คลังเรื่องเด่น
-
"ถ้าเราคุมจิตได้ ก็ไม่ไปทุคติ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ถ้าเราคุมจิตได้ ก็ไม่ไปทุคติ"
" .. "สติคอยควบคุมจิตตัวนั้น ให้อยู่ในอำนาจของเรา" ให้คิดก็ได้ ไม่ให้คิดอยู่เฉย ๆ ก็ได้ จะปรุงจะแต่งก็ได้ ไม่ปรุงไม่แต่งอยู่ฉย ๆ ก็ได้ "เรียกว่าเราคุมตัวจิตได้แล้ว"
เราคุมจิตอยู่ในอำนาจของเรา "คนเราเวลาตาย ถ้าเราคุมจิตได้แล้วมันก็ไม่ไปทุคติ" ถ้าคุมจิตไว้ไม่อยู่ ก็ไม่ทราบจะไปเกิดในคติไหน .."
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
ทำไมชอบไปวัด
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยอาตมาเด็ก ๆ เวลาไปวัด ก็ไม่รู้ว่าทำไมชอบไปวัด รู้แต่ว่าเย็น นอนสบาย โดยที่ไม่รู้ว่าเวลาที่อยู่วัด กระแสความดีซึ่งเย็นทำให้ใจสงบ ก็แปลกใจว่าไปวัดทีไรหลับทุกที เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ สถานที่ซึ่งมีคนทำความดีเยอะ ๆ กระแสความดีมีมาก เข้าไปแล้วก็สบายใจ"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑
ที่มา : www.watthakhanun.com
=AZXcxbwsMS7LpYi2EH4dF19ShrYRLMzOx05Z5GpozwKbrhHe2J0HAN6gTlrq9CZnc76CNPUYW_OfxdiVN_EMOUZZjjR7rOW1OGazFhOSYSWf2YwXZehb-nma3IyOmPFKymlv-Zymo6PTeHGcn-OwqTK7QPc_wAprKT5OHLMnzaEwMnYYeQS1p6xGP0IerlosAWc&__tn__=*NK-R']#พระครูวิลาศกาญจนธรรม =AZXcxbwsMS7LpYi2EH4dF19ShrYRLMzOx05Z5GpozwKbrhHe2J0HAN6gTlrq9CZnc76CNPUYW_OfxdiVN_EMOUZZjjR7rOW1OGazFhOSYSWf2YwXZehb-nma3IyOmPFKymlv-Zymo6PTeHGcn-OwqTK7QPc_wAprKT5OHLMnzaEwMnYYeQS1p6xGP0IerlosAWc&__tn__=*NK-R']#หลวงพ่อเล็ก... -
"การปฏิบัติธรรมเบื้องต้น" (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
.
"การปฏิบัติธรรมเบื้องต้น"
" .. "การปฏิบัติธรรม คือเบื้องต้นเราก็ฝึกสมถะ" คือการบริกรรม "พุทโธ หรือ ธรรมโม สังโฆ" บทใดบทหนึ่ง "ซึ่งเป็นเครื่องที่จิตเรามันจะจับเอาให้มั่น" ข้อสำคัญให้ใจของเรามันอยู่ในคำบริกรรมั้น ๆ
เมื่อจิตลงเต็มที่ "คำว่าพุทโธนั้นก็หายไป ใจก็เกิดความสงบ" วางอารมณ์ภายอกทั้งปวงหมด "ตัวปิติคือความอิ่มใจก็เกืดขึ้นในใจของเรา" อันนี้เรียกว่าเป็น "สมถกัมมฐาน" .. "
"เมตตาธรรม"
หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป -
ปัญหาของคนจิตละเอียด
ปัญหาของคนจิตละเอียด
Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/duenjitpage/ Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/duenjitfound... Youtube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/duenjit Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/duen_jit/ Soundcloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/duenjit LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://line.me/ti/g2/SStK5q9sZl2eM77... LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ Website เดินจิต : https://www.duenjit.com/ ตารางคอร์ส : https://www.duenjit.com/calendar -
อยู่อย่างสันโดษ
อยู่อย่างสันโดษ
สมัยที่อยู่กับกะเหรี่ยง จะเป็นลักษณะกินเพื่ออยู่ บางครั้งก็ถือถังน้ำหรือตะกร้าแล้วเก็บใบไม้ไปเรื่อย ๆ เก็บมาได้ ๑ ถัง ก็เอามาล้างน้ำให้สะอาด แล้วก็ลวกหรือต้ม ใส่เกลือนิดหน่อย
บางวันกะเหรี่ยงเขาก็แบกกล้วยเอามาให้กิน ตัวเองไม่มีจะกินก็ยังอุตส่าห์เอามาถวายพระอีก ได้กล้วยก็เอามาเผาไฟเสียก่อน จำเอาไว้ว่ากล้วยอย่าไปกินสด ๆ มาก ทำให้จะป่วย เพราะกล้วยเป็นธาตุเย็น บางวันหรูหน่อยมีมันสำปะหลังมาหัวหนึ่ง แบ่งออกเป็นสามท่อน กินได้สามวัน
ไปอยู่แบบนั้นทำให้เห็นชัดเจนว่า ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์แค่นั้นจริง ๆ ส่วนอื่น ๆ เป็นส่วนเกินทั้งนั้น
ถาม : แล้วเขามีไฟฟ้าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก่อนหน้านั้นเขาไม่มี เดี๋ยวนี้เริ่มมีแผงโซลาร์เซลล์แล้ว พอมีไฟฟ้าใช้ก็ซื้อโทรทัศน์ เมื่อความเจริญเข้าไปก็น่าเสียดาย ทำให้วิถีชีวิตเริ่มเปลี่ยน จากพออยู่พอกินก็เริ่มซื้อเครื่องอำนวยความสะดวก ซื้อตู้เย็น ซื้อมอเตอร์ไซค์ เริ่มมีรถกระบะบ้างแล้ว ส่วนมากก็ติดหนี้เขาไว้ ซื้อเงินผ่อนทั้งนั้น
อย่างเช่นมอเตอร์ไซค์ แค่เพียงถือบัตรประชาชนเปล่า ๆ ใบเดียวไป... -
"สามทัพธรรม" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"สามทัพธรรม"
- "ราคะ" โทษหนัก แต่บุคคลเห็นเป็นของเบา ค่อยเกิดช้า ๆ แต่แก้ยาก
- "โทสะ" โทษหนัก เผ็ดร้อน เกิดง่าย หายเร็ว
- "โมหะ" โทษเบาเกิดช้า แต่ถ้าไม่รู้จักวิธีแก้แลแก้ไม่ถูกทาง ไม่มีวันจะหายเลย
.. ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ห้ามพระสงฆ์ใช้อาวุธอันคมแข็งและเป็นพิษภัยแก่ตนและคนอื่น "แต่สอนให้ใช้ปัญญาอันเฉียบแหลมลึกซึ้ง" ผจญภัยคือกิเลสภายในของตนเอง มีราคะเป็นต้น
ด้วยพลนิกร ๓ กองทัพ คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" แถมยังมีกองเสบียง คือ "ทาน" พ่วงท้ายอีกด้วย ๒ ทัพ คือ "ศีลและสมาธิ ถ้าขาดปัญญาทัพที่ ๓ สนับสนุนเสียแล้วก็ไม่มีกำลัง" ปัญญาจึงจัดเป็นทัพหลังหรือทัพหลวงได้ ..
"สามทัพธรรม"
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
http://tesray.com/three-dhamma-forces/ -
โปรดเกล้าฯตั้งสมณศักดิ์ ‘พระราชธรรมสุนทร’ เป็น ‘พระเทพวชิรโมลี’
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระราชธรรมสุนทร เป็น พระเทพวชิรโมลี ปูชนียสถานธุราทร คุณากรธรรมภาษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นเทพ สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 5 รูป คือ พระครูปลัด 1 พระครูวินัยธร 1 พระครูสังฆรักษ์ 1 พระครูสมุห์ 1 พระครูใบฎีกา 1 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. 2564 ประกาศ ณ วันที่ 28 มี.ค. 2564 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน
ทั้งนี้ สำหรับพระราชธรรมสุนทร (ทองใบ ปุณฺโณภาโส) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ หลังจากที่พระธรรมรัตนากร (สีนวล ปญฺญาวชิโร) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ มรณภาพลงเมื่อวันที่ 7 มี.ค. โดยพระราชธรรมสุนทร ปัจจุบัน อายุ 91 ปี... -
"ผู้ภาวนา คือผู้ทำเอาแก่นศาสนา" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
.
"ผู้ภาวนา คือผู้ทำเอาแก่นศาสนา"
".. พระพุทธเจ้าว่าให้ภาวนา "ภาวนาชั่วช้างพับหูชั่วงูแลบลิ้น ก็มีอานิสงส์อักโขอักขัง" ให้เราตั้งใจภาวนา "พุทโธ ๆ" พระพุทธเจ้าว่า ผู้บวชเข้ามาในศาสนาของเราตถาคต ได้ศึกษาเล่าเรียนแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จบหมด ได้สวดมนต์ กลางวันยังมีภาระอยู่ วันละร้อยหนทั้งกลางวันกลางคืน "ยังบ่ได้กินก่อน"
ครั้นบวชเข้ามา "ตั้งใจภาวนาพุทโธ ๆ ชั่วช้างพับหู ชั่วงูแลบลิ้น ผู้นี้ได้กินก่อน" ผู้ศึกษาเล่าเรียนจบพระไตรปิฎก "ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษากิ่งก้านสาขา" เป็นผู้รักษาใบมัน รักษากระพี้มัน รักษาอิหยังมันทั้งนั้น "ผู้ที่ภาวนาได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำเอาแก่นมัน" .. "
"อนาลโย ผู้ไม่มีความอาลัย"
หลวงปู่ขาว อนาลโย -
"ศีลธรรมไม่ต้องขอจากพระ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"ศีลธรรมไม่ต้องขอจากพระ"
" .. คำว่า "ศีลธรรม" ในหลักธรรมชาตินั้น "ไม่ต้องไปขอรับมาจากพระหรือจากใคร" ตามวัดหรือตามสถานที่ต่าง ๆ แล้ว "จึงจะเกิดเป็นศีลธรรมขึ้นมา" แม้เพียงแต่ผู้รักษาความถูกความดีงามประจำนิสัย "แล้วประพฤติแต่สิ่งถูกและดีงามแก่ตนและแก่ผู้อื่น" เว้นการประพฤติสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความถูกความดีงามของตน เพียงเท่านั้น "ก็พอจะทราบได้แล้วว่า ผู้นั้นมีศีลธรรมขึ้นในตัวแล้ว"
อนึ่งเหตุที่จะเกิดศีลธรรมขึ้นในใจและความประพฤติ เกิดขึ้นจากหลักธรรมชาติที่กล่าวแล้วอย่างหนึ่ง "เกิดจากการคบค้าสมาคมกับนักปราชญ์ มีสมณะชีพราหมณ์ เป็นต้นได้ศึกษาไต่ถามจากท่านแล้วสมาทานนำมาปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง" เพียงเท่านี้ก็พอจะยังศีลธรรมให้เกิดขึ้นในตน .. "
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_book_detail.php?cgiBookID=221 -
เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ด้วยความรู้สึกตัว
เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ด้วยความรู้สึกตัว -
"หลักรักษาใจ" (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
.
"หลักรักษาใจ"
" .. "ทำบุญทำทาน การรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาเป็นหลักรักษาใจ" เพราะใจเป็นนามธรรม เรามองไม่เห็นแต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ ทางกาย วาจา มีการไหว้พระสวดมนต์เวลาจะหลับจะนอน ต่อจากนั้นจะนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก "หายใจเข้าก็พุทโธ หายใจออกก็พุทโธ"
คำว่าพุทโธ "ให้มีสติ คือความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวอยู่เสมอว่า เวลานี้เรากำลังอบรมจิต ภาวนาจิต" ให้จิตมันเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว ตามปกติจิตมันชอบเที่ยวไปทุกสารทิศตามที่เราคิดนั้น เพราะฉะนั้นให้สติเหนี่ยว ๆ เอามาไว้ที่หัวใจ .. "
"ไตรสรณคมน์ ที่พึ่งอันแท้จริง"
หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป -
วิธีการเสริมสร้างอำนาจจิตโดยใช้พลัง "ผู้อื่น"
ทำไมแค่อนุโมทนาบุญ กลับเป็นพลังหนุนที่ยิ่งใหญ่เพราะอะไร?
วิธีการเสริมสร้างอำนาจจิตโดยใช้พลัง "ผู้อื่น"
มนุษย์สามารถสร้างอำนาจจิตของตน โดยพลังของ "ผู้อื่น" ได้ 3 วิธีคือ
ในทุกวัน ทุกเวลานาที รังสีจิตทั้งหลายในบรรยากาศจะมีทั้งรังสีหยาบ ละเอียด ดี ชั่ว
วิธีที่จะเลือกดูดซับรังสีจิตที่ดี และประณีตให้เข้ามาในตนทำได้ 3 ประการ คือ
1. เข้าใกล้ผู้มีพลังจิตที่ประเสริฐ ทันทีที่เราเข้าใกล้ผู้มีพลังจิต "อันประเสริฐ" ด้วยความชื่นชม ยินดี อนุโมทนา อานุภาพจิตของท่านจะเหนี่ยวนำเราให้ปรับสภาวะเข้าสู่ "ความประเสริฐดั่งท่าน" ด้วยเสมือนเหล็กธรรมดา ที่เข้าไปอยู่ในรัศมีสนามแม่เหล็ก ย่อมถูกเหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กอ่อนๆ ได้ด้วยกระนั้น ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าบรมครูจึงตรัสว่า "การพบเห็นสมณะ… เป็นมงคลแห่งชีวิตประการหนี่ง" ในขณะเดียวกันถ้าจิตยังไม่ยิ่งใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับคนที่มีอำนาจจิตทรามด้วย ดังคำสอนเรื่องมงคลแห่งชีวิตประการแรกที่ว่า ชีวิตจะได้ดีนั้น สิ่งแรกเลยที่จะต้องทำให้ได้ คือ อย่าส้องเสพสมาคมกับคนชั่ว คนพาล จงเสวนาสมาคมกับบัณฑิต เมื่อทำได้ดังนี้ ความดีอื่นๆ ในชีวิตก็จะตามมาอีกมากมาย... -
การที่เราจับภาพพระไปเรื่อย ๆ กรรมฐานกองพระนิพพานเราได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ถาม : การที่เราจับภาพพระไปเรื่อย ๆ กรรมฐานกองพระนิพพานเราได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คิดเป็นก็ได้ คิดไม่เป็นก็ได้แค่พุทธานุสติ
ถาม : จริง ๆ ภาพพระที่เรานึก ก็คือใจของเรา ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นมโนภาพ คือ ภาพที่เกิดขึ้นในห้วงนึก
ถาม : แต่ก็ไม่ใช่ใจของเรา ?
ตอบ : ใจคือใจ การกำหนดภาพเป็นการทำงานของใจ ถ้าบาลีเรียกว่าจิตกับชวนะ เป็นคนละส่วนกัน
ถาม : ถ้าเรา “อิน” มากกับภาพพระ เหมือนเราอยู่บนพระนิพพาน ภาพนั้นก็ไม่ใช่ใจของเรา ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเป็นการทำงานของใจ ไม่ว่าจะภาพพระหรือภาพกสิณอะไรก็ตาม ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นการปรุงแต่งของใจ เรียกว่าเป็นจิตสังขารอย่างหนึ่ง แต่เป็นจิตสังขารฝ่ายกุศล สร้างความดีความเจริญให้เกิดขึ้นกับใจของเรา
ยิ่งทรงสมาธิมั่นคงจนสามารถใช้อานุภาพของกสิณหรือว่าขยายภาพพระได้ ทำให้เล็กได้ กำลังใจของเราก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น กุศลผลบุญตรงนั้นก็มีมากขึ้น แต่ก็เป็นแค่กามาวจรกุศลเท่านั้น จะไปให้มากกว่านั้น ต้องอาศัยวิปัสสนาญาณเข้ามาช่วย พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะหลุดพ้นถึงจะมี... -
"การเพ่งโทษผู้อื่นทำให้ใจไม่เป็นสุข" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"การเพ่งโทษผู้อื่นทำให้ใจไม่เป็นสุข"
" .. เมื่อโกรธก็มักจะเพ่งโทษไปที่ผู้อื่นว่า เป็นเหตุให้ความโกรธเกิดขึ้น คือมักจะไปคิดว่าผู้อื่นนั้นพูดเช่นนั้น ทำเช่นนั้นที่กระทบกระเทือนถึงผู้โกรธ "การเพ่งโทษผู้อื่นเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการทำให้จิตใจตนเองสบาย" ตรงกันข้าม กลับเป็นการเพิ่มความไม่สบายให้ยิ่งขึ้นเพียงนั้น
"แต่ถ้าหยุดเพ่งโทษผู้อื่นเสีย" เขาจะพูดจะทำอะไรก็ตาม อย่าไปเพ่งดู "ให้ย้อนเข้ามาเพ่งดูใจตนเองว่า กำลังมีความสุขทุกข์อย่างไร" มีอารมณ์อย่างไร "ใจจะสบายขึ้นได้ด้วยการเพ่งนั้น"
กล่าวสั้น ๆ คือ "การเพ่งดูผู้อื่นทำให้ตนเองไม่เป็นสุข" แต่การเพ่งดูใจตนเองทำให้เป็นสุขได้ แม้กำลังโกรธมาก "หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นว่ากำลังโกรธมาก ความโกรธก็จะลดลง" เมื่อความโกรธน้อย หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นว่ากำลังโกรธน้อยความโกรธก็จะหมดไป
จึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะกำลังมีอารมณ์ใดก็ตาม โลภหรือโกรธ หรือหลงก็ตาม "หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นอารมณ์นั้นแล้ว อารมณ์นั้นจะหมดไป" ได้ความสุขมาแทนที่ ทำให้มีใจสบาย ทุกคนอยากสบาย แต่ไม่ทำเหตุที่จะให้เกิดเป็นความสบาย .. "
"วิธีฝึกใจไม่ให้โกรธ"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า... -
การทรงฌานตลอดเวลาจะเครียดไหมครับ ?
ถาม : แล้วการทรงฌานสี่ทั้งวัน ไม่ตึงเกินไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหากทำได้คล่องตัวจริง ๆ จะไม่เป็นไร ยกเว้นคนฝึกใหม่ ๆ จะรู้สึกตึงและเครียด เพราะสภาพจิตที่เคยดิ้นรน โดนกดจนนิ่งสนิทไป
จึงควรซ้อมการเข้า-ออก ขึ้น-ลงฌานต่าง ๆ ให้คล่องไว้ พอคล่องชนิดที่จะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็จะเกิดความเบาขึ้น พอคล่องตัวมากจริง ๆ ต้องการเมื่อไรก็จะมา ต้องการเมื่อไรก็จะเปลี่ยนระดับฌานได้ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นของเบา ไม่ใช่ของหนัก
คราวนี้ก็จะไม่ตึง ไม่เครียดแล้ว สามารถทรงได้เป็นเดือน เป็นปี สมัยอาตมาฝึกใหม่ ๆ ก็ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่กับฌาน จนกระทั่งสามารถทรงได้เป็นระยะเวลา ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือนต่อเนื่อง คิดว่าเราแน่...ที่ไหนได้..พลาดทีเดียว หายจ้อยไปเลย..!
__________________
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
คัดลอกข้อความมาจาก
https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2173&page=5
#พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
#ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
#ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
#ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
#พระพุทธศาสนา #watthakhanun -
สภาวทุกข์
วันนี้จะกล่าวถึงสภาพที่เป็นปกติธรรมดาอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นทุกข์
มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของทั้งหลายทั้งปวง เมื่อกำเนิดขึ้นมา ก็ตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น คนและสัตว์มีความทุกข์ต่าง ๆ เราพอเข้าใจได้ แต่วัตถุธาตุมีความทุกข์อย่างไร ?
ภาษาบาลีเรียกว่า สภาวทุกข์ คือ ทุกข์โดยสภาพที่ต้องเสื่อมไปอยู่ตลอดเวลา จากใหม่ก็กลายเป็นเก่า จากเก่าก็ค่อย ๆ ผุพังไป ท้ายที่สุดแม้แต่สิ่งที่คงทนอย่างก้อนหิน ภูเขา ก็ยังอุตส่าห์เสื่อมสลายลงกลายเป็นเม็ดทราย กลายเป็นดิน กลายเป็นฝุ่น
ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อปรากฏขึ้นแล้ว จะพ้นไปจากความทุกข์นั้นไม่มี ยกเว้นว่าเราทั้งหลายสามารถชำระจิตของเราให้ผ่องใส ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง โอกาสที่จะหลุดพ้นจากห้วงทุกข์จึงจะมีขึ้นได้
ความทุกข์ที่รุมเร้าเรานี้ มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด คำว่าก่อนเกิดหมายความว่า ทันทีที่เราปฏิสนธิในท้องแม่ ก็โดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเผาเราอยู่ตลอดเวลา พระสีวลีท่านกล่าวว่า ตอนที่อยู่ในท้องแม่เหมือนกับอยู่ในหม้อนึ่ง ก็คือโดนอบโดนรมด้วยความร้อนอยู่ตลอดเวลาจากไฟธาตุของแม่ อยู่ในที่คับแคบ... -
"ใจเป็นผู้สร้างเหตุ" (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
.
"ใจเป็นผู้สร้างเหตุ"
" .. ใจเป็นมรดกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ "ศาสนาใด ๆ ก็มีใจเป็นหัวหน้า" กายวาจาเป็นผู้รับใช้ของใจเท่าที่ควร เว้นไว้แต่ในสมัยธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟวิกลวิการจนเกินเหตุเคลื่อนไหวไม่ได้ ใจก็ใช้ไม่ได้ตามประสงค์
สำหรับกายวาจามิได้รับเหตุรับผลในทางดีทางชั่วกับใจใด ๆ ทั้งสิ้น "เพราะมิได้เป็นนายทุนออกความเห็นเป็นเจ้ากี้เจ้าการ" มิได้เป็นเจ้างานปรุงเจ้าแต่งมิได้เป็นเจ้าเหตุเจ้าผล
ส่วนผลรายรับเล่า "ก็ไม่หนีจากเหตุตามธรรมชาติไม่ลำเอียง ก็คืนหาเจ้าเหตุคือนายทุนใจนั้น" ใจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็มิได้เป็นปัญหา "ย่อมได้รับผลตามส่วนควรค่าของเหตุ ที่สร้างขึ้นดีและชั่วนั้น" .. "
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต -
ปธพ.9 จัดหน่วยแพทย์อาสาตรวจสุขภาพพระสงฆ์ถวายพระสังฆราช พา “หมอมาหา” ถวายคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงการแพทย์อาสาถวายการตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
หนึ่งในโครงการแพทย์อาสา กิจกรรมที่จัดโดย มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ร่วมกับ คณะนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์ สําหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.) รุ่นที่ 9 และ แพทยสภา สถาบันพระปกเกล้า กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร โดยเป็นโครงการครั้งที่ 17 และมีการออกหน่วยการตรวจรักษาเพื่อตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และฆราวาส ของวัดในเขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี รวม 14 วัด ณ อาคารปริยัตินุสรณ์ วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร
โดยมีการจัดคลินิกเฉพาะทาง ตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอกตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ คลินิกตา คลินิกหู คอ จมูก คลินิกกระดูกและข้อ รวมถึงการจัดสอนการกู้ชีพพื้นฐาน (Basic CPR) เพื่อบริการให้แก่ภิกษุสงฆ์ สามเณร บุคลากรของวัด รวม 642 รูป/คน ตลอดจนการเสนอแนวทางในการเฝ้าระวังการป้องกันการเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายปัจจัยที่เป็นต้นเหตุในการก่อให้เกิดโรคต่างๆ และถวายเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติไว้ประจำวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร จำนวน 1 เครื่อง... -
อารมณ์เบื่อ อารมณ์วาง ถึงจุดหนึ่งทุกคนจะต้องผ่านอารมณ์นี้ก่อน ?
ถาม : อารมณ์เบื่อ อารมณ์วาง ถึงจุดหนึ่งทุกคนจะต้องผ่านอารมณ์นี้ก่อน ?
ตอบ : ต้องผ่านก่อน ถ้าไม่เบื่อก็จะไม่วาง ฉะนั้น...ต้องเบื่อก่อน พอเบื่อไปจนถึงที่สุดแล้วจะเกิดปัญญาเห็นว่า ธรรมดาเป็นอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ความเบื่อแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน ก็จะไม่ไปแบกเอาไว้อีก แล้วก้าวข้ามไป
ถาม : ทุกคนจะต้องผ่านในระดับอารมณ์นี้ยากเหมือนกัน ?
ตอบ : ยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับปัญญา บางคนปัญญาดี มองเห็นก็ผ่านเลย บางคนปัญญาไม่ดี ตะเกียกตะกายปีแล้วปีเล่า ก็ผ่านไม่ได้สักที เบื่ออยู่นั่นแหละ
ถาม : ถ้าเราเบื่อทำให้เกิดอารมณ์เศร้าหมอง ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา บางคนเบื่อแล้วฆ่าตัวตายไปเลยก็มี แบบเดียวกับพระ ๖๐ รูปที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟัง แล้วพระองค์ท่านก็เข้านิโรธสมาบัติ พระทั้งหมดไปจ้างปริพาชกให้ฆ่าตัวเอง ถามว่าพระพุทธเจ้ารู้ไหม ? รู้....แต่เนื่องจากว่าในอดีตพระทั้งหมดเคยสร้างกรรมนี้เอาไว้ ต้องชดใช้เขา ในเมื่อตนเองเบื่อ ปรารถนาความหลุดพ้น ถึงคนอื่นฆ่าตัวเองก็สามารถที่จะไปได้
ถาม : ถ้าเรารู้อยู่อย่างนี้... -
"บุญสำเร็จด้วยการภาวนา" (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
.
"บุญสำเร็จด้วยการภาวนา"
" .. "ภาวนามัย" บุญสำเร็จด้วยการภาวนา ทำดึทั้งกลางวัน กลางคืน ยืนเดินั่งนอน ทุกอิริยาบถ ถึงกระนั้นก็ตาม "กิเลสมารสังขารมาร ก็ไม่วายมาโกหกให้คนลุ่มหลงมัวเมา" ดิ้นรนวุ่นวายตามอำนาจกิเลส "ไม่ยอมให้ปฏิบัติบูชานั่งสมาธิภาวนา"
เครื่องหลอกหลวงทางตาได้แก่รูป ทางจมูกได้แก่กลิ่น ทางลิ้นทางปากได้แก่รส อาการเย็นร้อนอ่อนแข็งมากระทบร่างกาย "เป็นเครื่องหลอกหลวงให้ใจหลง" ไม่รู้ไม่เข้าใจ "เลยมีแต่ทุกข์สุขไม่รู้อยู่ไหน" .. "
"หลวงปู่สอนว่า"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -
ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญสูงสุดคะ ?
ถาม : ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญสูงสุดคะ ?
ตอบ : ฝึกกรรมฐานให้ได้สมาบัติ ๘ จะได้บุญที่สุด รีบไปทำด่วน...! จำไว้ว่า ถ้าบุญในส่วนของทาน ต่อให้ทำขนาดไหนก็ไม่เกินศีล แล้วรักษาศีลขนาดไหนก็ไม่เกินภาวนา ฉะนั้น...ไปภาวนาให้มากเข้าไว้ แต่ในส่วนของทานกับศีลก็อย่าไปทิ้ง ให้ทำควบคู่กันไปด้วย
สมัยก่อนมีคนไปสรรเสริญหลวงปู่ดูลย์ ว่าได้สร้างโบสถ์ได้สร้างศาลา ช่างเป็นบุญที่ใหญ่เสียจริง ๆ ท่านก็หัวเราะนิดหนึ่ง "เฮอะ...ถ้าอยากได้บุญ ใครจะมาเอาบุญอย่างนั้น" คนเขาตีความไม่ออก สร้างโบสถ์ได้บุญมหาศาลเลย แต่เขาลืมไปว่าโบสถ์ก็เป็นแค่วิหารทาน ยังอยู่ในส่วนของทาน ยังก้าวไปไม่ถึงศีลเลย ยังมีภาวนาอีก แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านก็พูดสั้น ๆ ด้วย ถ้าคนตีความไม่ออก ก็จะเข้าใจผิดไปเลย ไปสงสัยว่าถ้าท่านไม่สรรเสริญในทาน แล้วจะสร้างไปทำไม ?
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
"ปฏิบัติให้มาก" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ปฏิบัติให้มาก"
" .. "การปฏิบัติเป็นของสำคัญมาก" ถึงแม้จะไม่ได้เรียน หากว่าปฏิบัติเป็นเสียแล้ว "เข้าถึงธรรมะธรรมโมแล้วจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง"
เมื่อครั้งพุทธกาล ท่านไม่ใคร่ได้ศึกษาเล่าเรียนเท่าไรนัก "เล่าเรียนบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงบทกรรมฐานเท่านั้นเอง" ท่านก็ยังได้สำเร็จมรรคผลนิพพานกันมากมาย
"คนทุกวันนี้เรียนมากเหลือเกิน" คุยฟุ้งกันไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง ความเป็นจริงแล้วไม่รู้จักตัวเอง "เราถือพุทธศาสนาเราต้องปฏิบัติมันจึงจะถูก" เราทำเราปฏิบัติมากกว่าฟัง
การปฏิบัติในที่นี้หมายความถึง "ให้เข้าถึงจิตถึงใจ" ถ้าไม่ถึงใจแล้วไม่ได้เรื่อง "คือปฏิบัติธรรมต้องใจถึงก่อนทั้งนั้น" ใจเป็นคนรู้คนเห็นก่อน "ใจเป็นคนถึงธรรมก่อน" .. "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
"ธรรมทานที่แท้จริง" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"ธรรมทานที่แท้จริง"
" .. การให้ธรรมที่แท้จริง "ย่อมหมายถึงการทำตนเองของทุกคนให้มีธรรม" ให้ธรรมในตนปรากฏแก่คนทั้งหลายโดยอัตโนมัติ "ไม่ต้องมีการแสดงออกเป็นการสั่งสอนด้วยวาจา" หรือเช่น "ด้วยการแสดงธรรมแบบพระธรรมเทศนาของพระ"
การสั่งสอนธรรมหรือให้ธรรม "ด้วยความประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยตนเองนั้น" มีความสำคัญเหนือกว่าการแจกหนังสือธรรมเป็นอันมากด้วยซ้ำ "เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ" จนธรรมนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายกับใจ "นั่นแหละเป็นการแสดงธรรมให้ปรากฏแก่ผู้รู้ผู้เห็นทั้งหลายทั้งปวง" และจะต้องได้ผลมากกว่าการให้ธรรมที่เป็นข้อเขียนในหน้าหนังสือ .. "
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร -
"ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเสียสละ" (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
.
"ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเสียสละ"
พ่อลีท่านกล่าวว่า " .. "ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีการเสียสละ" ไม่เห็นแก่ตัว "บุคคลใดมีธรรมอันพอจะช่วยให้เป็นประโยชน์แกผู้อื่นได้ แต่ไม่ช่วย พระพุทธเจ้าย่อมไม่สรรเสริญบุคคลชนิดนั้น" และตัวเราเองก็ติเตียนตัวเราเอง
ถ้าหากเราจะท่าอย่างนั้นบ้าง เราก็สบายไปนานแล้ว ไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ "ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปนี่ก็เพราะเห็นแก่ศาสนาเป็นส่วนใหญ่" .. "
"ธรรมะทะลุโลก"
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร -
"ธรรมธาตุเที่ยง นิพพานเที่ยง" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"ธรรมธาตุเที่ยง นิพพานเที่ยง"
" .. ธรรมธาตุ "ได้แก่จิตของท่านผู้บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น" พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในโลกอันนี้มากขนาดไหน พระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสรู้ องค์นั้นตรัสรู้ วันนี้หนี้งองค์ วันหน้าหนี้งองค์สององค์ ก็เป็นสามองค์สี่องค์แล้ว
กี่กัปกี่กัลป์ก็ตรัสรู้มาเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าจึงย่อมมี จำนวนมากมายก่ายกอง พระสาวกของพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ก็จำนวนมาก "เหล่านี้เป็นธรรมธาตุทั้งนั้นครอบโลกธาตุไปหมด" โลกทั้งหลายได้กราบไหว้ ธรรมธาตุ นี้แล
ที่ว่า "ธรรมมีอยู่ ๆ คือ ธรรมธาตุเหล่านี้แหละ" โลกทั้งหลายได้กราบไหว้บูขา นี้ก็ไม่ฉิบหาย กลายเป็นธรรมธาตุขึ้นมา ท่านว่า "นิพพานเที่ยง กับ ธรรมธาตุ นี้เที่ยง" ก็อันเดียวกันนั่นแหละ
"นี่ล่ะจิตไม่เคยฉิบหาย" ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ก็ฟินตัวขึ้นมาได้ จนกระทั้งถึง นิพพาน ถึงธรรมธาตุ ก็ไม่ฉิบหายเป็นธรรมธาตุ ที่คงเล้นคงวาหนาแน่น "ท่านเรียกว่า นิพพานเที่ยง" .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ -
วิ่งออกกำลังกายและภาวนาไปด้วยได้ไหม ดีไหม?
✨ เคยมีคนสงสัยไหมครับว่าตอนวิ่งออกกำลังกาย จะสวดมนต์หรือภาวนาไปด้วยได้ไหม ???? ✨
ผู้ถาม : เวลาประมาณตี ๕ ลูกได้ออกมาวิ่งออกกำลังกาย ในขณะที่วิ่งลูกก็สวดมนต์ไปด้วย ตัดขันธ์ ๕ ไปด้วย มาวันหนึ่งคิดว่า ทำไปทำมา
เอ สติจะเสียหรือเปล่า ชักไม่ไว้ใจตัวเอง
หลวงพ่อ : เขาทำถูกแล้วไม่เสีย นั่นสติดี นั่นดีมากจริงๆ แบบจงกรม เขาวิ่งนี่ฉันเคยใช้นะ ใช้ก็สะดวกดี
เมื่อก่อนก็เดิน เดินช้าหน่อย ต่อมาก็เร็ว หนักๆ เข้าในป่าไผ่ ล่อกันครึ่บๆ วิ่ง วิ่งแบบกวดหมานะ วิ่งกวดวัวแต่หนีหมา
ปรากฏว่ามีท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งย่องแอบไปเห็นเข้า ก็ฟ้องหลวงพ่อปาน
พระ ๓ องค์ วิ่งกันพรึ่บๆ ไม่เป็นพระเป็นเจ้า
หลวงพ่อปานเลยสวดเอาว่า เขาทำในป่าแล้วเสือกเห็นทำไมท่านบอกว่าปากหมา นั่นเขาทำกรรมฐานกัน สังเกตไหม
เขาวิ่งเขาไม่ได้วิ่งส่งเดช เขาวิ่งภาวนาไปด้วย
นี่เหมาะสำหรับพระที่ไปธุดงค์หรือคนเดินป่า เพราะอะไรรู้ไหม
เวลาเสือกวดเรา เราวิ่งหนีเป็นตัวคุมสติให้อยู่ นี่ทำถูกต้องแล้วนะ
สังเกตไหม.
แค่จงกรมธรรมดา สมาธิยังไม่เสื่อมเลย ต้องถือว่าเก่งมาก น่าจะฝึกอภิญญา
ผู้ถาม : อย่างนี้ฝึกได้จริงๆหรือครับ?
หลวงพ่อ : ฝึกได้... -
การเคร่งครัดต่อพระวินัยเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเคร่งครัดแบบยึดติด นี่เป็นสักกายทิฐิเต็ม ๆ
ถาม : เวลาทำสังฆกรรม ถ้าคนละนิกายบางอย่างก็ไม่ต้องร่วมกับเขา ?
ตอบ : ผมว่าเป็นเรื่องความเข้มงวดที่ไม่เข้าท่า อย่างของผมไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ๔ ปี เขาไม่ให้ลงโบสถ์ด้วย วันไหนวันพระใหญ่ก็ให้ผมบอกบริสุทธิ์แล้วก็อยู่ในกุฏิ ไม่ต้องไปลงโบสถ์ ผมก็ว่าแล้วกูจะบอกบริสุทธิ์ทำไม ? มึงไม่ให้กูลงแปลว่ากูไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว..! ...(หัวเราะ)... แต่คราวนี้เราอยู่กับเขา ให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแหละ
การเคร่งครัดต่อพระวินัยเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเคร่งครัดในลักษณะยึดติดเป็นสีลัพพตุปาทานก็คือ ถือว่าการปฏิบัติของเราดีกว่าผู้อื่น นี่เป็นสักกายทิฐิเต็ม ๆ ผมเจอพระธรรมยุตมากต่อมากด้วยกัน ที่ท่านทำถึง ทำดีจริง ๆ ไม่เห็นท่านรังเกียจอะไร คลุกคลีตีโมงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อย่างสมัยก่อนหลวงปู่บุดดา ไม่มีใครนึกว่าท่านเป็นพระธรรมยุตนะ ไปไหนไปกัน เวลารับเงินหลวงปู่ก็รับด้วย ...(หัวเราะ)... อย่างหลวงปู่กล่อม วัดอาวุธฯ ท่านเป็นเจ้าคุณใหญ่โต ก็ไม่เห็นท่านจะถือสาหาความอะไร ไปถึงท่านกราบก่อนเลย หลวงพ่อหลวงปู่แต่ละรูปท่านหลบกันอุตลุด
ตอนนั้นหลวงปู่กล่อมท่านเป็นพระเทพวราลังการ เจ้าคุณชั้นเทพ... -
'การนั่งสมาธิภาวนามีอานิสงส์มากเป็นวิธีแก้จิตที่บาปให้กลับเป็นบุญได้' โอวาทธรรม 'หลวงปู่สิงห์'
'การนั่งสมาธิภาวนามีอานิสงส์มากเป็นวิธีแก้จิตที่บาปให้กลับเป็นบุญได้' โอวาทธรรม 'หลวงปู่สิงห์'
วันพุธ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564, 19.30 น.
".....ความจนใจของบุคคลผู้ไม่มีสมาธิภาวนา โดยมากย่อมจนใจอยู่ในข้อที่ว่า ทำบุญล้างบาปก็ล้างไม่ได้หรือคำว่าทำบุญแก้บาปก็แก้ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลที่จะละบาปบำเพ็ญบุญนั้นจะต้องทำอย่างไรกัน
ข้อนี้ตอบได้ง่ายๆ ว่า ต้องนั่งสมาธิภาวนา
นอกจากนั่งสมาธิภาวนาแล้วไม่มีวิธีอย่างอื่นจะพึงแก้ได้ เพราะเหตุว่า การนั่งสมาธิภาวนานี้มีอานิสงส์มาก เป็นวิธีแก้จิตที่บาปให้กลับเป็นบุญได้ ตลอดแก้จิตที่เป็นโลกีย์ให้เป็นโลกุตตระได้ เมื่อแก้จิตให้บริสุทธิ์ดีแล้ว บาปอกุศลก็หลุดหายไปเอง อุทาหรณ์ข้อนี้พึงเห็นพระองคุลิมาลเป็นตัวอย่าง....."
โอวาทธรรมพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา คัดลอกเนื้อหาจาก "หนังสือบูรพาจารย์" หน้า ๑๙๘ (ขอบคุณลานธรรมจักร)
ขอขอบคุณ
https://www.naewna.com/likesara/559897 -
"นี่แหละทางดับทุกข์" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
.
"นี่แหละทางดับทุกข์"
" .. "ความทุกข์เกิดขึ้นในกาย" ความไม่ดีเกิดขึ้นในกาย เวทนาไม่ดีเกิดขึ้นแต่สัมผัสทางกาย "อันนี้เรียกว่าความทุกข์กาย" ให้กำหนดให้ดี
"ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ" ความไม่ดีเกิดขึ้นที่ใจ เวทนาไม่ดีเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นสัมผัสทางใจ "อันนี้ได้แก่ความโศก ความเสียใจความเศร้าใจ"
"ให้กำหนดให้มันรู้เรื่องทุกข์" ให้มันเห็นเรื่องทุกข์เสียสัจจะทั้ง ๔ นี้ พระพุทธเจ้าว่าเป็นทางไปพระนิพพาน "นี่แหละทางดับทุกข์" นี่แหละให้พิจารณา .. "
"อนาลโยวาท"
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หน้า 126 ของ 403