คลังเรื่องเด่น
-
ความสุขของพระอริยเจ้า
เมื่อทรงสมาธิในระดับนี้ได้แล้ว ถ้าเราเพิ่มปัญญาเข้าไปเพียงเล็กน้อยว่า ตัวเราเป็นโลกิยบุคคล ทรงแค่ระดับปฐมฌาน ยังมีความสุขความเยือกเย็นใจได้ขนาดนี้ แล้วบุคคลที่ทรงฌานที่ ๒ จะมีความสุขขนาดไหน ? เพราะว่าหนักแน่นมั่นคงกว่ามาก บุคคลที่ทรงฌานที่ ๓ จะมีความสุขขนาดไหน ? บุคคลที่ทรงฌานที่ ๔ จะมีความสุขขนาดไหน ?
แล้วบุคคลที่สามารถทรงฌานที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ซึ่งเป็นอรูปฌานได้ จะมีความสุขขนาดไหน ? เพราว่าความมั่นคงยิ่งมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระดับ อำนาจแค่โลกิยสมาธิขั้นต้นยังยิ่งใหญ่ขนาดสามารถประหัตประหารกิเลสให้สงบนิ่งลงได้ชั่วคราว เรายังมีความสุขขนาดนี้ แล้วพระโสดาบันจะมีความสุขขนาดไหน ?
อรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระโสดาบันนั้นมีความสุขยิ่งกว่าพระเจ้าจักรพรรดิที่เกิดมาแล้วไม่ต้องหวาดระแวงอะไร เพราะว่าในโลกไม่มีใครเป็นศัตรูกับพระองค์ท่าน ความสุขระดับนั้นของพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ได้เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน แล้วพระสกทาคามีที่แค่เวียนว่ายตายเกิดชาติเดียวจะมีความสุขขนาดไหน ? เห็นทางหลุดพ้นอยู่ตรงหน้าแล้ว
พระอนาคามีที่ไม่ต้องลงมาเกิดให้ทุกข์... -
"ความสำคัญของสติและกรรม" (สมด็จพระสังฆราชเจ้าฯ)
.
"ความสำคัญของสติและกรรม"
" .. "จงเห็นความสำคัญที่สุดของสติ" พยายามมีสติไว้ให้เสมอ คือพยายามอย่าให้ขาดสติ "อะไรเกิดขึ้นได้จะได้ไม่ยอมเป็นผู้แพ้กรรม" จะรู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบ "อะไรจะพาไปถูกก็รู้ อะไรจะพาไปผิดก็รู้" อะไรจะพาไปดีก็รู้ อะไรจะพาไปชั่วก็รู้
"ความมีสติรู้เช่นนี้สำคัญนัก" ให้มีสติจริง ให้รู้จริง "จะไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวร้ายรุนแรงของกรรม" กรรมที่ทุกคนได้ทำไว้มากมายด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่สั่งสมมานับพบนับชาติไม่ถ้วน
"อกุศลกรรมคือกรรมไม่ดี" ตามทันเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ "ที่จะบังคับบัญชาผู้ที่ได้ทำกรรมไม่ดีไว้ ให้ทำบาปทำชั่วต่าง ๆ นานา" อันจะฉุดกระชากลากถูไปสู่ห้วงเหวแห่งความชั่วร้าย ที่จะให้โทษทุกข์รุนแรงทั้งสิ้น .. "
"แสงส่องใจ" ส.ค.ส. ๒๕๔๙
สมด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10712 -
ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก ให้ก้นบ่อนิ่งอยู่เสมอ
ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก เปลือกนอกของเราเหมือนกับน้ำปากบ่อ กระเพื่อมไปตามแรงลมแรงอะไรต่าง ๆ แต่ว่าก้นบ่อให้นิ่งอยู่เสมอ ถ้าทำได้อย่างนั้นแล้วจะสบาย
สังเกตดูสิท่านที่ทำได้ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหน ท่านจะมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรเข้ามา ท่านจะสามารถแยกแยะออกได้อย่างสะดวกและง่าย ในเมื่อนิ่งก็สามารถสะท้อนได้อย่างแจ่มชัด เหมือนกับน้ำจริง ๆ
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
ผู้ใหญ่ คือ บุคคลที่ดูแลตัวเองได้ เมื่อพบเจอปัญหาสามารถแก้ไขด้วยตนเองได้
เด็กวัยรุ่น เมื่อไร ๆ ก็คือวัยรุ่น ค่อนข้างจะอิสระและกบฏต่อครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา อันนี้ต้องบอกว่าเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในสายเลือด พอถึงเวลาแล้วต้องแตกครอบครัวออกไป เพื่อเป็นการกระจายสายพันธุ์ของตนเอง ในเมื่อเป็นสัญชาตญาณ พอถึงเวลา พ่อแม่กับลูกก็จะกัดกันตลอด เพียงแต่ว่าคนเราพอถึงระดับหนึ่งจะมีพัฒนาการ รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ก็ปรับได้ แต่บรรดาสัตว์ต่าง ๆ เขาปรับตรงนี้ไม่ได้ พอวัยรุ่นปุ๊บ แม่ก็ไล่กัดให้ไปหากินเอง
จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราต้องชี้แจงให้เขาทราบ เพราะว่าเด็กวัยรุ่นมักจะคิดว่าตัวเองโตแล้ว แต่พ่อแม่ยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่ เราต้องชี้แจงให้เขาทราบว่าผู้ใหญ่คืออะไร ผู้ใหญ่คือบุคคลที่สามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้ ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ มีปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไขด้วยตนเองได้
ถ้าอะไรเกิดขึ้นแล้วคิดถึงพ่อถึงแม่ไว้ก่อน รู้ไว้เลยว่ายังไม่โต เพราะฉะนั้น..ตัวใหญ่แค่ไหนก็ยังไม่โต ก็ยังต้องเป็นเด็กต่อไป ยกเว้นว่าเราสามารถทำอะไรด้วยตนเอง ยืนหยัดด้วยตนเอง มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นสามารถแก้ไขด้วยตนเอง ทำมาหากินด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งใคร พ่อแม่ตายลงไปเดี๋ยวนั้น เราอยู่ได้... -
"เรียกว่า เป็นภิกษุแท้" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
.
"เรียกว่า เป็นภิกษุแท้"
" .. เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมด แล้วและได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว "ก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้" แต่ยังเป็นได้ เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น "ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่ง ที่รกรุงรังทางใจ อันได้แก่อารมณ์ตกต่ำทางใจได้แล้ว" ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในภายในได้
ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อย เช่น เหา ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด "จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น" ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ควร "เรียกเอาว่า เป็นภิกษุแท้" .. "
"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -
วิธีอธิษฐานกับหลวงปู่ดู่ให้เกิดประโยชน์
วิธีอธิษฐานกับหลวงปู่ดู่ให้เกิดประโยชน์
#หลวงตาม้า #คาถาพระมหาจักรพรรดิ #หลวงตาม้าบรรยายธรรม #หลวงตาม้า #สวดจักรพรรดิ #จักรพรรดิ #หลวงปู่ดู่ #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ #ฟังธรรม #สอนสมาธิ #สวดมนต์ #ธรรมหลวงตา #สวดมนต์ #คาถาจักรพรรดิ #สวดคาถาจักรพรรดิ #หลวงตาม้าบรรยายธรรมล่าสุด #หลวงตาม้าล่าสุด #หลวงตาม้าบรรยายธรรม #คาถามหาจักรพรรดิ108จบ #วัดพุทธพรหมปัญโญ -
ธรรมบรรยาย "วิชากรรมฐาน สำหรับนิสิตบัณฑิตศึกษาระดับปริญญาโท"
ธรรมบรรยายวิชากรรมฐาน (ปริญญาโท) สำหรับนิสิตบัณฑิตศึกษาระดับปริญญาโท
วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๕.๐๐ น.
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี
พระวิปัสสนาจารย์ประจำกองวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการบริหารกองวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย
บรรยายวิชากรรมฐานแก่นิสิตบัณฑิตศึกษา (ระดับปริญญาโท) สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ รุ่นที่ ๑๕ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ณ ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
"ความทุกข์ของดวงจิต" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"ความทุกข์ของดวงจิต"
" .. บัดนี้ "อยากเห็นความทุกข์ของดวงจิต" ในเมื่อดวงจิตนี้ ได้รับความกระทบกระทั่งจากเรื่องภายนอกบ้าง กระทบกระทั่งจากร่างกายอันเป็นส่วนภายในนี้บ้าง "เมื่อจิตไม่รู้เท่าทัน มันก็จะหวั่นไหว" เสียใจบ้าง เศร้าบ้างโกรธบ้าง ขุ่นเคืองบ้าง
ถ้าว่าเป็นเช่นนี้ "ก็รู้ตัวได้เลยว่า จิตนี้เป็นทุกข์" ถ้าจิตเป็นอยู่อย่างนี้นะ มีแต่ทุกข์ มีแต่หวั่นไหว "หาความสงบไม่ได้เลย" จิตที่ยึดมั่นถือมั่นในอำนาจของกิเลสมีแต่ทุกข์
พูดง่าย ๆ "ถ้าจิตปล่อยวางกิเลสได้มีแต่สุข" เพราะว่า เมื่อจิตมันปล่อยวางกิเลสลงไปแล้วมันสงบ มันเย็น "ปล่อยวางความโกรธลงได้ ใจมันก็เย็นสบาย เวลามันโกรธอยู่นั่น ร้อนเหมือนไฟ"
ถ้าจิตปล่อยวางความหลงความไม่รู้ ความสงสัย ลังเลต่าง ๆ พวกนี้ "เมื่อจิตปล่อยวางลงไปแล้ว มันรู้ขึ้นมาแล้ว มันก็เย็นสบาย" .. "
"ธรรมโอวาทหลวงปู่เหรียญ"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
"ให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
.
"ให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน"
" .. พากันทำภาวนาไป วันหนึ่ง ๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป "ภาวนาไป" ชั่วโมงหรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด "อาศัยอบรมจิตใจของตน ทำมันไป" ขัดเกลาใจของตน ใจมันมีโลภะ โทสะ โมหะเข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง
"ธรรมชาติจิตเดิมแท้นั้น เป็นธรรมชาติผ่องใส ปภสฺสรมิตํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปฺกิเลเสหิ อุปฺกกิลิฏฺฐํ" ธรรมชาติจิตเดิมเป็นของเลื่อมประภัสสร เป็นของใสสะอาด แต่มันอาศัยอาคันตุกะกิเลสเข้าครอบงำย่ำยี ทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัวไป
เพราะฉะนั้น "ให้พากันทำ อย่าประมาท อย่าให้มันเสียชาติ" อย่าให้มันโศกเศร้าเป็นทุกข์ "มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ" ให้พากันทำ อย่าให้มันเสียไป "วันคืนเดือนปีล่วงไป ๆ อย่าให้มันล่วงไปเปล่า" ประโยชน์ภายนอกก็ทำ "ประโยชน์ของตนนั่นแหละมันสำคัญ" พระพุทธเจ้าว่า "ให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน" แล้วจึงค่อยทำประโยชน์อื่น .. "
"อนาลโยวาท" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
จัดพิมพ์โดย นพ.อวย – ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
นิมิตรในการปฏิบัติ
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพมีภารกิจในการเข้าอบรมตามโครงการ Upskill การสอนวิชาทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยดำเนินการ ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า "ทุกครั้งที่เข้า ก็ต้องมีประเด็นให้พูดถึงเสมอ"
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบางวิชาอย่างเช่นพระอภิธรรมปิฎก บุคคลที่เรียนแต่วิชาการนั้น โอกาสที่จะตีความให้ถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นบุคคลที่ผ่านการปฏิบัติมาอย่างโชกโชนเท่านั้น จึงจะสามารถตีความได้ถูกต้อง และระดับการตีความนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละท่าน ว่าท่านปฏิบัติไปถึงระดับไหน ยิ่งปฏิบัติในระดับสูงมาก ก็ตีความได้ลึกซึ้งมาก ปฏิบัติได้น้อยก็ตีความได้น้อย
ในวันนี้ผู้บรรยายได้อธิบายถึงนิมิต ๓ คือ บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต โดยที่ท่านใช้คำว่า ปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นอุปจารสมาธิ เป็นภาพติดตาเหมือนกับรูปถ่าย ตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพอยากที่จะแสดงความเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนในฐานะผู้ปฏิบัติในกสิณมาก่อน แต่ว่าทางเจ้าหน้าที่ไมได้เปิดไมค์ฯ ให้ ไม่สามารถที่จะแสดงความเห็นในระหว่างนั้นได้... -
"ภาวนาค้นหาจิต" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ภาวนาค้นหาจิต"
" .. ฉะนั้น "พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ค้นหาจิต" คือ "ภาวนาพุทโธ" เอาจิตมารวมอยู่ในพุทโธอันเดียว จึงจะเห็นจิต "การค้นหาจิตเราจะต้องทำภาวนาพุทโธ" ทำให้จิตรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวจึงจะเห็นจิตของตน
เมื่อเราค้นหาจิตเห็นจิตแล้ว และเห็นว่านี่คือต้นตอของจิต ของสิ่งทั้งปวงที่มี อยู่ในโลกนี้ "จิตที่มากหลายอย่างนั้น มันออกไปจากจิตอันเดียวนี้" เมื่อจิตอยู่นึ่งกับพุทโธอันเดียว สรรพกิเลสทั้งหลายก็ไม่มี "แล้วจงใช้สติประคองจิตอันนั้นให้นิ่่งอยู่กับพุทโธอันเดียวเสียก่อน" อย่าให้ส่งส่ายไปมาทุกอิริยาบถทั้งสี่
ทำให้ชำนิชำนาญคล่องแคลว "จนเราจะให้อยู่ก็ได้ หรือเราจะให้คิดค้นพิจารณาในธรรมต่าง ๆ ก็ได้" หรือคิดค้นธรรมต่าง ๆ แล้ว "จะให้มานิ่งอยู่กับใจก็ได้" เมื่อเข้าถึงใจแล้วพุทโธไม่ต้องบริกรรมก็ได้ .. "
"ฝึกหัดสมาธิโดยบริกรรมพุทโธ"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
ตายด้วยกัน แต่ตายผิดกัน (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
"... ศีลทาน เราจะทำไม่ได้เสมอไปเป็นนิจ แต่ทำไว้บ่อยๆ ก็ยังดี บุญกุศลจะช่วยได้บ้าง
ถ้าเราทำห่างนักก็จะช่วยอะไรเราไม่ได้ เขาว่า บุญทานนั้นทำไปทำมา
คนทำบุญก็ต้องตาย ไม่ทำก็ตาย ตายด้วยกันก็จริงอยู่ดอก แต่ตายผิดกัน
คนทำบาปนั้น ตายไปกับผีกับเปรต ตายตามป่าตามดง ตามถนนหนทาง
แต่คนทำบุญนั้น ตายไปในกองบุญกองกุศล ตายสบายแล้วไปเกิดก็สบายอีก
ไม่ต้องไปเกิดในที่ทุกข์ยาก เหมือนคนทำบาป ..."
โอวาทธรรม พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
รู้ว่าทุกข์ก็อย่าไปแบกเอาไว้
ถาม : เมื่อเรารู้สึกว่าการที่เรามีชีวิต เรามีขันธ์ห้า แล้วเราทุกข์มาก ทุกข์ตลอดเวลา เราควรวางกำลังใจอย่างไร?
ตอบ : ก็ต้องรู้สึกว่าเราไม่มีชีวิต เพราะคำถามเขาบอกว่ารู้สึกว่ามีชีวิต แค่เรารู้สึกว่าไม่มีชีวิตก็หายทุกข์แล้ว
รู้ว่าทุกข์ก็อย่าไปแบกเอาไว้ เมื่อเห็นว่าทุกข์ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติทุกอย่างเพื่อความพ้นทุกข์ คือปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา
ถาม : จริง ๆ เวลาเราทุกข์ก็ไม่อยากแบกหรอกครับ แต่ทุกข์เกาะอยู่กับเรา จะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เมื่อคืนกล่าวไปแล้วว่า จริง ๆ ตัวเราไปปรุงแต่งเองต่างหาก ถ้าสักแต่เห็นว่าทุกข์เฉย ๆ ทุกข์มีอยู่อย่างนั้นแหละ แต่คราวนี้ว่าเราไปแบกว่าทุกข์เป็นของเราก็กลุ้มตายชักเลย
.....................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
เหตุที่ไม่มี... (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธฺมโม)
ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเตรียมตอนแก่: คำสอน "หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม"
อาตมาไปพบสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก อยู่ที่อำเภอน้ำหนาว อาชีพปลูกกะหล่ำปลีขาย ทางราชการเขาให้เดือนละ 200 บาท เพราะยากจนมาก ตาแก่อายุ 82 ปี ภรรยาอายุ 76 ปี อยู่กันสองคนตายาย ตาก็มองไม่เห็น ตอนนั้นอาตมาจะไปสร้างส้วมให้คณะสงฆ์ เขารีบวิ่งมาหา อาตมาก็จะรีบไปขอนแก่น อาตมาก็ "เห็นหนอ" ออกมาชัดเลย เดี๋ยวจะต้องให้เงิน 1,000 บาท เขาเล่าให้ฟังเป็นกฎแห่งกรรม
เขาเล่าว่ามีลูก 7 คน อยู่ที่กรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเป็นหมื่น เงินเดือนมากๆ ทุกคน แต่เหตุใดหนอไม่เคยกลับไปช่วยพ่อแม่เลย ไม่เคยไปให้พ่อแม่แม้แต่สตางค์แดงเดียว เพราะเหตุใด เราจะมาเตรียมตอนแก่ได้ไหม ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ให้ได้ มันเป็นกฎแห่งกรรม อย่าไปโทษลูก เพราะตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน ในข้อที่ว่า รักลูกคิดปลูกฝัง ให้ลูกตั้งตนฝึกรีบศึกษา ตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมตรงนั้นเลย ลูกต้องไปหากินเอง ต้องไปเรียนหนังสือเองทั้ง 7 คน เป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่เอง
เขาบอกว่าผมอยู่มาร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมือง พ่อแม่เกิดในตระกูลยาจกหาเช้ากินค่ำ ผมเป็นลูกจ้างเขา... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
การยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานเป็นวิธีการตัดกิเลสอีกวิธีหนึ่ง
อย่าลืมว่ามโนมยิทธิสำหรับพวกเราก็คือโลกียอภิญญา ถ้าเรารวบรวมความมั่นใจได้เมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ก็จะได้ตอนนั้น ก็จะได้เดี๋ยวนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าศีลบกพร่องเมื่อไรก็จะเสื่อม ก็จะคลายตัวไป เรามั่นใจใหม่เมื่อไรก็ได้อีกเมื่อนั้น
เรื่องของอภิญญาโลกีย์ก็เป็นอย่างนี้ ถามว่าในเมื่อเป็นอภิญญาโลกีย์ ทำไมถึงไปนิพพานได้ เพราะว่าตอนช่วงนั้นครูฝึกจะสอนให้เราตัดกิเลสให้วางกำลังใจเราเทียบเคียงพระโสดาบัน พระโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เราก็เลยไปนิพพานได้ แต่ของเราไปได้แค่ชั่วคราวถึงเวลาเขาไล่กลับ เขาไม่ให้อยู่หรอก
เพราะฉะนั้น..ทำเอาไว้เถอะ เพราะถ้าหากว่าเราทำมโนมยิทธิได้แล้วให้เกาะพระนิพพานโดยตรง ให้เกาะพระพุทธเจ้าบนนิพพานโดยตรง อันนั้นเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด รู้สึกว่าจะโกรธใครวิ่งเข้าไปกราบพระบนนิพพาน รู้สึกว่าราคะเกิดก็วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน ถ้าหากว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้ไม่มีจิตไปปรุงแต่ง กิเลสเจริญงอกงามไม่ได้ ก็จะเฉาตายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่เกินนาที สองนาที ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ จะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้าเคยชินจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
กรรมฐานกองหลักคือ อานาปานสติ
กองกรรมฐานต่าง ๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติของเรา อันดับแรกที่ทิ้งไม่ได้โดยเด็ดขาด คือ อานาปานสติ หรือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เพราะถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก เราก็ไม่สามารถที่จะสร้างสมาธิให้เกิดได้ กองกรรมฐานอื่น ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้
การที่ใช้อานาปานสตินั้นควรที่จะควบพุทธานุสติไปด้วยเพื่อเป็นกำไร ก็คือการใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” ก็ดี “สัมมาอรหัง” ก็ดี ซึ่งทำให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นปกติ หรือถ้าหากท่านใดถนัดในการจับภาพพระเป็นพุทธานุสติ นั่นก็เป็นส่วนของกสิณ ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราถนัด ยกเว้นว่าเราทำกรรมฐานกองเหล่านั้นได้ทั้งหมดแล้ว จึงนำมาประยุกต์รวมกันได้
ครั้นเราใช้อานาปานสติกรรมฐานควบกับพุทธานุสติกรรมฐานแล้ว เมื่อภาวนาไปจนอารมณ์ใจทรงตัว ก็ให้แผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก ตัวเมตตาพรหมวิหารจะช่วยให้กำลังใจของเราเยือกเย็น ชุ่มชื่น อิ่มเอิบ มีความไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่มีการแผ่เมตตาเป็นปกติ ก็จะรู้สึกว่าแห้งแล้ง ติดขัด... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
ทำบุญเพียงน้อยนิด กลับได้อานิสงส์มาก (หลวงปู่ครูบาวงศ์ พระโพธิสัตว์แห่งเมืองลี้)
เรื่องทำบุญเพียงน้อยนิด กลับได้อานิสงส์มาก!
“ครูบาชัยวงศา” เมตตาสอน”วิธีทำบุญ” แม้เพียงสองสลึง แผ่นดินยังถึงกับสะทือน!
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเมตตาธรรมจากครูบาวงศ์หรือครูบาชัยวงศา พระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งของแผ่นดินธรรม ครูบาวงศ์ หรือท่านเป็นศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน
ครูบาวงศ์ท่านมีเมตตามากโดยเฉพาะคนไทยและคนกระเหรี่ยงภาคเหนือตอนบนรู้จักท่านดี เรื่องที่ขอเมตตามาเล่าให้กำลังใจกันในวันนี้ชื่อเรื่องว่า
“ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว “
ในอดีตกาล ล่วงมาแล้ว สมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนย์อยู่ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจศรัทธาปรารถนาจะถวายผ้ากฐินเป็นทาน จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมืองเพื่อเชิญชวนให้ชาวเมืองได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สองคนผัวเมีย มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสองเกิดความศรัทธาปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจที่จะร่วมถวายทาน ผ้ากฐิน ตกกลางคืนมา สองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะ เกิด อานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ เมื่อคิดอย่างนั้น... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
หน้า 47 ของ 402