คลังเรื่องเด่น
-
การปรุงแต่งเป็นโทษทั้งนั้น ชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ
พวกเราปฏิบัติธรรมได้ก็ปล่อยที่รั่วไหลกันหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไหลตามกิเลสไปหมด ทำอย่างไรที่จะเห็นรูปแค่เป็นรูป โดยไม่ไปปรุงแต่งว่าเป็นหญิงเป็นชาย ชอบหรือไม่ชอบ เพราะว่าการปรุงแต่งเกิดโทษทั้งนั้น ชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส หยุดไว้อย่าให้เข้ามาในใจ แค่ขั้นต้นทำได้ไหม ? ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีทางที่จะสู้กิเลสได้
ส่วนใหญ่พวกเรามักจะคิด คิดเก่งมาก ไม่ใช่คิดมาก คิดคนเดียว คิดคนเดียวจะเรียกว่าคิดมากไม่ได้หรอก ไม่เป็นพหูพจน์...ใช่ไหม ? คนเดียวเป็นได้แค่เอกพจน์ ในเมื่อคิด ดันคิดดีกว่าที่เขาทำอีก บางทีเขาทำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หยิบของส่งให้บังเอิญหลุดมือวางแรงไปหน่อย ก็ไปหาว่าเขากระแทกของใส่หน้า ไปยันโน่นเลย นั่นแหละคือการคิดปรุงแต่ง เราคิดไปเมื่อไรก็ก่อทุกข์ก่อโทษให้กับเราทั้งนั้น
อย่าปล่อยให้กำลังที่สะสมได้รั่วหมด พอเรารั่วหมดก็ไปยินดียินร้ายกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่เกิดขึ้น กำลังก็ไม่พอที่จะต่อต้านกิเลสสักที
กิเลสก็เก่งโคตรเลย หลอกให้เรารั่วได้ตลอด... -
"เด็กไม่รู้เดียงสา ชื่อว่ามีศีลหรือไม่" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"เด็กไม่รู้เดียงสา ชื่อว่ามีศีลหรือไม่"
.. มีปัญหาว่า "เด็ก ๆ ไม่รู้เดียงสา ไม่ได้ฆ่าสัตว์อะไร จะชื่อว่ามีศีลหรือไม่" ..
" .. คนที่ยังไม่ฆ่าสัตว์ เพราะยังไม่มีโอกาสจะฆ่าจะชื่อว่ามีศีลหรือไม่ ก็อาจตอบได้ ด้วยอาศัยหลักวิรัติว่า "ไม่ชื่อว่ามีศีล เพราะไม่มีวิรัติเจตนาคือความตั้งใจงดเว้น" เช่น "เด็กไม่รู้เดียงสานั้นยังไม่รู้จักตั้งใจงดเว้น" คนที่ยังไม่มีโอกาสจะฆ่าก็ไม่มีความตั้งใจงดเว้น .. "
"มนุษยธรรม"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวิรญาณสังวร
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13759 -
ปัญญาในอุเบกขา เกิดจากการหยุดปรุงแต่งทั้งปวง
ถาม : เมื่อวานตอนสาย ๆ เดินไปอยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่า เมื่อละบาปได้แล้วให้ละบุญด้วย ก็พิจารณาว่า เอ๊ะ...เป็นอย่างไร ? พิจารณากลับไปกลับมาก็มาลงที่ว่า ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พระสงฆ์ที่เป็นขีณาสพต่าง ๆ ท่านไม่เอาทั้งบุญทั้งบาป แล้วท่านดำรงได้อย่างไร ก็ได้เห็นว่าเพราะมีวิหารธรรม คือ ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ ก็ไปค้นในกูเกิ้ล พบว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในเสนาสนสูตร ว่าวิหารธรรมมีอานาปานสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ และสีลานุสติ ก็เลยมาเข้าใจว่า ท่านละต่าง ๆ แล้ว ท่านก็อยู่ด้วยวิหารธรรมสิ่งนี้นั่นเอง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือตัวปัญญา เป็นปัญญาในอุเบกขา เกิดจากการหยุดปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว รู้ว่าดีเราก็ทำ รู้ว่าชั่วเราก็ละ ทำดีเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ละชั่วเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ประคับประคองกาย วาจา ใจ ของตัวเราเอาไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น
พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ทำเพราะดี ละเพราะชั่ว แต่ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เป็นตัวปัญญา แล้วก็ต้องบอกว่าตัวอุเบกขาที่ว่านั้นเป็นสังขารุเปกขาญาณ คือปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม... -
"บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย" (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
.
"บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย"
" .. "การนั่งสมาธิภาวนาอย่ากลัวตาย" มันไม่ตายง่าย ๆ เดี๋ยวนี้ยังไม่ถึงเวลา บุญกุศลที่เราได้บำเพ็ญมาช่วยอุดหนุนไม่ให้เรามีโรคภัยไข้เจ็บอันรุนแรงนับเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ นี่คือว่า "บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย"
เมื่อได้ทำบุญ ทำทาน รักษาศีลแล้ว ผลอันนั้นย่อมมีอยู่ในใจ วาจา ร่างกายของเราทุกคน "แต่เป็นของละเอียดอ่อนมองไม่เห็น" ถ้าใจเราสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิเมื่อใด ก็จะเห็นผลด้วยตัวเอง .. "
"หลวงปู่สอนว่า"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -
การรู้ใจคนอื่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มีญาติโยมอยู่จำนวนหนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ในสายตาของอาตมาถือว่าน่าสงสารมาก เพราะมาที่นี่ตั้งใจจะมาดูว่าพระอาจารย์เล็กเก่งจริงหรือเปล่า ? หลายรายถึงขนาดอธิษฐานมาจากบ้านเลย "ถ้าพระอาจารย์เล็กเก่งจริง ต้องบอกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ"
นั่นเป็นการตั้งกำลังใจที่ผิด เราไปดูเศรษฐีว่ามีสมบัติเท่าไรจะมีประโยชน์อะไร ? มีอยู่อย่างเดียวคือต้องทำตัวเราให้เป็นเศรษฐี จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เอาแต่มานั่งนินทาอาตมาว่า ไม่เห็นเก่งจริงอย่างที่เขาลือกัน แม้แต่คนที่อาตมารับรองว่าสามารถรู้ใจคนอื่นได้ ก็ยังไปนั่งนินทาอยู่ข้าง ๆ เขา ว่าอาตมาไม่เห็นจะเก่งจริงอย่างที่คนว่ากัน แล้วก็ปล่อยให้คนที่รู้ความคิดของเรานั่งสมเพชเวทนากันต่อไป
โดยปกติการรู้ใจคนอื่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย การระมัดระวังใจตนเองไม่ให้กิเลสกินต่างหากที่สำคัญที่สุด
ถ้าท่านทั้งหลายมุ่งลัดตัดตรงเข้าหาการรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ตั้งใจทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ... -
"อดีตอนาคต ควรปล่อยไว้ตามกาล" (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
.
"อดีตอนาคต ควรปล่อยไว้ตามกาล"
" .. "สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน" เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้ "ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว" โดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคตยังมาไม่ถึงก็เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน "อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน" ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย .. "
"ภูริทตฺตธมฺโมวาท"
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) -
เเผ่เมตตาอย่างไร... ถึงถ่ายทอดบุญได้?
เเผ่เมตตาอย่างไร...ถึงถ่ายทอดบุญได้?
.
.
=AZXy1G-XZOhkQ4UllKuvoWx6YG1qSwDB9jTrlAAeGmL3tMw0n5Kc8qNe0O9WkigkGUBrKh3Z2h_PJnStFhqLN6qDZ-TbCtnwYkzC-P-6WIDmunkKMEiRmN_zAEhEkmbiQhTkvirjNRO0Ot-5N1DpcMapPpTFBMi_FmexC63-X3fyVVo1EzGHJEokGDn2xqC-Jx4&__tn__=*NK-R']#การแผ่เมตตาที่แท้จริง
=AZXy1G-XZOhkQ4UllKuvoWx6YG1qSwDB9jTrlAAeGmL3tMw0n5Kc8qNe0O9WkigkGUBrKh3Z2h_PJnStFhqLN6qDZ-TbCtnwYkzC-P-6WIDmunkKMEiRmN_zAEhEkmbiQhTkvirjNRO0Ot-5N1DpcMapPpTFBMi_FmexC63-X3fyVVo1EzGHJEokGDn2xqC-Jx4&__tn__=*NK-R']#ต้องเริ่มจากการแผ่เมตตาตนเองก่อน
คือการฝึกสติปัฏฐาน
จนเข้าถึงปีติสุข
เข้าถึงความเบาสบาย
ชุ่มไปด้วยปีติ และสุข
มีความเบิกบานใจก่อน
ต้องแผ่เมตตาตนเองก่อนโยม
ใจตัวเองมันชุ่มฉ่ำ
คือเราต้องอิ่มก่อนนั่นแหละ
ถามว่า.. ถ้าเรายังหิวกระหายอยู่
เราจะแผ่ให้ใครได้?
มันก็แห้งแล้งแบบนั้น
เราต้องเมตตาตัวเอง ด้วยการฝึกสติปัฏฐาน
จนเกิดปีติสุข เกิดความซาบซ่าน
เกิดความเบาสบายขึ้นมา จนมันชุ่มใจ
จากนั้นจะเป็นคลื่นพลังงาน
ที่มันเอ่อล้นออกมา
แล้วตรงนี้แหละ คือ...... -
ดูแลรักษาร่างกายไปตามหน้าที่
ดูแลรักษาร่างกายไปตามหน้าที่
ถาม : ร่างกายนี้ ถ้าหากว่าเราบอกว่าไม่สนใจ ช่างมันนั้น หมายความว่าปล่อยแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทรกซ้อน..อย่างกรรมเก่านี่จะเข้ามาแทรกซ้อนไหม ?
ตอบ : กรรมนั้นไม่เกี่ยว เราปล่อยหรือไม่ปล่อยนั้นเขาก็ทำหน้าที่อยู่แล้ว ลักษณะการปล่อยร่างกายนั้น หมายความว่าเรามีปัญญารู้เท่าทัน รู้เท่าทันว่าร่างกายที่ไม่ดีจริงอย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราขอมีร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียว ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็บำรุงดูแลรักษาไปตามหน้าที่
กายนี้เป็นสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือ ดูแลรักษาให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ส่งคืนเขาในสภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่ว่ายืมของเขามาใช้ แล้วก็ใช้ให้พังไปเลย เรายังมีหน้าที่ดูแลรักษาเขาอยู่ เพื่อว่าในปัจจุบันเราจะได้อยู่โดยไม่ลำบากนัก
แต่ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการมีอีกแล้ว ชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ใช่ประเภททิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่สนใจ ๗ วันไม่อาบน้ำสักที เดี๋ยวคนรอบข้างเขาจะด่าเอา..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ที่มา :... -
"ที่พึ่งที่แน่นอน ก็คือใจของเรา" (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
.
"ที่พึ่งที่แน่นอน ก็คือใจของเรา"
" .. ใจนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ พระพุทธองค์ท่านจึงพูดว่า ให้หาที่พึ่งของใจ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ใครจะเป็นที่พึ่งได้ "ที่เป็นที่พึ่งที่แน่นอน ก็คือใจของเรานี่เอง" ไม่ใช่สิ่งอื่น
พึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้แต่ไม่ใช่ของที่แน่นอน "เราจะพึ่งสิ่งอื่นได้ก็เพราะเราพึ่งตัวของเรา" เราต้องมีที่พึ่งก่อน จะพึ่งอาจารย์ พึ่งญาติมิตรสหายทั้งหลาย จะพึ่งได้ดีนั้น "เราต้องทำตัวของเราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน" .. "
"๔๘ พระธรรมเทศนา"
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) -
ข่าวชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน (พระอาจารย์เล็ก) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ชุมชนคุณธรรมออนไลน์ Palungjit.org
เครือข่ายชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
ขอรวบรวมข่าวกิจกรรมการดำเนินงานของ
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (พระอาจารย์เล็ก)
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เพื่อให้ทุกท่านได้โมทนาบุญในการทำงานของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
และเพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษารูปแบบการดำเนินงานของพระอาจารย์
ซึ่งท่านเป็นต้นแบบการทำงานของ ชุมชนคุณธรรมออนไลน์ Palungjit.org
ข่าวการดำเนินงานประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ -
คาถาหัวใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ
ช่วงที่เดินทางไปอีสานและภาคเหนือ แวะดูงานตลาดชุมชนที่ศูนย์คชศึกษา บ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์ เห็นเขายังมีวัสดุที่ทำจากช้าง ไม่ว่าจะเป็นงาช้าง ขนช้าง กรามช้าง กรามก็คือฟัน แล้วก็ไปได้รับคำแนะนำจากทางเจ้าของร้านว่า ให้หาวัสดุที่ทำด้วยฟันหรือกรามช้างชิ้นหนึ่ง กับวัสดุที่เป็นกำไลงาช้างชิ้นหนึ่ง โดยถือเคล็ดว่า "ฟันกำไร"
เขาบอกว่าให้สังเกตดูว่า คนค้าขายสมัยนี้ทำอย่างนี้กันเยอะ เห็นใครใส่กำไลงาช้าง หรือกำไลขนหางช้าง ให้ถามเลยว่า "มีอะไรที่เป็นฟันหรือกรามช้างบ้าง ?" เขาจะต้องมีแน่นอน ก็คือว่าเป็นการถือมงคล ที่ช่วยในเรื่องกำลังใจได้ระดับหนึ่ง
แต่ถ้าจะเอาจริง ๆ ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ก็คือถ้าอยากรวย ให้ปฏิบัติในคาถาหัวใจเศรษฐี คือ อุอากะสะ
อุ มาจาก อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร
อา คือ อารักขสัมปทา รู้จักรักษาทรัพย์ ก็คือแบ่งปันทรัพย์สินที่หาได้เป็นส่วน ๆ โดยเฉพาะในส่วนของการเก็บงำไว้เป็นทุน
กะ คือ กัลยาณมิตตา รู้จักคบแต่เพื่อนที่ดี ไม่คบเพื่อนปอกลอก ไม่คบเพื่อนชักชวนไปในทางฉิบหาย
สะ คือ สมชีวิตา ดำเนินชีวิตอยู่ตามศีล ตามธรรม... -
"จิตเหนือกายและสิ่งทั้งหลายในโลก" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"จิตเหนือกายและสิ่งทั้งหลายในโลก"
" .. จิตนี้ถึงแม้จะไม่มีตัวตนและถูกต้องไม่ได้ "แต่จิตก็มีอิทธิพลเหนือกายและสิ่งทั้งหลายในโลก" สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ให้อยู่ใต้อิทธิพลของตนได้
แต่จิตนี้ก็มิใช่โหดร้ายสามานย์จนไม่รู้จักดีรู้จักชั่วเสียเลย "เมื่อผู้มีความปรารถนาดี มาฝึกหัดอบรมจิตนี้ให้เข้าถูกทาง" ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าดังแสดงมาแล้ว "จิตนี้ยังจะเชื่องง่าย ฉลาดเร็วมีปัญญา" พาเอากายที่ประพฤติเหลวไหลอยู่แล้วให้กลับดีได้ .. "
"มรรควิถี" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
http://tesray.com/pathway -
พระเกจิดังทำพิธีสูตรถอดขับไล่ภัยแล้ง
พระเกจิดังในจังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบพิธี “สูตรถอด”ขับไล่เสนียดจัญไรและสิ่งชั่วร้ายให้กับเกษตรกร โดยเชื่อว่าเป็นสิริมงคล และช่วยให้ปัดเป่าสภาพความแห่งแล้งออกจากพื้นที่
มหาสารคาม พบติดโควิด -19 เพิ่ม 1 ราย โยงคลัสเตอร์ปาร์ตี้โต๊ะแชร์ เสี่ยงสูง 100 ราย
จับตาทุกฝีก้าว จีนส่ง จนท.ติดตามทีม อนามัยโลก ลงพื้นที่หาต้นตอโควิด-19 ในอู่ฮั่น
พระสงฆ์ 30 รูป นำโดย พระราชศีลโสภิต หรือ หลวงปู่หนูอินทร์ กิตฺติสาโร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ พระเกจิสายวิปัสสนากรรมฐานชื่อดังภาคอีสาน สวดประกอบพิธี “สูตรถอด” เพื่อขับไล่เสนียดจัญไร และสิ่งชั่วร้ายให้กับพื้นที่การเกษตร ในบ้านกกกอก ตำบลเหนือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์
จากนั้นพระสงฆ์จะนำไม้มงคล 9 ชนิด ปักลงบนพื้นดิน และฝังไว้ เพื่อเป็นสิริมงคลในสถานที่นั้น ๆ และบุคคลที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
พิธี “สูตรถอด” นั้นเป็นพิธีโบราณ บางครั้งก็มีพิธีทางพราหมณ์ประกอบด้วย แล้วแต่ความเชื่อของชาวบ้าน แต่เดิมจะสูตรถอดตามอาคาร หรือสถานที่ที่มีเหตุวิบัติ ผิดธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ตายโหง เป็นต้น
การประกอบพิธีสูตรถอดส่วนใหญ่เจ้าของที่จะทำขึ้นก่อนจะเข้ามาปลูกบ้าน... -
เผยเรื่องราวน่าปลื้มปีติเมื่อครั้ง 'หลวงพ่อคูณ' เข้าเฝ้าฯ ในหลวง ร.9 และพระราชินี
วันที่ 30 ม.ค. 64 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้
“เมื่อครั้ง หลวงพ่อคูณ เข้าเฝ้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชินี”
เผยเรื่องราวน่าปลื้มปีติ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มาที่วัดบ้านไร่ เมื่อปี 2538 และหลวงพ่อคูณได้เข้าเฝ้าฯ
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 ที่เฟซบุ๊ก นิทรรศการพลังแผ่นดิน อัศจรรย์งานศิลป์แผ่นดินสยาม ได้โพสต์บทความเรื่อง "พระเจ้าอยู่หัวกับ... พระอริยสงฆ์แห่งแผ่นดิน" ซึ่งเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มาที่วัดบ้านไร่ เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2538 โดยครั้งนั้น พระเทพวิทยาคม หรือคูณ ปริสุทโธ พระเกจิแห่งบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินปัจจัย จำนวน 72 ล้านบาท
ทั้งนี้ยังมีเรื่องราวที่ลูกศิษย์ได้ไต่ถามหลวงพ่อคูณว่า ในหลวงตรัสอะไรกับท่านบ้าง และท่านเรียกในหลวงว่าอย่างไร... -
"อำนาจวาสนา ต้องอาศัยความเพียร" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"อำนาจวาสนา ต้องอาศัยความเพียร"
" .. การสร้างวาสนาให้สมบูรณ์ขึ้นมา "ให้มีอำนาจวาสนามาก ก็สร้างที่ตัวเราเอง" สร้างทีละเล็กละน้อย สร้างไม่หยุดไม่ถอยก็สมบูรณ์ไปเอง เช่นเดียวกับปลวกมันสร้าง "จอมปลวก" ได้ใหญ่โตขนาดไหน ขุดเป็นเดือน ๆ ก็ไม่ราบเมื่อจะขุดให้มันราบเหมือนที่ดินทั้งหลาย "ฟันมันสองซี่เท่านั้นแหละ มันสามารถสร้างจอมปลวกได้เกือบเท่าภูเขา" นี่แหละความพากเพียรของมัน
เรามีความสามารถฉลาดในอุบายวิธีต่าง ๆ ยิ่งกว่าปลวก "ฟันเราก็หลายซี่ กำลังของเราก็มากยิ่งกว่าปลวก" ทำไมเราจะสร้างตัวเราให้มีความสูงเด่นขึ้นไม่ได้ "ถ้าเรามีความเพียรเหมือนกับปลวกน่ะ! นอกจากไม่เพียรเท่านั้นจึงจะสู้มันไม่ได้" ต้องสร้างให้สูงได้ด้วยอำนาจแห่งความเพียร จะหนีความเพียรไปไม่พ้น .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1597&CatID=1 -
การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ในแบบของในหลวงรัชกาลที่ ๙
พระอาจารย์เล่าว่า "เห็นรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงงาน ทำให้นึกถึงคราวที่พระองค์ท่านเสด็จไปดูต้นกาแฟต้นเดียว ช่วงแรก ๆ ที่พระองค์ท่านตั้งใจให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น แล้วแนะนำให้ปลูกพืชอื่น พระองค์ท่านเอาพันธุ์กาแฟเข้าไปให้ ปรากฏว่ากาแฟที่ชาวเขาปลูกตายหมด มีรอดอยู่ต้นเดียว
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ทูลเชิญเสด็จในหลวงไปดูต้นกาแฟ เดินข้ามเขาไปเป็นลูก ๆ เลย ไปเจอกาแฟต้นเดียว พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ตอนนั้นน่าจะอยู่ระดับพันโทพันเอก โมโหไฟแลบเลย ให้ในหลวงเดินข้ามเขาไปตั้งกี่ลูก มาดูกาแฟแค่ต้นเดียว เลยไปโวยวายกับบรรดาข้าราชสำนักด้วยกัน
ความไปทราบถึงพระองค์ท่าน ทรงตรัสว่า ที่ไปดูเพราะว่าเขาไม่เคยปลูกกาแฟมาก่อน ดูแลไม่เป็น ต้นกาแฟจึงตายหมด แต่ชาวเขาคนนั้นปลูกแล้วต้นกาแฟรอดได้ จึงพระราชทานพันธุ์ใหม่ไปให้ แล้วให้ชาวเขาคนนั้นไปแนะนำเพื่อน ๆ ว่าปลูกอย่างไรถึงจะรอด คุณวสิษฐถึงได้รู้ว่า วัตถุประสงค์ที่พระองค์ท่านไป ยิ่งกว่าการดูกาแฟต้นเดียว เพราะว่าปีถัดมาต้นกาแฟที่พระราชทานไปทั้งหมดรอด ไม่มีตายสักต้นหนึ่ง คนปลูกเป็นคนบอกเพื่อน เพื่อนทำตามก็รอด
หลังจากนั้นได้ผลแล้ว ระหว่างกิโลกรัมต่อกิโลกรัม... -
"กัลยาณมิตรเกิดฝ่ายเดียวไม่ได้" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"กัลยาณมิตรเกิดฝ่ายเดียวไม่ได้"
" .. ที่จริงกัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้ กัลยาณมิตรต้องเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพียงยอมรับทั้งสองฝ่าย "กัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้" แม้คนดีมีปัญญาสักคนหนึ่งจะมีความหวังดี "ปรารถนาจะช่วยคนดีคนใดคนหนึ่งให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการ ก็ย่อมไม่อาจทำได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเข้าใจคำว่า กัลยาณมิตร" .."
"แสงส่องใจ" อาสาฬหบูชา ๒๕๔๙
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13326 -
ไม่ค่อยแจ่ม (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
พระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
กระผมได้อ่านการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เมื่อสมัยเดินธุดงค์ว่า
หลวงปู่เข้าใจเรื่องจิตได้ดีว่า
จิตปรุงกิเลส หรือว่า กิเลสปรุงจิต
ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร?
หลวงปู่อธิบายว่า
“จิตปรุงกิเลส
ก็คือการที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทำสิ่งภายนอก
ให้มี ให้เป็น ให้เลว ให้เกิดวิบากได้
แล้วยึดติดอยู่ว่า
นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
กิเลสปรุงจิต
คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามาทำให้จิต
เป็นไปตามอำนาจของมัน
แล้วยึดว่ามีตัวมีตนอยู่
สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่ร่ำไป”
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจากหนังสือ อตุโล ไม่มีใดเทียม; ประวัติ ปฏิปทา และคำสอน พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์, จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานบำเพ็ญกุศล ครบรอบมรณภาพ ปีที่ ๑๒ (ครบรอบอายุ ๑๐๘ ปีของหลวงปู่) พิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙, หน้า ๔๘๒
ขอน้อมกราบนมัสการหลวงปู่ดูลย์ อตุโลด้วยความเคารพอย่างสูง _/\_ -
ลองทบทวนกันดี ๆ ว่าทุกวันนี้ที่เราทำอยู่เพียงพอที่จะปฏิบัติแล้วหลุดพ้นหรือไม่ ?
มีอย่างหนึ่งที่อาตมาแปลกใจก็คือ ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็หวังพ้นทุกข์ แต่กลับปฏิบัติธรรมแบบคนไม่อยากพ้นทุกข์ ก็คือไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรจริงจังเลย อย่าลืมว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง กิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง เราเองอาจจะปฏิบัติธรรมเช้าสักชั่วโมงหนึ่ง เย็นสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วพอที่จะสู้กับกิเลสไหม ?
ลองทบทวนกันดี ๆ ว่าทุกวันนี้ที่เราทำอยู่เพียงพอที่จะปฏิบัติแล้วหลุดพ้นหรือไม่ ? ไม่ใช่ทำตัวเหมือนมีเวลาว่าง ทำตัวเหมือนคนมีเวลามาก ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรจริงจัง ลักษณะอย่างนั้นถ้าเราเกิดเป็นอะไรตายเสียก่อน จะกลายเป็นว่าเสียชาติเกิด
ครูบาอาจารย์ก็ล่วงลับดับขันธ์ไปทีละองค์สององค์ เรายังจะรออีกนานเท่าไร ? เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ เราตะเกียกตะกายทุกข์ยากมากี่ชาติแล้ว แล้วถ้าหากเรายังทำตัวอย่างนี้อยู่ รู้ไหมว่าเราต้องตะเกียกตะกายทุกข์ยากไปอีกกี่ชาติ...!
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
"นั่นแหละคนที่ไม่ได้ภาวนา" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"นั่นแหละคนที่ไม่ได้ภาวนา"
" .. จิตนี้เมื่อมันออกจากร่างนี้แล้ว หากว่าจิตผู้ใดเวลาจะตายมีความห่วงใยอะไรอยู่กับลูกกับร้างกับบ้านกับช่องกับทรัพย์สมบัติ จริงอยู่อันนี้ "เมื่อจิตนี้ออกจากร่างแล้วไปไหนไม่ได้ ก็ต้องวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ตนข้องใจ อาลัย หวงแหนนั่นแหละ" ไม่ใช่ไปอยู่กับกระดูกนั้นหรอก "ไปอยู่กับที่จิตตรงมันห่วงตรงไหนมันก็ไปข้องอยู่ตรงนั้น"
อย่างที่ในนิทานท่านกล่าวไว้ "คนโบราณเอาเงินไปฝังไว้ในดิน ตายแล้วก็เกิดเป็นงูเฝ้าไหเงินอยู่นั้น" เป็นอย่างงี้แหละ เพราะดูเฉย ๆ เอาเงินนั้นไปใช้จ่ายอะไรก็ไม่ได้ เฝ้าอยู่เพราะจิตมันหวงแหน "นั่นแหละคนที่ไม่ได้ภาวนา" .. "
"จิตเป็นแก่นของชีวิต"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
ความทุกข์ ก็เป็น อนิจจัง และ อนัตตา
ถาม : ความทุกข์เป็นอนิจจังด้วย เป็นอนัตตาด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทุกข์ด้วย เป็นอนิจจังด้วย แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย เพราะว่าไม่มีใครทุกข์อยู่ตลอด เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อื่น
ถาม : ถ้าจะขยายความยาว ๆ เพื่อจะพิจารณา ควรจะพิจารณาในแง่มุมไหนครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง มีวินาทีไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ? จะได้เห็น ๆ อยู่ในปัจจุบันเลยว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางกองทุกข์ ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหนก็ไม่สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์นี้ได้ มีทางเดียวที่จะพ้นไปได้ก็คือก็ก้าวพ้นไปสู่พระนิพพาน นึกย้อนหลังไปเลยว่าตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว เริ่มตั้งแต่ต้องหายใจก็ทุกข์แล้ว
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com
#วัดท่าขนุน
#watthakhanun
#พระครููวิลาศกาญจนธรรม
#พระอาจารย์เล็ก
#หลวงพ่อเล็ก
#พระพุทธศาสนาช่วยโลก
#พระสงฆ์ช่วยสังคม
#ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
#ชุมชนคุณธรรม
#ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
#สื่อธรรมะ -
พระสงฆ์วัดพุทธปัญญา มรณภาพด้วย “โควิด”
พระสงฆ์วัดพุทธปัญญามรณภาพด้วย “โควิด”
แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ข่าวเศร้าชาวพุทธ “หลวงพ่อเกาหลี” พระสงฆ์อาวุโสของวัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า มรณภาพแล้วเมื่อเช้าวันที่ 21 มกราคม จากสาเหตุ “โควิด-19”
เมื่อบ่ายวันที่ 21 มกราคม 2021 ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา ได้จัดรายการธรรมะหลายมิติ เผยแพร่สดทางเฟสบุ๊กของวัดพุทธปัญญา เพื่อเล่าเรื่องการมรณภาพของ หลวงพ่ออมโรญาโณ พระอาวุโสเชื้อสายเกาหลีใต้ ที่เป็นพระลูกวัดมาตั้งแต่สมัยสร้างวัดใหม่ๆ เมื่อกว่า 11 ปีที่ผ่านมา โดยท่านได้มรณภาพ ณ โรงพยาบาลโพโมน่า แวลเล่ย์ ในช่วงเช้าวันเดียวกัน (06.05 น.)
โดยดร.พระมหาจรรยา เล่าว่าหลวงพ่ออมโรญาโณ หรือที่ญาติโยมเรียกขานว่า “หลวงพ่อเกาหลี” ซึ่งมีอาการท้องร่วงรุนแรงในวันที่ 9 มกราคม ต้องเข้าห้องน้ำมากกว่า 20 ครั้ง และล้มลงขณะเป่าใบไม้ทำความสะอาดบริเวณวัดในช่วงก่อนเพลเล็กน้อย แต่ยังมีสติดี ญาติโยมจึงประคองไปพักในกุฎิ และพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโพโมน่า แวลเล่ย์ ในเวลาต่อมา โดยเบื้องต้นแพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการขาดเกลือแร่ และให้ยามารับประทานที่วัด
2-3 วันต่อมา อาการของหลวงพ่อเกาหลียังไม่ดีขึ้น... -
"เต่ากับปลา" (หลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
.
"เต่ากับปลา"
" .. "มรรคผลนิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้" ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง
มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา "สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน" ยกตัวอย่างเช่น "เต่ากับปลา" เต่าอยู่ได้สองโลกคือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียวคือในน้ำ ขืนมาบนบกก็ตายหมด
วันหนึ่ง "เต่าลงไปในน้ำแล้ว ก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง" ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า ..
- บนบกนั้นลึกมากไหมเต่า .. มันจะลึกอะไร ก็มันบก
- เอ บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม .. มันจะคลื่นอะไร ก็มันบก
- เอ บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม .. มันจะมีอะไร ก็มันบก
"ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม" เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ "จิตปุถุชนที่เดามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา" .. "
"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล -
กรรมทั้งปวงของแต่ละคน... (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
กรรมทั้งปวงของแต่ละคน... ย่อมเป็นไปตามอำนาจแห่งจิตใจ
อันการประกอบกระทำกรรมทั้งปวงของแต่ละคน
ย่อมเป็นไปตามอำนาจใจ
ดังที่ท่านกล่าวใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ
แต่ใจนั้นก็เป็นไปตามพลังสอง
พลังหนึ่งเป็นพลังของกิเลส โลภ โกรธ หลง
อีกหลังหนึ่งเป็นพลังของเหตุผล
พลังของกิเลสเป็นพลังที่ทำให้มืดมัว
เป็นความโฉดเขลาเบาปัญญา
พลังของเหตุผล เป็นพลังที่ทำให้แจ่มใสสว่าง
เป็นความมีปัญญาเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง
ถ้าใจตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสมาก
ก็มืดมัวมาก เบาปัญญามาก
ถ้าใจมีพลังเหตุผลมาก
ก็มีความสว่างแจ่มใสมาก ปัญญามาก
สติที่เข้มแข็ง ตั้งมั่น สามารถชนะความคิดที่จะก่อกรรมไม่ดีได้
อย่างไรก็ตาม สติ มีความสำคัญที่สุด
สติมีหน้าที่ตัดสินว่าจะให้กิเลสชนะเหตุผล
หรือจะให้เหตุผลชนะกิเลส
ถ้าสติอ่อน ไม่ตั้งมั่นอยู่
ก็จะยอมให้กิเลสชนะเหตุผล
คือ กิเลสจะครองใจยิ่งกว่าเหตุผล
ชื่อว่าเชื่อกิเลสยิ่งกว่าเชื่อเหตุผล
ถ้าสติเข้มแข็งตั้งมั่นอยู่
ก็จะไม่ยอมให้กิเลสชนะเหตุผล
คือ... -
การทำสิ่งใดต้องรู้จัดอดทนและพากเพียรจึงจะสำเร็จ
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้อะไรต่อมิอะไรง่ายขึ้นมาก สมัยอาตมาใช้คอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ ช่วงนั้นเป็นเวิร์ดจุฬา ถ่ายข้อมูลแค่ไม่กี่เมกะไบต์นี่รอกันครึ่งค่อนวัน สมัยนี้ถ่ายข้อมูลกันทีหนึ่งหลาย ๆ สิบกิ๊กกะไบต์ แค่ไม่กี่นาที ซึ่งสมัยก่อนถ้าข้อมูลระดับกิ๊กกะไบต์นี่นอนรอไปได้เลย ๓ ชั่วโมงไม่เสร็จแน่นอน ด้วยความที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น กำลังใจของเราก็เลยพลอยมักง่ายขึ้น
คำว่ามักง่ายขึ้นในที่นี้ก็คือ ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ความจริงแล้วเป็นการสั่งสม ศีล สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคน ทีละเล็กทีละน้อย เก็บสะสมไป จนกระทั่งเพียงพอต่อการใช้งาน เหมือนที่โบราณท่านบอกว่า เหมือนเก็บงาทีละเมล็ด นานไปก็มีเมล็ดงามากพอที่จะคั้นเอาน้ำมันไปใช้การได้
แต่พวกเราใจร้อนตามยุคตามสมัย ไม่ค่อยจะมีความอดทน ก็เลยทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ใจร้อนใจเร็วเกินไป หลายคนมาถามเรื่องการฝึกกสิณว่า ผมภาวนาจับภาพพระนานเป็นชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย อาตมาบอกว่าให้กลับไปอ่านตำราใหม่
ตำราเขาเขียนว่าการฝึกกสิณนั้น เมื่อได้วัตถุที่เป็นองค์กสิณมาแล้ว... -
ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เหมือนเรามีวันนี้วันเดียว
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทำไมความรู้สึกนี้ถึงเกิดขึ้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เกิดขึ้นอย่างไร นึกออกไหม ?
ถาม : ไม่แน่ใจค่ะ เกิดจากการทำสมาธิ หรือเกิดจากความคิดเรา ?
ตอบ : ถ้าเกิดจากการทำสมาธิ แสดงว่าเราวางกำลังใจผิด บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน เหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ฉะนั้น...ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อถึงเวลาเราจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ไม่ใช่ไม่อยากทำอะไรเลย หากแต่เวลาเราเหลือน้อยจึงต้องทำทุกอย่างอย่างเต็มสติกำลังของเรา อยู่ก็ให้คนเขาเกรงใจ ไปก็ให้คนเขาคิดถึง
ถาม : คนที่มีความเครียด สามารถทำจิตใจ....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เกี่ยวกัน ความเครียดเป็นสภาพของร่างกาย การปฏิบัติเป็นสภาพของจิตใจ คนละส่วนกัน ถ้าหากจิตใจผ่อนคลาย ร่างกายก็หายเครียดไปเอง
ถาม : เวลาที่เกิดความเศร้า...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรก็ตาม ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา ไม่อย่างนั้นแล้วก็มีแต่พาให้ฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ยินดีอยากมีอยากได้ ก็จะไปห่วงหาอาลัย หรือไม่ก็โกรธเกลียดไปเลย
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.... -
"จิตนี้เป็นธรรมธาตุได้ด้วยกัน" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"จิตนี้เป็นธรรมธาตุได้ด้วยกัน"
" .. "จิตของเรานี้สามารถจะเป็นธรรมธาตุได้ด้วยกัน" เพราะไม่เคยสูญ แต่เวลานี้ถูกครอบงำอยู่ด้วยบาปด้วยกรรมด้วยกิเลสตัณหา เอากิเลสนี่พูดก่อน มันจึงพาให้วกเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้ตลอด "ให้พากันสร้างความดีซึ่งเป็นการชำระล้างความชั่วทั้งหลาย" แล้วดัดกายวาจาใจของตนให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ดีตามทางของศาสดา
โอวาทคำสั่งสอนของท่านอย่าฝ่าอย่าฝืน "คำสอนนั้นคือองค์ศาสดาและพระวินัย" เช่น ศีลก็คือองค์ศาสดา ธรรมก็คือองค์ศาสดา ให้ปฏิบัติตามแนวทางของศาสดา "เราจะมีศาสดาติดจิตติดใจเราไป" ด้วยการ "ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา"
"มีศาสดาติดตัวไป ความแคล้วคลาดปลอดภัยก็มีประจำใจเรา" จากนั้นไปก็ก้าว ๆ ขึ้นถึงธรรมธาตุด้วยกัน พอถึงนั้นแล้วสิ้นสมมุติ "เรียกว่า นิพพานเที่ยง คือธรรมธาตุอันนี้เอง" ให้พากันจำเอาไว้ .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2970&CatID=2 -
“ใจมนุษย์ ยากแท้หยั่งถึง” (หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก)
น้ำมหาสมุทรถึงจะลึกขนาดไหน เขาก็มีเครื่องวัดลงไปว่ามันลึกขนาดไหน เขายังวัดได้ แต่ใจของมนุษย์มันวัดไม่ได้นะ ไม่รู้จะลึกขนาดไหน มันลึกกว่าน้ำมหาสมุทรทะเลอีก มันไม่ใช่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ถ้าลิงตัวไหนอยู่ในวัดของหลวงพ่อนี่ ถ้ามันแพ้แล้ว มันแพ้ ยอมแพ้ตลอดเลยนะ แต่มนุษย์นี้ไม่ใช่นะ ถึงจะยอมแพ้ก็เถอะ ต่อหน้าแล้ว ครับผม ครับผม ค่ะ แต่ลับหลังขึ้นมา เผลอเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะว่ามนุษย์นี้ไม่ใช่ธรรมดานะ เพราะว่าใจของมนุษย์ หยั่งไม่ถึง
พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้แล้ว สมัยหนึ่ง ท่านได้ไปฉันที่กรุงราชคฤห์ นายเปสสะ เป็นนายหัตถาจารย์ เป็นผู้ฝึกหัดช้าง ทีนี้เห็นพระสงฆ์ทั้งหลายมานั่งกับพระพุทธเจ้าตั้ง ๔๐๐-๕๐๐ รูป นายหัตถาจารย์เห็น โอ้... พระพุทธเจ้า สอนอย่างไรหนอ สอนพระสงฆ์ ทำไมอยู่ในความสงบ อยู่ในความเรียบร้อยถึงขนาดนี้
พระพุทธองค์ทรงบอกว่า เราสอนด้วยศีลและวินัย คือกฎระเบียบ พระสงฆ์จึงอยู่ในความเรียบร้อย
เมื่อนายหัตถาจารย์ถามเรา เราก็จะถามนายหัตถาจารย์ นายหัตถาจารย์ฝึกหัดช้างฝึกหัดอย่างไร ช้างเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่รู้ภาษาอีกต่างหาก
นายหัตถาจารย์ บอกว่า การฝึกหัดช้าง ถึงจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน... -
ผู้ตกกระแสธรรม ( ตั้งแต่พระโสดาฯขึ้นไป)
ผู้ตกกระแสธรรม ( ตั้งแต่พระโสดาฯขึ้นไป) -
การตั้งอารมณ์ก่อนตาย...'พระพุทธเจ้าจึงสอนให้จิตจับอยู่จุดใดจุดหนึ่ง' : หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาธรรม
การตั้งอารมณ์ก่อนตาย...'พระพุทธเจ้าจึงสอนให้จิตจับอยู่จุดใดจุดหนึ่ง' : หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาธรรม
วันจันทร์ ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564, 19.35 น.
"การตั้งอารมณ์ก่อนตาย..." คัดลอกจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๑-๑๐๔ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) อ่าน อาการของคนที่ใกล้จะตาย : หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ ถ้าจิตเราจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์นี่นะคะ แล้วเวลาจะตายเราจะมีสติไหมคะ?”
หลวงพ่อ : “อ้าว…ถ้าเราจับเป็นอารมณ์ เวลานั้นมีสตินี่ เพราะเวลานั้นอารมณ์มันสูงจัด การจับพระนิพพานนี่ท่านเรียก อุปสมานุสสติกรรมฐาน ถ้าจับเป็นอารมณ์ ถ้าเวลาเริ่มป่วยเอาจิตจับไว้เลยนะ ทีนี้ในช่วงกลางระหว่างป่วย มันจะดิ้นตูมตามอย่างไรก็ตาม จิตมันจะไม่ปล่อย
มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านใช้อารมณ์แบบนี้นะ แล้วต่อมาท่านเป็นโรคกระเพาะ ท่านดิ้นถึงกับทะลึ่งพรวดๆ ก็เข้าไปหาท่าน พอจับตัวท่านปั๊บท่านก็หยุด พอเผลอหน่อยเดียวเอาอีกแล้ว แล้วก็สักครู่หนึ่ง ท่านก็หยุดดิ้น ไม่ใช่ดิ้นนะ ถึงกับโดดเลยนะ แน่น ตอนนั้นพอโดดแล้วก็เงียบ เงียบ รู้สึกสบาย...
หน้า 130 ของ 403