คลังเรื่องเด่น
-
อย่าลืมวันเกิดของตน... (หลวงตามหาบัว ญาณสมปันโน)
“ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณเสด็จมาบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายกับวันประสูติของท่าน มีบุญกุศลเป็นสิริมงคลสำหรับวันเกิดทุกท่านทุกคน อย่าลืมวันเกิดของตน เกิดมาเพราะอะไร เกิดมาเพราะบุญเพราะกรรมของเรา เราจะตกแต่ง ให้เกิดเอาตามความต้องการไม่ได้ ต้องการด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมทั้งนั้น วันนี้ท่านมาบำเพ็ญกุศล ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของท่าน ที่มาบำเพ็ญกองการกุศลนับว่าเป็นมงคลอย่างมากทีเดียว ให้พี่น้องทั้งหลายระลึกจำเอาไว้เป็นคติตัวอย่างอันดีงามต่อไป
ท่านอุตส่าห์มา มาก็มาฟังอรรถฟังธรรมจากครูจากอาจารย์ แล้วไปส่งเสริมบารมีของตนให้สูงส่งยิ่งขึ้น นั่น เพราะความไม่ลืมตัว ถ้าลืมตัวว่าเป็นใหญ่เท่าไรก็ลืมตัวเรื่อยๆ แล้ว นี่เรียกว่าเป็นน้อยลงมาโดยลำดับ เป็นใหญ่ไม่ลืมตัว มีศีลมีธรรมเข้าประดับแล้วก็ยิ่งสวยงามสง่าผ่าเผยทั้งชาตินี้และชาติหน้า นั่นเรียกว่าคนไม่ลืมตัว
วันนี้ท่านเสด็จมาพักที่นี่คืนหนึ่ง มาโปรดพวกพี่น้องชาวอุดรเรา นานๆ ท่านจะได้เสด็จมาทีหนึ่ง เมื่อวานท่านก็เสด็จมา วันนี้ท่านก็จะได้เสด็จกลับไปทำธุระหน้าที่อะไรของท่าน พวกเราก็ได้อนุโมทนาสาธุการ ชมบารมีของท่านในวันที่ท่านเสด็จมา... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
ใช้ความป่วย พิจารณาเพือพระนิพพาน
ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเรารู้จักพิจารณา จะได้อะไรดี ๆ เยอะมากเลย เพราะจะเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้จริง ๆ ถ้าใครที่เจ็บป่วย ขอให้รู้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐอย่างยิ่งแล้ว โอกาสแบบนี้หาซื้อไม่ได้ จ่ายแพงเท่าไรเขาก็ไม่ขายให้
เราลองนึกดูว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระองค์ กว่าจะตรัสรู้ เอาแค่ระดับที่เรียนเก่งที่สุด จบสั้นที่สุด ก็คือพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ บาลีท่านบอกว่า จิตติตัง สัตตะสังเขยยัง แต่คิดในใจใช้เวลา ๗ อสงไขย นวสังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย ไป ๑๖ อสงไขยแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนั้น คิดเป็นทรัพยากรที่ใช้สิ้นเปลืองไปแต่ละชาติเท่าไร ประมาณเป็นตัวเลขได้ไหม ? จะเป็นตัวเลขมหึมาชนิดที่สามารถซื้อจักรวาลได้เลย
ท่านใช้ทรัพยากรไปสิ้นเปลืองขนาดนั้นเพื่อศึกษาให้เห็นทุกข์ แล้วตอนนี้ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ความทุกข์มาอยู่ตรงหน้า เปรียบราคาขนาดนั้นแล้ว ทุกข์จึงมีคุณค่ามหาศาล ถึงได้บอกว่า ต้องใช้ทรัพยากรขนาดไหนก็ซื้อทุกข์แบบนั้นให้เราเห็นชัด ๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องซื้อ... -
"ความอยากมันไม่เคยพอ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ความอยากมันไม่เคยพอ"
" .. "ความโลภมันมิใช่อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่ใจ คือความอยาก" วัตถุมันจะมีมากสักเท่าไร "ก็แต่ความอยากมันไม่พอ มันก็ไม่พออยู่ดีนั่นเอง" ท่านให้พิจารณาเมื่อกายกับใจอยู่ด้วยกันคือไม่ตาย "ต้องหาไปกินไปใช้ไป"
เมื่อตายแล้วกายมันไม่รู้อะไรเลย สลายเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปหมด "แต่ใจเป็นผู้รับภาระกรรมนั้นผู้เดียว" เมื่อดีก็รับภาระเป็นสุข ทำชั่วก็รับภาระไปเป็นทุกข์ "ยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติอยู่ตราบใด ต้องเสวยอย่างนี้ร่ำไป" พิจารณาอย่างนี้แล้ว "ถึงไม่พ้นทุกข์ก็ค่อยเบาบางลงบ้าง" .. "
"สนธนาธรรมต่างประเทศ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
เพิร์ธ ออสเตรเลีย วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
พลังใจใหญ่ของข้าพเจ้า...
"จริงๆ แล้วพลังใจใหญ่ของข้าพเจ้าที่จะทำงานให้ลุล่วงได้ด้วยดีทุกประการนี่ พลังใจใหญ่มีอยู่ 3 พระองค์ด้วยกัน
องค์แรกคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ที่สอง คือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะว่าตั้งแต่เด็กมาเห็นตัวอย่างจากพ่อจากแม่ ที่ทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชนอันนี้เป็นแรง ตอนเด็กๆ ไม่เข้าใจหรอก พอโตขึ้นมาเข้าใจเข้าทุกทีว่าคนเรานี่ แก่นสารของชีวิตอยู่ที่ว่าเราทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน อันนี้เป็นแก่นสารของชีวิตและยิ่งเราทำให้เพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน เป็นความปลาบปลื้มที่ย้อนเข้ามาหาเราทำให้มีพลังใจยิ่งขึ้นที่จะทำ
องค์ที่ 3 ที่เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าคือหลวงตามหาบัว ท่านเป็นพ่อบุญธรรม ทั้ง 3 องค์นี้ข้าพเจ้าดูมาท่านทำเพื่อส่วนรวมตลอด หลวงตามหาบัวมีคนเอาเงินมาบริจาคมากมาย ท่านไม่เคยเก็บไว้กับตัวเองเลย หลวงตาเอาไปให้สร้างโรงพยาบาลสำหรับพระบ้าง เอาไปสร้างโรงพยาบาลสำหรับประชาชนบ้าง เอาข้าวของเช่นอาหารแห้ง ข้าว ไปให้กับวัดที่ยากจนบ้าง เอาไปให้กับหมู่บ้านที่ยากจนบ้าง คือ หลวงตาทำอะไรไม่เคยเพื่อตัวเองเลย เพื่อโลก เพื่อประชาชนเท่านั้น... -
"ภัยในวัฏสงสารเป็นสิ่งที่น่ากลัว" (หลวงปู่ลี กุศลธโร)
.
"ภัยในวัฏสงสารเป็นสิ่งที่น่ากลัว"
" .. "การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร ที่จะตั้งเที่ยงแท้แน่นอนยั่งยืนนั้นมิได้มีเลย" ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปเกิดในโลกดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไปอยู่เช่นนี้ "ถ้าไปเกิดในโลกที่ดีมีความสุข" เช่น เทวโลก พรหมโลกก็นับว่าเป็นการดี แต่ทีนี้ "ถ้าพลาดพลั้งลงไปเกิดในโลกชั่ว" เช่นอบายภูมิแล้ว "ย่อมเป็นการยากนักหนาที่จะยกตนขึ้นมาจากโลกชั้นตํ่าได้" ต้องเสวยทุกขเวทนาไปแสนนาน
อีกประการหนึ่ง "การท่องเที่ยวในวัฏสงสารนี้ยังเป็นการท่องเที่ยวไปไม่มีวันสิ้นสุดอีกด้วย" ข้อนี้สิร้ายมาก ลองหลับตานึกวาดภาพดูเถิดว่า "ตัวเรานี้ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดครั้งใด เป็นต้องตายลงไปครั้งนั้น" ซํ้าซากอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันหยุดยั้ง
"ตัวเรานี่แหละเกิดตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่รู้ตัวมาหลงลืมเสียเพราะชาติภพปิดบังไว้เท่านั้นเอง" และอีกไม่นานตัวเราก็จะตายแล้วใช่ไหมเล่า ตายแล้วก็เกิดอีก แต่เฝ้าตายเฝ้าเกิดอยู่อย่างนี้ ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ ด้วยเหตุนี้ "วัฏสงสารนั้นจึงเป็นภัยที่น่ากลัวกว่าสิ่งที่น่ากลัวทั้งหลายในโลก" คราวนี้มีปัญหาว่า... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
"ความวู่วามโผงผาง" (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
.
"ความวู่วามโผงผาง"
" .. "อารมณ์วู่วามนั้น หากบุคคลใดรู้ตัวก็ต้องถือว่าเป็นคนมีปัญญาแล้วและหากถ้ามันเห็นว่าไม่มีประโยชน์มันก็จะวางไปเอง" แต่ถ้าหากเห็นว่ามีประโยชน์มันก็วางไม่ได้ "อย่างไรก็ตาม มันจะถึงกับฆ่าหรือตีเขาหรือไม่ ข้อนี้ก็เป็นส่วนที่จะต้องรู้อีก" ถ้ามันหมายจะฆ่าจะตีเขาก็ส่อแสดงให้เห็นว่า "มันยังมีกิเลสมากอยู่ เรื่องนี้เราต้องพิจารณา" ใคร ๆ ในโลกนี้ก็เหมือนกัน "ถ้าหากเห็นว่าโลภ โกรธ หลง มันเป็นของอร่อยอยู่ มันก็ลดละไม่ได้ มันต้องไปสังเวยเป็นอาหารของกิเลสต่อไป"
เรื่อง "ความวู่วามโผงผางนี้" พระบรมศาสดากล่าวว่า "เป็นตามนิสัยก็มี" เพราะบางคนอุปมาเหมือน "น้ำใสกลาง ขุ่นขอบ" คือมารยาทไม่งามพูดจาโผงผาง แต่จิตใจเป็นธรรมอยู่ "บางคนเหมือนน้ำใสทั้งขอบทั้งกลาง" หมายความว่าจิตใจก็เป็นธรรม มารยาทก็เป็นธรรม "ส่วนบางคนที่เหมือนน้ำขุ่นทั้งกลางทั้งขอบ" ก็หมายความว่าจิตใจก็ไม่เป็นธรรม คำพูดก็ไม่เป็นธรรม
เรื่องของธรรมะของพระพุทธศาสนา "ความจริงแล้วเราควรจะต้องปฏิบัติให้ควบคู่กับอารมณ์ของเราไป" ดีกว่าที่จะปล่อยให้อารมณ์ไหวไปทางอื่น ยกอุทาหรณ์ "คนเราจะสะอาดหรือไม่สะอาดขาดตัวก็ตาม... -
วิถีของผู้ตัวเบา
วิถีของผู้ตัวเบา
---------
เดินจิต -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้
มีโยมมาจากสหรัฐอเมริกา เล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า ตะกรุดมหาสะท้อนที่ตัวเองพกอยู่นั้นใช้ได้ผล พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
"จริง ๆ แล้วถึงเราไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ผล แต่สมาธิต้องทรงตัว เราภาวนา เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัว จะมีอานุภาพเหมือนกับใช้ตะกรุดมหาสะท้อน เพราะตะกรุดก็ปลุกด้วยคาถานี้ ต่างกันแค่พวกเราขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ถ้าสมาธิดีหน่อย มีความมั่นใจ ไม่ต้องไปเสียเงินบูชาตะกรุดแพง ๆ ก็ได้
เมื่อเช้ามีนายทหารเขาเอาเช็คมาให้ เขาบอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย แล้วตะกรุดอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยต้องเสียเงินอีกหนึ่งหมื่นมาเอาของใหม่ อยากจะบอกว่าเป็นถึงระดับผู้บัญชาแล้ว ไม่ควรงมงายเรื่องนี้ แต่ก็พูดไม่ออก
วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้ วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง มีการส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของคนใช้ไม่เปิดรับ มีวัตถุมงคลไว้ก็เท่านั้น เหมือนกับไม่มีนั่นเอง
ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า คนที่เอาวัตถุมงคลไปใช้ ถึงเป็นของรุ่นเดียวกัน อย่างเดียวกันก็จริง แต่ได้ผลไม่เท่ากันหรอก คนที่กำลังใจเข้มแข็งมาก มีความศรัทธาเชื่อมั่นมาก... -
วีดีโอ วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน + อุบายมีสติระลึกชอบ
วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ๑
วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ๒
วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ๓
วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ๔
วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ๕ -
"อานิสงส์ของบุญกุศล" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"อานิสงส์ของบุญกุศล"
" .. ธรรมดาผู้เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญา "ผู้เปียมไปด้วยเมตตากรุณาก็ย่อมไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น" ย่อมสำรวมกายวาจาของตนด้วยดี ไม่ให้ไปกระทบกระทั่งกับบุคคลอื่นและสัตว์อื่นอย่างนี้
เมื่อพระองค์เจ้าทรงแสดงมาถึงบทนี้ ก็แสดงว่า "เป็นผู้สำรวมในศีลนั้นเองแหละ" ความมุ่งหมายผู้ฟังก็ย่อมรู้ได้ "ก็ย่อมมีศรัทธามั่นในศีลลงไป" พยายามรักษาเจตนาในใจของตนไว้ เสมอว่า "ไม่ให้มีเจตนาคิดเบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่นเลย"
เมื่อบุคคลได้มาบำเพ็ญทานการกุศล "พร้อมด้วยการวิรัติละเว้นจากบาป" โทษมลทินต่าง ๆ ดังกล่าวมานั่น เช่นนี้แล้ว "ก็ย่อมจะได้รับอานิสงส์ผล ทั้งในปัจจุบันและเบื้องหน้า" ในปัจจุบันนี้ก็เป็นผู้มากไปด้วยบริษัทบริวาร มิตร ญาติ สหาย "ไม่มีใครแสดงตนเป็นศัตรูเลย เพราะว่าเป็นผ้มีใจคอกว้างขวาง ไม่ตระหนี่ในสมบัติข้าวของที่ได้มา" แบ่งสันปันส่วนให้คนยากคนจนไป
เพราะฉะนั้น "มันจึงไม่มีใครคิดอิจฉา เบียดเบียนเลย" ก็ย่อมอยู่ด้วยความเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีภัย "อันนี้เป็นอานิสงส์ในปัจจุบัน" ซึ่งมองเห็นได้ชัด ๆ เมื่อละโลกนี้ไปแล้วก็ย่อม บันเทิงในสวรรค์... -
สวดจักรพรรดิได้อะไร? (หลวงตาม้าท่านตอบกระจ่างมาก)
สวดจักรพรรดิได้อะไร? (หลวงตาม้าท่านตอบกระจ่างมาก)
**********
รวมคำสอนหลวงตาม้า
#รวมคำสอนหลวงตาม้า #หลวงตาม้า #ฝึกสมาธิ #คาถามหาจักรพรรดิ #สมถกรรมฐาน #กรรม #วิปัสสนากรรมฐาน #ครอบวิมาน #อภิญญา -
ปัจฉิมโอวาทของ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
“ปัจฉิมโอวาท” อันออกจากปากของท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้ายของคืนที่ ๒๔ และ ๒๕ เมษายนนั้นมีใจความว่า
“บุคคลใด หรือหมู่ใด ปรารถนาอยู่แต่ในประโยชน์ชาตินี้ คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ขอชี้แนวทางให้ซึ่งมีอยู่ ๔ อย่าง
๑. อุฏฐานสัมปทา เป็นผู้มีความเพียร หมั่นขยัน ทำกิจหน้าที่ของตน ตั้งอยู่ในอาชีพที่ถูกต้องในทางธรรม เช่น “สัมมากัมมันโต” การงานที่ชอบ
๒. อารักขสัมปทา ให้รู้จักรักษาทรัพย์ของตน ให้รู้จักรักษาตนของตน ที่ได้มาโดยชอบแล้วด้วยดี ไม่ให้ตกล่วงไปในทางที่ชั่ว
๓. กัลยาณมิตตตา คบเพื่อนที่ดีงาม ไม่คบคนชั่วที่จะทำตนให้เป็นคนตกต่ำ จะทำทรัพย์ของตนให้สาปสูญ
๔. สมชีวิตา จ่ายทรัพย์ที่ได้มาจากการงานนั้นๆ ด้วยดี เลี้ยงชีวิตของตนโดยทางที่ถูก ไม่จ่ายทรัพย์ไปในทางที่ผิด ไม่ทำชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้หม่นหมอง
ทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นหนทางที่จะนำมาซึ่งความสุขของตนในโลกนี้ แต่อย่าใช้ความคิดอันสั้น อันปราศจากความจริง เพราะความจริงของมนุษย์ที่เกิดมาต้องตายไปจากความสุขในโลกที่มีอยู่ทุกรูปทุกนาม
ฉะนั้น จึงจำเป็นจะต้องหาทางที่ตนจะต้องได้รับในโลกหน้าที่เรียกว่า “สัมปรายิกัตถะประโยชน์”... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
ข่าวชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน (พระอาจารย์เล็ก) เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕
ชุมชนคุณธรรมออนไลน์ Palungjit.org
เครือข่ายชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
ขอรวบรวมข่าวกิจกรรมการดำเนินงานของ
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (พระอาจารย์เล็ก)
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เพื่อให้ทุกท่านได้โมทนาบุญในการทำงานของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
และเพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษารูปแบบการดำเนินงานของพระอาจารย์
ซึ่งท่านเป็นต้นแบบการทำงานของ ชุมชนคุณธรรมออนไลน์ Palungjit.org
ข่าวการดำเนินงาน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕ -
หลักการปกครองระบอบใดก็ตาม ควรมีหลักธรรมประกอบด้วย องค์กรจึงจะอยู่รอดได้
ในเรื่องของการจัดตั้งองค์กรก็ดี ในเรื่องของการบริหารหน่วยงานก็ดี จนถึงเรื่องของการบริหารประเทศชาติก็ดี แม้ว่าจะมีระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวดขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีหลักธรรมเข้ามาประกอบ ก็ไม่สามารถที่จะพาองค์กรให้อยู่รอดได้
ดังนั้น...เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ไม่เคยที่จะสรรเสริญว่าระบอบการปกครองแบบไหนดี แต่พระองค์ท่านจะทรงประทานหลักธรรมเอาไว้ประกอบเสมอ
อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระราชาเป็นประมุข พระองค์ท่านก็มอบ "หลักทศพิธราชธรรม" ให้ไปประกอบ
ถ้าหากว่าปกครองแบบพระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์ท่านก็มอบ "จักรวรรดิวัตร" ไปให้ประกอบการปกครอง
ถ้าหากว่าปกครองแบบสามัคคีธรรม ซึ่งคล้ายคลึงกับระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน พระองค์ท่านก็มอบ "หลักอปริหานิยธรรมทั้ง ๗" ให้ไปประกอบในการปกครอง
ดังนั้น..เราจะเห็นว่าอัตตาธิปไตย การถือตนเป็นใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี ถ้าเราสังเกตแค่ในประเทศไทยของเรา เอาแค่ยุครัชกาลที่ ๕ นั่นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นอัตตาธิปไตย ซึ่งปัจจุบันนี้มีคนบางจำพวกบอกว่าเป็นเผด็จการ ซึ่งถ้าหากว่าเราพิจารณาดูแล้ว ในยุคนั้นสมัยนั้น... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
อานิสงส์ในการทำทาน ศีล ภาวนา
บุญนั้นเราทำได้ ๑๐ วิธีด้วยกัน ที่เขาเรียก บุญกิริยาวัตถุ ทาน ศีล ภาวนา จะเป็นบุญที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ว่าทานทำหนึ่งได้ร้อย ส่วนศีลทำหนึ่งได้หมื่น ถ้าภาวนาทำหนึ่งได้ล้าน ถามว่าทำไมถึงต่างกันขนาดนั้น ? ทานนั้นทำด้วยกาย ศีลนั้นรักษาทั้งกายและวาจา พูดปดก็ไม่ได้ พูดคำหยาบก็ไม่ได้ แต่ภาวนานั้นต้องทั้งกาย วาจา ใจ พร้อมกันเลย นั่งหลับตาอยู่ตรงนั้นต่อให้จิตมันไม่เป็นสมาธิอย่างไรก็ตาม กายเราไปทำชั่วได้ไหม ?...ไม่ได้หรอก วาจาเราพูดชั่วได้ไหม ?...หลับตานั่งอยู่ พูดไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็คิดชั่วได้อย่างเดียว การคิดชั่วเป็นมโนกรรม กรรมก็น้อย อานิสงส์เราได้ทั้ง ๆ ที่ฟุ้งซ่าน ก็เลยกลายเป็นบุญใหญ่
ในเมื่อเป็นบุญใหญ่ ในแต่ละวันของเรา ถ้าไม่ทิ้งการภาวนา ก็จะสั่งสมตัวมากขึ้น ๆ แรก ๆ เราไม่รู้หรอก เหมือนกับน้ำทีละหยด..ทีละหยดรวมกัน พอนานเข้า..นานเข้าก็เป็นโอ่งเป็นไห ตอนที่ค่อย ๆ รวมนี่เราจะไม่รู้สึก แต่ว่าเราจะวัดปริมาณมันได้ก็ต่อเมื่อเกิดฉุกเฉินขึ้นมา อาจจะเป็นว่า อยู่ ๆ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยปางตายไปเลยอย่างนี้ โห..กำลังใจรวมตัวดีแท้ ๆ เลย มีเท่าไหร่มันโกยมาหมด เพราะรู้ว่าจะตายแล้วนี่... -
"มนุษย์สมบัติ" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
.
"มนุษย์สมบัติ"
" .. เราเกิดมาได้อัตตภาพอันดี สมบูรณ์บริบูรณ์ "พวกเราได้สมบัติมาดีแล้ว" ควรใช้มันเสีย ใช้ไปในทางดี "ทางดี คือการทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนา" ใช้มันเสียเมื่อมันยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ อย่าไปนอนใจเมื่อวันคืนล่วงไป ๆ
พระพุทธเจ้าว่า "วันคืนล่วงไป ๆ มิใช่จะล่วงไปแต่วันคืนเดือนปี ชีวิตความเป็นอยู่ของเราก็ล่วงไป ๆ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก" ไม่ควรนอนใจ ได้มาดีแล้ว อัตตภาพอันนี้ ไม่เป็นผู้หนวกบอดใบ้บ้าเสียจริต "สมบัติอันนี้คือมนุษย์สมบัติ" มนุษย์เราเป็นมนุษย์หรือเป็นอะไร คนเรอะ
พระพุทธเจ้าว่า "สิ่งอันประเสริฐก็ได้แก่คน" บาปและบุญก็เรียก เราต้องเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ "หิริ" ความอายต่อความชั่ว "โอตัปปะ" ความสะดุ้งต่อผลของมัน ความชั่วมันจะให้ผลเราในคราวหลัง "เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่ควรนอนใจ" อย่าให้กาลกินเรา ให้เรากินกาล "ให้เร่งทำคุณงามความดี ".. "
"อนาลโยวาทะ" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
จัดพิมพ์เป็นธรรมทาน โดย นพ.อวย – ม.ร.ว ส่งศรี เกตุสิงห์ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
รู้อสุภะ รู้อย่างไร ? : หลวงตาพระมหาบัว
-:- รู้อสุภะ รู้อย่างไร ? -:-
".. ปัญญาไม่ใช่จะเกิดขึ้นในลำดับที่สมาธิคือความสงบใจเกิดขึ้นแล้ว แต่ต้องอาศัยความฝึกหัดคิดค้นคว้าความพินิจพิจารณา ปัญญาจึงจะเกิดขึ้น โดยอาศัยสมาธิเป็นเครื่องหนุน อยู่แล้ว ลำพังสมาธินั้นจะไม่กลายเป็นปัญญาขึ้นมาได้ ต้องเป็นสมาธิอยู่ โดยดี ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจารณาต่างหาก สมาธิเพียงทำให้จิตมีความเอิบอิ่มมีความสงบตัว มีความพอใจกับอารมณ์คือสมถธรรม ไม่หิวโหยในความคิดโน้นคิดนี้ ไม่วุ่นวายส่ายแส่เท่านั้น เพราะจิตที่มีความสงบย่อมมีความเย็น ย่อมเอิบอิ่มในธรรมตามฐานแห่งความสงบของตน แล้วนำจิตที่มีความอิ่มในสมถธรรมนั้นออกพิจารณา คลี่คลายดูสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญา ซึ่งในโลกนี้ไม่มีอันใดจะเหนือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไปได้ มันเต็มไปด้วยสภาพเดียวกัน จงใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จะเป็นแง่ใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยที่ชอบพอกับการพิจารณาในแง่นั้น ๆ โดยยกสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาคลี่คลายด้วยความสนใจ ใคร่รู้ใคร่เห็นตามความจริงของมันจริง ๆ อย่าสักแต่พิจารณาโดยปราศจากเจตนาปราศจากสติกำกับ
.
.
เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอสุภะกับจิตที่เต็มไปด้วยราคะความกำหนัดยินดี นี้เป็นคู่ปรับหรือคู่แก้กันได้ดีและดีมาก... -
…รู้จักบุญ … (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
"…การกระทำบุญ บุญนั่นคืออะไร บุญนั้นคือความที่ถูกต้อง คือความสงบจากความชั่วทั้งหลายอย่างนี้ อย่างญาติโยมที่รวมกันมานี้ก็รวมกันทำบุญแต่ตัวบุญจริงๆ นั้น มันก็ต้องดูเอาเอง อันนี้ มันก็เป็นวัตถุ มันก็เป็นวัตถุหลายอย่างเหมือนกันกับเราบริโภคอาหารนั่นแหละโยม มันเอร็ดอร่อยเพราะวัตถุนะ ถ้ามันอิ่มแล้ว มันอิ่มที่ตรงไหนก็ไม่รู้ ตัวอิ่มไม่มีตัวมีตน แต่รู้สึกทุกคนว่ามันอิ่ม…
บางคนก็ไม่เห็นตัวบุญ คนไม่เห็นตัวบุญก็ไม่เห็นตัวอิ่ม อย่างเราทานข้าวทุกคน แกงก็หมด ข้าวก็หมด ขนมก็หมด หมดแล้ว บุญตรงไหน ได้อะไร ได้อิ่ม อิ่มไม่มีตัวมีตนมันโผล่ขึ้นมาในใจของเรานั่นแหละ นี้ได้เรียกว่ามันเกิดจากอะไรนี่นะ มันเกิดจากวัตถุ เกิดจากการกระทำนั้น บุญนี้ก็เหมือนกัน
… อาตมาเคยได้ยินว่า ทำบุญก็ไม่เห็นบุญ ไม่เห็นตัว อย่างนั้นก็ทานข้าวไม่รู้จักอิ่มละมัง ไม่รู้จักความอิ่มเหรอนั่น ความอิ่มน่ะนะมันเกิดผลมาจากการกิน การบริโภค
การกระทำเช่นนี้เรียกว่า การกระทำบุญ เป็นเรื่องสมมุติ จิตใจเราเบิกบาน จิตใจเราสบาย...ฯ"
ธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook... -
มารเล่นงานเราได้ตลอดเวลา
มารเล่นงานเราได้ตลอดเวลา
การปฏิบัติของเรา ส่วนที่จะมาขวางเรา ก็คือบรรดามารต่าง ๆ ๕ อย่าง เขาทำหน้าที่ได้สุดยอดมาก พวกเราเผลอเมื่อไรจะเจ็บหนัก เรื่องพวกนี้พวกเราทุกคนต้องระวังให้ดี เขาเล่นเราอยู่ตลอด เราอาจจะไม่รู้ อย่างเช่นว่าจะออกจะบิณฑบาต ก็ "โอ๊ย..ไม่ไหวแล้ว ไข้กำลังขึ้น" ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะตะกายไปก็ไปได้ แต่ใจบอกว่าไม่ไหว เมื่อใจบอกว่าไม่ไหว ร่างกายก็พลอยไม่ไหวไปด้วย ถ้าหากว่าถึงขนาดเป็นตายแลกด้วยชีวิต เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้
การบิณฑบาตเป็นกิจวัตร เป็นหน้าที่ซึ่งเราควรกระทำ เป็นพุทธประเพณีที่สืบทอดกันมาสองพันกว่าปี เราประกาศตนเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นทหารในกองทัพธรรม ถ้าไปอ่อนแอเหยาะแหยะให้มารเขาเห็น มารเขาก็นั่งกระดิกเท้ามองอย่างสบายใจ แต่ถ้าเราเข้มแข็ง ตายเป็นตาย สู้เพื่อให้ผ่านไป จะช่วยให้เราเห็นทุกข์ชัดขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น..ความอยากเกิด อยากทุกข์ เราต้องดูให้เห็นชัด ๆ แล้วก็ดูว่ายังอยากได้อีกไหม ? ถ้าไม่อยากได้ก็หาทางหนีให้พ้น หาทางไปนิพพาน ในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราไปยอมอ่อนแอ แพ้พ่าย ไปยอมเสียตั้งแต่เริ่มต้น เราก็จะแพ้ทุกเรื่อง ไม่มีกำลังใจสู้ในทุกเรื่อง... -
"ยอดมงกุฎของกรรมฐาน" (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
.
"ยอดมงกุฎของกรรมฐาน"
" .. หลวงปู่มั่นยืนยันว่ากรรมฐานสี่สิบห้องเป็นน้องอานาปานสติ "อานาปานสติเป็นยอดมงกุฎของกรรมฐานทั้งหลายอยู่แล้ว" ศาสนาอื่น ๆ นอกจากพุทธศาสนาแล้ว ไม่ได้เอามาสั่งสอนให้หัดปฏิบัติกันเลย
"เพราะกรรมฐานอันนี้บริบูรณ์พร้อมทั้งสติปัฏฐาน ๔ ไปในตัวด้วย" และเป็นแม่เหล็กที่มีกำลังดึงกรรมฐานอื่น ๆ ให้เข้ามาเป็นเมืองขึ้นของตัวได้ เช่น "พระมหาอนันตคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ" สีโล จาโค กายคตา แก่ เจ็บ ตาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้เป็นต้น ย่อมมีอยู่จริงอยู่พร้อมทุกลมออกเข้าแล้ว .. "
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-lah/lp-lah-hist-04.htm -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
"ขอให้อดทนทำไปเถิด" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ขอให้อดทนทำไปเถิด"
" .. การหัดภาวนาเบื้องต้นก็ต้องใช้คำบริกรรมเสียก่อน "จะเอาโอมะหรือระลึกถึงครูบาอาจารย์ หรือระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้" ขอแต่ให้ทำใจให้แน่วแน่ลงอันเดียวก็แล้วกัน
"ถ้าใจยังไม่แน่วแน่มันก็ส่งส่ายล่ะซี" มันพาวนเสียไม่เป็นภาวนา แต่ก็อดทนไปเพราะใจเรายังไม่เคยภาวนา มีแต่ส่งส่ายอยู่ตลอดเวลา "พึ่งมาภาวนานี่เองจะให้มันรวมทีเดียวมันก็ยากอยู่" ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีเวลาจะรวมลงได้ "ขอให้อดทนทำไปเถิด" .. "
"สนทนาธรรมต่างประเทศ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
สิงคโปร์ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๙ เวลาบ่าย -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕
หน้า 62 ของ 402