ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย manforlove, 6 สิงหาคม 2012.

  1. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    รักกัน รักกัน
     
  2. chaiwat88

    chaiwat88 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +275
    การเททองหล่อพระก็เป็นบุญอย่างนึ่ง(ก็เป็นการให้ทานอย่างนึง)
    การถือศิลก็เป็นบุญอย่างนึ่ง
    การทำสมาธิก็เป็นบุญอย่างนึง
    การใช้ปัญญาหรือวิปัสสนาถอดถอนกิเลสก็เป็นบุญอย่างนึง
    แล้วแต่กำลังบุญบารมีที่จะหยิบใช้เลือกใช้
    ความดี คามชั่ว เราเลือกได้ที่จะทำมันได้ ไม่ต่างจากบุญเราก็เลือกได้ที่จะทำแบบไหน
    อยากรวยก็ให้ทาน
    อยากรูปงามก็ให้รักษาศิล
    อยากหวังหลุดพ้น ก็ต้องสมาธิและปัญญา
    แม้แต่นิพพาน ความเป็นพุธธะ ความเป็น GOD ความเป็นเทพ เป็นพรมห ความเป็นมนุษย์
    ทุกดวงจิตเลือกที่จะเป็นได้หมด อยู่ที่กำลังบุญบารมีของแต่ละคนจะทำได้สำเร็จถึงแค่ไหน
    การเดินทางของแต่ละคนนั่นไม่เท่ากันจะให้คนที่อยู่ต้นทางหรือกลางทางมองเห็นเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ปลายทางนั้นย่อมทำได้ยากยิ่ง ก็ไม่ต่างจากประเด็นที่ ขจก.ตั้งกระทู้ขึ้นมา
     
  3. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ขออนุญาตขุดหน่อยครับ พอดีไปทำบุญมาระหว่างทางมีคนเปิด CD อสีติมหาสาวกให้ฟังผมคิดว่าได้คำตอบในหลายๆเรื่อง (เป็นเสียงคนอ่านประกอบดนตรี แต่ยังไม่ได้ตรวจทานว่ามาจากบทใดของพระไตรปิฎก ไม่แน่ใจว่าคิริมานนท์สูตรรึเปล่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องนิพพานโลกีย์กับโลกุตระนิพพานน่ะครับ) จริงๆฟังแล้วได้ประโยชน์หลายเรื่องแต่ขอยกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ละกัน
    - มีตอนหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า"ผู้ที่ดูหมิ่นพระพุทธรูป สถูป เจดีย์ ทำลายสิ่งเหล่านั้นรวมถึงต้นพระศรีมหาโพธิ์ถือเป็นผู้ทำลายศาสนา เป็นกรรม ยกเว้นว่าทำในทางสร้างสรรค์เช่นเห็นว่าพระพุทธรูปไม่สวยจึงทุบเพื่อสร้างใหม่หรือต้นโพธิ์นั้นอาจไปทำลายถาวรวัตถุจึงต้องตัดทิ้ง...." จำคร่าวๆได้ประมาณนี้ ใครพอจะมีความรู้เรื่องนี้หรืออ่านพระไตรปิฎกในส่วนนี้จะยกมาก็ได้
    - พระพุทธเจ้าสอนว่า ผู้ที่รู้จักนิพพานได้เท่านั้นจึงจะสอนผู้อื่นไปนิพพานได้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สุขุมอย่างมาก ถ้าไม่รู้จักนิพพานก็ไม่สามารถสอนได้หรืออาจสอนให้ไปผิดทาง ดังนั้นครูบาอาจารย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนองคุลีมารที่ได้อาจารย์สอนในทางผิดจึงเดินทางผิดในช่วงแรก
    - ผู้ที่จะคุยกับผีกับวิญญาณได้มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ ผู้ที่ยังไม่บรรลุแต่อ้างว่าคุยกับผีกับวิญญาณได้คือพวกอวดอุตริ... เพราะการจะไปสั่งสอนพวกผีวิญญาณให้พ้นทุกข์ทั้งที่ตัวเองยังไม่พ้นก็จะโดนพวกผีเขาหัวเราะเอา... (ประมาณนี้)
    เดี๋ยวไว้ถ้ามีเวลาจะไปอ่านเพิ่มเติม มีประเด็นอะไรน่าสนใจจะมาบอกเพิ่มครับ

    (จำมาได้แค่นี้ ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วย)

    ปล. เพิ่มเติมเรื่องพระพุทธรูป
    ไม่ทราบมีใครเป็นแบบผมบ้าง เดิมผมเคยคิดว่าการนอนหน้าพระประธาน/พระบรมสารีริกธาตุเป็นสิ่งที่ดี ได้อยู่ใกล้ๆพระพุทธรูปจะได้บารมีจากท่าน แต่พอลองไปนอนเข้าจริงๆนอนไม่หลับจนต้องย้ายหนี เคยเป็นที่วัดมาก่อน พอมีห้องพระของตัวเอง ช่วงถือศีล 8 ไปก็ลองไปนอนหน้าหิ้งพระดูก็นอนไม่หลับ ต้องย้ายที่นอนเยื้องออกมา พิจารณาเอาเองว่าบางทีอาจไปขวางทางเทวดาที่จะมากราบไหว้รึเปล่า เวลานอนท่านอนก็คงไม่เรียบร้อยอาจไม่เหมาะสมกับสิ่งที่ควรเคารพบูชา แต่ก็ไม่เคยได้ถามใครเรื่องนี้ ยังลังเลว่าคิดไปเองรึเปล่า ล่าสุดที่ไปวัดมาก็เห็นมีที่ว่างหน้าพระประธานเลยไปกางมุ้งนอน(หาทื่ไม่ได้) ปรากฎนอนไม่หลับต้องลุกหนีไปนั่งหลับเอา เลยลองกลับมา search ดูในเน็ตก็เห็นว่ามีคนเตือนเรื่องการนอนหน้าพระพุทธรูปหรือหิ้งพระว่าไม่ควรเพราะกลางคืนจะมีพวกเทวดามาสักการะ (ยังไม่ถามพระเรื่องนี้ แค่เคยได้ยินพระท่านเล่าว่าได้พระธาตุหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาจึงไว้ที่หิ้งบูชาในกุฏิ เตียงท่านติดกับหิ้ง ไม่ได้อยู่หน้าหิ้งแต่ก็นอนไม่ได้ต้องย้ายที่นอน) เลยขอถามท่านอื่นบ้างว่าเคยประสบแบบนี้บ้างหรือไม่ ก็ในเมื่อเทวดายังกราบ การที่จขกท.อ้างว่าเทวดาห้ามไม่ให้ทำก็คงไม่จริง

    ปล.2 ผมว่าคนดีเขาไม่มาเกี่ยงความดี จะบุญน้อยบุญมากเขาก็ทำ บางคนเข้าวัดทำบุญแต่เห็นคนแก่ข้ามถนนไม่คิดจะช่วยเพราะไม่ใช่ทางไปนิพพานอย่างงั้นหรือ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คิดว่าช่วยคนแก่ข้ามถนนมีประโยชน์กว่าไปทำบุญที่วัด เอาเป็นว่า รู้ว่าอานิสงส์บุญเป็นอย่างไร ถ้ามีโอกาสได้ทำจะมากจะน้อยก็ทำไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2012
  4. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ทบทวนมรรคมีองค์ 8 จากวิกิ
    สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึง การปฏิบัติอย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
    สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
    สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดต้องสุภาพ แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
    สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
    สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น ๆ มากเกินไป
    สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
    สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
    สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ

    ที่จขกท.ย่นย่อมาว่าเป็นศีล สมาธิ ปัญญานั้น การหล่อพระพุทธรูปผิดศีลหรือไม่
    ไม่ว่าศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือศีล 227 ข้อก็ไม่มีข้อใดห้ามหล่อพระพุทธรูปนี่ครับจะเรียกว่าขัดขวางนิพพานได้อย่างไร
    และผมกลับมองว่าเป็นการทำกุศล ประพฤติดีงามซึ่งก็อยู่ในมรรคมีองค์ 8

    ดังนั้นจขกท.ก็คงทราบดีว่ามรรคมีองค์ 8 ต้องประกอบกัน ไม่ได้มีเพียงสมาธิหรือนั่งภาวนาอย่างเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2012
  5. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    การหาวัสดุที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะทนที่สุด ล้ำค่าที่สุด ประณีตที่สุดเพื่อแสดงความเคารพศรัทธาต่อพระศาสนาก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่อย่างที่เคยบอกว่าการทำบุญไม่ได้ขึ้นกับปริมาณเงินเสมอไป ดังนั้นจะทำอะไรก็พิจารณาก่อนว่าควรแก่บุคคล กาลเวลา สถานที่หรือไม่ เช่น จะสร้างพระประธานใหญ่ๆแต่ไม่ดูขนาดโบสถ์ หรือจะสร้างพระทองคำมีค่าแต่พระดูแลไม่ไหวเสี่ยงภัยเรื่องโจรหรือเปล่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...