๋าอยู่พอดี 300 บาท ก็ว่างๆ ก็เลยไปกับเขา กินฟรี เที่ยวฟรี ก็ต้องไปซิ ตัวอำเภอบ่อพลอยห่าง จากเมืองกาญฯ ประมาน 40 โล นั่งรถเมล์ไปก็ใช้เวลา ประมาณ 2 ช.ม.สรุปแล้ววันนั้นใช้เวลาไปถึงคลีนิค ก็ราวๆ 3 ช.ม. เห็นจะได้ พอถึงพี่สาวของข้าพเจ้าก็เข้าไปทำฟันข้างในก็นั่งรออยู่นานก็ยังไม่เสร็จสักที เบื่อๆเซงๆก้เลยเดินออกมาข้างนอกคลีนิค ดูอะไรเลื่อยเปื่อย พอดีสายตาเหลือบไปเห็นร้ายขายของเก่าอยุ่รายหนึ่งมี ตาแป๊ะแก่ๆ นั่งอยู่หน้าร้านก็เลยเดินเข้าไปคุยด้วย คุยไปคุยมาเห็นแกมีพระวางแอบๆอยู่กับหวยก็เลย ก้มหน้าลงไปมองดู

    ทันใดนั้นขนข้าพเจ้าก็ลุกชันไปทั้งตัว ด้วยความตกตะลึง เพราะว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าไดเห็นก็คือ รูปถ่ายของหลวงพ่อ ที่เก่า มากขนาดเท่ากลองไม้ขีด วางเรียงไว้ในกลองตู้หวยของ อาแป๊ะ คนนั้นข้าพเจ้าจึงรีบถามถึงความป็นมาว่า แก ได้รูปพวกนี้มาได้ยังไง อาแป๊ะแกบอกว่า เมื่อวานนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เช่า ทีแรกแกก็จะไม่เช่า แต่แกเห็นว่าอุ้มลูกมาด้วย แกสงสารก็เลยช่วยไป ผมจึงรีบถามอาแป๊ะ ว่า จะปล่อยใหม ผมขอเช่าต่อ แกก็บอกว่าแกไม่ปล่อยจะเก็บไว้เพราะสวยดี ข้าพเข้าเฝ้าอ้อนวอนแกอยู่นานมาก พรรณนาให้แกฟังว่า ท่านเป็นพรที่ข้าพเจ้าศรัทธามาก เป็นพระที่บ้าน แม่ พูดไปพูดมา จนแกสงสาร ก็เลยเอาออกมาให้เลือกดู มีอยู่ 4 องค์ รูหลวงพ่อเก่าถึงยุค นั้งขัดสมาธิ ด้านหลังมีจีวรจารพร้อม อีกบาน เป็นรูปหน้าตรงเข็มขลังมาก ด้านหลังมีแผ่นตะกั่วจาร หัวใจกรณี ของหลวงพ่อเฒ่า(ข้าพเจ้าพออ่านแปลขอมได้พอตัว)ถามแกว่าจะเอาเท่าไร แกก็ว่าเป็นพันเลย โอ้ย ปวดหัวมาก ใจจะขาด มีเงินอยู่ 300บาทเอง ก็เลยอ้อนวอนแกใหม่ บอกมีอยู่แค่นี้จริงๆ สรุปเลย แกให้มา 2 รูป รูปหน้าตรงกับรูปนั่ง ข้าพเจ้าดีใจมากที่สุดถึงที่สุด กะว่าพรุ้งนี้จะกลับไปเช่าให้หมดสักหน่อย พอไปอีกที อาแป๊ะแกบอกว่า มีคนมาเช่าไปแล้ว ให้ราคาดีกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ข้าพเจ้างี้รู้สึกเสียดายมากๆ แต่ก็ดีใจเพราะในที่สุดก็สมใจ เสียที ได้ความว่า ผู้หญิงที่เอารูปมานั้น เป็นเมียตำรวจ แต่ผัวแกเพิ่งตายไป เห็นมันอยู่บนพานนานแล้ว เลยเป็นโชคดีของข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้ รูปหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเลี่ยมเงินใช้ประจำกายมาหลายปีแล้ว แบบว่าเอาอะไรมาแรกก็ไม่ยอม รุ่นใหนดัง รุ่น ใหนดี แต่ไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ไม่อยากได้ ต้องรูปซิ ข้าพเจ้าถึงจะอุ่นใจ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  10. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ....ประจักกับตาตัวเองถึง 2 ครั้ง(วาระแรก)...

    ....เรื่องมีอยู่ว่า ตอนสมัยที่ข้าพเจ้าได้รูปของหลวงพ่อมาใหม่ๆ ก็ยังไม่มีเงินจะไปเลี่ยมท่าน ก็ไม่ได้คิดมากอะไรไปใหนมาใหน ข้าพเจ้าก็ใส่ไว้นกระเป๋าเสื้อไว้ เซบอย่างดีไม่มีล่น และมีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้นกับตัวของข้าพเจ้า คือวันนั้นเป็นวันงานเทศกาลประจำหมู่บ้าน ข้าพเจ้าก็ได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนในหมู่บ้าน พอดีพี่ชายเพื่อนเขาซื้อปืนลูกซองมาใหม่ ก็เลย เอามาโชว์ก็ดูสวยดู เพื่อนมันเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ซื้อปืนมา ไก่หมาแถวบ้านมันตายไปหลายตัว ก็ได้ความมาว่า พี่มันเป็นเด็กเทพ ปริญญา เรียนมาสูง ประมาณนั้น ชอบลองปืน แต่ไม่ชอบยิงกระป๋อง โอ้!!!ข้าพเจ้าได้ยินก็อดสังเวชใจไม่ได้ "มึงนี่มัน ....จริงๆ" พวกขี้เมาก็เฮ กันใหญ่เสียงดังเจียวจาว (ข้าพเจ้าไม่ดื่มเหล้า)แต่ก็นั่งคุยกับเขาไป สักพักมันมีขี้เมาคนหนึ่ง พูดออกมาว่ากูไม่เชื่อหรอกไอ้พระ เผอะ ที่เขาว่ายิ่งไม่ออก กูจะยิงให้กระเด็นเลย" แล้วก็พูดจาบจ้วงอีกเยอะ พวกขี้เมามันก็เฮ กัน ใหม่ๆข้าพเจ้าก็ไม่สนใจเห็นว่ามันเมา พอนักเข้ามันเล่นดูถูกกันมากเกิน ข้าพเจ้าจึงปรามเขาว่า น้องชาย ไม่เอาอย่าไปพูอย่างนั้น มันไม่ดีหรอก เราไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เลย มันก็ทำเป็นตลก แล้วบอก ก็ผมไม่เห็นจะมีเลย เหลวใหล สิ้นดี

    ข้าพเจ้างี้ปี้ดเลย จะก้านคอ เดี๋ยวเขาก็หาว่า นักเลง ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า มีรูปของหลวงพ่ออยู่ในกระเป๋า ก็ไม่รู้นึกยังไง มั่นใจศรัทธามั่นคง ก็เลยพูดดังๆออกไปว่า ช้าได้ปรามาสพระพุทธศาสนากันเลย ของจริงมีอยู่ จะได้ให้ชมบารมี แต่ว่าจะให้ลองแค่ 3 ครั้งเท่านั้นนะ ห้ามเกินถ้าเกินจะไม่ขอรับประกัน ความปลอดภัย พวกขี้เมาก็อาสากันจะเป็นคนยิง ตอนนั้นข้าพเจ้าบอกตรงว่า กลัวๆเหมือนกัน แต่ใจก็มั่นเต็ม 100 ข้าพเจ้าจึงนำรูปอัดกระจกของหลวงพ่อ ยกขึ้นท่วมหัว แล้วบอกกล่าวกับ หลวงพ่อ บัดนี้ได้มีคนมาปรามาสบวรพระพุทธศาสนาว่าไม่มีความศักดิ์จริง หากปล่อยไว้ก็จะเป็นลอยมลทินต่อ พ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ได้ ข้าพเจ้า จึงตั้ง นะโม 3 จบแล้วตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโต ฯ

    แล้วข้าพเจ้า ก็ไดรูปนั้นไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ เพื่อนของข้าพเจ้าอาสาเป็นยิง โดยใช้ปืนปราบเหนียว(ปืนอีแก๊ป)ยิง ละแล้วสายตาของทุกคนก็ต้องตะลึง เพราะสิ่งที่ประจักคือ ปืน เสียงดัง แชะ!!!เล่นเอาขี้เมางี้ซ่างเลย พี่ชายของเพื่อนเลยวิ่งเข้าไปเอาปืนกระบอกใหม่ออกมา ใส่ลูกแล้วก็พูดว่ากูเอง จะแน่สักแค่ใหน พอสับไกเท่านั้นเสียงงี้ดังสนั่นทุ้งเลย แต่ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่ริ้วรอยขีดขวนที่รูปของหลวงพ่อเลย ทั้งที่รูปนั้นเป็นบานกระจกแท้ ขี้เมาบางคนก้มกราบขอขมาใหญ่เลย "เชื่อแล้ว หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินๆๆๆๆๆ" มันพูดซ้ำๆเหมือนโดนมนตรา งงงวย กันประหนึ่งนั้นเลย แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ยอม จะขอลองอีกพวกก็ทักท้วงว่าพอแล้วๆ มันก็ไม่ยอม ผลสรุปว่านัดสุดท้าย ปืนแตกเลย เคราะห์ดี ที่ไม่มีใครเป็นอะไร นี่คือครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ประจักอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อ กับตาตัวเอง สาบานได้เลยว่านี่ คือเรื่องจริง ที่นี้ต่อมาไม่นานก็เกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้านนั้น อยู่ๆชาวบ้านเขาก็เล่ากันว่า ไอพวกที่ลองปืนกันวันนั้น อยู่มันก็จะฆ่ากันอีก บางคนสติเพ้อไปเฉยเลย เดินเพี้ยน อยู่ที่นั้นไม่ได้ ต้องหนี้ไปที่อื่น หาหมอก็รักษาไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกัน เคยถามผู้รู้ในลูกศิษย์ของสายหลวงพ่อก็ได้รับคำตอบมาว่า ไอ้พวกนั้นสงสัยว่ามันจะโดนต้องมนต์ที่หลวงพ่อกำกับอาคม ในพระเครื่องของท่านไว้เห็น ลุงแกบอกว่าพระมต์บทนั้นมีชื่อที่เรียกกันว่า "มนต์พระกาฬ".......

    ....ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ๆน้องๆ-
    ...นั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 2...
    ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
    ...."คนเมืองกาญฯ”...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  11. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ตอนที่ 2

    ..."หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง....
    ...การที่ข้าพเจ้านั้น ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ ของข้าพเจ้า ให้พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังนี้ ข้าพเจ้านั้นทำด้วยเจตนาอัน
    บริสุทธิ์อย่างแท้จริง....
    ...."ความเดิมต่อจากตอนที่แล้ว"....

    ...ด้วยความที่ว่า อุปนิสัยของข้าพเจ้าตั้งแต่เด็กมานั้น ข้าพเจ้ามีใจใคร่ที่จะศึกษาวิชาทาง "ไสยเวทย์" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
    (แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดขมัง เรียกว่าพอเอาตัวเองไปได้)และยิ่งการที่ข้าพเจ้า มีบารมีของหลวงพ่อ เป็นที่พึ่งแห่งกลางดวงใจแล้วข้าพเจ้าจึงยึดหมั่นอยู่เสมอว่า รูปของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้า บูชาอยู่นี้ ก็คือองค์ของหลวงพ่อจริงๆ และท่านก็ย่อมล่วงรู้มาก่อนอยู่แล้วว่า สักวันหนึ่งนั้น ลูกคนนี้ของท่านจะได้มีไว้ใช้ ปกป้อง รักษาตัว จากภัยอันตราย ในการดำเนินชีวิต...ในวันข้างหน้า......"ไม่ยอมให้เสียชื่อ"หลวงพ่อ"เด็ดขาด...

    ...ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าจะเอาพานบูชาครู ของครูบาร์อาจารย์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปสัมผัสมานั้น (มิได้ไปเพื่อลบหลู่ แต่ไปเพื่อหาประสบการณ์ และความรู้)หากนำมาซ้อนกัน ก็อาจสูงเทียบเท่าต้นกล้วย ไปด้วยหลายเจตนา แต่หลักๆก็คือ ไปแสวงบุญ ตามวัดวาอาราม ไม่ว่าจะเป็น หมอดู โหราจารย์ พ่อปู่ พ่อองค์ แม่ทรง พ่อเทพ กุมาร เจ้าแม่ ฤาษี หรือ หมอวิชา ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ก็ได้ข้อสรุปได้อันมีใจความกระชับๆออกมาอย่างนี้ว่า ในยุคสมัยของพวกเรานี้ ยังไม่พบ เจ้าสำนักหรือเกจิอาจารย์ที่เก่งครบเครื่อง จะมีข้อดี ที่แตกต่างกันออกไป เช่นสายเมืองกาญฯส่วนใหญ่ จะหนักไปทาง"คงกระพัน"สูงมาก ชนิดว่าสักเสร็จแล้ว ต้องใช้มีดสปาร์ต้าปาดคอ ตำราต้นมาจากพระเดชพระคุณพระวิสุทธรังษี "หลวงพ่อ เปลี่ยน แห่ง วัดใต้ชัยชุมพล " อีกสำนักหนึ่ง ก็เห็นจะเป็น คุณยาย ท่านหนึ่ง ชื่อ นิภา คงสุข สำเร็จฤทธิ์ทางใจ คิดอะไรแกรู้หมด ภูมิหลังแกนี่เป็นลูกศิษยย์ยุคแรกๆ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาตั้งแต่ยายแกอายุ 17 ปี ตอนนี้ 80 กว่า จิตแกดีมาก "ชื่อสำนัก จุฬามณี"ฯลฯ แต่จะขอเกิ่นไว้ก่อนพี่ๆน้องๆอาจจะสงสัย ว่าทำใมข้าพเจ้าถึงต้องเอ่ยชื่อท่านเหล่านี้ขึ้นมา และมีความเกี่ยวของกัยเรื่องราวอภินิหาร ของหลวงพ่อ ยังไงเอาไว้จะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไป...แต่ตอนนี้จะขอเล่าตอนหลวงพ่อมาโปรดให้ฟังก่อน เรื่องก็มีอยู่ว่า

    เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าอายุครบ อุปสมบชนั้นข้าพเจ้าได้บวชเรียนอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่ง ไกล้ๆบ้าน ในอำเภอบ่อพลอยด้วย ความที่ข้าพเจ้านั้นมีรูปของหลวงพ่อติดตัวอยู่ตลอดเวลา(แนบที่อังสะ)ข้าพเจ้าจึงมิเคยที่จะปรพฤติ นอกหลู่ นอกทางอันไม่ดีเลยสักครั้งในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้น การปฏิบัติ นั่งสมาธิ สวดมนต์เดินจงกรม ลงป้าช้า ใครจะว่ายังไง ตลกยังไง จะเป็นพระบ้าน พระมหา พระ(จุดๆๆๆ)...ก้แล้วแต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง ข้าพเจ้าคิดแต่เพียงว่า จะไม่ยอมให้เสียชื่อว่า"ลูกศิษย์ ของหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" นั้นเป็นพระที่ไม่จริงเด็ดขาดข้าพเจ้าคิดว่า จะกลัวไปใย ผี สาง นางไม้ ถ้าเราทำดีจริง หลวงพ่อก็ย่อมปกปักรักษาเราอยู่ ตลอดเวลา ในสายตาของหมู่ขณะแลว่าข้าพเจ้า เป็นจริงจัง อะไรประมาณนั้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  12. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ..."หลวงพ่อเป็นหลวงตา???"...
    ...ครั้งหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าบวชพระได้ใหม่ๆในกุฏิของข้าพเจ้านั้น ก็จะมีรูปของหลวงพ่อ บานใหญ่บานหนึ่งอยู่บนหิ้งพระตั้งแต่บวชมาได้สักอาทิตย์กว่าๆก็มีเสียงของพวกลูกศิษย์วัด มันพูดกันหนาหูว่าเห็นพระหลวงตาแก่ๆองค์หนึ่งมักเดินขึ้นมาบนกุฏิของข้าพเจ้าแล้วหายไป แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นพระมาจากที่ใหน บางที เวลามีพระอาคันตุกะ มาวัดก็มักจะถามว่าไม่เห็นพระหลวงตาที่อยู่บนกุฏิของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าก็นึกฉงนใจอยู่บ้างแต่ก็พอจะอุปมาได้ว่า น่าจะเป็น"หลวงพ่อ กวย"ท่านมาโปรดข้าพเจ้าอันจะมีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นเวลาดึกสงัดแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเคลิ้มๆจะจำวัดอยู่สายตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นจีวรปลิวไสวๆอยู่ข้างที่นอน พอลุกขึ้นมาจีวรนั้นก็หายไปเลยและที่สำคัญวัดที่ข้าพเจ้า บวชอยู่นั้นก็เป็นวัดนิกายสายธรรมยุต แต่สีของจีวรที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นต่างจากพระที่วัดนี้ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่า ต้องเป็นหลวงพ่อ ที่มาตรวจตราดูลูกศิษย์ ด้วยความเมตตาแน่ๆ เพราะตอนที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้น ได้มีพระที่มาจากทางเขมร อยู่หลายรูปมีวิชาสายมนต์ดำทางกระทำ และ คล้ายๆอยากจะลองดีกับข้าพเจ้าอยู่แล้ว ว่า "ครูบาร์อาจารย์"จะแน่สักแค่ใหน พวกเขมรนี่เขาชอบลองดีกัน ก็น่าจะเห็นเหตุที่ "หลวงพ่อ"ท่านเมตตาห่วงใย ท่านจึงมาตรวจตราดูลูกของท่าน กลัวว่าจะโดนดีเข้า ก็อาจจะเป็นได้...

    ..."หลวงพ่อไปบินฑบาตรด้วย"...
    ...ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้า กำลังทำวัตรสวดมนต์ในตอนตีสี่และทำกิจของสงฆ์เรีบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คิดดำริขึ้นว่า พระที่วัดของเรานั้นมีอยู่มาก ก็มีบางครั้งที่อาหารมิเพียงพอจะได้ก็เป็นแต่เพียงอาหารเดิมๆเพราะข้าพเจ้านั้เป้นพระใหม่ ต้องอยู้แถวท้ายๆ(แต่ใจนั้นก็ไม้ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพียงแต่ความเป็นจริง เป็นอย่างนี้) ข้าพเจ้าจึงปรารภกับรูปของหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ วันนี้ลูกขออาราธนาให้หลวงพ่อไปบินฑบาตรกับลูกด้วยนะขอรับ ชะรอย เพื่อว่าลูกจะได้ขอพึ่งบารมีของหลวงพ่อด้วย นะขอรับ ก็เลยตั้งจิต อธิษฐานแล้ว ตั้งนะโม 3 จบตามด้วย ตะมังธัง ปะกา เสนโตฯแล้วต่อด้วย "พระคาถาพระสีวลีเถระ" ของหลวงพ่อ จบแล้วพอฟ้าสางก็ออกเดินทางไปบินฑบาตร วันนั้นข้าพเจ้าไปแต่เพียงองค์เดียว เพราะพระผู้ใหญ่ท่านอาพาธ ส่วนพระบวชใหม่รูปอื่น ก็อาพาธเหมือนกัน (คล้ายๆว่าจะดูการเมืองกันมากไปหน่อยประมาณนั้น) ระยะทางก้ราวๆ 3 กิโลกว่า ๆเพราะไปในหมู่บ้านเล็กๆ ไปเพียงองค์เดียวไม่มีลูกศิษย์ ในใจก็ว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปเรื่อย ก็มีโยมแกมาใส่บาตรบ้านแรกใส่ข้าวกับอาหารคาวหวานพร้อม ข้าพเจ้าก็ไม้ได้ผิดสังเกตุอะไร เสร็จแล้วก็ให้พรในใจ แต่ก็ทำปากขมุบขมิบให้เขาเห็น

    พอรู้ (พระสายธรรมยุตเขาไม่ให้พรเสียงดังๆกัน) แล้วก้เดินตามทางประจำต่อไป เดินไปสักครู่ใหญ่ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินผ่านร้านขายขนมครกในหมู่บ้านอยู่นั้น สิ่งอัศจรรย์ก้ได้บังเกดขึ้นมากับข้าพเจ้า กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของแม่ค้า อุทานขึ้นมาว่า อ้าว!!!!หลวงตาไปใหนล่ะ!!! ก็เมื่อกี้ยังเห็นหลวงตาอยู่เลย!!! หายไปใหนเสียแล้ว!!! ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งตกใจเลย แต่ก็เก็บอาการเอาไว้เพราะเป็นพระต้องสำรวมอินทรีย์ ใจงี้เต้นแรงมากแต่ก็ได้แต่ยิ้มเล็กน้อยให้โยมเขา เพราะใจของข้าพเจ้ามั่นในใจอยู่แล้วว่าต้องเป็นหลวงพ่อแน่ๆ และไม่เคยสงสัยในความสักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเลยสักครั้ง และแล้วความอัศจรรย์ก็ประจักษ์กับข้าพเจ้าอีก 2 ครั้ง เป็น 3วาระ

    ขณะที่ข้าพเจ้าได้เดินบินฑบาตรได้ประมาณ 2 กิโลก็มี ตายาย สองคนอุทานคำๆ เดิมออกมาอีก ข้าพเจ้าก็ได้แต่เพียงยิ้มให้แกอีกเฉยๆ และเมื่อเข้าไปในตลาด ก็มีหญิงสาววัยกลางคนเข้ามาใส่บาตรกับข้าพเจ้าแล้วอยู่ๆแกก็ทำท่าเหมือนจะใส่บาตรให้พระอีกรูปทั้งๆที่ขณะนั้นมีแต่เพียงข้าพเจ้าแต่เพียงคนเดียวที่ไปบินฑบาตร แล้วผู้หญิงคนนั้นก็สะดุ้ง แปลกใจว่าเมื่อกี้แกเห็นหลวงตามาด้วยกันกับข้าพเจ้า และแกก็ยืนยันว่า แกเห็นจริงๆ ไม่ตาฝาดแต่ประการใด เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็บอกแกไปว่าอย่าสงสัยไปเลย นี่ก็เป็นนิมิตหมายอันดีอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วก็ให้พรแกไปแบบเดิม แล้วข้าพเจ้าก็เดินบินฑบาตร ต่อไป วั้นนั้นข้าพเจ้าดีใจมาก เพราะรู้ว่าหลวงพ่อ คงเห็นในความดีของข้าพเจ้าที่ตั้งใจทำ ท่านก็เลยมาสงเคราะห์ข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าสาบานได้ว่า นี่ คือเรื่องจริงแท้แน่นอน และก็เชื่อว่า พี่ๆน้องๆ ที่เคารพนับในองค์ของหลวงพ่อ ทุกคน นั้น ก็คงไม่มีใครที่จะแคลงใจในอภินิหารแห่งความทรงอภิญญาสมาบัติ ขององค์หลวงพ่อ ว่าถ้าเรานี้ มีศรัทธาจริง เคารพและเชื่อมั่นอย่างหมดหัวใจแล้ว ลูกของท่านทุกๆคนจะรับรู้ได้เอง "เป็นปัตจัตตัง"

    สรุปว่า วันนั้นข้าพเจ้าหิ้วกับข้าวกับมาวัดไม่ไหวเลย ต้องฝากให้โยมในหมู่บ้านเอาขึ้นรถมาส่งที่วัด มิเพียงเท่านั้น ภายในวันเดียวกัน ข้าพเจ้ากลับได้รับกิจนิมนต์ซ้อนกันวันเดียว 3 งานเลย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่เจ้าอาวาสท่านจัดมาให้แบบนี้ แบบว่า เล่นเอาพระในวัด งง ๆกันใหญ่เลย ก็วันนี้ ไง๋!!! ผิดคิวยังไง ชอบกล้! ชอบกล....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  13. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ..."แพ้เขาในนิมิตฝัน"...
    ...ครั้งหนึ่ง โดยขณะที่ข้าพเจ้าบวชได้อยู่ประมาณ 9 เดือน ตอนนั้น ในวัดของข้าพเจ้าได้มีพระอาคันตุกะอยู่รูปหนึ่งได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสหธรรมมิกของท่าน หรืออย่างไรไม่ทราบแน่ แต่ที่ทราบคราวๆมาว่า พระองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของเกจิอาจารย์องค์หนึ่งทางภาคอีสาน ที่เก่งเหมือนกันเพราะเกจิองค์นั้น มีศักดิ์เป็นถึงพระอาจารย์ของ เชื้อพระวงค์องค์หนึ่งเลย ส่วนพระองค์ที่มานั้น เห็นเขาว่ามีเครื่องราว เป็นงูใหญ่ นัยว่า จะเป็นพญานาค เวลาไปใหนก็มักจะนำเทียนมาปั้นเป็นแท่งๆประมาณ 10 แท่ง ตั้งกรวยเป็นขันธ์ 10 (เห็นเขาเรียกกันเองว่าขันธ์พระพุทธ)แล้วมักจะสวดมนต์เป็นภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ เสียงดัง แต่ฟังไม่ออก ไม่มีในภาษาขอม สวดไวมาก มารู้ตอนหลังว่าเขาเรียกกันว่า"วิชาธรรมบันดาล"

    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจประการใด เพียงแต่ว่า เวลาเจอก็เข้าไปกราบตาม พระเพณีของพระท่าน อาวุโสภันเตฯ ปฏิบัติพระผู้ใหญ่ข้าพเจ้าก็ทำตามปรกติ แต่ไม่สุงสิง ไม่มอง ไม่แล ไม่ยิ้ม ไม่สนใจ สำรวมใจอย่างเดียว ข้าพเจ้านั้นก็มิได้อวดเด่นอวดดีแต่ประการใด เพราะเราถือว่าเราก็ศิษย์มีครู ของเราเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างอยู่กันไป กิจวัตรที่ข้าพเจ้านั้นปฏิบัติเราก็ทำมาแต่ต้นตั้งแต่ที่บวชใหม่ๆอยู่แล้ว ก็เจตนามีแต่เพียง ทำความดีสร้างกุศลกรรมอันดีให้จิตใจของตัวเองเท่านั้น

    หลังจากที่พระองค์นั้นมาอยู่ไม่นาน ข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความแปลกๆยังไงชอบกล ลางมันบอก(สัญชาติญาณ) รู้สึกว่ามีคนคนมาคอยสังเกตุดูอากับกิริยา การดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น ข้าพเจ้าจะถือว่า เราควรรักษาจิตใจไว้ให้มั่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าไปเรื่อย ตรงนี้ ข้าพเจ้าจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่ว่า หลังจาก 8 โมงเช้า เป็นเวลาที่ฉัน อาหารกันเสร็จ ข้าพเจ้าก็จะรับใช้ พระอาวุโส เสร็จแล้วข้าพเจ้า ก็จะขุนอาหารให้ หมาแมว ภายในวัด เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็จะ ขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบโดยที่ไม่สุงสิงกับใครทั้งนั้น ลงมาอีกที 5 โมงเย็น กวาดวิหารลานเจดีย์ เสร็จแล้วสรงน้ำแล้วขึ้นกุฏิ

    หากคืนใหนหนาวมากๆก็ลงมาก่อไฟให้หมามันนอนสักกอง สงสารมัน เห็นมันนอนกันตัวล่ะกลมเลย บางวันตื่นขึ้นมาตอนเช้าเห็นพวกมันบางตัว มันนึกยังไงไม่รู้ ล่อเกือกอยู่ในกองขี้เถ่า โผล่มาแต่ลูกกะตา บางทีก็อดนึกขำๆมันอยู่เหมือนกัน เอ่อ!มันก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนเราล่ะเนอะ กุฏิของข้าพเจ้านั้นเป็นกุฏิเรือนไทยหลังใหญ่ดูน่ากลัว ก็เลยไม่ค่อยมีพระมาอยู่และอีกอย่างยุงมันเยอะ บางที งูเลื้อยออกมาเฉยเลย ที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะอยู่ที่นี้ ก็เพราะว่าไม่อยากอยู่ปนกับใคร ยิ่งพระ รุ่นเดียวกันด้วย อย่าให้พูดเลย มันบาป หนีมาอยู่นี้ สบายใจดีไม่มีใครตาม แต่ภายในกุฏินั้นมันกว้างคล้ายๆบ้านล้อมรั้ว ประมาณนั้น ที่นี้มี ตู้พระไตรปิกฎ และหนังสือธรรมมะเก่าๆอยู่เต็มห้องเลย ก็เลยเข้าที เพราะข้าพเจ้านั้นชอบศึกษาอยู่พอดี สังคมของคนหมู่มากนั้นไม่ไหว ไม่ว่าจะสังคมใหนก็ตามมันมักจะมีปัญหาตามมาเสมอ ไม่เขาก็เรา ไม่เราก็เขา อันนี้มันเป็นสัจธรรมสังคมพระก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ถ้าใครเคยได้บวชมาแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก กูดีกว่า แกได้นิมนต์มากกว่า นี่อั้ว เคร่งกว่า องค์ใหนไม่เคร่งแปลว่าพระไม่ขมัง และก็ ฯลฯ สามวันยังไม่จบเลย เหมือนฆารวาสไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่พระองค์ใหนจะควบคุมจิตใจได้อย่างไรข้าพเจ้าก็เลย ต้องตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน อันนี้เรื่องจริง ไม่อิงนิยาย...

    ...ที่นี้ต่อมา ตอนหลังๆขณะที่ข้าพเจ้านั้น มักจะได้เจอพระองค์นั้นทีไร ท่านก็มักจะพูดลอยๆเหมือนตั้งใจจะให้ข้าพเจ้าได้ยินออกมาว่า"ครูบาร์อาจารย์แรงมาก "แล้วก็พยักหน้าแบบ อืมนะ!!! ประมาณนั้นข้าพเจ้าก็มิได้สนใจ เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า ที่เก่งนะไม่ใช่เรา แต่เป็น "หลวงพ่อ"ของพวกเราต่างหาก เพราะหลังจากที่พระองค์นั้นท่านมาอยู่ใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกๆอยู่แล้วว่า หมามันเห่าหอนโหยหวนปนกับเสียงนกแควก แบบผิดปรกติแต่ไรมาบวชมาตั้งนานก็ไม่เห็นเป็น อย่างนี้บ้างครั้งก็จะมีเสียงลมพัดอู้ พุ่งเข้ามาชน ประตูหน้าต่าง หนักๆเข้าก็เหมือนมีของหนักๆล่นลงมาใส่หลังคา ดึกสงัดใครจะมาแกล้งกัน หรืออย่างไรไม่ทราบ แต่ด้วยสัญชาติญาณ เพราะคนโบราณนั้นเขาก็ถือกันอยู่แล้ว ว่าอย่าไปทักเด็ดขาด และที่ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจมากที่สุดก็เห็นจะด้วย ตั้งแต่สมัยที่ข้าพเจ้ามาอยู่ใหม่ ๆที่นั้น พอดีกุฏิของข้าพเจ้ามันตั้งอยู่ติดกับป้าช้า จะว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีความกลัวเลยเสียทีเดียวนั้นก็ไม่ใช่ เพียงแต่ไม่ใช่คนตาขาวก็เท่านั้น

    ข้าพเจ้าจึงจุดธุปบอกหลวงพ่อว่าจะ ขอทำตะข่ายอาคมล้อมห้องนี้สักหน่อย ล้อมไว้บนเพดานเหมือนเวลางานพุทธาภิเษก โดยที่ข้าพเจ้าใช้สายสิญพันไว้ที่ใต้ฐานรูปของหลวงพ่อ แล้วข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิฐาน ว่า นะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโต ฯลฯ แล้วว่า คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ว่าไปจนล้อมเสร็จ ก็เป็นอันว่านอน อุ่นใจ สบายดี รูปนี้แม่ของข้าพเจ้าได้มาจาก ตานานแล้ว เคยแง้มดูนิดหนึ่งด้านที่มันล้อก ปรากฏ อักขระอาคมที่หลวงพ่อท่านจารประจุลงเอาไป เต็มเลย แต่เท่าที่มองดู ก็มีหัวใจ "กะระณี"ของหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาวอยู่ด้วย ขอบารมีของหลวงพ่อ ปกปักรักษา...ปัจจุบันรูปนี้นั้นข้าพเจ้าก้ยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่นี้ ...

    ...อยู่ต่อมาเรื่อยๆที่นี้สถานการณ์เริ่มจะบานปลายใหญ่ เพราะมันมาถี่เกิน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ เจอเข้าอย่างนี้บ่อย ก็ชักคิดๆอยู่เหมือนกันแต่ไม่ถึงกับหวาดมากมายอะไร ก็เลยปรารภให้ หลวงพ่อฟังว่า(พูดไปเรื่อย)โดยอยากจะรู้ว่า เอ้! มันเป็นเพราะเหตุอันใดหนอ และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับข้าพเจ้า โดยคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้นก็ได้มีนิมิตฝันไปว่า ข้าพเจ้าได้เดินออกไปในป่าใหญ่แล้วอยู่ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ในพุ่มป่า ก็เลยเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ สักพักข้าพเจ้ารู้สึกร้อนมากหันมาก็เห็นน้ำตก ใหลอยู่ก็เลย เดินเข้าไปเอามือวักลูบหน้า ได้ยินเสียงคนหัวเราะ ก็เลยหันไปดู เห็นพระองค์นั้นกำลังยืนหัวเราะอยู่ใต้ตนไม้ แล้วทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ต้องตกใจถึงขีดสุด เพราะเมื่อข้าพเจ้าได้แหงนหน้าขึ้นไปมองบนหน้าผาก็ต้องพบกับความตกตะลึง
    ข้าพเจ้าเห็นงูตัวใหญ่มากๆมันขดรัดหน้าผาอยู่ น่ากลัวมากๆเลย ถึงกับทำให้ข้าพเจ้า งี้ สะดุ้งตื่นเลย

    เมื่อตื่นมาใจยังเต้นตุบๆๆ อันนี้ก็พยามทำใจอยู่ว่ามันคงจะเป็นความฝัน ต้องเป็นความฝัน ข้าพเจ้าบอกตัวเอง อย่างนี้จนสติเริ่มดี ก็ไม่ได้คิดมากอะไร มองนาฬิกา ก็ ตี 3กว่าๆ ก็เลยล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ สวดมนต์ไหว้พระต่อ ทำกิจต่างๆแล้วจึงเตรียมตัวจะไปบิฑบาตรในตอนเช้าต่อ ทีนี้เป็นเรื่องซิ พอได้เวลาลงจากกุฏิพอฟ้าสว่างเท่านั้นล่ะ ข้าพเจ้ากำลังเดินไปที่ศาลาก็แปลก พบพระองค์นั้นท่านมายืนรออยูที่ข้างทางที่จะไป ก็เอ้!!!ปรกติท่านก็ไปของท่าน วันนี้ทำใมมายืนรอเรา และแล้วคำ พูดของพระองค์นั้นก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าสะท้านใจจริงๆ ท่านอมยิ้มและพูดเสียงนิ่มๆว่า"ไงท่าน !!!เมื่อคืนร้อนมากหรือไง เห็นวักน้ำล้างหน้าใหญ่" ให้ตายก็ได้ ในชีวิตนี่ล่ะครั้งแรกที่ ข้าพเจ้างงมากๆ มากที่สุด ถึงที่สุด งงจริงๆท่านรู้ได้ไง เหมือนในฝันเปี้ยบเลย!!!แต่ทั้งที่ข้าพเจ้า ก็ตกใจในคำพูดของท่าน แต่ข้าพเจ้าก็แสดงออกแต่เพียงพองาม พี่ๆน้องๆครับ ข้าพเจ้างง มากเลยครับ เออ ท่านรู้ได้ยังไง ก็เลยตอบท่านไปว่า "แล้วท่านอาจารย์ ไปยืนดุ่มๆทำอะไรอยู่ใต้ต้นไม้ละครับ" ท่านก็ขำใหญ่เลย ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  14. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ..."หลวงพ่อให้คาถา"...
    ...หลังจากวันนั้นข้าพเจ้าก็ครุ่นคิดอยู่ว่า เหตุจึงได้ต้องเจอกับนิมิตฝันแบบนี้ได้ ก็ได้ข้อสรุปว่าเห็นจะต้อง ปรารภกับหลวงพ่อในเรื่องนี้ จึงได้จุดธุป 16 ดอก บอกกล่าวกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ผมไปแพ้เข้ามา จริงหรือไม่จริง ลูกก็ไม่รู้แต่ที่ลูกรู้ก็คือ ไม่อยากให้ใครมาว่าเราได้ว่า เป็น "ไก่อ่อน" ถ้าร้ายดีแต่อย่างไร ลูกนิมนต์หลวงพ่อ ช่วยสงเคราะห์ลูกด้วยเทอญ

    พอดีวันนั้นเป็นวัน ลงโบสถ์พอดี ก็จึงได้เข้ากันไปลงฟังปาฏิโมกข์ ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะบังเอิญหรืออย่างได้ไม่ทราบ โลกมันกลม ก็ได้นั่งฝั่งตรงกันข้ามกับพระองค์นั้น ก็ฟังพระท่านปั่นปากิโมกไป หันไปมองก็เห็นองค์นั้นเม้ม ริมฝีปากมองมา ก็ทำเป็นเฉย นึกถึงหลวงพ่อเลยหลับตากำหนดลมหายใจแทน ฟังไปฟังอยู่ก็เกิด อาการคล้ายๆตัวเองมันเบาๆดี รู้สึกสบายหัวใจ กระชุ่มกระชวย และทันนั้นคล้ายฟ้าร้อง ใจนั้นระลึกถึงหลวงพ่อตลอด จนเกิดความอัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก ภายในอากาศ ปรากฏเป็น อักขระ ขอม ลอยขึ้นมาหนึ่งแผง พอลืมอักขระนั้นก็ยังติดตาอยู่เหมือนเดิม ติดตาอยู่นานมาก ด้วยความที่ข้าพเจ้านั้น ก็พอรู้ภาษาขอมอยู่ จึงรีบอ่านและจดจำไว้จนแม่นยำ พระอักขระขอม แผงนั้นอ่านแล้วมีใจความดังนี้ว่า "โกธา นารา ปะหะ โมโล" ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ให้กับข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะเคยศึกษาและท่องจำ พระคาถาต่างๆมาก็มากแต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ยินได้ฟัง พระคาถาบทนี้เลย พี่ๆน้องๆ ท่านใดที่พอจะรู้ หรือเข้าใจ ในคาถาบทนี้ โปรดช่วย ให้ความรู้กับข้าพเจ้าด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง ...

    ..."ลงด้วยบารมีของหลวงพ่อ"...
    ... หลังจากที่ข้าพเจ้าได้คาถาบทนี้มา ข้าพเจ้าจึงนำภาวนาอยุ่ตลอด เพราะข้าพเจ้านี้มีความเชื่อว่า ต้องเป็นคาถาที่หลวงพ่อนั้นท่านประทานมาใหแก่ข้าพเจ้า เพื่อที่จะเอาไว้ป้องกันตัว ข้าพเจ้ามั่นใจ วันนั้นข้าพเจ้ารอจนดึกสงัด ข้าพเจ้าก็ได้เตรียมตัวไว้ว่าวันนี้เป็นไงเป็นกัน จะได้รู้กันไปเลย จะใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา อาราธนาครูบาอาจารย์ แก้พระองค์นั้นสักหน่อยว่าแล้วก็ เตรียมบาตรน้ำมนต์ มีดหมอของหลวงพ่อ ตำราของหลวงพ่อ ว่าแล้วก็นั่งภาวนาจนจิตเริ่มสงบ ก็ค่อยๆลืมตา จุดธุปเทียน ตามที่ได้ร่ำเรียนมา บอกกล่าว นิมนต์หลวงพ่อ ว่าวันนี้นิมนต์ให้ช่วยลูกด้วย ก็สวดร่ายองค์การอัญเชิญพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร เป็นที่สุด เสร็จแล้วก็นั่งภาวนา พอจิตสงบ ข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตนว่า ได้เดินออกไปตามทางเพื่อที่จะไปยังกุฏิของพระองค์ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นงูตัวใหญ่มาก ตัวเท่ากับล้อรถไถ 10 เท่าเห็นจะได้ ข้าพเจ้าตั้งสติได้ จึงระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ก็เลยใช้บาตรคว่ำทับมันไว้ (ในนิมิต)

    พอลืมตาขึ้นข้าพเจ้าก็รีบใช้มีดหมอของหลวงพ่อ สะกดไว้ที่ปากบาตรน้ำมนต์ โดยที่ใช้มีดหมอ ของหลวงพ่อนั้นทับเอาไว้ แล้วข้าพเจ้าจึงรีบหยิบเทียนที่ จารอักขระว่า "โก ธา นา รา ปะ หะ โม โล" ภาวนาหยดลงไปในบาตรน้ำมนต์นั้น จนเทียนหมดเล่น ก็เป็นอันเสร็จพิธี บอกตรงๆ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นจะทำได้หรือไม่ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่น ในองค์หลวงพ่อว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ของจริง จนหมดหัวใจ

    พอรุ่งขึ้นตอนเข้าข้พเจ้าสังเกตุไม่เห็นพระองค์นั้นมาที่ศาลา ตามปกติได้ความว่า อาพาธอยู่ มาไม่ได้ ก็ผ่านไป 3 วัน ไม่รู้ข้าพเจ้านึกอย่างไรเห็นพระองค์นั้นท่านเดินอยุ่ในวัด ก็เลยเข้าไปอุ่มบาตรน้ำมนต์ในกุฏิที่ทำไว้นั้นไปหาท่าน ก็บอกทันไปว่า"อาจารย์ครับ พอดีอีกไม่นานเดี๋ยวผมก็จะสึกแล้ว นิมนต์ท่านอาจารย์ช่วยทำน้ำมนต์ให้สักหน่อย จะเอาไว้อาบตอนสึก นิมนต์ด้วยครับ" ท่านก็มองหน้าข้าพเจ้าแล้วก็รับบาตรน้ำมนต์ไว้แล้วเข้าไปหยิบเทียนเล่ม ใหญ่ 2 เล่มเดินหายไปที่โบสถ์ ประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ จึงออกมา พอมาถึงข้าพเจ้าเท่านั้นล่ะ คำพูดแรกที่ท่านพูด กับข้าพเจ้าก็คือ "ท่านใช้คาถาอะไรประจุน้ำมนต์ที่ให้มาหรือ" ข้าพเจ้าก็เลยถามท่านว่าเพราะอะไรจึงถามเช่นนี้ ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่าขณะที่ท่านกำลังปั่นธรรมบันดาลอยู่นั้น ท่านก็ได้นิมิตไปว่าเห็นพญานาคของท่านที่หายไปมันมาขดอยุ่ในบาตรน้ำมนต์ของข้าพเจ้าใบนี้

    ท่านก็ประหลาดใจมาก จึงคลายจากองค์ธรรม แล้วตั้งใจจะมาถามข้าพเจ้าโดยตรงเลย ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า โอ้คาถานี้สุดยอดจริงๆ คาถาของหลวงพ่อนี้ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ขนาดพญานาค ยังลงไปนอนในบาตรเลย สาธุๆๆๆๆๆ(ข้าพเจ้ากล่าวในใจ) ก็ด้วยความที่ข้าพเจ้าเห็นว่า พระองค์นี้ท่านก็เป็นพระที่ใช้ได้เหมือนกัน คือท่านก็อัธยาสัยดี ก็เลยบอกท่านไปตรงๆว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เรืองวิทยาคมอะไรทั้งสิ้น ก็เห็นว่าทีท่านยังมาดักรอผมแล้วยังถาม ผมได้เลยนี่ว่า ร้อนหรือยังไง แล้วที่ท่านส่งอะไรต่อมิอะไรมานะ ที่แกล้งผมไม่ได้ ก็เพราะบารมีของหลวงพ่อ ของผมช่วยเอาผมไว้"หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" เทพเจ้าแห่งชาวบ้านแค

    สรุป วันนั้นคุยกันเกือบครึ่งคืน ต่อมาตอนหลังพระองค์นั้นก็ไปขอขมาหลวงพ่อและนับถือ หลวงพ่อกวยของพวกเรามากเลย ไม่ว่าจะไปที่ใหน ท่านก็มักจะบอกกล่าวกับ พระที่ท่านรู้จักอยู่เสมอ ทุกครั้งเลยว่า "อย่าไปยุ่งกับศิษย์สายหลวงพ่อกวย แห่งวัดบ้านแค"เชียวนะท่านศักดิ์มาก เพราะท่านเจอมาแล้วกับตัวเอง ก็ขนาดอาจารย์ของพระองค์นั้นยังเคยพูดเลยว่า "แค่มีคนมาชักมีดของหลวงพ่อ กวย ออกมา ยักษ์ที่เฝ้าหน้าวันของฉันยังต้องหนีไปเลย" สุดยอดจริง เข็มขลังเหลือเกิน...
    ....ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้-
    ...พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 3...
    ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
    ...."คนเมืองกาญฯ”...
    ป.ล.คาถาที่ข้าพเจ้าใช้ทำน้ำมนต์มีอยู่ว่า"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ช่วยจับพญานาคให้ลูกด้วยๆๆๆๆๆ" ท่องไปจนเทียนหมดเล่ม...สาธุ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  15. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ตอนที่ 3...

    ..."คำอวยพรถึงพี่ๆน้องๆทุกคน"...
    ...พรุ้งนี้เป็นวันพระแล้ว...ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนไตรณ์...และบารมีแห่ง"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"...
    พระอริยสงฆ์ ผู้เป็นดั่งบิดาของพวกเราทั้งหลาย จงโปรดปกปักรักษาอภิบาลลูกๆของท่าน ทุกคน ทั้งที่ผู้เข้ามาในอ่านฟังในเวปกระทู้ของข้าพเจ้าและผู้ที่ไม่ได้เข้ามา จงมีแต่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกท่านทุกประการเทอญ .....สาธุ สาธุ สาธุ ......"ความเดิมต่อจากตอนที่-แล้ว"...

    ..."ความเดิมจากตอนที่แล้ว"..."...
    ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้านั้นบวชได้ประมาณ 1 ปี ทางวัดของที่จำพรรษาของข้าพเจ้านั้น ได้รับกิจนิมนตืให้ไปสวด"พุทธมนต์"ในงานพุทธาภิเษก ที่วัดแห่งหนึ่งในต่างอำเภอ ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ที่ได้รับในกิจนิมนต์ให้ไปในงานนี้ด้วยเหมือนกัน ความจริงกิจนิมนต์งานนี้ ทางวัดก็ได้นิมนต์พระเถระมากอยู่ ก็ประมาณ 99 รูปเห็นจะได้ ตอนนั้น "จตุคามรามเทพ"กำลังดังมากๆ เป็นยุคทองของเทพองค์นี้เลย ความจริงข้าพเจ้าก็มิได้ใคร่ ที่อยากจะไปสักเท่าใดนักแต่ท่านเจ้าอาวาสท่านกำหนดให้ไป และอีกอย่างวัดนี้ ก็เป็นวัดพี่วัดน้องกันอยู่ กับวัดของข้าพเจ้า (อุปถัมกันอยู่) ก็เลยต้องไปตามหมายกำหนดของทาง ท่านเจ้าอาวาส สักพักหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสท่านก็ได้หยิบใบโบว์ชัวมาให้อ่าน (โฆษนาของทางวัด) ข้าพเจ้าอ่านดูเห็นเขาโปรโมทย์ว่า จะมีเกจิอาจารย์ดัง ท่านหนึ่งนั้นมานั่งปรก นัยว่าท่านนั้นปลุกเสกจนสามารถทำให้ "จตุคามรามเทพ" บินกระเดนออกมาจากบาตรได้ด้วย ประวัติเดิมๆท่านนั้นเป็นเสือเก่าดัง อยู่แถวแทบ อ่างทอง สุพรรณ สิงห์บุรี ชัยนาท เมืองกาญฯ ประมาณนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านใบโบว์ชัวนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ใคร่อยากจะรู้และที่อยากจะพบเจอคนจริงอย่างนี้ สักครั้ง ว่าที่เขาว่ากันมันจะจริงแท้ประการเช่นใด ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปกับรถของทางวัด ระยะทางก็ประมาณ 30 กม. ...

    ..."บอกกล่าวหลวงพ่อว่าจะไปงานพุทธาฯ"...
    ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปนั้น ข้าพเจ้าก็ได้เข้าไปจุดธูป บอกกล่าวแก่หลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ วันนี้ลูกจะไปงานพุทธาภิเษก" ลูกขอบารมีหลวงพ่อ ให้ช่วยปกปักรักษาขณะเดินทาง ให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยด้วยนะขอรับ แล้วยกมืออธิฐาน สาธุ (ว่าไปเรื่อย) และเมื่อถึงเวลาเดินทาง กระนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมที่จะหยิบ มีดหมออาคมของหลวงพ่อ ที่ใช้ประจำกายอยู่เป็นประจำในเวลาเดินทางไกล แต่การที่ข้าพเจ้าไปนั้น ข้าพเจ้ากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นประการใดเลย ที่จะได้พบเจอ พระเกจิอาจารย์ดัง ก็รู้สึกเฉยๆ มากกว่า ก็อาจจะเป็นเพราะเหตุที่ว่า ไม่มีเกจิอาจารย์องค์ใดเลยที่ข้าพเจ้าจะอยากเจอ เทียบเท่ากับ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"พระอริยสงฆ์ผู้เป็นดั่ง "บิดา" ของพวกเราทุกคน และถ้าจะเป็น"ของดี"ก็ต้องเป็นของหลวงพ่อเท่านั้น ของครูบาอาจารย์ท่านอื่น ก็แล้วแต่ใครจะนับถือ ตรงนี้ก็ไม่ได้ไปลบหลู่เขา นานาจิตตัง...

    พอไปถึงงาน ทางวัดก็ได้จัดอาหารหวานคาวมาให้ฉัน ครั้นเวลาประมาณ บ่ายโมงเศษๆ พระที่มาในงานจึงได้เริ่มเจริญพุทะมนต์และแล้วจู่ๆ ฝูงชนก็ต่างพากันโกลาหล แตกตื่น วุ่นวาย ก็ด้วยความที่ว่า "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้น ท่านได้เดินทางมาถึง ปะรำพิธี ข้าพเจ้าก็เห็นท่านมาแต่ไกลๆ คนงี้ ล้อมหน้าล้อมหลัง โอ้ย มองดูแล้ว สับสนมาก สักพัก ก็ได้ยินเสียงท่านโฆษก ท่านพูดออกไมค์ประกาศว่าให้สาธุชนเปิดทางให้กับ "หลวงพ่อเกจิดัง" ด้วย เพราะไกล้จะได้ ฤกษ์งามยามดีแล้ว ความว่า กว่าจะได้ประกอบพิธี ก็ใช้เวลาปาเข้าไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ

    แต่ที่เด็ดในสายตาของข้าพเจ้านั้นนะ ไม่ใช่การมาของ"หลวงพ่อเกจิดัง"องค์นั้นหรอก แต่เป็นแม่ชีองค์หนึ่ง ที่แต่งตัวดูเคร่งมากเห็นมากับลูกศิษย์อยู่หลายองค์ พอแกมาถึง แกก็ยกมือไหว้"หลวงพ่อเกจิดัง"องค์นั้น แล้วก็พูดกัน "โอ้!!! พระคุณเจ้า!!!!ข้าพเจ้านึกแปลกใจ ปนอารมณ์ อืมนะ!!!(ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกเหมือนกัน) จะว่าแกเป็นหน้าม้าก็หรืออย่างไรไม่ทราบ ตรงนี้ไม่ขอปรามาส ทีนี้คุณแม่ชีแกก็พูดภาษาอะไรก้ไม่รู้"สำเนียงภาษาฟังดูคล้ายแขก"ยาวเหมือนกัน พอพูดจบเท่านั้นล่ะ "หลวงพ่อเกจิดัง" ท่านก็พูดทักทายกับคุณแม่ชีองค์นั้นด้วยภาษาออกแขกๆด้วยเหมือนกัน" ประมาณ กู๊ดมอนี่ง "ฟาย แต่งกิ่วแอนยู" "คุณสบายดีใช่ใหม " "ใช่ ฉันสบายดี"ข้าพเจ้าจับใจความจากปากเขา ก็เลยอุปมาเอาว่า น่าจะเป็นอย่างนี้..เรียกว่าสนทนากันประมาณนั้น สักพักอีตาโฆษก นี่แกก็เก่งจริงๆ (ข้าพเจ้านึกในใจ) รีบประกาศออกไมค์เชียวว่าคณะนี้คุณแม่ชีกับ "หลวงพ่อเกจิดัง"นั้นได้ใช้ภาษาเทพคุยกันอยู่ เล่นเอาคนที่มาในงาน อืออึงกันใหญ่เลย ก็เป็นอันว่ายิ่งเพิ่มความดูเข้มขลังให้กับผู้ที่มาเข้าร่วมพิธี ดูแล้วคล้ายเรียก เรดติ้ง แนวนั้น แต่ข้าพเจ้าก้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก ก็เพราะว่าไม่ใช่ของแปลกอะไร สำหรับตัวของข้าพเจ้าเลย ก็ดีเหมือนกัน เพราะวัตถุมงคลของทางวัด จะได้จำหน่ายได้มากๆ ทางวัดจะได้มีรายได้เข้าวัด เพื่อที่จะนำไปบูรณะ ปฏิสังขร ในสิ่งที่ควรต่อไป ...ก็ดีเหมือนกัน ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  16. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ..."ขอขมา กายกรรม มดนกรรม วจีกรรม ก่อน"...
    หลายครั้งที่ข้าพเจ้าได้เคยศึกษาเรื่อวราวประวัติของพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งที่ดังมาก นั้นก็คือ"พระเดชพระคุณ หลวงปู่โต๊ะ แห่ง วัดประดู่ฉิมพลี" สรุปเป็นเนื้อหาในใจความตอนหนึ่งว่า "หลวงปู่โต๊ะ" นั้น ถ้าแม้นท่านได้ไปกิจนิมนต์ ในงานพิธีพุทธาภิเษกในที่ใดก็ตาม หากมีเกจิอาจารย์องค์ใดก็ตาม ที่เป็นผู้ที่ทรงภูมิคุณธรรมชั้นสูง หรือมีความเป็นผู้ที่ทรงวิทยาคมของจริงแล้วไซร้ "หากหลวงปู่ โต๊ะ แห่งวัดประดู่ฉิมพลี" ท่านเพียงแค่ไดจับได้สายสิญ ในงานพิธีพุทธาภิเษกเท่านั้นละก็ ท่านจะสามรถล่วงรู้ถึงคุณธรรมของภูมิจิตของพระคณาจารย์ของแต่ละองค์ได้ทันที ว่าองค์นี้ของจริงหรือชั้น้ใหน ดังจะขอกล่าวเป็นใจความย่อๆในตอนหนึ่ง เมื่อครั้งที่ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" พ่อของพวกเรานี้ ได้รับกิจนิมนต์ไปในงาน พิธีพุทธาภิเษก ในงานของวัดแห่งหนึ่ง ใน จ. สุพรรณบุรี ชื่อว่า วัดท่าทอง ปี 2518 และพิธีนี้เอง ที่ทำให้แม้แต่ "หลวงปู่ โต๊ะ แห่ง วัดประดู่ฉิมพลี"ท่านต้องถึงกับ อุทานออกมาว่า "หลวงพ่อองค์นี้เป็นใคร มาจากใหน ทำใมท่านถึงไม่รู้จัก ท่านมีวิชาอาคมที่แก่กล้ามากเหลือนเกิน" ถึงขนาด หลวงพ่อกวย ของพวกเรานั้น ท่านได้แสดงอภิญญาสมาบัติ นั่งปรกปลุกเสก โดยที่ท่านไม่ได้หลับตา ไม่กระพริบตาเลย เพ่งวัตถุมงคล ตลอดพิธีเป็นชั่วโมงๆ

    ซึ่งผู้ที่สามารถจะทำได้นั้นอย่างน้อยก็จะต้อง ทรงภูมิคุณธรรมชั้นสูงมาก เรียกว่าเกินชนิดที่ ปุถุชนอย่างข้าพเจ้าจะกล่าวพรรณนาได้ (จริงๆแล้วไม่กล้าบังอาจที่จะพยากรณ์) สุดยอด เข้มขลังสุดๆ และเรื่องราวของหลวงพ่อกับคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมแห่งยุคองค์อื่นๆนั้น มีอยู่มากมายหลายองค์ อาทิ เช่น "หลวงปู่เพิ่ม แห่ง วัดกลางบางแก้ว" ก็ได้ยกย่องท่านว่า หลวงพ่อกวย องค์นี้นั้น ท่านเก่ง เทียบเท่ากับ หลวงปู่ของพวกเรา(ท่านหมายถึง พระพุทธวิถีนายกหลวงปู่บุญ ขันธโชติ) ต่อหน้าลูกศิษย์ของท่านเลย ส่วน "หลวงปู่ ดู่ แห่งวัดสะแก" ท่านเป็นพระปฏิบัติ(ปรารถนาพุทธภูมิ) ท่านก้ยังยกย่องหลวงพ่อกวยของเรานี้ว่า เป็น 1 ใน เก้าคณาจารย์ที่เก่งของจริง และที่สดของที่สุดก็คือ เมื่อครั้งที่ "หลวงพ่อ จง แห่งวัดหน้าต่างนอก" ท่านได้รับกิจนิมนต์จากเชื้อพระวงค์ท่านหนึ่งที่นับถือเกจิอาจารย์ของทางใต้มาก ให้ไปปลุกเสกพระที่เรือนของเชื้อพระวงค์ท่านนั้น แต่งานนี้"หลวงพ่อจง" ท่านกลับไม่เสกเอง แต่นิมนต์ให้หลวงพ่อกวยท่านขึ้นเสกแทน และ"หลวงพ่อจง" ท่านก็ได้พูดบอกกับ"หลวงพ่อกวย"ว่าให้เต็มที่เลยนะท่าน เพราะพวกเขารอดูเราอยู่ และเมื่อครั้น"หลวงพ่อกวย"ขึ้นนั่งปรกปลุกเสกเท่านั้นล่ะ ท่านก็ได้สำแดงอภินิหารแห่งฌาณสมาบัติของท่านให้ได้ประจักษ์ ชนิดที่เรียกว่า พระสะเทือน เรือนไทยโบราณหลังใหญ่ๆ นั้นได้สั่นไปทั้งหลัง จนเป็นที่ยอมรับนับถือซึ่งกันและกันกับพระคณาจารย์จากทางใต้มาก

    แต่ตรงนี้ข้าพเจ้าขอพักไว้ก่อน จะนำมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไป ในตอนที่เกี่ยวข้องกับ คณาจารย์ต่างๆที่ท่านนั้นได้ยืนยันว่าหลวงพ่อของพวกเรานี้ ท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ที่สำเร็จ"อภิญญาโสสฬมงคล" 16 ประการ เฉียกเช่นเดียวกันกับปรมาจารย์ ผู้เป็นหนึ่งแห่งเมืองปากเกร็ด จ. นนทบุรี ก็ว่าด้วย บทพระเวทมหาทมื่น ที่ปรมาจารย์ผู้เป็นหนึ่ง แห่งเมืองปากเกร็ด จ. นนทบรี ท่านไประจุอาคมไว้นวัตถุมงคลของท่านนั้น มีท่านปรารภไว้เพียงหมื่นจบเท่านั้น แต่ของหลวงพ่อ กวยชุตินธโร"ของพวกเรานั้น ท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า ของๆท่านนั้น "นับครั้งไม่ได้"นี่คือสุดยอดแห่งความเข้มขลังแห่งพระเกจิหลังกึ่งพุทธกาล อย่างแท้จริง...

    ...ที่นี้ข้าพเจ้าจะกลับมากล่าวถึงในความตอนเดิมที่ว่า เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปงานพิธีพุทธาภิเษกนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ดำริอยู่ภายในในว่า โอ้!!!เรานี้ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า "หลวงพ่อเกจิดัง" ที่มานั่งปรกในพิธีนี้นั้นหรือไม่ประการใด ชะรอยเรานี้ก็ไม่ได้มีตาทิพย์ตาวิเศษเสียด้วย (ไม่ได้ลบหลู่ท่านนะ) ก็ได้ความว่า บังเอิญได้ที่นั่ง ไปอยู่นั่งอยู่ไกล้ๆ กับธรรมมาสปลุกเสกเรียกว่าอยู่ห่างกันพอสมควร ก็นั่งมองดูท่าน แสดงอากับกิริยาสำรวมดี แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ยิ้ม ไม่มองมาก เรียกว่าไม่ออกหน้าออกตาเหมือนคนอื่น ว่ากันประมาณนั้น สักพักท่าน "หลวงพ่อเกจิดัง" ท่านก็ได้ออกไปจุดเทียนชัย ก็มีเสียง ปี่ ผ้าด ระนาก กลอง โหมกัน เป็นธรรมดา พอท่านหันมาทางข้าพเจ้า ที่นี้ ข้าพเจ้าไม่หลบสายตาท่านเลย ก็ด้วยความที่รู้สึกอยู่เสมอว่า เรานี้ก็ศิษย์มีครู อาวุโสภันเตฯ มันก็อีกเรื่อง ข้าพเจ้าก็นึกดำริในใจว่า "ท่านหลวงพ่อ(เกจิดัง)ถ้ามีเหตุอันใดที่กระผมไปล่วงเกินหลวงพ่อ (เกจิดัง) ละก็ กระผมก็ขอขมาลาโทษในใจตรงนี้เลยนะขอรับ หากอย่างไรเสีย กระผมจะขออนุญาติ ชมบารมีของหลวงพ่อ (เกจิดัง) สักหน่อย เห็นว่าเป็นเสือเก่ากระผมอยากจะรู้แค่เพียงว่า ท่านนั้นสมคำที่เขาลือกันหรือจริงแท้ประการใดกันแน่ กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ใดๆที่ล่วงเกิน ก็ขอให้หลวงพ่อ (เกจิดัง) อย่าว่า กระผมนะขอรับ กระผมอยากจะประจักษ์แก่สายตาจริงๆ ชะรอย จะได้ไม่ให้เกิดความกังขาต่อท่าน (เพราะเดี๋ยวนี้พระเกจิแนวดราม่านั้นมีเยอะ ให้ลูกศิษย์โปรโมทย์) อีกอย่างพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนว่า อย่าพึ่งเชื่อข่าวลือ ว่าแล้วก็สาธุ ในใจ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  17. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    ..."มีดหมออาคมของหลวงพ่อสำแดงอิทธิ์ฤทธิ์"...
    เมื่อกล่าวจบ ข้าพเจ้าจึงเห็น "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้นขึ้นนั่งปรกบนธรรมมาส ทำสมาธิสำรวมจิต และแล้วข้าพเจ้าก็ได้เข้าเจริญภาวนา เมื่อเวลาผ่านไปได้สัก 20 นาที พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าไปเรื่อย จนข้าพเจ้าจิตรู้สึกสงบดี แต่มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าพี่ๆน้องๆเป็นกันบ้างหรือเปล่า ก็เวลาสวดมนต์นั้นตามปกติ ถ้าคนนั้นๆ ก็ถ้าใครมาส่งเสียงดังนิดหน่อย สมาธิมักจะแตกกัน แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นยังไง ยิ่งมีเสียงดังมากกลับยิ่งสงบใจได้ไหวขึ้น เอ่อ! ก็แปลกดีเหมือนกัน เคยถาม ครูบาร์อาจารย์ที่สอนกรรมฐาน เห็นท่านบอกมาว่า ตรงนี้ มันขึ้นอยู่กับจริตของคนแต่ละที่มีคนไม่เหมือนกัน เอ่อ!!!แปลกดี เอ้า เข้าเรื่องต่อดีกว่า ที่นี้พอ ขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาไปจนจิตนั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเบาๆ รู้สึก สบายๆ สงบดี แล้วข้าพก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ณ เวลานั้น พระสงฆืก็ต่างเจริญพุทธมนต์กันไป ไม่มีใครสนใจใครหรอก สนแต่วัตถุมงคลกัน ประมาณนั้น และแล้วทันใดนั้นข้าพเจ้าจึงหยิบมีดหมอลงอาคมของหลวงพ่อออกมา (พอดีมุมที่ข้าพเจ้านั่งนั้นเป็นมุมหลบพอดี) ข้าพเจ้าจึงเริ่มกล่าว องค์การอาราธนาครูบาร์อาจารย์ เริ่มด้วย ตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังธัง ปะกา เสนโต ต่อด้วยพระคาถา เรียกพระแม่ธรณี มาให้มาช่วยเป็นสักขีพยาน ถ้าไม่มา อกร้อนดังเพลิงสุม มี"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"เป็นที่สุด

    ข้าพเจ้าอาธนาบอกกล่าวหลวงพ่อ ว่าขอให้บารมีของหลวงพ่อช่วยเมตตา ให้มีดหมอประจุอาคมเล่มนี้ของหลวงพ่อ จงประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ ให้แก่วัตถุมงคลทุกๆ ชิ้นที่อยู่ในปะรำพิธี เพื่อปกปักรักษาคุ้มครอง พุทธบุตรทั้งหลาย ที่ได้นำไปกราบไหว้บูชา อนึ่ง ด้วยพระพุทธานุภาพ พระธัมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ จักได้ไม่เกิดรอยมลทิน ต่อพระศาสนาของทั้งหลาย ของเราสืบต่อไป พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิ์เม ว่าแล้วข้าพเจ้าก็ได้ใช้ปลายมีดหมอของหลวงพ่อ แตะลงไปที่ด้ายสายสิญ พร้อมทั้งภาวนาว่า เตโชๆๆๆๆๆไปเรื่อย ทันใดนั้นเอง เมื่อข้าพเจ้าได้มองไปยัง "หลวงพ่อเกจิดัง"องค์นั้น ก็ได้พบว่าท่านได้ลืมตาขึ้นจากสมาธิ แล้วมองมาหยั่งบริเวณที่ข้าพเจ้นั้นนั่งอยู่ เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นประการนั้น ก็ได้ชักมีดหมอของหลวงพ่อออกจากด้ายสายสิญ พร้อมกับหันไปที่ท่านแล้วยกมืออภิวาทให้ท่าน เป็นอันประจักษ์แก่สายตาว่าท่านนั้นก็มีดีเหมือนกัน แต่ท่านนั้นก็มิได้แสดงอาการมากจนเกินงาม เพียงแต่หันมามองที่ข้าพเจ้าอยู่ ครู่หนึ่งประมาณ 3 นาที ข้าพเจ้า คิดว่า จิตนั้น ย่องต้องรับรู้ได้ด้วยกระแสแห่งจิตและการที่หลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลของท่านขึ้นนั้น หลวงพ่อก็มิได้มีจุดประสงค์ที่จะให้วัตถุมงคลของท่าน นั้นไปประหัดประหารผู้อื่นเลย เรียกว่าถ้าใครจะใช้ของหลวงพ่อ ของพวกเราไปทำร้ายผู้อื่น เป็นอันว่า หลวงพ่อสะกด พุทธคุณทันที ดีไม่ดี โดนเองเลย อันนี้เรื่องจริง จุดประสงค์ของหลวงพ่อของพวกเรานั้นชัดเจน ดังนั้นการที่ข้าพเจ้าใช้มีดหมอของหลวงพ่อในครั้งนี้ จึงมิได้เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อแต่ประการใดๆ เพราะใจของเรา เราย่อมรู้ดีกล่าวใครๆ ....

    ...."เผาพิธีพุทธาภิเษก"....
    ....เมื่อเสร็จสิ้นพิธีพุทธาภิเษก ข้าพเจ้าจึงปลีกตัวออกทางด้านหลัง ก็เห็นผู้คนต่างพากันลายล้อม "หลวงพ่อเกจิดัง"องค์นั้น เพื่อขอวัตถุมงคลกันอยู่มาก ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ฉงนใจอะไรมาก ก็เดินกลับไปที่รถวัดของข้าพเจ้า แต่ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงของทางโฆษกวัด นั้นประกาศออกไมค์เสียงดังว่า"ขณะที่หลวงพ่อเกจิดังองค์นั้น กำลังเจริญสมาธินั่งปรกปลุกเศกอยู่นั้น อยู่ๆท่านก็ได้นิมิตไปว่า ได้มีแสงสว่างเจิดจ้าอันไม่มีประมาณ ปรากฏขึ้นอยู่ด้านซ้ายมือของปะรำพิธี และทันใดนั้นเองก็ได้มีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา วิ่งลุกโชติช่วงไปทั่วทุกอณูของวงล้อมสายสิญ เปลวเพลิงนั้นร้องแรงมาก ชนิดที่เรียกว่าเผาปะรำพิธีไปทั้งงานเลย ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ประหลาด เช่นนี้มาก่อนเลย จนทำให้ท่านถึงกลับสะดุ้ง คลายออกจากสมาธิ แล้วหันไปมองทางด้านทิศด้านที่มาของนิมิตลำแสงนั้น ก็แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งท่านหันมายกมือไหว้ท่าน เข้าใจว่า ท่านคง อาราธนาครบาร์อาจารย์ของท่านมาช่วยอธิษฐานจิตให้ด้วย ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีงามต่อ วัตถุมงคลชุดนี้มาก และเมื่อท่านเข้าสมาธิและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่พบพระภิกษุองค์เสียแล้ว " จะถามท่านสักหน่อยว่าครูอาจารย์ท่านเป็นใคร ท่านนับถือหลวงพ่อองค์ใด เสียดายจริงๆ ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็รีบยกมือขึ้น สาธุ เลยๆๆ เพราะรู้ดีว่า ต้องเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" แน่ๆบารมีหลวงพ่อที่ท่านช่วยเมตตาสงเคราห์ะห์ต่อ งานพิธีพุทธาภิเษกพีธีนี้ และ เป็นบุญ ของข้าพเจ้าเหลือเกินที่หลวงพ่อท่านได้เมตตา ให้ลูกคนนี้ได้ประจักษ์ในอานุภาพ ของ "เทพศาสตราของท่าน" สุดยอดเกินพรรณนาเหลือนเกิน สาธุ สาธุ สาธุ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" .....

    ....ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้-
    ...พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 4...
    ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
    ...."คนเมืองกาญฯ”...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  18. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดียามดึกค่ะ.....
    อนุโมทนาบุญพี่หนุ่ม....ค่ะที่นำบทความมาให้อ่านมาได้รับความรู้...เพิ่มขึ้น
    และอนุโมทนาบุญพี่เดชาค่ะ ที่นำเรื่องเล่าประสบการณ์ เรื่องราวของหลวงพ่อกวยและบทความธรรมะให้อ่านกันเป็นประจำ

    วันนี้เรียนจบหลักสูตรแล้วค่ะและเคยได้นำที่สิ่งที่เรียนมา มาลงในกระทู้ของพี่หนุ่ม...
    (ขอบคุณพี่หนุ่มค่ะ)...
    วันนี้โชคดีค่ะพระอาจารย์จากสถาบันที่กรุงเทพที่มาเยี่ยมลูกศิษย์ที่ภาคใต้ และมาให้ธรรมะ
    แก่ลูกศิษย์ ซึ่งรุ่นที่เรียนนี้นะคะเป็นรุ่นที่ 28 ของสถาบันพลังจิตตานุภาพ เป็นรุ่นที่ 8 ของที่หาดใหญ่....ถือว่าเป็นรุ่นที่โชคดีค่ะที่ไม่ต้องเดินทางมากรุงเทพ พระอาจารย์มาให้พรถึงหาดใหญ่

    *พระครุปลัดมงคลวัตร ผู้อำนวยการสถาบันพลังจิตตานุภาพวัดธรรมมงคล
    ท่านได้ให้ธรรมะว่า
    การเรียนสมาธิ เป็นการสร้างอริยทรัพยแก่ตัวเอง และได้กล่าวถึง พระพุทธเจ้าว่า ท่านเป็นสุดยอดในการแสวงหาความรู้ และได้เล่าตอนหนึ่งในพุทธประวัติ

    *ครั้นเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช พระนางยโสธราเกิดความเศร้าโศกพระทัยยิ่งนัก ได้ทรงละเว้นการตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับนานาประการ ทรงมีจิตผูกพัน และมีความรักอันลึกซึ้งต่อพระองค์ แม้วัฒนธรรมอินเดียในยุคนั้นจะถือว่า หญิงไม่มีสามีจะถือว่าไม่มีเกียรติ และหญิงนั้นสามารถมีสามีใหม่ได้ แต่พระนางพิมพาก็ไม่สนใจชายอื่นเลย พระนางยังคงเฝ้ารอพระสวามีของพระนางเพียงพระองค์เดียว

    นางพิมพาเมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระประยูรญาติ พระนางพิมพาก็รับสั่งให้ราหุลราชโอรสตามเสด็จพระพุทธเจ้าเพื่อทูลขอราชสมบัติ
    (พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าเราจะให้อริยทรัพย์ ให้ธรรม หากให้สมบัติก็จะเกิดทุกข์
    ท่านพระอาจารย์กล่าวแบบอารมย์ขันค่ะว่า .....เหมือนแม้แต่เรานอนในห้องแอร์แสนสุขสบาย ที่คิดว่าสุขสบายก็เป็นทุกข์ ทุกข์นั้นไม่หมด ไม่เหมือนให้อริยทรัพย์)

    อริยทรัพย์-คือทรัพย์ภายใน หมายถึงบุญกุศล ที่สร้างสมเอาไว้ ใครก็แย่งเอาไปไม่ได้ แม้แต่ธรรมชาติเช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือโจร เป็นต้น ผู้มีปัญญา จะเปลี่ยนทรัพย์ภายนอกเป็นทรัพย์ภายในๆ จะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติจนกระทั่งถึงพระนิพพานทีเดียว
    มี 7 ประการ ได้แก่
    ศรัทธา-ศีล-หิริ-โอตตัปปะ-พาหุสัจจะ-จาคะ-ปัญญา.....

    อริยทรัพย์- คือ ทรัพย์ที่ไม่มีศัตรู ไม่มีใครแย่งไปได้ ซื้อหาเอาไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง คือ ความดีที่ประเสริฐ 7 ประการ
    1.ทาน-ต้องให้ หรือสละสิ่งที่ดี เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
    2.ศีล-ละความชั่วทุกชนิด
    3.หิริ-ละอายต่อความชั่ว
    4.กลัวบาปกรรม
    5.ฟังมาก-ศึกษามาก รู้มาก
    6.มีปัญญา
    7.จาคะ-ละกิเลส ตัณหาได้......

    อริยทรัพย์ คือความดีที่ประเสริฐ

    *จึงพุทธเจ้าทรงให้พระสารีบุตรเอาพระกุมารไปบวช ทรัพย์นี้ก็ไม่มีใครปล้น หรือนำเอาไปได้ พระราหุลไปบวชเป็นสามเณรองค์แรก ปัญญาแตกฉาน ปัญญามาก เป็นผู้สุดยอดในการแสวงหาความรู้ ฝนตกนับเม็ดได้เลย....

    พระอาจารย์กล่าวต่อไปว่า การเรียนรู้ทุกอย่างต้องอาศัยสมอง ต้องจัดระบบสมองดีสมองเป็นส่วนกลางของร่างกาย เรามีประตู 6 บาน
    ตาก็ต้องการจะดูต่างๆในสิ่งที่อยากจะดู
    หูก็อยากจะฟังต่างๆในสิ่งที่อยากจะฟัง
    จมูกก็อยากที่จะได้ทราบกลิ่นต่างๆที่อยากจะได้
    ลิ้นก็อยากจะได้ทราบรสต่างๆที่อยากจะทราบ
    กายก็อยากที่จะถูกต้องสิ่งถูกต้องต่างๆที่อยากจะถูกต้อง
    มโนคือใจก็อยากที่จะคิดเรื่องต่างๆที่อยากจะคิด

    ประตูเหล่านี้มาปิดบัง บางครั้งเกิดมึนงง พอเราได้มาเรียนมาสมาธิ สมาธิก็จะมาจัดระบบให้ทิศทางเข้าออกถูกต้อง
    -การคิดดี จิตมีพลัง สั่งสมอง
    *การทำสมาธิบ่อยๆ ทำให้ปัญญาดี สุขภาพร่างกายดี และได้บุญวาสนาเพิ่มบุญกุศลให้ตนเอง คิดอะไรก็ดี ชีวิตมีความสุข
    "ดอกไม้หลากสี แต่ถ้ามาร้อยเรียงรวมกัน ก็ทำให้สวยงาม"
    *การทำสมาธิทำทุกวันอย่างต่อเนื่องและเสมอก็จะเห็นผลที่กล่าวข้างต้น
    เรามาสั่งสมบารมีให้แก่ตนเองแล้ว และอย่าลืมเผื่อแผ่ให้คนอื่น เป็นเมตตาบารมี
    -ให้ความสุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงเราเป็นบุญวาสนาข้ามภพข้ามชาติ คนมีบุญมาเกิด พบแต่หนทางดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2011
  19. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    พระอาจารย์อีกท่านค่ะ ที่มาเยี่ยมลูกศิษย์ทางใต้ ท่านได้ทุนและเรียนจบจากต่างประเทศค่ะ
    พระราชญาณกวี รองเจ้าอาวาสวัดพระราม๙กาญจนาภิเษกท่านได้ให้พรค่ะ

    เรียนวิชาพระพุทธเจ้าใจเห็นเป็นสัมผัส เวลามีความทุกข์ทำให้เราพ้นทุกข์
    พลังจิตตานุภาพมีพลังยิ่งใหญ่ ให้เราเพิ่งเตรียมใจจะได้ไม่ดีใจเกินไปเสียใจเกินไป
    เวลาผิดหวังก็จะอยู่กึ่งกลาง เราได้มิตรภาพที่ดี ได้กัลยามิตร ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนหลอกลวง เราจะปลอดภัย มีเพื่อนเยอะที่จริงใจ จะเจอแต่คนที่เป็นฝ่ายให้พร้อมช่วยเหลือ คอยประคับประคองกันให้อภัยแก้ไข "ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นคำสอนที่หลวงปู่มั่นทีสอนบอกลูกศิษย์ อาตมาได้มาเยี่ยมเยือนวันนี้ ก็ขอให้บุญกุศลคุ้มครองให้ร่มเย็นเป็นสุข...

    นำภาพบรรยายกาศมาให้ชมค่ะ...อาจถ่ายไม่ชัดนะคะเพราะไม่คิดว่าพระอาจารย์ท่านจะมาในวันนี้ .......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2011
  20. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    นำมาให้อ่านค่ะ

    อ้างอิงบางตอนจาก...
    http://www.mahayana.in.th/tsavok/tape/047%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B416.html

    มีพี่ครูสมาธิท่านหนึ่ง ก่อนพระอาจารย์จะกลับ ท่านก็เล่าบอกว่าเมื่อก่อนท่านคิดฆ่าตัวตายหลายครั้งแต่เมื่อมาเรียนสมาธิ ก็ทำให้จิตใจดีขึ้นเปลี่ยนความคิดนั้นเสีย ตอนนี้ท่านก็ได้มาเป็นครูพี่เลี้ยงสอนธรรมะให้กับรุ่นน้อง......

    สมาธินำมาใช้ในชีวิตประจำได้

    ถ้าเรากลัวทุกข์ เราก็จะไม่พ้นจากทุกข์
    ถ้าเราต้องการจะพ้นจากทุกข์ เราก็ต้องค้นหาตัวทุกข์
    ถ้าเราเจอตัวทุกข์ เราก็จะกำจัดตัวทุกข์ได้
    อาจารย์กงมา จิรปุญโญ


    การทำสมาธิ คือการทำจิตให้ปราศจากอารมณ์
    เมื่อทำได้แล้ว จิตจะเบาสบาย เกิดเป็นความสุข
    พระเทพเจติยาจารย์
    (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร)


    หลับฝันดีค่ะ
    บุญรักษาทุกท่าน
    อนุโมทนาบุญ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...