คลังเรื่องเด่น
-
จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ที่ปราศจาคอคติ ๔
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีฝนพรำลงมาซ้ำให้ร้อนยิ่งขึ้น ก็คือบ้านเราส่วนใหญ่แล้วอากาศชื้น ทำให้ร่างกายเราระบายความร้อนไม่ออก แล้วก็มักจะกลายเป็นเหงื่อท่วมตัว ถ้าที่ไหนอากาศแห้ง ร่างกายโดนดึงความชื้นไปเร็ว เราก็จะรู้สึกหนาว
แต่คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างที่ได้บอกกล่าวไปตอนก่อนทำวัตรค่ำรอบแรกว่า ถ้าเราทำใจให้ยอมรับไม่ได้ เราก็จะมีความทุกข์มาก เพราะว่าไปดิ้นรน ต่อต้าน ผลักไส แต่ถ้าเราทำใจยอมรับได้ ก็แก้ไขกันไปตามสถานการณ์
การยอมรับในที่นี้เป็นการยอมรับอย่างบุคคลที่มีปัญญา ก็คือได้แก้ไขทุกวิถีทางแล้ว ไม่สามารถจะแก้ได้เราถึงได้ยอมรับสภาพ ไม่ใช่ว่ายังมีหนทางอยู่แล้วเราไม่ทำอะไรเลย โดยที่บอกว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าแบบนั้นก็ถือว่าขาดปัญญา เพราะว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกส่วนลงท้ายด้วยปัญญา
ใหญ่ ๆ เลยคือหลักไตรสิกขา "ศีล สมาธิ ปัญญา" ปัญญาในที่นี้เป็นปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งปัญญาทั้งสองส่วนนี้ความจริงไปด้วยกันได้ เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะหาจุดพอเหมาะพอดีไม่พบ... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ -
ศรัทธาต้องประกอบไปด้วยปัญญาจึงจะดี
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางออกจากที่พักตั้งแต่ประมาณตี ๓ ครึ่ง ผ่านอำเภอแม่ริม อำเภอเชียงดาว ขึ้นไปยังอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบริเวณนั้นอยู่ในเขตบ้านม่วงชุม ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว บริเวณนั้นก็มีวัดใหญ่ ๆ โต ๆ หลายต่อหลายวัดด้วยกัน ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือวัดม่วงชุม
แต่คราวนี้เมื่อญาติโยมมีจิตศรัทธาถวายที่ดินเอาไว้บริเวณนั้น ท่านปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านก็ต้องรับศรัทธาญาติโยมไปเพื่อทำการบริหาร ในลักษณะของการจัดสร้างขึ้นมาเป็นที่พักสงฆ์ก่อน โดยที่กระผม/อาตมภาพสนับสนุนกุฏิเจ้าอาวาสให้ ๑ หลัง
วันนี้ในขณะที่เดินทางไปถึงนั้น ก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่แล้ว เหตุเพราะว่าช่วงสามวันที่ผ่านมาพักผ่อนไม่พอ ทำให้ไข้มาลาเรียกำเริบ ถึงขนาดร่างกายแทบจะรับไม่ไหว ท่อปัสสาวะอักเสบ เวลาปัสสาวะรู้สึกเหมือนอย่างกับเป็นน้ำร้อนเลย ต้องฉันยาระงับอาการเป็นระยะ ๆ ไป แต่ก็ต้องไปทำตามหน้าที่
ขณะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น ก็มีรถตู้สายบ้านโป่งวิ่งแซงหน้าไป... -
"เก็บบุญมากิน" (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
.
"เก็บบุญมากิน"
" .. "บำเพ็ญทาน" เปรียบเหมือนกินข้าว "บำเพ็ญศีล" เปรียบเหมือนกินของหวาน "บำเพ็ญภาวนา" เปรียบเหมือนกินน้ำ "การเจริญภาวนา" เรียกว่า "เก็บบุญมากิน" ถ้าเราไม่เก็บมากิน มันจะเน่าเสียหมด ถ้าไม่กลืนเข้าไปในหัวอกหัวใจมันก็ไม่อิ่ม
- "ตา" ได้เห็นครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์
- "หู" ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม
- "จมูก" ได้กลิ่นธูปเทียนดอกไม้
- "ปาก" ได้สวดมนต์
- "ใจ" ได้เจริญเมตตาภาวนา
"บุญกุศล จะไหลเข้าดวงจิตดวงใจ" .. "
"ธรรมเทศนา" ณ วัดป่าคลองคู้ จังหวัดลพบุรี
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) ๒๕ สิงหาคม ๒๔๙๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๖ -
ทำดีกับพ่อแม่เข้าไว้ กุศลจะส่งผลในชาตินี้
คนที่เป็นพ่อแม่ พอยิ่งอายุมาก จิตใจจะยิ่งยึดเกาะลูกเป็นที่พึ่ง ถ้าลูกทำอะไรเป็นที่ถูกใจพ่อแม่ก็จะยิ่งปลื้มใจ เพราะฉะนั้น..ทำดีกับพ่อแม่ให้มาก ๆ เข้าไว้ กุศลนี้มักจะส่งผลให้เราในชาติปัจจุบันนี้แหละ
.....................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๖ -
ภัยของพระพุทธศาสนา
ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนก่อนที่จะสมาทานพระกรรมฐานว่า ภัยคุกคามของพุทธศาสนาของเรานั้น ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาทุกที ถ้าเรายังประมาทอยู่ พระพุทธศาสนาที่เรารักอาจจะไม่เหลืออะไรไว้เลย
ซึ่งตรงจุดนี้ วิธีการที่จะแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ พุทธบริษัท ๔ ซึ่งเป็นองค์กรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งเอาไว้ ประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ซึ่งถ้าแบ่งแยกออกไปแล้วก็เป็นฝ่ายอนาคาริก คือผู้ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุรวมสามเณรด้วย ภิกษุณีนับรวมแม่ชีเข้าไปด้วย อุบาสกอุบาสิกาคือฆราวาสชายหญิงที่คอยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในส่วนของฆราวาสชายหญิงนั้นเป็นอาคาริก คือผู้ครองเรือน มีครอบครัว ทำมาหากินตามปกติ เมื่อมีส่วนเหลือจากการกินการใช้แล้ว ก็นำมาเจือจุนฝ่ายอนาคาริกคือภิกษุภิกษุณี ซึ่งไม่มีการทำมาหากิน ไม่มีอาชีพ
เมื่อฝ่ายภิกษุภิกษุณีได้รับการอุดหนุนด้วยปัจจัย ๔ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนัก อาศัยที่มีเวลามากกว่าเพราะว่าไม่ได้ทำมาหากิน ก็เร่งรัดในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริง เมื่อบุคคลที่เข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริงมาบอกทางให้เราเดิน ก็จะเป็นทางที่ง่ายที่สุด... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๖ -
เมตตามหานิยม ต้องปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น
โอวาทบางส่วนจากรายการเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖
..กระผม/อาตมาภาพเห็นแล้วรู้สึกท้อใจ พุทธศาสนิกชนของเรามักง่ายมาก ต้องการวัตถุมงคลที่เป็นเมตตามหานิยม ต้องการวัตถุมงคลด้านลาภผล ต้องการวัตถุมงคลด้านเสริมดวง หลายท่านพอดวงไม่ดีก็ยังไปเปลี่ยนชื่ออีกด้วย
ทำไมถึงได้กล่าวว่ามักง่าย ? ก็เพราะว่าถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะเสริมดวง ต้องการความดีแท้จริง ๆ ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น จะเห็นผลเร็วที่สุดและถาวรด้วย ก็คือท่านจะดีแล้วก็ดียาวไปเลย แต่เรื่องพวกนี้ในสายตาของเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็คือทำยาก สู้มักง่ายด้วยการไปหาวัตถุมงคลไม่ได้ หรือว่าเปลี่ยนชื่อเลย..ง่ายดี..!
เรื่องของวัตถุมงคลส่วนใหญ่แล้ว ตั้งแต่โบราณมาท่านสร้างเอาไว้เพื่อเป็นอนุสติ คือการระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ ก็คือพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ได้แบบง่าย ๆ เพราะว่าผู้รับไปไม่ทราบว่านั่นคือกรรมฐาน จึงไม่เครียด ในเมื่อบอกข้อห้ามไปก็ตั้งใจละเว้น อย่างเช่นว่าห้ามด่าแม่ นั่นก็คือศีล เพราะว่าสามารถปฏิบัติตามข้อห้ามได้ แล้วถ้ามีคาถากำกับ นั่นก็คือการสอนในสมาธิภาวนา
แต่ในปัจจุบันนี้... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๖ -
จิตกับวิญญาณ
กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อระบายความอัดอั้นในใจนะครับ ไม่ได้เน้นเนื้อหาสาระอะไร
ไม่นานมานี้ได้มีโอกาสนั่งคุยกับผู้ทรงศีลสายนักปราชญ์ท่านนึง เรื่องขันธุ์ 5
ท่านว่าขันธุ์ 5 ประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณหรือจิต...
เรานั่งฟังอยู๋เราก็แย้งว่า วิญญาณเป็นอรูปธาตุประกอบอยู่ในขันธุ์ไม่ใช่จิต
ท่านก็ว่า จิต และวิญญาณ เป็นไวพจน์ของกันและกัน เป็นคำศัพท์ที่สามารถใช้แทนกันได้ ดังนั้นจิต ก็คือวิญญาณ วิญญาณก็คือจิตนั่นเอง
เราก็สวนไปอีกว่า จิตนั้นมาอาศัยในกาย ติดต่อกับโลกภายนอกผ่านวิญญาณธาตุ เมื่อกายสังขารดับ วิญญาณธาตุก็สลายตามกาย ส่วนจิตนั้นก็ไปตามบุญตามกรรม
ท่านก็สวนกลับมาว่าที่ไปเกิดหรือมาเกิดนั้นคือสัตว์ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาณ ทีนี้งงหนักเลย อิหยังวะ
คือผมไม่ใช่คนที่ศึกษาธรรมะเยอะนะครับ ไปหาข้อมูลเฉพาะที่สงสัยเฉยๆ ตรงไหนไม่สงสัยก็ไม่ได้ขวนขวายอะไร แล้วก็ไม่ได้รู้ด้วยว่าสายนักปราชญ์เขาศึกษาอะไรกันบ้าง
แต่ส่วนตัวลึกๆก็สำนึกอยู่ว่ารู้น้อยกว่า ก็เลยนั่งฟังต่อแบบงงๆไปเรื่อยๆ
จากนั้นท่านก็ยกตัวอย่างการทำงานของจิตหรือวิญญาณในกายว่า เมื่อรูปมากระทบตา จิตก็จะวิ่งไปที่ตาเพื่อรับรูป... -
กิเลสมีอยู่ในตัวเราทุกคน แค่อย่าไปคิดปรุงแต่งต่อ
กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายนี้ ทุกคนมีอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่ง กิเลสก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายแก่เรา ได้
กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบมานักต่อนักแล้วว่า เหมือนกับเราลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ก็ไม่มีใครอยากที่จะกิน แต่เราเปลี่ยนจากน้ำเปล่าไปเป็นน้ำซุป มีการใส่หมูสับ ใส่ตังฉ่าย ใส่ต้นหอมสับ ใส่กุ้งแห้ง ใส่ถั่วลิสงป่น ใส่พริกป่น ใส่น้ำตาล ใส่น้ำปลา ใส่น้ำส้มสายชู ยิ่งปรุงก็ยิ่งอร่อย เมื่ออร่อยเรากินแล้วก็อยากกินอีก
ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่มีการปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็ไม่มีรสชาติ เราเองก็จะเบื่อหน่าย ถอนจิตออกมาเองโดยอัตโนมัติ การที่เราจะไม่ปรุงแต่งก็คือ หยุดการคิดให้ได้ เพราะว่าคิดเมื่อไรก็ปรุงแต่งเมื่อนั้น
การที่เราจะหยุดความคิดได้ ในเบื้องต้นก็คือต้องอยู่กับปัจจุบัน เพราะว่าความคิดของเรานั้น ถ้าไม่ไปในอดีตก็จะไปในอนาคต ก็จะไปยึดติดห่วงหาอาลัยกับอดีต หรือไม่ก็จะไปยึดติดด้วยการฝันเฟื่องถึงอนาคต เราต้องอยู่กับปัจจุบันด้วยสติรู้ตัวสมบูรณ์พร้อม ก็จะสามารถหยุดการปรุงแต่งทั้งปวงลงได้
การที่เราจะมีสติ อยู่กับปัจจุบันตรงหน้าได้... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๖ -
"สถานที่สร้างกรรม" (หลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญฺโญ)
.
"สถานที่สร้างกรรม"
" .. "โลกมนุษย์นี้เป็นสถานที่สร้างกรรม" โดยเฉพาะ คนที่เกิดมาในโลกนี้มีการสร้างกรรมกันหมดทุกคน "พระพุทธเจ้าสร้างบารมี ก็มาสร้างในโลกมนุษย์" บารมีที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ก็เต็มอยู่ในโลกมนุษย์นี้ มีดวงตาเห็นธรรม มีสติปัญญาละอาสวกิเลส ตัณหา ก็ละกันในโลกมนุษย์นี้
หรือ "พระอรหันต์อริยสาวกก็เช่นเดียวกัน ก็ได้มาบำเพ็ญบารมีอยู่ในโลกมนุษย์นี้" จนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ได้บรรลุธรรมในโลกมนุษย์นี้ "หรือผู้จะไปตกนรกอเวจี ไปเกิดเป็นเปรต เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นอสุรกาย ก็ทำกรรมชั่วอยู่ในโลกมนุษย์นี้เช่นกัน" .. "
ฉะนั้น "โลกมนุษย์จึงเป็นศูนย์กลางเป็นต้นทางของจิตวิญญาณที่จะไปท่องเที่ยวในวัฏจักรอื่นต่อไป" หรือเหมือนกับท่าอากาศยาน ใครต้องการไปเที่ยวที่ไหนประเทศใด ก็ตีตั๋วไปสายการบินนั้นๆ นี้ ฉันใด "ใครอยากจะไปสู่ภพไหนชาติใด ก็สร้างกรรมประเภทนั้น ๆ ผลของกรรมจะเป็นเครื่องบินพาท่านไปเอง" .. "
"โลกมนุษย์เป็นสถานที่สร้างกรรม"
หลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญฺโญ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๖ -
"เวรนี้เป็นของน่ากลัวที่สุด" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"เวรนี้เป็นของน่ากลัวที่สุด"
" .. เมื่อพูดถึงกรรมแล้ว จะต้องพูดถึงเวรด้วยจึงจะเข้าใจดี "กรรม คือ การกระทำของบุคคล ด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจในทางดีและไม่ดี เรียกว่า กรรม" กรรมนี้เมื่อบุคคลทำลงไปแล้ว "ย่อมให้ผลตามมาไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป" ดังได้อธิบายแล้ว และไม่จำเป็นที่ผู้นั้นหรือสิ่งนั้น ๆ จะต้องมาให้ผลกรรมที่ทำไว้
ตัวอย่างเช่น "นายแดงไปดักสัตว์ในป่า มีอีเก้งตัวหนึ่งมาติดบ่วงแล้วตาย" นายแดงเลยไปเอามากิน นายแดงนั้นผู้ทำกรรมแล้ว เพราะไปดักอีเกิ้ง อีเก้งจึงตาย
"กรรมนั้นตามทันให้นายแดงได้รับกรรม" คือดักบ่วงให้นายแดงมาถูกบ่วง อย่างนายแดงทำให้แก่อีเก้งตัวนั้น อาจเป็นเรื่องอื่น เป็นต้นว่า "เกิดมาอายุสั้นตายเร็ว หรือตายเพราะตกต้นไม้" หรือตกบันได ฟ้าฝ่า ควายขวิด ตกหลุมตกบ่อก็ได้ "อันนี้เรียกว่า กรรม"
"เวร นั้นต้องมีจิตมุ่งมั่นอาฆาต" ปรารถนามุ่งร้ายต่อกันและกันด้วยเหตุขัดเคืองเคียดแค้นต่อกันอย่างใดอย่างหนึ่ง "แล้วผูกอาฆาตจองเวรกัน" เช่น นายเหม็นไปทำร้ายร่างกายแก่นายหอม โดยที่นายหอมไม่ได้ทำอะไรให้แก่นายเหม็นเลย นายหอมต่อว่านายเหม็น นายเหม็นเลยโกรธเอานายหอม... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๖ -
วิธีแก้อารมณ์กำหนัด
ถาม : เมื่อก่อนสังเกตอารมณ์ตัวเอง อย่างเวลามีความกำหนัดเกิดขึ้น จะมีอยู่สองอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือ พยายามที่จะทำตามความรู้สึกนั้น กับพยายามที่จะให้ความรู้สึกนั้นหายไป ทีนี้เกิดมีอีกอารมณ์หนึ่งเกิดขึ้นเข้ามา ก็คือ รู้สึกว่าความกำหนัดเกิดขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้หายไป และก็ไม่ได้อยากจะทำตาม ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของสังขารุเปกขาญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : อันหลังนี่เป็นอารมณ์ที่ถูกต้องกว่า เพราะว่าสภาพร่างกายของเราถ้ายังดีอยู่ เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ จะแรงเป็นปกติ แต่จะแรงก็แรงไป เราไม่ให้ความใส่ใจ ไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งจินตนาการ ก็จะอยู่ได้ไม่นาน แล้วก็จะหายไปเอง
เพราะฉะนั้น..เราทำตัวเป็นคนดู พอถึงเวลามีตัวละครขึ้นเวทีมา เราก็ดูไปเรื่อย พอเล่นครบบทเดี๋ยวมันก็ลงเวทีไปเอง ถ้ายิ่งสติ สมาธิ ปัญญาของเราเข้มข้น แหลมคม ว่องไวมากเท่าไร ระยะเวลาที่จะอยู่ได้ก็สั้นลงเท่านั้น และท้ายสุดถ้าหากว่าไวจริง ๆ ก็จะตัดตั้งแต่เหตุเลย แล้วมันจะเกิดไม่ได้ ถ้าถึงตอนนั้นคุณสบายแล้ว
อย่างเช่นมองไปจะสักแต่เห็นว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์เท่านั้น จะไม่มีการคิดต่อว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สวยหรือไม่สวย ชอบหรือไม่ชอบ... -
สู้ขณะเป็นพระกับ สู้ขณะเป็นฆราวาส อย่างไหนง่ายกว่ากัน ?
สู้ขณะเป็นพระกับ สู้ขณะเป็นฆราวาส อย่างไหนง่ายกว่ากัน ?
ถาม : สู้ขณะเป็นพระกับสู้ขณะเป็นฆราวาส อย่างไหนง่ายกว่ากัน ?
ตอบ : ขณะเป็นพระได้เปรียบกว่าเยอะ เพราะถูกจำกัดเขตอยู่ด้วยศีล ถ้าหากประเภทไม่หน้าด้านหน้าทนจริง ๆ ชั่วอย่างไรก็ไม่หลุดไปจากกรอบของศีลหรอก
ถาม : ผมว่าเป็นฆราวาส มีเรื่องกวนใจทุกวัน ?
ตอบ : ชีวิตฆราวาส เหมือนกับว่าเราถูกปล่อยไว้ในป่ากับเสือตัวหนึ่ง บางครั้งเดินทั้งปีก็ไม่เจอเสือตัวนั้นหรอก แต่ชีวิตของพระ เขายัดเราเข้ากรงไปอยู่กับเสือตัวนั้น ก็เลยฟัดกันอยู่ทุกวันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
ถาม : เราว่าเราใจเย็น แบบไม่มีใครเหมือน พอเก็บเงินได้สักก้อน ก็จะไปปฏิบัติ ไม่รู้ตอนนั้นจะไหวหรือเปล่า ?
ตอบ : ระวังเอาไว้...ประเภทอีกเดี๋ยวหนึ่งค่อยไปก็ได้ เดี๋ยวตายเสียก่อนไม่ได้ทำหรอก หรือไม่ก็คลานไม่ไหวแล้ว แก่เกินแกง
พวกเรายังได้เปรียบ คือ คิดมุ่งไปทางปฏิบัติดีอย่างนี้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก ใช้คำว่ายังไม่มาก เพราะว่าถ้าคนทุกข์มาก ๆ อยู่มาขนาดนี้ เหลือจะเข็นแล้ว เพราะฉะนั้น..มัวแต่ไปประมาทอยู่ว่าเรายังไหว เดี๋ยวเสร็จ..ตายเสียก่อนก็หมดโอกาสเลย
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก... -
"ปัญญาแท้ แก้กิเลส " (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"ปัญญาแท้ แก้กิเลส"
" .. นี่เคยพูดเสมอเรื่องสติปัญญาที่จะแก้กิเลสนี้ "เป็นสติปัญญาที่ผลิตขึ้นโดยธรรม" โดยตรงทีเดียว สิ่งที่เราคิดทางโลก ๆ ที่จะนำมาใช้นั้นได้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่พ้นที่กิเลสจะคว้าเอาไปเป็นเครื่องมือของมันจนได้แหละ "จึงต้องสติปัญญาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติของตนนี้เท่านั้น"
สรุปลงแล้ว "คือสติปัญญาในวงจิตตภาวนานี้เท่านั้น" เป็นที่จะล้างป่าช้าภายในจิตใจออกให้หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ คือปัญญาประเภทนี้เท่านั้น ไม่มีปัญญาใดในสามแดนโลกธาตุนี้ที่จะสามารถถอดถอนกิเลสออกไปได้โดยลำดับลำดา
มีปัญญาที่กล่าวมา ๓ ประเภทนั้นแหละ ดังที่เคยพูดแล้ว ..
- "สุตมยปัญญา" การได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ เพื่อสติปัญญาเพื่ออุบายวิธีที่จะนำไปใช้ในการแก้กิเลสของตน
- "จินตามยปัญญา" คิดอ่านไตร่ตรองด้วยอุบายแยบคาย เพื่อจะแก้กิเลส
- "ภาวนามยปัญญา" นี้เป็นที่รวมแห่งปัญญาทั้งหลาย "นี่ละปัญญาแท้เครื่องมือแท้ที่จะแก้วัฏจักรออกภายในจิต มีปัญญานี้ประเภทเดียวเท่านั้น" รวมลงไปอยู่ประเภทนี้อย่างเดียว จำให้ดีผู้ปฏิบัติ .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖
หน้า 43 ของ 413