ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 3 มีนาคม 2009.

  1. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จ๊ากกกกกกก พี่ บาปนะนั่น เอาของวัดมาเป็นของตัว ไม่ได้ค่ะไม่ได้ เขาถือว่าของที่พระท่านได้มาถือเป็นของคณะสงฆ์ทั้งวัด ถ้ากินที่วัดอ่ะได้หลังจากที่พระท่านฉันแล้ว แต่ไม่ให้ขนกลับ ก็เข้าใจนะว่าของที่ได้มาน่ะมันเยอะ บางทีพระท่านก็แจกให้ชาวบ้าน ตามจริงเลยถึงจะแจกให้ชาวบ้านก็ต้องให้พระท่านทั้งหมดยินยอมนะคะ แต่คิดว่าหลังๆมานี่คนจะไม่ค่อยรู้มั้ง แล้วก็คงอนุโลม

    แต่ถ้าเป็นสิ่งของสังฆทานละก็ ถึงแม้ว่าพระองค์เดียวอนุญาตก็ไม่ได้ค่ะ ต้องพระทั้งหมดเห็นพร้อมด้วย เพราะเป็นของส่วนรวมค่ะ ไม่งั้นพระองค์นั้นก็บาปค่ะ คนเอาก็บาปด้วย ส่วนเรื่องอาหารที่ไปเอามานี่ ฟังจากที่เล่าเหมือนตาจงแกทำจนเป็นปกติโดยที่ไม่ต้องรอให้พระอนุญาตซะด้วย เรียกว่าถือวิสาสะเอามาเองโดยพละการ แถมยังเลือกแต่ของดีๆมาอีกด้วย บาปหนักเลย จะลบล้างบาปนี้ก็ต้องไปชำระหนี้สงฆ์ละค่ะ
     
  2. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    skype คือโปรแกรมเอาไว้คุยกันผ่านไมค์หรือการพิมพ์โต้ตอบกันครับ
    ซึ่งการเล่นก็คล้ายๆMSN แต่ว่ามีข้อแตกต่างกันครับ
    การคุยกันด้วยไมค์คุยได้ไม่เกิน๒๕ท่าน(รวมตัวเราแล้ว)
    การพิมพ์ก็ไม่แน่ใจว่าเท่าไรแต่เคยเล่นก็รับได้เรื่อยๆ
    ;k07
     
  3. konkangwad

    konkangwad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +5,910
    ยังอยู่คับอ่านด้วยสองห้องเลย
     
  4. konkangwad

    konkangwad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +5,910
    บางเรื่องนะที่เราทำอยู่มันก็ดีอยู่แล้วแต่มันยังไม่ครบเขาเลยมาเตือนพอครบแล้วยิ่งดีมากขึ้นไปอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2009
  5. Sailomsuksikee

    Sailomsuksikee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +573

    อุ้ยยยย ดูดบุหรี่นี้ผิดศิลข้อห้า ด้วยหรือเปล่าครับ
     
  6. มนตรา_นาคี

    มนตรา_นาคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +179
    วันนี้มีเรื่องมาให้อนุโมทนาแบบหยี๋ ๆ ค่ะ

    วันนี้มีเรื่อง ศีลขาดดีกว่าตัวตาย เอ้ย ตัวตายดีกว่าศีลขาดค่ะ

    วันนี้ตอนบ่ายโมไปเข้าห้องน้ำวัด ด้วยความรีบเลยตักน้ำราดส้วม

    โดยที่ไม่ได้ดูในขันว่ามีแมลงอยู่หรือเปล่า ราดลงไปเลย

    ปรากฎว่าแมลงตกลงไปรูส้วม ห๊า อะไรนะ อ้อ..คอห่าน

    ทำยังไงดีแว้ ตักก็ไม่ได้ เพราะขันใหญ่กว่ารู เอ้ย คอห่าน

    ราดลงไปก็ไม่ได้ เดียวแมลงตกลงไป หาอะไรข้าง ๆ ก็ไม่มีซักอย่าง

    เอาล่ะฟร่ะ อาวุธประจำกาย..จิ้มลงไปให้มันเกาะ 555++

    อาวุธนั้น คือ นิ้วของหนูเองค่ะ หยึ๋ยยย อย่าเพิ่งขยะแขยงไป

    รู้ซึ้งถึงคำว่า ยอมตายดีกว่าศีลขาดทั้นดี โฮ๊กกกกกกกกก

    เด็กขี้สงสัยมีคำถามค่ะ

    บุญที่หนูมีมันก็จิดเดียว ถ้าแผ่ส่วนบุญ อุทิศส่วนกุศลไปหมด

    หนูก็ไม่มีซิค่ะ (คำถามโง่ ๆ ของเด็กขี้สงสัยค่ะ)

    วันนี้ไปสอบมา กราบขอบพระคุณพี่มีมายเซลงาม ๆ ที่กรุณา

    แผ่ส่วนบุญให้ ทำให้วันนี้เห้นคำตอบในข้อสอบพ่ะย่ะค่ะ

    ใครจะทำตามหนูได้นะ ไม่สงวนลิกสิทธิ์ แต่ขอบุญจากพี่มีมายเซล

    เอาเองนะคร้า กิกิ

    เคล็ดลับมันอยู่ที่ ก่อนเข้าห้องสอบ ให้แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ

    ส่วนกุศลให้เจ้าที่เจ้าทาง รุขเทวดา นางไม้ วิญญานสัมภเวสีที่อยุ่ใน

    เขตมหาวิทยาลัย..หนูไม่ได้ติดสินบนเจ้าพนักงานนะค่ะ

    แค่ขอความเมตตาเอ็นดูจากพนักงานเท่านั้นเอง ฮา ฮา ฮา+++

    แต่ถ้าใครทำแล้วยังไม่ได้ผล ขอให้พึ่งคนข้าง ๆ ไปก่อนนะค่ะ

    ;aa44​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2009
  7. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มีหลายคนที่อยู่ต่างแดนแล้วยังไม่เคยฝึกมโนมยิทธิแล้วอยากฝึก ก็มาถามดิฉัน บางทีมันก็บอกอยากอยู่ เพราะไอ้เรามันก็ไม่เคยไปฝึก ว่าแล้วก็เอาข้อความที่เคยเซฟเก็บไว้มาแปะให้อ่านกันก็แล้วกันค่ะ ก็เอามาจากคนในเวปนี้แหละ แต่ว่าลืมชื่อไปแล้ว ท่านเขียนออกมาตามประสบการณ์ของท่าน ยังไงก็ขอยกความดีนี้ให้กับเจ้าของต้นฉบับนะคะ อนุโมทนาในบุญนี้ด้วยค่ะ

    ---------------------------------------------------------------------

    คำสมาทานพระกรรมฐาน

    แบบวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา




    คำบูชาพระรัตนตรัย<O:p


    โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ สวากขาโต เยนะ ภะคะวาตา ธัมโมสุปะฎิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆังอิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปิเตหิ อภิปูชะยามะ สาธุ โน ภันเต
    ภะคะวา สุจิระปะนิพพุโตปิ ปัจฉิมมาชะนะตานุกัมปะมานะสา อิเมสักกาเรทุคคะตะปัณณาการะภูเต ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆรัตตัง หิตายะ สุขายะ

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ)
    สวาขาโต ภะคะวะตาธัมโมธัมมัง นะมัสสามิ(กราบ)
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโตสาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

    คำขอขมาพระรัตนตรัย

    <O:p</O:p

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะทวารัตตะเยนะ กะตัง

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เมภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

    <O:p</O:p

    คำสมาทานพระกรรมฐาน


    (หลวงพ่อนำ)หันทะ มะยัง พุทธัสสะภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส

    (ว่าพร้อมกัน 3 ครั้ง)นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    อิมาหัง ภะคะวาอัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะฉามิ

    ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอมอบกาย ถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุธเจ้าข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมามีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงเป็นที่สุดขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะ พระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพพระพุทธเจ้า ณกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะเมฆจิตสามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกขณะจิตทีปรารถนาจะรู้เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการเหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้นโดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    เมื่อ หายใจเข้าภาวนาว่านะ มะหายใจออกภาวนาว่าพะทะ


    อานิสงค์ในการฝึก " ฤทธิ์ทางใจ "

    <O:p</O:p

    1. ดอกไม้ 3 สี / ธูป 3 ดอก / เทียนหนัก 1 บาท 2 เล่ม / ได้อานิสงค์ เบื้องต้น คือ " อามิสบูชา "แก่พระพุทธเจ้า

    <O:p</O:p
    2. บริจากเงิน 1 สลึง หรือ 1 บาทเป็นค่าบูชาครู ( คือ พระรัตนตรัย ) ได้อานิสงค์ ใน " จาคานุสสติกรรมฐาน "

    <O:p</O:p
    3. สมาทานพระกรรมฐาน ก่อนทุกครั้ง ได้อานิสงค์ใน " พุทธานุสติ ธรรมมานุสสติ สังฆานุสติ " และ " อิธิษฐานบารมี "
    <O:p
    4. เมื่อเริ่มนั่งสมาธิ จิตทรงตัวในดีเบื้องต้น ว่างจากกิเลสชั่วขณะ วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ได้ชื่อว่า "เป็นผู้ไม่ว่างจากฌาน " ได้อานิสงค์ หากตายตอนนั้นได้อยู่ที่สวรรค์ก่อน

    <O:p5. เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจ เข้า / ออกได้อานิสงค์ " อานาปานุสติกรรมฐาน "

    6. เมื่อบริกรรมภาวนา " นะ มะ / พะทะ"รวมกำลังของกสิณ หากฝึกได้เชี่ยวชาญแล้ว จะทรงอภิญญา 5
    <O:p
    นะ ในที่นี้ท่านหมายถึง ธาตุดิน ได้อานิสงค์ของ " กสิณดิน "
    มะ ในที่นี้ท่านหมายถึง ธาตุน้ำได้อานิสงค์ ของ " กสิณน้ำ "
    พะ ในที่นี้ท่านหมายถึงธาตุลม ได้อานิสงค์ ของ " กสิณลม "
    ทะในที่นี้ท่านหมายถึง ธาตุไฟ ได้อานิสงค์ ของ " กสิณไฟ "<O:p
    <O:p
    7. เมื่อในขณะ บริกรรม ภาวนา ตามลมหายใจ เข้า /ออก ให้กำหนดพุทธนิมิต ให้จิตป็นผู้รู้ จิตเป็นผู้เห็น ได้อานิสงค์
    " พุทธานุสสติ " ในบางกรณี ระลำถึงพระอริยสงฆ์ได้อานิสงค์ " สังฆานุสสติ "<O:p
    </O:p
    8. เมื่อขณะจิตทรงอารมณ์ฌาน ที่ 1 2 3 4 ได้อานิสงค์ ขององค์ฌานต่างตามลำดับ เบื้องต้น จะเกิดความคล่องตัว ในวิปัสสนาญาณและได้อานิสงค์ ในการเกิดในพรหมโลก ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึง 12 ตามแต่กำลังใจในการเข้าฌานได้
    <O:p</O:p

    9. เมื่อมาตั้งกำลังใจในการพิจารณา ใน "อริยะสัจจะ " ข้อที่ 1 คือ " ทุกข์ " ในเบื้องต้นอันได้แก่
    <O:p
    ( ๑ ). ความเกิดเป็นทุกข์
    ( ๒ ). ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์
    ( ๓ ). ความพลัดพรากของรักของชอบเป็นทุกข์
    ( ๔).ความแก่ที่ย่างก้าวเข้ามาเป็นทุกข์
    ( ๕ ). ความตายที่ก้าวเข้ามาเป็นทุกข์
    <O:p
    ได้อานิสงค์ ใน " ธรรมมานุสสติกรรมฐาน "เนื่องด้วย " วิปัสสนาญาณ 9 "
    <O:p
    10. เมื่อตั้งใจอธิษฐานว่าขึ้นชื่อว่าการเกิดใน พรหมโลก เทวะโลก มนุษยโลก อบายภูมิ4 เราไม่ต้องการที่จะไปเกิดอีก ภายหลังจากตายไปในชาตินี้ เราขอมุ่งตรงอย่างเดียวคือพระนิพพาน ได้อานิสงค์ " ขณิกะนิพพาน " ในขณะนั้นจิตจะว่างจากกิเลสชั่วขณะเข้าสู่กระแสแห่ง อริยะเจ้าเบื้องต้น ( พระโสดาบัน ต้นๆ ) ชั่วขณะ
    <O:p
    11. จึงเกิดเป็นทิพย์จักขุญาณหรือเป็นผลของอภิญญานั้นเอง ได้อานิสงค์ ให้ถอด " อทิสมานกาย "ได้เพราะจิตว่างจากกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองร้อยใจ<O:p
    <O:p
    12.เมื่อได้พบพระพุทธเจ้าที่นำอทิสมานกายไปสู่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ได้อานิสงค์ พุทธานุสติเมื่อได้พบพระอริยะสงฆ์ ที่นำอทิสมานกายไปสู่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ได้อานิสงค์สังฆานุสติ
    เมื่อได้พบ เทวดา หรือ พรหมที่นำอทิสมานกายไปสู่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ได้อานิสงค์ เทวตานุสติ
    <O:p
    13. เมื่อได้บารมีมาถึงลำดับที่ 12 นี้แล้วความดีเดิม ที่เคยฝึกได้ " อภิญญา 5 " จะรวมตัวกันจนเป็นผลในชาติปัจจุบันเป็นอภิญญา เล็กๆน้อยๆ คือ ทิพยจักขุญาณ และ " ฤทธิ์ทางใจ " นั้นเอง ได้อานิสงค์สามารถที่จะท่องเที่ยว ใน อบายภูมิ 4 , มนุษยโลก , เทวะโลก , พรหมโลก , และเมืองพระนิพพาน ในที่สุด
    <O:p
    14.เมื่อได้ " ฤทธิ์ทางใจ " แล้วจะได้อานิสงค์ เป็นความรู้ตามมาอีก 8 อย่าง หรือ ญาณ 8 นั้นเองวึ่งท่านจะได้ศึกษาในเนื้อหาต่อไป
    <O:p
    15. เมื่อรู้ความไม่เที่ยงใน ภพทั้ง 4 แล้วและรู้ความเที่ยงในพระนิพพาน "จิตก็จะเบื่อหน่ายในการเกิด ในภบทั้ง 4 และตั้งกำลังใจไว้ที่พระนิพพาน เพียง สถานที่เดียว ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้เองขอให้ข้าพระพุทธเจ้า และหมู่คณะจงได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด<O:p></O:p>

    2.คู่มือการฝึก " ฤทธิ์ทางใจ "ในเชิงปฏิบัติการ

    <O:p
    เป็นการประมวลประสพการณ์ในการปฏิบัติธรรม ฤทธิ์ทางใจในแง่มุมของการปฏิบัติ ธรรม ดังนี้ ในทางธรรม

    2.1. การตั้งกำลังใจในขณะฝึก
    2.2.การศึกษาวัตถุประสงค์หลัก ในการฝึก " ฤทธิ์ทางใจ "
    2.3.ผลจากการฝึก "ฤทธิ์ทางใจ " 8 ประการ
    2.3.1.วิธีพิจารณาเพื่อมาเป็น " อาสวคยญาน "
    2.3.2.เพื่อใช้ควบคู่กับทางโลก โดยไม่ให้ "เสียหายในทางธรรม "
    2.3.3.จึงยังสังขารให้อยู่ดีมีสุขตามแต่อัตภาพ
    <O:p
    การตั้งกำลังใจในขณะฝึก ฤทธิ์ทางใจ

    2.1. การตั้งกำลังใจในขณะฝึก สำหรับ" ท่านที่ฝึกใหม่ " หรือ "ท่านที่เคยฝึกแล้วแต่ยังไม่ได้ ฤทธิ์ทางใจ ควรที่จะเตรียมกำลังใจ ไว้ก่อนพอสมควรดังนี้
    ๑.เป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นเบื้องต้น
    ๒.เป็นผู้ให้ทานตามสมควร หรือ ค่าครู
    ๓. เป็นผู้ที่รักษาศีลดี เป็นปรกติ
    ๔.มีจิตต์ตั้งมั่นในสมาธิ ตามแต่กำลังใจของตน "ท่านหมายเอาถึงจิตต์เป็นสุข เป็นเกณฑ์ "
    <O:p
    หรือทรงฌาน ในระดับต่าง ( ได้แก่ คณิกสมาธิอุปจาระสมาธิ ฌานที่ ๑ / ฌานที่ ๒ / ฌานที่ ๓ / ฌานที่ ๔ ) หรือ ( อรูปฌาน ๑ /อรูปฌาน ๒ / อรูปฌาน ๓ / อรูปฌาน ๔ ) ควรที่จะปฏิบัติสมาธิให้มีความต่อเนื่อง
    <O:p
    ในกรณีที่ต้องการฝึก "ฤทธิ์ทางใจ " แบบครึ่งกำลังควรที่จะตั้งกำลังใจดังนี้
    <O:p
    ๔.๑. กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกตามความเป็นจริง เช่น จังหวะในการหายใจเข้าสั้นหรือยาวก็มีสติรู้และรักษาระดับจังหวะในการหายใจนั้น
    ๔.๒.กำหนดรู้ในคำภาวนา ให้ควบคู่กับลมหายใจ คือ เมื่อหายใจเข้า นึกรู้อยู่ในใจว่า " นะมะ " กำหนดรู้ในคำภาวนา ให้ควบคู่กับลมหายใจ คือ เมื่อหายใจออก นึกรู้อยู่ในใจว่า "พะ ทะ "
    ๔.๓. กำหนดรู้ในภาพนิมิต ของ " พระพุทธเจ้า " หรือ " พระอริยะสงฆ์ " ในอิริยาบทต่างๆ หรือ ตามความพอใจ หรือ จินตนาการความจำ (สัญญา คือ การจำได้หมายรู้ ในนิมิต )
    ในกรณีที่จำภาพนิมิต ไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนอารมณ์จิต หรือบังคับจิตต์ให้มีความรู้สึกว่าเห็น เพราะจะทำให้เกิดความหนักใจ
    ๔.๔. อิริยาบท ๔ ให้เลือกใช้อิริยาบทอย่างใดอย่างใดอย่างหนึ่งตามความพอใจ ในอิริยาบทนั้นๆ
    ๔.๕.ระยะเวลาในการปฏิบัติสมาธิ หมายเอาอารมณ์จิตต์ที่เป็นสุขเป็นเกณฑ์ เช่น ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที หรือ ๓๐ นาที เป็นต้น<O:p
    <O:p
    ลำดับขั้นตอนการฝึก "ฤทธิ์ทางใจ " แบบครึ่งกำลัง มีขั้นตอนดังนี้<O:p
    <O:p
    1. สมาทานพระกรรมฐาน ก่อน
    2..นั่งในท่าที่สบาย ๆ มือวางแบบสบาย ๆ (ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ)
    3..ก่อนภาวนาหายใจเข้า และ ออกให้ลึกสุด ๆ 3 ครั้ง
    4..ผ่อนคลายลมหายใจให้อยู่ในระดับปกติ แล้วนำสติ-สัมปชัญญะ ไปรับรู้ ลมหายใจเข้าและออก
    5..นำสติ-สัมปชัญญะไปรับรู้ " คำภาวนา "เมื่อหายใจเข้าให้ท่องในใจว่า '' นะ มะ '' เวลาหายใจออกว่า " พะ ทะ '' จะท่องเป็นคำออกเสียงก็ได้ นะครับ แต่ว่าอาจทำให้เกิดการสับสนจนในที่สุดกว่าจะเข้าถึง ฌาน ได้ จะเสียเวลามากไปได้นะครับ
    6..ระหว่างที่ภาวนา ให้แยก สติ-สัมปชัญญะ ความรู้สึกออกไปส่วนหนึ่งไปทำการระลึกถึง พุทธานุสสติ โดยให้ระลึกถึง พระพุทธรูปองค์ใดก็ได้ที่ท่านชอบที่สุด<O:p
    ระลึกถึง พระพุทธรูปองค์ใดก็ได้ที่ท่านชอบที่สุด (ตรงนี้อาจจะลำบากสักนิด เพราะบางท่านที่ ฌาน ยังไม่ทรงตัวอาจทำให้รูปพระพุทธรูปไม่ชัดเจน ไม่เป็นไรนะครับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นก่อน ไม่ต้องเพ่งจนทำให้ปวดหัวหรือปวดตานะครับ หรือบางท่านอาจจะไม่ได้ชอบองค์ไหนเป็นพิเศษก็จะทำให้ระลึกถึง ยากหน่อย ตรงนี้ขอแนะนำให้ท่านลองใช้ จินตนาการก่อนสักนิดให้พยายามนึกถึงว่าให้เป็น รูปร่างของ พระพุทธรูปก่อนแต่ยังไม่ต้องคิดถึงรายละเอียดขององค์พระท่านนั้นครับ รับรู้แค่นี้ก่อนก็พอแล้วหลัง ๆ ไปความชัดเจนจะมีมากขึ้นไปเองครับ ถ้ารีบเพ่งแล้วจะปวดหัวปวดตาได้ครับเทียบการระลึกถึง พระพุทธรูปได้กับ ปฏิภาคนิมิต ( ในกสิณ )จนเมื่อจิตทรงตัวระดับหนึ่งแล้ว ภาพพระพุทธรูปจะชัดมากขึ้นจัดเป็น อุคนิมิต (ในกสิณ ) และจะเริ่มทรงตัวใน ฌาน ระดับต่าง ๆ เริ่มจาก 1 ถึง 4 ตามลำดับและให้ตัดอารมณ์ฟุ้งซ่านใน ระดับต้น ๆ ออกก่อน

    7..ภาวนาใช้เวลาพอสมควร ท่านผู้เป็นต้นตำรับท่านบอกว่า กะแค่พอ จิตเป็นสุขทรงอยู่ใน เอกคตารมณ์ เท่านั้น อาจแค่ 1-10 วินาที สำหรับผู้คล่องตัวในการทรงฌานในระดับต่าง ๆ ( 1,2,3,4) อย่างสูง หรือใช้เวลา 10- 30 นาทีสำหรับผู้ที่ไม่คล่องใน การทรงฌานในระดับต่าง ๆ ( 1,2,3,4) แบบปกติ

    8.เมื่อสมาธิทรงตัวให้มีความสุขอยู่ในฌานนั้น ๆได้แล้วในระยะเวลาที่บอกไปในข้อ 7 แล้วให้ลดอารมณ์จิตลงมาที่อุปจารสมาธิเพื่อมาวิเคราะห์วิปัสนาญาณที่ว่า '' ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ความตายเป็นทุกข์ ความพรัดพรากจากของที่รักที่ชอบก็เป็นทุกข์ '' โดยให้พิจารณาด้วยความนอบน้อมในธรรมนั้นจริง ๆ จะมีผลกับความเป็นทิพย์
    โดยจะมีอยู่ 3 ระดับคือ
    8.1. นอบน้อมในระดับต้น ๆ =ภาพนิมิตในมโนฯขั้นตอนจริงจะเหมือนจิตเราตอบจิตของเราเอง
    8.2. นอบน้อมในระดับกลาง ๆ =ภาพนิมิตในมโนฯขั้นตอนจริงจะเหมือนดูภาพสลัว ๆ จากหนังตะลุง
    8.3.นอบน้อมในระดับเต็มที่ =ภาพนิมิตในมโนฯขั้นตอนจริงจะเหมือนดูภาพปกติตอนกลางวัน
    " เหมือนกลางวันของเรานั้นเปรียบเทียบได้กับแสงหิ่งห้อยนะครับ "

    9...จากนั้นนอบน้อมจิตอธิษฐานตัดอวิชชาในขอบเขตที่ว่า '' ขึ้นชื่อว่า พรหมโลก เทวะโลก มนุษย์โลกและอบายภูมิ 4 เราไม่ต้องการอีก เราต้องการอย่างเดียวว่าเมื่อสังขารสลายจากโลกนี้ไปแล้ว ขอตามรอย พระบาทของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เพื่อไปอยู่ที่เมืองนิพพาน ตรงนี้ขอให้ตัดสินใจ อย่าได้ลังเลถ้าลังเลแล้วจะส่งผลให้เกิดเป็นผลให้ ภาพนิมิตในขั้นตอนการฝึกต่อไปจะมีความมัวมากขึ้น ( ถือว่ายังมี สักกายทิฏฐิ อยู่ )

    10.. ข้อนี้ขอแนะนำเสริมเทคนิคจากประสพการณ์ของผมว่า ( จากข้อ 9) ให้นอบน้อมใจเหมือนว่าเราได้ พนมมือไหว้พระเสมือนเราท่านได้อธิษฐานจิตต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ในระหว่างนี้อารมณ์จิตจะฟู ( ละจากกิเลสชั่วขณะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิด ปิติธรรม ) เนื่องจากปีติแห่งธรรมสูงมากจิตจะมีอาการเบาสบาย จิตจะชุ่มชื่นในธรรมมาก แล้วขอให้ระลึกด้วยกำลังใจของเราท่านว่าได้นอบน้อม อทิสมานกายของเรานั้นว่าได้กราบเฉพาะเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เป็นจำนวน 3 ครั้งด้วยกันวาระแรกกราบพระพุทธเจ้า วาระที่สองกราบพระธรรม และ วาระที่สามกราบพระสงฆ์

    11. เมื่อนอบน้อมกราบแล้วจิตก็จะมีความชุ่มชื่นเพราะปีติแห่งธรรมก็ยังคงมีอยู่ (อาจจะมากกว่าข้อ 10 ก็ได้นะครับ สำหรับบางท่าน) ให้ค่อย ๆ กำหนดเสมือนว่าอทิสมานกายของเราท่านเงยหน้าขึ้น หากจิตที่ได้ทรงฌานมาดีแล้วได้พอสมควรก็จะมีความรู้สึกคล้ายอย่างกับตาเห็นว่ามี พระพุทธเจ้า (กายเนื้อ , กายพระพุทธรูป หรือ จะเป็นกายพระพุทธรูปแบบปูนปั้น เป็นต้น) หรือพระอริยะเจ้าที่นับถือ หรือ พรหม หรือ เทวดา ที่ท่านนับถือ ปรากฏอยู่ตรงหน้าท่านตรงนี้เรียกได้ว่าเริ่มจะเห็นกระแสแห่ง โคตระภูญาณ ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างโลกียะธรรม กับ โลกุตระธรรม เพราะ มีกำลังจิตและวิปัสนาญาณ พอสมควรท่านจึงจะสามารถเห็นองค์พระพุทธเจ้าได้ ( เป็นผลจากข้อ 9 ที่บอกนั่นแหละครับว่าถ้าจิตไม่นอบน้อมตัดอวิชชา ด้วยความจริงใจแล้วผลที่ได้ในขั้นนี้จะมีความมัวมากครับ )ซึ่งขั้นตอนนี้ เรียกที่ว่า ''' ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต '''' หากเป็นในสมัยพุทธกาล ก็จะมีปรากฏบ่อย ๆ ครับดังกรณีพระวักลิของ พระอริยเจ้านามว่า พระวักลิ (อ่านว่า วัก-กะ-ลิ)เพราะเหตุแห่งติดในพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าท่าน ติดในพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้า เลยทำให้ท่านไม่สามารถตัดกิเลสให้เป็นพระอรหันต์ได้ พระพุทธองค์ทรงทราบดีจึงทรงแกล้งทำเป็นตรัสไล่พระวักลิออกไปเสีย ท่านพระวักลิน้อยใจ เลยจะไปโดดหน้าผาตายระหว่างที่จะโดดนั้นจิตของท่านมีความน้อยใจที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไล่เลยเบื่อหน่ายในสภาพของคนตอนนั้นพระพุทธองค์ ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีแล้วเป็นพระพุทธนิมิตไปเฉพาะหน้าพระวักลิเสร็จแล้วทรงแสดงธรรมให้พระวักลิเห็นถึงความไม่เที่ยง ของโลกนี้ซึ่งรวมไปถึงพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าท่านด้วยหลังจากได้ฟังธรรมแล้วพระวักลิก็สำเร็จอรหัตผลในที่หน้าผาแห่งนั้นหละครับ.......... นี่ก็คือตัวอย่างของการที่บอกว่า ''' ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ''' ในสมัยพุทธกาลครับ

    12.. เมื่อเห็นพระตถาคตแล้วในขั้นตอนนี้ควรตัดความฟุ้งซ่าน (อย่างกลาง ๆ เช่นว่าเอ...นี่นิมิตหลอกเราหรือเปล่า เป็นต้น) ออกเสียให้หมดเพราะในขณะที่กำลังใจของท่านในขณะนั้น จะมีคุณธรรมของ ทาน,ศีล,ภาวนาซึ่งส่งผลให้เกิด ปัญญา ได้ครบถ้วน อยู่แล้วบริบูรณ์ท่านย่อมเห็นพระพุทธเจ้าไม่ผิดเพี้ยนเพียงแต่ให้ตัดสัญญาความจำของลักษณะทางกายของพระองค์ท่านออกเสีย ""ให้คิดแบบคนฉลาดน้อย ๆ ว่า "" กายของพระองค์ท่านจะเป็นแบบใดก็ไม่สนใจเราถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน

    13.. เมื่อหมดความสงสัยแล้ว ก็กราบพระพุทธองค์ขอให้ได้ทรงโปรดนำอทิสมานกายของเราท่านไปยังพระจุฬามณีย์เจดีย์สถาน ในเขตของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์
    โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 เทคนิคในการแก้ปัญหาที่บางท่านพบเจอคือมักจะบอกกันว่าจิตไม่เคลื่อนออกจากกายเนื้อให้แก้ไขดังนี้

    13.1.. ยึดมั่นในกายเนื้อนี้มากไป เลยทำให้สงสัยว่ากายทิพย์จะออกไปได้อย่างไร ( ให้แก้ไขโดยการพิจารณาทบทวนข้อ และข้อ 9 ) อีกครั้งหรือจนกว่าจะหายยึดมั่น

    13.2.. ยึดมั่นถือมั่นในโลกธาตุ เกี่ยวกับพระรูปพระโฉมของพระพุทธองค์ว่า ทำไมเป็นแบบนี้ทำไมไม่เป็นแบบนั้น เป็นต้น วิธีแก้ไขคือให้ใช้ " กฎพระไตรลักษณ์ "เข้ามาพิจารณาร่วมว่า ในขอบเขตที่ว่า ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง
    และอนัตตา ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้แน่นอนตลอดไปแม้แต่พระรูปพระโฉมของพระพุทธองค์ก็ตาม'

    13.3...ให้อธิฐานเพิ่มเติมว่า กุศลใดที่เคยบำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าหากอธิฐานไม่ตรงพระนิพพานข้าพระพุทธเจ้าขอเปลี่ยนอธิฐาน " เพื่อขอพระนิพพาน ในชาตินี้ "

    13.4..ให้อธิฐาน ขอขมาลาโทษต่อพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ''' ขั้นตอนนี้จะสังเกตุว่าบางท่าน อาจจะมี
    พระพุทธนิมิตไม่ครบสมบูรณ์ทั้งองค์ เช่น อาจจะ เศียรขาดบ้างขาขาดบ้าง แขนขาดบ้าง ทองถูกลอกไป
    บ้าง เป็นต้น ''' ถ้าเกิดมีการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ต้องอธิฐานขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยนะครับ ( ให้ดูบทขอขมา )

    13.5 ให้ใช้พระพุทธนิมิตนั้นแหละมาเป็น กสิณโดยที่เราควรจะขอบารมี ท่านให้ทำภาพนิมิตขึ้นมา (โดยปกติของการฝึก กสิณนั้นเราท่านต้อง กำหนดรู้ภาพนิมิตเองโดยที่ต้องใช้อำนาจจิตของตนเองบังคับองค์กสิณให้ได้ตามใจปรารถนา) เช่นขอพระบารมีของพระองค์ท่านได้โปรดสงเคราะห์โปรดขยายพระวรกายของพระองค์ท่านให้ใหญ่ขึ้น....หรือเล็กลงก็ได้เสร็จแล้วเมื่อท่านสงเคราะห์ตาม ที่เราขอท่านแล้ว เราก็กราบท่านหรือจะขอให้พระองค์ท่านสงเคราะห์ให้พระองค์ ขยับพระวรกายให้ไกลออกไปหรือร่นใกล้เข้ามา.......เมื่อพระองค์ทรงสงเคราะห์เราแล้วเราก็กราบท่านด้วยนะครับจนเมื่อจิตได้ที่แล้วพอใจแล้ว จิตจะมีความคล่องตัวสูงมาก (ต้องอย่าห่วงร่างกายนะครับ) และขอ พระบารมีของพระองค์ท่านให้โปรดนำเราไปยังพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เราก็รวบรวมจิตที่คล่องแล้วพุ่งอทิสมานกายตามพระองค์ท่านไปเลยแต่เราท่านไม่ควรไปตามลำพังควรจะเกาะชายจีวรของพระองค์ท่าน หรือเกาะแท่นที่ประทับของท่านไปก็ได้ ระหว่างนี้ถ้ามีความฟุ้งซ่านต้องรีบตัดออกไปทันทีหน้า ๑๒

    14.. ในกรณีที่อทิสมานกายเหาะไปได้ช้ามากเกินไปให้อธิฐานด้วยความนอบน้อมแด่พระพุทธนิมิตว่า พระพุทธเจ้าขอเพิ่มความเร็วเป็น 1 เท่า 2 เท่า ไปจนถึง 10 เท่าตามแต่ใจของแต่ละท่านต้องการ พออธิฐานเสร็จให้ภาวนา นะมะพะทะ จนกว่าจะถึง

    15.. เมื่อถึงพระจุฬามณีแล้วอารมณ์จิตจะรู้สึกว่าหยุด

    15.1 บางท่านจะเห็นพระจุฬามณีแจม่ชัด หรือ อาจเห็น พรหม หรือ เทวดา หรือ วิมานของเทวดา ได้ทันที

    15.2 หากขึ้นถึงพระจุฬามณีแล้วเกิดความมืดเข้ามาแทนที่ ก็ต้องพิจารณาตาม ข้อ และ( 9) ใหม่อีกครั้ง
    ทันที สภาวะธรรมของท่านที่จะเห็นก็จะสว่างขึ้นและสามารถรู้เรื่องต่าง ๆ ของสวรรค์ได้ และควรขอพระบารมีเพื่อลองรับสัมผัสว่า อารมณ์จิตของการที่เป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์นั้นมีความสุขเช่นใด และลองเทียบกับความสุขของมนุษย์ดู

    16..จากนั้นให้พิจารณาข้อ และ 9) อีกครั้งจึงตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน คราวนี้ท่านทั้ง หลายก็จะได้รู้กันเสียทีว่าพระนิพพานนั้นสูญหรือไม่สูญ ตามที่พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่เคยตรัสว่า นิพพานสูญจะสูญไปก็แต่กิเลสเท่านั้น เสร็จแล้วขอพระบารมีเพื่อไปชมวิมานของเราที่พระนิพพานหรือจะขอพระบารมีเพื่อไปที่ไหนก็ได้ตามใจเรา...........

    17.. เมื่อฝึกได้แล้วควรรักษาอารมณ์ไว้ให้ดีเพื่อจะได้นำไปตัดกิเลสตามลำดับต่อไป และก็เตรียมเรียน ท่องเที่ยวในไตรภูมิ และ ญาณ 8 ต่อได้เลยนะครับ
    จบขั้นตอนเบื้องต้นการฝึก "ฤทธิ์ทางใจ " แบบครึ่งกำลังg

    ขั้นตอนเบื้องต้นการฝึกฤทธิ์ทางใจเต็มกำลัง<O:p

    <O:p
    ลำดับขั้นตอน<O:p
    <O:p
    1..นำผ้าแดง หรือกระดาษแข็งตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม กะขนาดให้สามารถนำมาผู้ปิดหน้าได้
    2..เขียนคาถาบนหน้ากากว่า " นะ โม พุท ธา ยะ "หรือจะเป็นภาษาขอมก็ได้ถ้าเขียนเป็น
    3..สมาทานพระกรรมฐาน ( ดูหน้า 2 )
    4..เสร็จแล้วให้ตั้งกำลังใจว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงถ้าจะต้องตายเพราะการฝึกนี้ก็ขอยอมตายเป็นอะไรให้รู้ไปตายเพื่อความดีแบบนี้เรายอมตายได้
    5..ให้ผ้าแดงปิดตา เขียน ยันต์พระพุทธเจ้า 5 พระองค์
    6..ใช้คาถากำกับในการท่องภาวนาว่า """ นะ โม พุท ธา ยะ "" หรือ "สัมมาอรหันต์ " หรือ " สัมปจิตฉามิ " หรือ" " นะมะพะทะ " หรือ " โสตัตตะภิญญา "อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ท่องคาถาอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ในขณะที่ว่าคาถานั้นก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจด้วยเช่นกัน (ไม่ต้องท่องออกมาก็ได้เหมือนกับที่อธิบายไปแล้วในการฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังเมื่อจิตทรงตัวในเขต ของ อุปจารสมาธิ จะมีอาการของปิติ 5 อย่างเกิดขึ้นเหมือนพระกรรมฐานกองอื่นๆ ได้แก่๑) ขนลุกชูชัน ๒) ตัวไหวโยกโครง ๓)น้ำตาไหลริน ๔) เหมือนกายขยายไปรอบข้าง ๕)เหมือนกายขยายสูงขึ้น "หากมีอาการเช่นนี้เกิดขึ้น ผู้ฝึกไม่ต้องตกใจหรือกังวลใดๆเพราะเมื่อชินแล้วจะหายไปเอง<O:p
    <O:p
    7..พอภาวนาไประยะหนึ่งจิตจะเริ่มทรงตัวขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจจะค่อย ๆละเอียดขึ้นและแผ่วเบาลง ซึ่งจะมีลักษณะไม่สอดคล้องกับคำภาวนา ก็ไม่ต้องสนใจภาวนาไปอย่างเดียว
    โดยที่คำภาวนาในตอนนี้จะมีลักษณะที่ถี่ขึ้นและอาจมีอาการปีติอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมากขึ้น หรือ คำภาวนาอาจหายไปเลยก็ได้อยู่ใน ฌานที่ 3<O:p
    <O:p
    8..พอถึงลำดับ ฌาน ที่ 4 ทรงตัวพอสมควรกำลังฌาน ก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เช่น จาก อุปจารสมาธิแล้วเพิ่มขึ้นไปเป็น ฌาน 1->2->3->4 หรือ จาก ฌาน 4->3->2->1-> อุปจารสมาธิ
    จะเป็นแบบนี้สลับไปมาโดยอัตโนมัติซึ่งช่วงนี้เองสภาวะความเป็นทิพย์จะเกิดขึ้น ทำให้ท่านจะเห็นเป็น อาโลกสิณ เช่นช่องแสง, แสงพุ่งเข้ามาหา, ประตู ,โพรงถ้ำ , พระพุทธเจ้าเสด็จมารับบ้าง ,หรืออาจเป็นพระอริยเจ้ามารับบ้าง เป็นต้น<O:p
    <O:p
    9.. เมื่อเห็นแล้วให้รวบรวมกำลังใจน้อมนำจิตพุ่งตามแสง ( พุทธรังสี หรือท่านอื่น ๆ ) ที่มารับนั้นไปบางครั้งจะเหมือนมีพลังมหาศาลมาดูด กายในของเราออกไปถ้ามีลักษณะดูดเช่นนี้ก็ให้พุ่งกำลังใจออกตามไปเลยเช่นกัน<O:p

    10..เมื่ออทิสมานกายหลุดออกไปจากกายเนื้อจริงๆ (ผลของการที่จะหลุดได้ต้องเข้าถึง ฌาน 4 แต่สภาวะที่เหมาะสมที่จะให้กายทิพย์ออกไปได้คือ อุปจารสมาธิ )ร่างกายของคุณตอนนี้อาจจะทรงตัวไม่อยู่ อาจจะต้องนอนราบไปเลยก็ได้ในช่วงนี้จะมีความรู้สึกทางกายเพียง 2-10%เท่านั้นที่คอยจะควบคุมร่างกายไว้หรืออทิสมานกายหลุดออก ๘๐%ขึ้นไป<O:p
    <O:p
    11..ขอใหัสังเกตุว่าการฝึกเต็มกำลังในเบื้องต้น พระ หรือ เทวดา หรือ พรหม จะพาท่านไปเที่ยวโดยที่ท่านที่พาเราไปนั้นท่านอาจพาไปได้ 2 ที่คือ<O:p
    <O:p
    11.1.ถ้าเป็นสุคติภูมิ แสงหรือลำแสงที่ส่องเข้ามาหาผู้ฝึกนั้นจะส่องตั้งแต่ระดับสายตาขึ้นไป
    11.2.ถ้าในโลกมนุษย์ แสงหรือลำแสง ที่ส่องเข้ามาหาผู้ฝึกจะส่องตั้งแต่ระดับสายตา
    11.3.ถ้าเป็นทุคติภูมิ แสงหรือลำแสงที่ส่องเข้ามาหาผู้ฝึกนั้นจะส่องตั้งแต่ระดับสายตาลงมา<O:p
    <O:p
    12.. เมื่อฝึกจนคล่องแล้ว ญาณ 8 ก็จะตามมาเอง
    13.. นำกำลัง ฌาน ต่าง ๆ ที่ฝึกได้แล้ว มาตัดกิเลส ( สังโยชน์) อีกที
    14.. และอธิฐานให้จิตมีความรักในพระนิพพาน
    <O:p
    มีข้อสังเกต 2 ประการณ์<O:p
    <O:p
    1. ขณะที่กำลังถอดอทิสมานกายแบบเต็มกำลังนั้นทีสุดของการไปเราจะไม่มีความสามารถ ที่จะมีสติควบคุมสังขารเราไว้ได้เล็กน้อย( ส่วนใหญ่ของผู้ฝึกได้ใหม่ๆ ) มักต้องล้มลงนอน ครึ่งหลับครึ่งตื่นครับถ้ามีความชำนานแล้วจะอยู่ได้ทั้ง 4 อิริยาบทครับ ในระยะต้นๆที่คุณเป็นอยู่ควรหลับตาครับ ถ้าลืมตาจะไปได้เพียง มโนฯครึ่งกำลังครับ<O:p
    <O:p
    2. การพุ่งออกของอทิสมานกายแบบเต็มกำลังในระยะต้นๆ จะไปตามที่พระท่านให้ไป เมื่อชำนานแล้วกำหนดจิตไปได้ทุกที่อารมณ์กลัวตาย ครับ ให้ลองคิดดูว่าชีวิตนี้เกิดหนเดียวตายหนเดียวแต่เราตายในชาตินี้หรือเดี๋ยวนี้ เราจะยอมตายเพื่อพระนิพพานจะไม่ยอมตายเพราะทำชั่วเด็จขาด เพียงนี้ไม่ช้าก็ไปได้ครับ<O:p
    <O:p

    3. การพุ่งออกไปในระยะต้นๆไม่แน่ครับว่าจะได้พบหลวงพ่อก่อน รวมความว่าพบท่านผู้ใดก็ขอบารมีท่านก็แล้วกันครับเรื่องคาถากำกับ แล้วแต่ความคุ้นเคยมาแต่ปางก่อน ของแต่ละบุคคลครับในวาระจิตที่กำลังเข้าฌาน ในลำดับต่างๆ ในการฝึก " ฤิทธิ์ทางใจ แบบเต็มกำลัง "นั้นมักมีนิวรณ์ 5 + อุปกิเลส เข้ามากินใจแทรกระหว่างการประคับประคองกำลังใจให้ทรงฌาน<O:p
    <O:p

    ถ้าได้ " ฤทธิ์ทางใจครึ่งกำลัง "มาก่อนจะมีอาการ ลักษณะเดียวกันนี้มาก คือ
    </O:p
    1. เหมือนว่ามีกำลังจิตอีกส่วนหนึ่งไปคอยเฝ้าดูว่า มีความเคลื่อนไหวต่างๆเช่นไร
    2. กำลังจิตกำลังทรงอารมณ์ถึงระดับไหนแล้วอทิสมานกาย จะหลุดออกจากกายในลักษณะใด หน้า 14
    3. อทิสมานกาย จะหลุดออกจากกายในลักษณะใด เช่น ดิ่งขึ้นข้างบน หรือออกทาง ซ้าย -- ขวา หรือ หน้า -- หลัง จะเป็นประการใดกันแน่
    4. ไม่เห็นเหมือนที่ได้รู้มาเลย นะ
    5. อาการหายใจเริ่มถี่กระชั้นเหลือเกิน แทบจะกลั้นใจตายอยู่แล้วหยุดดีกว่า
    6. กลัวว่าไปแล้วจะไม่กลับทั้งๆที่ยังไม่ได้เคยไปเลย
    ในประการทั้ง 6 อย่างนี้มักเป็นอุปสรรค์ในการฝึกฤิทธิ์ แบบเต็มกำลัง หรือครึ่งกำลัง<O:p
    .
    2.การศึกษาวัตถุประสงค์หลัก ในการฝึก ฤทธิ์ทางใจ

    เมื่อฝึกปฏิบัติ ได้ ฤทธิ์ทางใจ ได้แล้วพึงปฏิบัติตนให้ทรงกำลังใจดั่งนี้
    ๑. เพื่อปฏิบัติตน มีญาณทิพย์เป็นเครื่องรู้ใน เพื่อใช้ควบคู่กับ " พระกรรมฐาน 40 " หรือ " มหาสติปัฏฐาน 4 " จะเกิดความแตกฉานได้รวดเร็วมาก
    ๒.เพื่อปฏิบัติตนสื่อความหมายข้อธรรม กับครูอาจารย์ ที่โลกแห่งความเป็นทิพย์ ที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่ง พระโพธิ์สัตว์พรหม เทวดา ท่านจะมาสอนเราในทางสมาธิของความเป็นทิพย์
    ๓. เพื่อปฏิบัติตน ให้รู้ตัวทั่วพร้อมในการทำความดี ในระดับต่างตั้งแต่ มนุษย์ คุณธรรมของ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์หรือแบบโพธิ์ญาน เป็นต้น
    ๔.เพื่อปฏิบัติตนในทรงอารมณ์ นิพพิทาญาณ ที่มั่นคงจนตลอดชีวิต
    ๕.เพื่อปฏิบัติตนให้ก้าว เข้าสู่พระนิพพาน ในปัจจุบันชาติ เป็นที่สุด ( ก่อนตายเล็กน้อย )

    2.3. ผลจากการฝึก "ฤทธิ์ทางใจ " มี 8 ประการ เป็นความรู้ที่พิเศษแด่นักปฏิบัติมีดังนี้
    ๑.มีทิพย์จักขุญาณ มีความรู้สึกคล้ายตาเห็นเป็นเบื้องต้น
    ๒. ปุพเพนิวาสนุสสตญาณรู้ระลึกชาติตนเอง และคนอื่นไดได้ นับชาติไม่ถ้วน
    ๓.อตีตังสญาณ รู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆ รู้เรื่องในอดีต ของคน สิ่งของไม่จำกัดกาลเวลา
    ๔. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตต์ของตนเอง และ จิตต์ของบุคคลอื่นๆ ว่าปรุงแต่งดีหรือไม่ดี อย่างไร
    ๕.จุตูปปาตญาณ . รู้จุติ ของตนเอง คนและ ต่างๆไม่จำกัด
    ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้ในปัจจุบันของตนเอง และคนอื่น ในสถานที่ต่างๆ ในระยะเวลาเดียวกัน
    ๗.อนาคตังสญาณ รู้ในอนาคต ของตนเอง และคนอื่น
    ๘.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลของกรรมดี และกรรมไม่ดี ของคนและ ทั้งในอดีตอนาคต และปัจจุบัน

    2.3.1.วิธีพิจารณาเพื่อมาเป็น " อาสวคยญาน " โดยนำญาณรู้ทั้ง ๘ อย่าง ที่กล่าวมาในข้อที่ ๒.๓ มาร่วมพิจารณา กับวิปัสสนาญาณ ๙:<O:p

    ความแตกต่างของการฝึกฤทธิ์ทางใจแบบเต็มกำลัง และครึ่งกำลัง <O:p


    ในเรื่องที่ว่าความแตกต่างระหว่างการฝึกฤทธิ์ทางใจแบบ เต็มกำลัง และครึ่งกำลังกับแบบครึ่งกำลังนั้นมีผลแตกต่างกันอย่างไร ขอตอบตามความรู้เท่าที่พอจะมีว่าแตกต่างกันเฉพาะตอนเริ่มต้นเท่านั้นครับ แต่ตอนกลาง และ ตอนปลายการฝึกนั้นเหมือนกันทุกประการ ดังจะมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้ ( ต่อจากนี้ไปถ้าเจอคำว่า เต็ม ให้หมายถึงการฝึกแบบเต็มกำลัง และ ถ้าเจอคำว่า ครึ่งให้หมายถึงการฝึกแบบครึ่งกำลัง นะครับ )

    เต็ม ……ภาวนา มีคาถาที่ใช้ได้ 5 คาถา นะ โม พุท ธา ยะ /นะมะพะทะ / สัมปจิตฉามิ / สัมมาอรหัง / โสตัตตะภิญา
    ครึ่ง ……ภาวนา นะมะ พะธะ
    เต็ม ……คำภาวนา กับ อานาปาณสติฯ ไม่สอดคล้องจองกัน ในระหว่าง ฌานที่ 2-3( 3 ตอนปลาย ๆ )
    ครึ่ง ……คำภาวนาสัมพันธ์ กับ อานาปาณสติฯเป็นไปตามลำดับจนถึงฌาน 4
    เต็ม ……ไม่ต้องลดอารมณ์จิตลงมาพิจารณา วิปัสนาญาณ และ ไม่ต้องตัดอวิชชา
    ครึ่ง ……ต้องลดอารมณ์มาพิจารณาวิปัสนาญาณ และ ตัด อวิชชา
    เต็ม ……เมื่อภาวนาเข้าเขตของ ฌาน 1-2-3-4 จะมีความรวดเร็วในการเข้าฌานแต่ละลำดับมากและเป็นแรงฉุดถึงกับหลุดเข้าสู่สภาวะแห่งความเป็นทิพย์คือ เห็น ลำแสง, ช่องแสง,สีต่าง ๆ เป็นต้นได้ ตามอนุสัยในการฝึกอภิญญาเดิมของแต่ละท่าน
    ครึ่ง ……เข้าลำดับ ฌานได้รวดเร็วแต่ไม่มีความไวและรุนแรงเท่าแบบ เต็ม
    เต็ม ……การเคลื่อนตัวออกของอทิสมานกายแยกออกจากกายเนื้อเหมือนมีแรงดึงดูดอย่าง มหาสารโดยที่จะพุ่งความรู้สึกออกไปตามลำแสงที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดเมตตานำเราไป
    ครึ่ง ……ต้องอาศัยหลักการว่า "เธอทั้งหลายจงอย่าประมาท ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต "แล้วจึงตามพระตถาคตหรือพระพุทธเจ้า หรือ ท่านเทวดาผู้มีคุณที่มาคอยนำเราไป (ตรงนี้ขอให้ลอง กลับไปอ่านในกระทู้ ที่ตั้งไว้ว่า ** กระทู้ดีที่น่าอ่าน**ข้างล่างหนะครับจะมีแนะนำไว้แล้วครับ)
    เต็ม ……ในตอนเริ่มฝึกใหม่ ๆ ผู้ฝึกไม่สามารถ บังคับทิศทาง และ สถานที่ได้ตามใจต้องการแต่ต้องตามใจของท่านผู้เป็นผู้นำทางไป
    ครึ่ง ……ตอนฝึกใหม่ ๆ ผู้ฝึกตามพระพุทธนิมิตไป ตามขั้นตอน
    เต็ม ……ผลของ ฌาน 4 , กสิณ ฯลฯจะทำให้มีความเป็นทิพย์แจ่มชัดมาก
    ครึ่ง ……ความแจ่มชัด และ ความเป็นทิพย์ของจิตนั้น ขึ้นกับ วิปัสนาญาณที่เราพิจารณาว่าเข็มแข็งเพียงใด
    เต็ม ……สามารถฝึกเข้าสู่ผล ได้คือฌาน 8
    ครึ่ง ……ผลที่ได้เหมือน แบบ เต็ม
    เต็มและครึ่งกำลังจะนำเอา ฌาน 8 เข้าสู่กฏพระไตรลักษณ์ และ จะนำเข้าสู่ นิพพิทาญาณตามลำดับได้ ผมก็พอจะวิเคราะห์จากความรู้และประสพการณ์ของผมได้เพียงเท่านี้หละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2009
  8. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้อื่นนั้น บุญเราไม่มีวันหมดค่ะ เพราะฉะนั้นอุทิศให้ได้เลยทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานการณ์
     
  9. วิณวิญ

    วิณวิญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +2,089

    สวัสดีค่ะพี่สาว, คุณฝน และกัลยาณมิตรทุกๆท่านที่ติดตามกระทู้มาตลอดอย่างเหนียวแน่น เอใช้เวลามา3วันกับการติดตามอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าปัจจุบัน

    วันนี้มีเหตุการณ์จะเล่าให้ฟังกันค่ะ เหตูเกิดเมื่อวานซืนนี้เองก่อนนอนเอก็จะนอนภาวนาจิตไปด้วยตามปกติ เอก็ได้นอนคิดมีคำถามเหมือนคุณสายลมนั่นแหละค่ะ ว่าทำไม๊ทำยังไงก็ยังมืดตื๊ดตื๋ออยู่นั่นแหละ หรือว่าทางนี้จะยังไม่ถูกจริตกับเรานะ พลางบ่นไปแกมร้องขอพึ่งบารมีหลวงปู่ไปด้วยว่า ครูบาจารย์ท่านไหนที่เคยเกี่ยวเนื่องกับหนูมาแล้วละก็ ได้โปรดเมตตาหนูด้วยเถิด พาหนูไปที

    ตอนนั้นยังหลับตาอยู่ พอกำหนดภาพนานๆแต่มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เริ่มฟุ้งแระ เริ่มที่จะเรื่อยเปื่อยคิดโน่นคิดนี่นอกเรื่องบ้าง จู่ๆก็เกิดภาพหน้าของหลวงปู่ฤาษีแว่บขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่ได้คิดถึงเลยในขณะนั้น หน้าใหญ่มาก มีแต่ช่วงหน้าของท่านนะคะ แล้วก็หัวเราะดังๆ ฮ่าๆๆๆๆ แล้วก็หายวับไป ตอนนั้นยังไม่หลับเลยนะคะ ตกใจมากสะดุ้งลืมตาพรึ่บเลย หัวใจเต้นแรงไม่เคยเจอมาก่อน รู้สึกเลยว่านี่เราต้องทำอะไรลงไปแน่ๆ

    พอมาเมื่อวานนี้ได้อ่าน คำตอบจากคุณฝน ที่ว่า "ไปเกาะขาพระองค์ไหนไว้" โอ้โห...ฮาไปเลย จริงๆนั่นแหละ เพราะตอนที่เอกำหนดจิตนั้นเอดันไปกำหนดรูปหลวงปู่ทวดค่ะ เนื่องจากแต่ก่อนเคยทำงานที่หัวหินมาก่อน แล้วชอบไปไหว้หลวงปู่ทวดที่วัดห้วยมงคลบ่อยๆเลยจำท่านได้ติดตามากกว่าองค์อื่น ทีนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าเมื่อคืนนั้นหลวงปู่ฤาษีท่านมาหัวเราะเอทำไม ป้ำเป๋อจริงๆ ว่าแล้วก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่แล้วนะคะ

    ก็เล่าสู่กันฟังไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ตัวเองและทุกท่านๆที่เพิ่งปฎิบัติค่ะ ไว้จะมาเล่าให้ฟังใหม่
     
  10. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    อนุโมทนาค่ะ คุณ Me, myself แหม..สุดยอดเลยค่ะ เหมือนอยู่บ้านเดียวกันยังไงยังงั้นเลย วันนี้ได้เล่าให้คนที่บ้านฟังเขาสนใจที่จะบูชาครูมโนยิทธิพอตอนมืดคุณ Me, myself ก็ได้โพสรายละเอียดเรื่องนี้โดยตรง แหมอธิบายไม่ถูกเลยว่าต่อกันติดจริงๆ
     
  11. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    สายของสมเด็จองค์ปฐมท่าน บอกไปแล้วนะอย่าลืม

    อ้อ..วิธีฝึกพี่ลงไว้ในเวปแล้วไปอ่านได้เลยค่ะ
     
  12. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    คร้าบบบ อนุโมทนาคร้าบ
     
  13. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    เผื่อคนไม่รู้นะคะ การสูบบุหรี่ไม่ได้ผิดศีลข้อห้านะคะ ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีบัญญัติไว้ค่ะ
     
  14. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    คุณอมริศาครับ
    เกี่ยวกับเรื่องคุณแม่ของคุณผมอยากให้รีบพาท่านไปชำระหนี้สงฆ์ตามที่คุณMe ได้แนะนำ
    ถ้าคุณยังคิดไม่ออกว่าจะชำระหนี้สงฆ์แบบไหนดี ผมอยากแนะนำให้สร้างสมเด็จองค์ปฐมครับเพราะมีอานุสงส์สูงมาก หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านเคยพูดไว้ดังนี้

    อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

    หลวงพ่อ : ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่วยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกัน เขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์อย่างไร ลุงสองลุง นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ

    ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) "บัญชีทอง" เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ท่านบอกถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้ โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่สร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก….หรือไง

    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเงินมากนะคือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึงพระศรีอารีย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรกก็คุยกันแล้ว

    ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช้ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ที่นี้อย่างคนมีเงินน้อยๆใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ 9 สตางค์ 10 สตางค์ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บาท สองบาท 10 สตางค์ 20 สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด ก็ถามว่า บัญชีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน

    หลวงพ่อ : ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

    ผู้ถาม : หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม…..เหมือนกันลงบัญชีเล่มเดียวกัน


    ในเว๊ปพลังจิตมีกระทู้ที่เชิญชวนร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมที่น่าสนใจ ลองดูนะครับ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=179997มหาทานบารมีสร้างพระ

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset></FIELDSET>
     
  15. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    ขอบคุณค่ะคุณ konkangwad สงบระงับเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มีหลายอย่างหลายเรื่องที่มีลักษณะของการมาบอกมาเตือนในรูปแบบนี้ พระอาจารย์ท่านเคยบอกว่าสัญญาเก่าของเรามันยังอยู่เราเคยทำเคยปฏิบัติของเรามามันก็ยังอยู่
     
  16. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ผลการไหว้ครูฝึกมโนยิทธิวันที่๒๐มิถุนายน๒๕๕๒

    พอจบคำสมาทานพระกรรมฐานก็ได้จับภาพพระวิสุทธิเทพไว้แต่ว่าจับได้ไม่นานอารมณ์ไหวไป ปรากฏภาพพระพุทธรูปองค์อื่นขึ้นมาแทน
    เลยแปลกใจ ถามท่านไปว่า

    เปี๊ยก :หลวงพ่อเป็นพระประธานวัดไหนครับ
    หลวงพ่อ :หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง พระนครศรีอยุธยา
    เปี๊ยก :หลวงพ่อ ทำไมผมไม่ได้ขึ้นไปข้างบนโน่นทำไมมาที่นี่
    หลวงพ่อ :เอ็งมีบุญกับที่นี่และยังไม่ถึงวาระที่เอ็งจะขึ้นไปคุยข้างบน
    เปี๊ยก :แล้วพวกเรามารวมๆกันนี้จะก้าวหน้ากันแค่ไหนครับ
    หลวงพ่อ :แล้วแต่กำลังความตั้งใจและบุญเก่าของแต่ละคน
    หนึ่งเดือนสองเดือน สามเดือน หนึ่งปี หรือไม่ก็นานกว่านั้น
    เปี๊ยก :แล้วผมทำหน้าที่อะไรในกระทู้นี้ครับ
    หลวงพ่อ: ก็ช่วยประคองช่วยกัน ค้ำชูเพื่อนๆให้ไปให้ถึงฝั่ง
    เปี๊ยก :คนที่มาหลายๆท่านเป็นเพื่อนธรรมกันมาก่อนเหรอครับ
    หลวงพ่อ :เป็นสิ เป็นมานานแล้วด้วย บางคนเป็นมากว่าหนี่ง อสงไขยกัป บางคนก็มากกว่านั้น
    เปี๊ยก :แล้วมโนยิทธิเต็มกำลังนี้จะได้กันตอนไหนครับ
    หลวงพ่อ :ประมาณหนึ่งปีหลังจากนี้

    เปี๊ยก :นมัสการลาหลวงพ่อก่อนครับ
    หลวงพ่อ :เจริญพร

    หลังจากออกจากสมาธิก็เลยไปเปิดดูรูปหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง เหมือนดังในนิมิตมาก แต่ว่า ในนิมิตไม่ชัดเจนนัก ภาพจะไม่แจ่มใสขนาดว่าเห็น
    แต่ก็พอจะจำได้ว่าหลวงพ่อโตองค์นี้แน่


    [​IMG]

    พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง
     
  17. วิณวิญ

    วิณวิญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +2,089


    เพราะคืนเมื่อวานซืนที่เกิดเหตุ และจากคำตอบกระทู้ของคุณฝน ถึงทำให้เมื่อคืนนี้เอตัดสินใจส่งเมลไปถามพี่สาวนั่นแหละค่ะ ตอนนี้ทราบที่มาที่ไปแล้วไม่ลืมแน่นอนค่ะ ขอบคุณมากค่า
     
  18. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สงบระงับ [​IMG]
    อนุโมทนาค่ะ คุณ Me, myself แหม..สุดยอดเลยค่ะ เหมือนอยู่บ้านเดียวกันยังไงยังงั้นเลย วันนี้ได้เล่าให้คนที่บ้านฟังเขาสนใจที่จะบูชาครูมโนยิทธิพอตอนมืดคุณ Me, myself ก็ได้โพสรายละเอียดเรื่องนี้โดยตรง แหมอธิบายไม่ถูกเลยว่าต่อกันติดจริงๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "คร้าบบบ อนุโมทนาคร้าบ"<!-- google_ad_section_end -->
    อ้าว... คุณMe, myself เห็นว่าคนที่จะฝึกเป็นผู้ชายหรือเปล่าค่ะ เลยพูดว่า "คร้าบบบ อนุโมทนาคร้าบ"<!-- google_ad_section_end --> อิอิ
     
  19. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    แบบว่าอารมณ์ดีน่ะค่ะ คือเมื่อวานได้ช่วยเพื่อนๆไปหลายคน โดยเฉพาะคุณโคตรภู ได้รับความเมตตาจากพระศาสดาช่วยแก้ไขวิกฤตเรื่องงานจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แถมได้โชคสองชั้นอีก เลยทำให้เกิดปิติค่ะ อานิสงฆ์ของพุทธคุณแท้ๆเลย ดิฉันก็เลยยินดีกับเพื่อนๆน่ะค่ะ
     
  20. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    อนุโมทนาบุญอย่างยิ่งค่ะ หลวงพ่อองค์นี้ไงค่ะ ที่สงบระงับโพสที่คุยกับคุณmeช่วงแรกๆว่า ท่านยิ้มได้ ยิ้มให้สงบระงับอยู่เสมอประมาณว่า ถ้าท่านยังไม่ยิ้มก็ไม่ยอมออกจากวิหารกลับบ้านกันเลยค่ะ แถมคนที่บ้านยังแอบไปขอลูกชายจากหลวงพ่อมาคนนึง แถมเก็บเงียบเป็นความลับจนลูกสาวอายุ 3 ขวบ(ท่านให้ลูกสาวมา 55)เพราะโดนคาดคั้น เนื่องจากว่าตั้งแต่ตั้งท้องจนคลอดมันผิดปรกติอยู่หลายประการ ถ้ามีคนในห้องสนใจ ก็จะเล่าให้อ่านกันเพลินๆช่วงตัดเข้าโฆษณาค่ะ เกรงใจเจ้าของกระทู้เค้าอ่ะค่ะ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...