คลังเรื่องเด่น
-
"วิธีหัดภาวนา" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"วิธีหัดภาวนา"
ผู้ถาม : ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยแนะ "วิธีในการหัดภาวนา"
ท่านอาจารย : "วิธีภาวนาคือรวมใจ" ใจคนเราตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรวมอยู่ในจุดเดียวสักที "หัดภาวนาก็คือรวมใจให้อยู่ในจุดเดียว"
คนเราเกิดขึ้นมาวุ่น "คิดนึกตลอดวันยังค่ำไม่มีพักผ่อนเลย" เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพักใจบ้าง "กายกับใจมีลักษณะคล้ายกัน" กายถ้าเราทำงานตลอดเวลาไม่มีการพักผ่อนนอนก็เหน็ดเหนื่อย "ใจของเราถ้าหากมีแต่คิดปรุงแต่งส่งส่ายตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นานเข้าก็เรียกว่าโรคเส้นประสาทกลายเป็นบ้าไป" หากไม่รู้จักสำรวมใจ
"พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักสำรวมใจสงบอารมณ์ให้อยู่ในจุดเดียว" ให้กำหนดลมหายใจเข้าออก หรือมิฉะนั้น "ก็ให้กำหนดเอาพุทโธไว้ที่ใจ" เอาสติคุมให้อยู่ในอารมณ์อันเดียวกันนั้น
"ใจคือผู้นึกว่าพุทโธ แล้วเอาสติตามกำหนด" คือตามรักษาคุมอันนั้นไว้ไม่ไห้หนีจากนั้น ถ้าหากมันหนีไปจากนั้นก็เอามารวมกันไว้ไม่ให้หนี นาน ๆ เข้ามันก็ค่อยซาค่อยอ่อนกำลังลงไป ในที่สุดมันก็จะมารวมอยู่ในจุดเดียว "เปรียบเหมือนกับสัตว์ที่เราจับมาจากป่า เอามาทีแรกมันก็พยายามดิ้นรนเสียจนหมดเรี่ยวแรง" อีกหน่อยมันก็ค่อยอยู่... -
"กบเฝ้ากอบัว" (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
.
"กบเฝ้ากอบัว"
" .. "อย่าเป็นกบนั่งเฝ้ากอบัว" มันไม่รู้ว่ากอบัวมีกลิ่นหอมอย่างไร "คนเราเกิดมาไม่ภาวนา ไม่บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา" ก็มาเฝ้าตัวไว้เหมือนกบเฝ้ากอบัว
อยู่บนหัวก็ไม่รู้สึก "จิตใจมาเกิดมายึดถืออยู่ในธาตุสี่ ขันธ์ห้านี้หลายสิบปีแล้ว" ก็มาเป็นกบเฝ้ากอบัวอยู่ ไม่พินิจพิจารณา ฉะนั้น "ต่อไปให้พากันตั้งใจขึ้นมาใหม่" อยู่ให้ใจเกียจคร้านกลัวตายอยู่ไม่ได้ .. "
"หลวงปู่สอนว่า"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -
อัญเชิญพระคติธรรม “สมเด็จพระสังฆราช” ประทานเป็นกำลังใจ ขอทุกท่านจงเป็น ”ผู้กล้าหาญ” สู้ภัยโควิด-19
วันนี้ (11 เม.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย. แฟนเพจเฟซบุ๊ก “ศูนย์ข้อมูล COVID-19” ได้ขออัญเชิญพระคติธรรม ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระคติธรรม เป็นกำลังใจในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ความว่า
ไม่มีชีวิตใดประสบแต่ความเกษมสุข ปราศจากทุกข์ภัยไปได้ตลอด เมื่อเกิดมาแล้ว จึงจำเป็นต้องขวนขวายสั่งสม “สติ” และ “ปัญญา” สำหรับเป็นอุปกรณ์บำบัดความทุกข์อยู่ทุกเมื่อ เพื่อให้สมกับที่ดำรงอัตภาพแห่งมนุษย์ผู้มีศักยภาพต่อการพัฒนา
ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดซึ่งก่อให้เกิดความหวาดหวั่นครั่นคร้ามกันทั่วหน้า ทุกคนมีหน้าที่แสวงหาหนทางเพิ่มพูน “สติ” และ “ปัญญา” พร้อมทั้งแบ่งปันหยิบยื่นให้แก่เพื่อนร่วมสังคม อย่าปล่อยให้ความกลัวภัยและความหดหู่ท้อถอย คุกคามเข้าบั่นทอนความเข้มแข็งของจิตใจ ในอันที่จะอดทน พากเพียร เสียสละ และสามัคคี
มีธรรมภาษิตบทหนึ่งในพระพุทธศาสนา พึงน้อมนำมาเตือนใจในยามนี้ ว่า “เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ, เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม, ยามมีข้าวน้ำ ต้องการผู้เป็นที่รัก,... -
ปู่ฤาษีตาไฟ โชว์เหล็กไหล ได้จากถ้ำพระไทรงาม เชื่อคนเมืองบังบดให้มาสร้างบุญ
11 เม.ย. 2564 15:35 น.
ปู่ฤาษีตาไฟ โชว์ หินสีดำ ที่เชื่อว่า เป็น “เหล็กไหล” ได้จาก จ.พิษณุโลก เล่าว่า ได้มาระหว่างที่พาคนไปสำรวจถ้ำ เชื่อคนเมืองบังบดให้มาสร้างบุญ
วันที่ 11 เม.ย.64 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ วัดเนินสว่าง ม.21 (บ้านเนินสว่าง) ต.นาบ่อคำ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งมีการประกอบพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปองค์ใหญ่ “พระพุทธโลกนาถศาสดา” ความสูง 9 เมตร หน้าตักกว้าง 5 เมตร โดยมีชาวบ้านที่ศรัทธา เข้าร่วมงาน รวมถึง “ครูบาเทพประทานพร” หรือ (ปู่ฤาษีตาไฟ) หนึ่งในฤาษีที่ได้เคยเข้าไปใน “ถ้ำพระไทรงาม” บ้านดงงูใหม่ ต.เนินมะปราง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ที่ พระอาจารย์มนัส เข้าไปปักกลด นั่งวิปัสสนากรรมฐาน กระทั่งเกิดน้ำท่วม และไม่สามารถออกมาจากถ้ำได้
ข่าวแนะนำ
โดย ปู่ฤาษีตาไฟ ได้นำเอาก้อนหินสีดำ ที่เชื่อว่าเป็นเหล็กไหล ซึ่งนำออกมาจากถ้ำดังกล่าว นำมาประกอบพิธีบวงสรวงเบิกเนตรด้วย โดยนำมาวางบนผิวน้ำในโอ่งน้ำมนต์ และทำการหยดเทียนเพื่อประกอบพิธีครั้งนี้ ซึ่งภายในโอ่งน้ำมนต์ ปรากฏเห็นเป็นตัวเลขที่ชัดเจนมาก คือเลข ” 4, 5, 6″ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันนำโทรศัพท์มาถ่ายรูปเพื่อนำตัวเลขไปเสี่ยงโชคกันมากมาย... -
วิชาราชสีห์คำรณ
วิชาราชสีห์คำรณ
ถ้าใครอ่านเป็นแฟนกิมย้งจะรู้ว่าในนิยายกำลังภายในของเขามีวรยุทธ์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ราชสีห์คำรามของราชสีห์ขนทองเจี่ยซุ่นในดาบมังกรหยก ในยิ้มเย้ยยุทธจักรมีวิชาวัชรฌานราชสีห์คำรามของไต้ซือฟางเจิ้น เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นนิยาย แต่ผมสนใจว่าพวกวิชา "สีหนาทบันลือ" เหล่านี้น่าจะมีมูล แต่ไม่เชิงเป็นกำลังภายใน น่าจะเป็น อภิญญาประเภทหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม
กิมย้งสนใจพุทธศาสนาอย่างมากและคำว่า "สีหนาทบันลือ" ก็เป็นศัพท์ในพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทปรากฏใช้คำๆ นี้บ่อยครั้งมาก การบันลือสีหนาทคือการประกาศความจริงอย่างไม่เกรงกลัว คือการประกาศธรรมที่เป็นสัจจะนั่นเองโดยมั่นใจว่าจะไม่ใครจะมาหักล้างความจริงนี้ได้
ผู้ที่บันลือสีหนาทบ่อยครั้งคือพระพุทธเจ้า ด้วยทรงประกาศแต่ความจริงอันไม่หวั่นไหวสั่นคลอน แต่พระสาวกก็บันลือได้เช่นกัน เช่น พระบิณโฑลภารทวาชะในวันบรรลุพระอรหัต ท่านบันลือไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมว่า "ท่านผู้ใดมีความสงสัยในมรรคหรือผล ท่านผู้นั้นจงถามเรา!" นั่นคือท้าว่าใครสงสัยว่าเราไม่บรรลุธรรมก็เข้ามาซักถามได้เลย... -
"ให้ปราบตัวเอง อย่าไปคิดปราบคนอื่น" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
.
"ให้ปราบตัวเอง อย่าไปคิดปราบคนอื่น"
".. พระพุทธเจ้าจึงสอน "ให้ปราบตัวเองนี่แหละ อย่าไปคิดปราบคนอื่น" เมื่อปราบใจตัวเองได้ "ห้ามใจตัวเองได้แล้วอย่างนี้นะ มันก็ไม่มีความเดือดร้อนอะไร" มันจะเดือดร้อนอะไร เช่น "เขาด่ามาเนี่ยเราก็ไม่ด่าตอบชะ" แล้วเรื่องมันก็ไม่ลุกลามต่อไปอีก
"เราก็ไม่ยึดเอาคำด่าของเขามาไวในใจ" มาวิตกวิจารณ์ว่า "คนนั้นด่าเรา คนนี้ด่าเรา คนนั้นเสียดสีเรา" ไม่วิตกมันแหละ "เพราะอันนั้นมันเป็นสมบัติของคนอื่นเขาต่างหาก" คำด่าว่าเสียดสีนั้นมันไม่ใช่สมบัติเราแล้ว "มันก็เป็นของไม่ดี เราจะไปยึดเอามาท่าไม" ก็สอนใจตัวเองเข้าไปอย่างนี้นะ
"เมื่อสอนใจตัวเองได้ มันปลงก็วางได้" เมื่อได้กระทบกระทั่งกับเรื่องไม่ดี แต่ละครั้ง ๆ เราก็เอาชนะใจตัวเองได้ ไม่ยึดไม่ถือเอาไว้ในใจนานไป ๆ มันก็รู้เท่าทัน "แล้วบัดนี้เรื่องไม่ดีเรื่องชั่วต่าง ๆ กระทบกระทั่งมา มันก็ไม่ตื่นเต้นไม่หวั่นไหว เพราะฝึกมาแล้วนี่ ฝึกปล่อยฝึกวางมาแล้วจนชินเลยทีเดียว" มันต้องเป็นอย่างนี้นา .. "
"โอวาทธรรม"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
“เหตุ” และ “ปัจจัย” ในการบรรลุธรรม
ใน วิมุตตายตนสูตร (วิมุตตายตนะ) วิมุตติแปลว่าความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น หรืออีกนัยยะหนึ่งก็คือนิพพาน วิมุตตายตนะแปลว่าเหตุแห่งความหลุดพ้น หรือ เหตุแห่งการบรรลุธรรม
วิมุตตายตนสูตร คือพระสูตรที่กล่าวถึงเหตุแห่งความหลุดพ้น หรือ เหตุแห่งการบรรลุธรรม กล่าวคือ โอกาสแห่งการบรรลุธรรมนั้นมีเพียง ๕ โอกาสเท่านั้น อ้างอิงจาก วิมุตติสูตร เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต บรรทัดที่ ๔๖๑ – ๕๑๔ หน้าที่ ๒๑ – ๒๓
มีหลักฐานปรากฏชัดในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่าโอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ บุรุษบุคคล ๘ หมายถึง การกล่าวถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ เมื่อนับโดยคู่ ได้ ๔ คู่ ได้แก่
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นที่ ๑
สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล เป็นคู่ที่ ๒
อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นคู่ที่ ๓
อรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็นคู่ที่ ๔
ถ้านับเรียงโดยบุคคลได้ ๘ บุคคล คือ ๑.โสดาปัตติมรรค ๒.โสดาปัตติผล ๓.สกทาคามิมรรค ๔.สกทาคามิผล ๕.อนาคามิมรรค ๖.อนาคามิผล ๗.อรหัตตมรรค ๘.อรหัตตผล... -
"ความโกรธกับปัญญา" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"ความโกรธกับปัญญา"
" .. พระพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวถึง "ความโกรธกับปัญญา" ว่าดังนี้ "ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนมีปัญญาทราม" หมายความว่า "ผู้มีปัญญาทรามมีความโกรธอยู่เสมอ อยู่เป็นนิตย์"
ในทางตรงกันข้ามก็คือ "ผู้มีปัญญายิ่งมีความโกรธที่เบาบาง" นั่นก็คือ "พยายามลดละความโกรธให้มากที่สุด" จะมีปัญญามากขึ้นได้ตามกำลังที่เบาบางของความโกรธ .. "
"แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๕"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13564 -
"เมื่อใจเรามันวางอารมณ์" (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
.
"เมื่อใจเรามันวางอารมณ์"
" .. "ถึงแม้ว่าเป็นฆราวาสนั้น" ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังก็จะได้เห็นความสุขอันเกิดขึ้น "ในขณะที่เรากำลังนั่งกำหนดจิต" เมื่อจิตมันวางจากอารมณ์ภายนอกได้แล้ว "ความสุขทางจิตคือปีติก็ย่อมเกิดขึ้น" ท่านจึงให้ขื่อว่า "นิตถิ สันติ ปะระมัง สุขัง" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความสงบในที่นี้หมายถึง "ใจของเรามันวางจากอารมณ์ภายนอก" แม้สิ่งใดจะผ่านเข้ามาเป็นรูป ผ่านเข้ามาทางตา เสียงผ่านเข้ามาทางหู กลิ่นผ่านเข้ามาทางจมูก รสผ่านเข้ามาทางลิ้น อย่างนี้เป็นด้น "ใจไม่นึก ใจไม่ถือ ใจวาง" เสียนั้นแหละเรียกว่า "ได้รับความสุขกายสบายใจ" เมื่อใจสบายแล้วกายก็พลอยสบายไปด้วย .."
"ทรัพย์ภายใน"
หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป -
เเบบอย่าง จากพระพุทธเจ้า
เเบบอย่าง จากพระพุทธเจ้า -
"หลักใหญ่ก็คือการภาวนา" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"หลักใหญ่ก็คือการภาวนา"
".. ธรรมเป็นเรือนของใจ เป็นที่ยึดที่เกาะของใจ "ทานเป็นฐานสำคัญอันหนึ่ง ศีลก็นับแต่ศีล ๕ ขึ้นไป" สำหรับฆราวาสเรานั้นถ้าได้ศีล ๕ ก็สมบูรณ์พูนผลแห่งความเป็นชาวพุทธ "ถ้าไม่มีศีลเลยก็มีแต่ชาวพุทธเป็นชื่อเป็นนามเพียงเท่านั้น"
จึงขอให้ชาวพุทธทั้งหลายพยายามรักษาศีลให้ติดเนื้อติดตัวติดใจบ้าง "คำว่าศีลก็คือคุณธรรม" เป็นเรือนใจได้โดยลำดับลำดาไป "หลักใหญ่ก็คือการภาวนา" พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายรู้สึกจะไม่ค่อยสนใจในการภาวนา คือการอบรมจิตของเราให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจ "สร้างที่พึ่งคือความสงบเย็นขึ้นภายในใจของตน โดยเฉพาะในขณะที่ทำภาวนา" นี่รู้สึกว่าห่างเหินกันมากน่าวิตกวิจารณ์ .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1301&CatID=2 -
เปิดตำนาน ๓ พระพุทธรูปลอยน้ำ ข้ามโขงมาไทย!
เปิดตำนาน ๓ พระพุทธรูปลอยน้ำ ข้ามโขงมาไทย! องค์หนึ่งแหกแพ ไทยแอบงมมาแล้วเงียบ!!
คงทราบกันดีถึง เรื่องพระพุทธรูป ๕ องค์ที่ว่าเป็นพี่น้องกัน ลอยน้ำหนีพม่าตอนกรุงแตกลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา แล้วแยกย้ายกันไปขึ้นตามวัดต่างๆ องค์หนึ่งลอยออกทะเลไปจมที่ปากอ่าว
นั่นก็คือ “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” ที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร ต.แม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
“หลวงพ่อพุทธโสธร” ที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
“หลวงพ่อโต” วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
“หลวงพ่อวัดเขาตะเครา” ที่วัดเขาตะเครา ต.บางครก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
องค์ที่ ๕ คือ “หลวงพ่อวัดไร่ขิง” ที่วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม
ส่วนของลาวก็มีตำนานพระพุทธรูป ๓ พี่น้องลอยน้ำเหมือนกัน ลอยมาตามลำน้ำงึมออกแม่น้ำโขง องค์หนึ่ง “แหกแพ” ขณะที่ถูกพายุถล่ม จมน้ำหาย เลยข้ามโขงมาได้เพียง ๒ องค์ แต่องค์ที่จม จมอยู่ถึงร้อยกว่าปี เจ้าเมืองฝั่งไทยเกิดหัวใส ให้นักโทษประหารแอบไปงม แล้วปิดเงียบไม่ให้ใครรู้
ตามตำนานกล่าวว่าพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์พี่น้องนี้ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชษฐาธิราช มหาราชแห่งลาว... -
การกระทำผิดโทษเบาหลาย ๆ ครั้ง สุดท้ายจะนำไปสู่การทำผิดที่โทษหนักจนได้
ถาม : การที่เราลักขโมย กับสิ่งที่เขาไม่ได้ให้เรา แต่เราไปหยิบฉวยมาเอง ความหนักขึ้นอยู่กับ...?
ตอบ : เอาอย่างนี้นะ ลัก ฉ้อโกง ปล้น วิ่งราว กฎหมายจะบอกอาการแต่ละอย่างเอาไว้ ว่าแต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร ? มีโทษเป็นอย่างไร ?
มีการให้คำจำกัดความในการตัดสินของกฎหมายว่า การวิ่งราวก็คือการที่บุคคลหนึ่ง นำเอาทรัพย์สินของอีกบุคคลหนึ่ง เคลื่อนที่ออกจากจุดนั้นไป เรียกว่าวิ่งราว แต่เขาตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า รถไฟ ๒ ขบวนวิ่งสวนกัน บุคคลที่อยู่รถไฟขบวนหนึ่ง เอื้อมมือไปดึงปากกาจากบุคคลที่อยู่บนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง โดยที่ตัวเขาไม่ได้ไปไหน เขาก็ยืนอยู่กับที่ แต่รถไฟนำเขาเคลื่อนจากไปเอง อันนั้นถือว่าเป็นคดีวิ่งราวหรือเปล่า ?
ศาลตัดสินว่าเป็นการวิ่งราว เพราะว่าสมบัติก็ไปอยู่กับอีกคนหนึ่งเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูตรงจุดที่ว่า คุณวิ่งหรือคุณยืนเฉย ๆ แล้วพาหนะพาวิ่ง แต่ว่าเขาดูเจตนาว่าคุณตั้งใจเอาของเขาหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ก็อยู่แค่ว่า เราแค่มาใช้คำพูดเพื่อที่จะให้ดูหนักหรือเบา ต้องถามว่าผิดหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าโทษนั้นหนักหรือเบา
การที่เราทำสิ่งที่เป็นโทษเบาหลาย ๆ ครั้ง โดยที่คิดว่าโทษไม่หนัก... -
"พระพุทธศาสนาเป็นของสากล" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"พระพุทธศาสนาเป็นของสากล"
" .. พระพุทธศาสนาเป็นของสากล "มนุษย์ชาวโลกนี้มีใจเกิดขึ้นในที่ใดแล้วก็มีกิเลสหุ้มห่อในใจของมนุษย์ในที่นั้น" พระพุทธเจ้าจึงอุบัติขึ้นในที่นั้นแล้วจึงได้บัญญัติพระพุทธศาสนาลงที่กาย วาจาและใจของมนุษย์เหล่านั้น
เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว "แต่ธรรมคำสอนของพระองค์ที่ยังเหลืออยู่ในหัวใจของมนุษย์เหล่านั้น" ผู้มีศรัทธาก็ปฏิบัติกันต่อไป ต่อเมื่อมนุษย์ในโลกนี้ทั้งหมดไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หรือใจมนุษย์ไม่มีมาเกิดในโลกนี้อีก "นั่นแหละพระพุทธศาสนาจึงจะหมดไปจากโลกนี้"
พระพุทธศาสนาเป็นของสากลอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติในโลกนี้ก็ดี หรือจะไม่มาอุบัติในโลกนี้ก็ดี "ธรรมคืออกุศลและกุศล หากเป็นของมีอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไร" .. "
"ของดีมีในศาสนาพุทธ"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
๖ เมษายน วันสถาปนาราชวงศ์จักรี
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ วันที่ ๖ เมษายนตรงกับวันจักรี คือวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้นมา เพื่อทดแทนราชวงศ์เดิมที่เสื่อมสลายไปจากการศึกการสงคราม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ก้าวขึ้นปีที่ ๒๓๗ แล้ว
กรุงรัตนโกสินทร์ของเรา ๒๓๗ ปีมีพระมหากษัตริย์มาถึงพระองค์ที่ ๑๐ คือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลปัจจุบัน เราจะเห็นว่าระยะเวลา ๒๓๗ ปีโดยประมาณ เกือบ ๑๐ รัชกาล ก็แปลว่าเฉลี่ยแล้วรัชกาลละประมาณ ๒๓ ปี แต่จริง ๆ แล้วมีหลายรัชกาลที่ระยะเวลาสั้นมาก อย่างรัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๗ รัชกาลที่ ๘ เป็นต้น แล้วหลายรัชกาลก็ยาวนานมาก อย่างรัชกาลที่ ๙ ทรงครองราชย์ถึง ๗๐ ปี
เรามีพระมหากษัตริย์ที่เหมาะสมกับยุคสมัยมาโดยตลอด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป สุดยอดนักรบอย่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ดี สุดยอดนักปกครองอย่างสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ ก็ดี หรือว่าสุดยอดพระมหากษัตริย์ผู้เสียสละเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน อย่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรก็ตาม... -
วันจักรี คือ วันคล้ายวันสถาปนามหาจักรีบรมราชวงศ์
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน อย่าลืมว่าต้องตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คือเอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเมื่อ ๒๓๒ ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าตั้งกรุงเทพฯ ขึ้นมาเป็นเมืองหลวงแทนกรุงธนบุรี ประกอบไปด้วยองค์พระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์มาถึงปัจจุบัน ๙ รัชกาลด้วยกัน ระยะเวลา ๒๓๒ ปี มีในหลวงสืบสันตติวงศ์มา ๙ รัชกาล
การสืบสันตติวงศ์ทั้ง ๙ รัชกาลนั้น ประกอบไปด้วยองค์บุรพมหากษัตริย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในยุคนั้น ๆ มาโดยตลอด แต่ถ้าจะนับองค์บุรพมหากษัตริย์ที่มีผู้รู้จัก ครุ่นคิดถึง เอ่ยถึงติดปากทั้งในและนอกประเทศ คือรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ ตลอดจนกระทั่งในหลวงองค์ปัจจุบัน ก็คือรัชกาลที่ ๙
เราทั้งหลายจะเห็นได้ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๑ นั้น ต้องทำศึกสงครามรอบบ้านเกือบตลอดทั้งรัชกาล เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง... -
"เมตตาเป็นเครื่องทำลายความมุ่งร้าย" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"เมตตาเป็นเครื่องทำลายความมุ่งร้าย"
" .. "เมตตาเป็นเครื่องทำลายความมุ่งร้ายหรือความพยาบาทได้อย่างแน่นอน เมตตาจึงเป็นเหตุแห่งความสุขที่เห็นได้ชัด" เป็นเหตุที่ควรสร้างให้มีขึ้น เพื่อทำความทุกข์ให้ลดน้อยถึงหมดสิ้นไป
"การพยายามมองคนในแง่ดี ในแง่ที่น่าเห็นอกเห็นใจ" พยายามหาเหตุผลมาลบล้างความผิดพลาดบกพร่องของคนทั้งหลาย และการพยายามคิดว่าคนทุกคนเหมือนกัน เป็นธาตุดินน้ำไฟลมอากาศด้วยกัน ไม่ควรจะถือเราเป็นเขา และเมื่อไม่ถือเป็นเราเป็นเขาแล้ว ก็ย่อมไม่มีการมุ่งร้ายต่อกันเป็นธรรมดา ความปรารถนาดีต่อกันย่อมมีได้ง่าย และนั่นแหละเป็นทางนำมาซึ่งความลดน้อยของความทุกข์
"การพยายามคิดให้เห็นความน่าสงสาร" น่าเห็นใจของทุกชีวิตที่ต้องประสบพบผ่านทุกวันเวลา คือ การอบรมเมตตา ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ไม่รู้อย่างไรก็ตาม เมื่อใครนั้นผ่านเข้ามาในสายตาของเรา ให้ปรุงคิดเอาเองว่า "เขาอาจจะกำลังมีทุกข์แสนสาหัส แม่พ่อลูกหลานอาจจะกำลังเจ็บหนัก" เขาอาจจะกำลังขาดแคลนเงินจนไม่มีจะซื้อข้าวปลาอาหาร เขาอาจจะอย่างนั้นอาจจะอย่างนี้ ที่น่าสงสารน่าเห็นใจทั้งนั้น
คิดเอาเองให้จริงจังจนสงสารเขา "จนอยากจะช่วยเขา... -
เหตุที่หลวงพ่อโง่นหันมานับถือพุทธศาสนา
เหตุที่หลวงพ่อโง่นจะหันมานับถือพุทธศาสนานั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า
อาตมาไม่ได้บวชเพราะความเลื่อมใสหรอก การบวชนี่มาจากสาเหตุหลายอย่าง มีบวชเพราะเพื่อน บวชเพราะมิตร บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะคลายกำหนัด บวชเพราะไม่ขัดสกุล บวชเพราะหวังในลาภ ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ อุปชีวิกา บวชมาเพื่อหากิน อุปชีวิกา บวชเล่น บวชพอได้บุญ ฯลฯ
อาตมาไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อนเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอะพระเข้าองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุน เมืองเหนือประเทศลาว ท่านพูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง ท่านมาปักกลดซอมซ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกสาว ๆ เขาเลื่อมใส
แม่เล็ก ล่ำซำ ก็เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสท่าน เดี๋ยวนี้เขาแก่แล้ว เขามา ชวนอาตมาว่า “พี่ ๆ ไปกราบพระ ด้วยกันไหม ?” อ้ายเราก็นับถือศาสนาคริสต์อยู่ ก็เลยเอาไม้กางเขนซ่อนไว้ในอก
พระองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อวัง จิตฺตวโร
พออาตมาเข้าไปถึง ท่านก็ชี้หน้าว่า “นี่ถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม ?”
แล้วท่านก็บอกเลยว่า “ถือศาสนาคริสต์ก็ดี ไม่มีเครื่องหมายในศาสนาใดดียิ่งไปกว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์เขามีเครื่องหมายบวก ถ้าเรามองคนในแง่บวกแล้วใจจะสบาย”... -
การอนุโมทนา
ถาม : เขาได้ยินว่าเรานั่งสมาธิหรือสวดพระคาถาเงินล้าน ถ้าเขาโมทนา เขาก็ได้บุญร่วมกับเราได้ แต่ถ้าเราภาวนาแล้วใจไม่ได้เป็นสมาธิตาม คนอื่นก็จะไม่ได้บุญตาม ?
ตอบ : ถ้าเขาโง่เกินไป เขาก็ไม่ได้ ถ้าฉลาดหน่อย เขาเห็นเรานั่งสมาธิก็โมทนาตาม เรานั่งได้เท่าไรเขาก็ได้เท่านั้นแหละ
การโมทนา คือการยินดีในความดีของคนอื่น เมื่อเราทำบุญแล้วเขายินดีด้วย ส่วนของเราก็ได้อยู่แล้ว คนส่วนใหญ่เห็นเขาดีมักจะอิจฉา โอกาสที่จะเห็นเขาดีแล้วยินดีด้วยเลยมีน้อย การที่เราสามารถละทิ้งความอิจฉาริษยา นำเอาความมุทิตาเข้ามาแทน ในส่วนที่รักษากำลังใจให้ผ่องใสอย่างนี้แหละ ที่เป็นบุญเป็นกุศลกับตัวเราเอง
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
"รักษาใจของตนให้ดี" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"รักษาใจของตนให้ดี"
" .. ต่อนี้ไปพึงพากันตั้งใจ "สำรมใจของตนให้ดี" อยาปล่อยใจไปทางอื่น เพราะใจนี้รักษายากเหลือเกิน "ขอให้พากันพากเพียรพยายามรักษาใจดวงนี้ให้มันได้"
การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนานี้ "ความหมายมุ่งหมายก็เพื่อให้รักษาใจดวงนี้แหละ" ให้มันตั้งมั่นอยู่ในบุญในกุศล อย่าให้มันไปตั้งมั่นอยู่ในบาปอกุศล เพราะว่าบุญกุศลกับบาปกรรมนี่ เป็นคู่ศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเลยทีเดียว
ถ้าหากว่า "ตนเองไม่ฝึกตัวเองให้ตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณแล้ว บาปอกุศลมันก็จะมีอำนาจเหนือจิตใจนี้" มันเป็นคู่แข่งกันมาแต่ไหนแต่ไร "แต่ว่ามีใจเป็นประมุขประธานของบุญและบาป" สุดแล้วแต่ใจน้อมไปทางไหน
"เมื่อใจน้อมไปทางบาป บาปมันก็มีกำลังขึ้นในใจ ถ้าใจน้อมไปทางบุญกุศล กุศลก็มีกำลังขึ้นในใจ" ก็มันเป็นอย่างนั้น จิตของปุถุชนผู้ยังไม่ได้บรรลุถึงโลกุตตรธรรมเนี่ย .. "
"จิตเป็นของฝึกยาก"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
พลิกสภาวะฌาน-ญาณ
พลิกสภาวะฌาน-ญาณ -
"ปล่อยวาง ปล่อยทิ้ง" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
.
"ปล่อยวาง ปล่อยทิ้ง"
" .. พระรูปหนึ่ง "ชาบซึ้งคำสอนเรื่องปล่อยวางมาก" จึงพยายามวางเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง "แม้ลมพัดหลังคากุฏิตกไปข้างหน้า" ท่านก็เฉย "ฝนรั่ว แดดส่องท่านก็ขยับหนี ไปทางนั้นที ทางนี้ที" ท่านคิดในใจว่า "หลังคารั่วเป็นเรื่องภายนอก จะรั่วก็ รั่วไป" ปล่อยวางไม่ใส่ใจ "เรื่องของเราคือการทำจิตใจให้สงบและว่างเท่านั้น"
ตามปกติหลวงพ่อจะเดินตรวจกุฏิทุกหลังเป็นประจำ เพือสอดล่องการกระทำของศิษย์ "พระเณรมักทิ้งร่องรอย ความประพฤติไว้ที่กุฏิเสมอ" เช่น "ดูได้จากทางจงกรม ความสะอาดของกุฏิ" ทางเข้าออก "การตากผ้า การรักษาบริขาร" การปิดเปิดประตูหน้าต่างและจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ ฯลฯ
บ่ายวันหนึ่ง หลวงพ่อเดินไปพบหลังคากุฏิตกลงมา
จึงถามว่า "เอ .. นี่กุฏิใคร?’"
"กุฏิผมเองครับ’" พระรูปที่กำลังฝึกปล่อยวาง กราบเรียน
"หลังคาตกลงมากองอยู่นี่ ทำไมไม่ซ่อมแซมมันล่ะ?'"
"ก็หลวงพ่อสอนให้ปล่อยวางไม่ใช่หรือครับ ผมก็เลย ไม่สนใจมัน’"
พระรูปนั้นตอบแล้วนึกสงลัย จึงเรียนถามท่านอีกว่า ..
"ผมไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางถึงขนาดนี้ ยังไม่ถูก หรือครับ?"
การปล่อยวางไม่ใช่เป็นอย่างนี่ "ที่ท่านทำนี่... -
ทาน
* ทาน *
ธรรมาธิบายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระอรหันต์สมัยพุทธกาล
เข้าใจง่าย ชัดเจน เชื่อมโยง
--------
(๑) ความบริสุทธิ์แห่งทาน ๔ อย่าง
1. ทานบริสุทธิ์ฝ่ายทายก (ผู้ให้ทาน) ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก (ผู้รับทาน) คือ
ทายก มีศีล มีธรรมงาม ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างยิ่ง
ปฏิคาหก เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
2. ทานบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก คือ
ทายก เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ปฏิคาหก เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
3. ทานไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก คือ
ทายก เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ปฏิคาหก เป็นผู้ทุศีล
4. ทานบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก คือ
ทายก ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ปฏิคาหก เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล ไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่ามีผลไพบูลย์... -
"ตามรอยปฏิปทาของพระอริยะ" (หลวงปู่จนทร์ศรี จันททีโป)
.
"ตามรอยปฏิปทาของพระอริยะ"
" .. "ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลาย เราทุก ๆ คนไม่ต้องการกันทั้งนั้น" เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงได้มีจิตคิดที่จะละความชั่ว ซึ่งมันมีอยู่ในหัวใจเรานั้น ให้มันปราศจากห่างไกลออกไปทุกวัน ทุกเวลา
เมื่อทำได้อย่างนี้ก็ชื่อว่า "เป็นผู้เจริญรอยตามปฏิปทา คือข้อปฏิบัติของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย" ซึ่งพวกเราเคารพนับถือว่า เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิตของพวกเรา เมื่อเราได้มากระทำดังนี้ "จิตใจของเรานั้นก็จะได้ดีขึ้น" ตามลำดับ .. "
"เมตตาธรรม"
หลวงปู่จนทร์ศรี จันททีโป -
"ทำไมท่านสอนเรื่องกาย" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"ทำไมท่านสอนเรื่องกาย"
" .. การที่ท่านสอนกายคตาสติ "ก็เพื่อแก้ความหลงให้ถูกตามหลักธรรมชาติแห่งความเป็นของกาย" นับตั้งแต่ข้างนอกเข้าไปจนถึงข้างในสุดและ "ทุกชิ้นไม่มีส่วนไหนที่จะน่าพึงปรารถนา"
ในร่างกายของเราและของใครก็ตาม "หากได้พิจารณาตามนี้แล้วจะไม่หลงและจะเป็นความสบายไม่มีกังวล" ปล่อยภาระในสิ่งเหล่านี้ได้ "อุปทานจะมีมาจากไหน" เมื่อไม่มีอุปทนซึ่งถือภาระอันหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกนี้แล้ว "ทำไมจะไม่แสนสบายเล่า" .. "
"กายคตาสติ"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -
ข่าวชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน (พระอาจารย์เล็ก) ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๔
ชุมชนคุณธรรมออนไลน์ Palungjit.org
เครือข่ายชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
ขอรวบรวมข่าวกิจกรรมการดำเนินงานของ
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (พระอาจารย์เล็ก)
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เพื่อให้ทุกท่านได้โมทนาบุญในการทำงานของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
และเพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษารูปแบบการดำเนินงานของพระอาจารย์
ซึ่งท่านเป็นต้นแบบการทำงานของ ชุมชนคุณธรรมออนไลน์ Palungjit.org
ข่าวการดำเนินงานประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๔ -
พระนามของพระพุทธเจ้า
ถาม : อยากถามว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ชื่ออะไรครับ (เด็กถาม) ?
ตอบ : อย่าไปเรียกชื่อ สมมติว่าเราเจอปู่ทวดแล้วเราจะไปเรียกชื่อท่านก็น่าเกลียด เรียกสมเด็จองค์ปฐมแล้วกัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก
ถาม : องค์แรกของกัปหรือครับ ?
ตอบ : องค์แรกของโลกเลย เป็นเด็กเป็นเล็กขี้สงสัยขนาดนี้แล้ว ไปบวชก็แล้วกัน
ชื่อพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่จะซ้ำ ๆ กัน เพราะว่าโบราณเขาถือว่าชื่อไหนเป็นชื่อที่เป็นมงคลก็ตั้งขึ้นมา ก็เหมือนกับพวกเราที่ชื่อซ้ำ ๆ กันนั่นแหละ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกของโลกจริง ๆ แล้วท่านมีพระนามว่า สิขี แปลว่า เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เรียกว่า สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลที่ ๑ เพราะว่ายังมีต่อ ๆ กันมาถึง ๕ องค์ด้วยกัน องค์ที่อยู่ในบทสวดพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์นั่น ที่เขาว่า สิขี สัพพะหิโต สัตถา ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าสิขี เป็นพระศาสดาผู้ประกอบด้วยสรรพประโยชน์ อันนั้นเป็นองค์ที่ ๕ ถ้าเรียกก็คือสมเด็จพระปัญจสิขีทศพล
คราวนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้ รู้ไปแล้วเรียกชื่อท่านตรง ๆ เป็นการไม่เคารพ ถึงเวลาก็นึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว
สัพพะหิตะ แปลว่า กอปรด้วยประโยชน์ทุกประการ สัตถา อันว่าศาสดา... -
"คนที่มีบุญ" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"คนที่มีบุญ"
" .. คนที่มีบุญนั้น "บุญย่อมคอยจ้องที่จะเข้าช่วยอยู่แล้ว" เพียงแต่เปิดโอกาสให้เข้าช่วย คอยเปิดใจรับนั้นเอง "การเปิดใจรับ ก็คือเปิดอารมณ์ที่หุ้มห่อออกเสีย" แม้ชั่วขณะหนึ่ง "ด้วยสติกำหนดทำใจตามวิธีของพระพุทธเจ้า"
เมื่อบุญได้โอกาสพรั่งพรูเข้ามาถึงใจ หรือโผล่ขึ้นมาได้แล้ว "จิตใจจะกลับมีความสุขอย่างยิ่ง" อารมณ์ทั้งหลายที่เคยเห็นว่าดีหรือร้าย "ก็จะกลับเป็นเรื่องธรรมดาโลก" .."
"พระโอวาท"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร -
อานิสงส์การสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม
อานิสงส์การสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม
ถาม : ตั้งใจไว้ว่าที่ไหนบูรณะห้องน้ำจะทำบุญ ?
ตอบ : ลักษณะนี้เป็นลักษณะเดียวกับพระพากุละเถระ พระเถระองค์นี้ประวัติของท่านพิสดารมาก ท่านบวชเป็นพระแล้วเป็นเอตทัคคะ คือ เป็นผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในด้านเป็นผู้ที่มีโรคน้อย ปกติแล้วพระต้องฉันเภสัชรักษาโรคอยู่เสมอ พระพากุละเถระนี่ ในชีวิตแม้แต่สมอชิ้นเดียวก็ไม่เคยฉัน
ตอนที่ท่านเกิด พอเกิดมาตัดสายสะดือเสร็จ พี่เลี้ยงอุ้มลงไปล้างตัวที่ท่าน้ำ ปลาใหญ่ฮุบตูมเดียวเอาไปเลย ปรากฏว่าปลาใหญ่ตัวนั้นว่ายข้ามเมืองไปอีกเมืองหนึ่ง แล้วไปติดข่ายเข้า พ่อค้าเขาก็เอามาขายในตลาด คนรับใช้ของเศรษฐีเมืองนั้นเจอเข้า เลยซื้อปลาไปเพราะเห็นว่าอ้วนดี พอเอาไปทำอาหาร ผ่าท้องปลาออกมา เด็กชายพากุละยังดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่เลย ไม่เป็นอะไร เพราะว่าบุญรักษาจึงอยู่ได้
พอดีเหลือเกินว่าเศรษฐีนั่น เขาพยายามอย่างไรก็ไม่มีลูก พอเห็นเด็ก โอ๊ย...สวรรค์ประทานให้ ดีอกดีใจทั้งผัวทั้งเมีย อุ้มชูเลี้ยงดูรักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ เรื่องก็ลือออกไปว่า เศรษฐีนี่ได้ลูกจากท้องปลา ทางด้านโน้นได้ยินก็ ลูกกูนี่หว่า ..(หัวเราะ).. ก็ตามไปทวง เขาก็ไม่ให้...
หน้า 125 ของ 403