คลังเรื่องเด่น
-
"ทุกข์โทษทั้งหลาย เกิดจากความเห็นผิด" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
.
"ทุกข์โทษทั้งหลาย เกิดจากความเห็นผิด"
" .. พระบรมศาสดาตรัสว่า "ทุกข์ทั้งหลาย โทษทั้งหลาย นั่นมันเกิดที่ใจ ไม่มีอะไรที่จะร้ายแรงเท่าจิตใจมีความเห็นผิด" ความเห็นผิดนี่มันร้ายแรงกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง "สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้น ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่าความเห็นถูกต้อง"
พระศาสดา "ต้องการจะน้อมนำใจสัตว์ทั้งหลาย ส่งเข้าไปที่ความเห็นถูกความเห็นชอบ เรียกว่ามรรค" พวกเราพากันนับถือพระพุทธศาสนามาหลายพันปีแล้ว มันเสื่อมหรือมันเจริญ เคยพิจารณาไหม หรือสักแต่ว่าทำ ๆ ไปเท่านั้น .. "
"ฝึกจิตให้มีกำลัง" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ ณ วัดป่าวิเวกธรรมชาน์ -
การสร้างพระเกี่ยวข้องกับการสวดมนต์ยังไง?
การสร้างพระเกี่ยวข้องกับการสวดมนต์ยังไง?
#รวมคำสอนหลวงตาม้า #หลวงตาม้า #ฝึกสมาธิ #คาถามหาจักรพรรดิ #สมถกรรมฐาน #กรรม #วิปัสสนากรรมฐาน #ครอบวิมาน #อภิญญา
************************
รวมคำสอนหลวงตาม้า -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
สภาวะสุญญตวิหาร
สภาวะสุญญตวิหาร
-------------
เดินจิต -
หลักความสำเร็จในการประกอบกิจการ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า บุคคลที่จักค้าขายหรือว่าจะประกอบกิจการงานใดก็ตามให้สำเร็จนั้น ต้องประกอบไปด้วยหลักธรรมทั้ง ๓ ข้อก็คือ
ข้อที่ ๑ "จักขุมา" แปลว่าเป็นผู้มีสายตายาวไกล ซึ่งสมัยนี้เราใช้คำว่า "วิสัยทัศน์" หรือถ้าหากว่าภาษาอังกฤษก็คือ Vision หมายความว่าท่านสามารถอ่านเกมได้ขาดว่า ตลาดในระยะนี้ต้องการสินค้าประเภทใด ในระยะหน้าต้องการสินค้าประเภทใด แล้วสามารถหาสินค้าไปป้อนให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในช่วงนั้น ก็จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จได้
แต่เท่าที่พบเห็นมานั้น ตั้งแต่โบราณจนปัจจุบันก็คือ พอเห็นใครทำอะไรประสบความสำเร็จ คนก็ฮือตามกัน ในเมื่อไปทำสิ่งที่เหมือน ๆ กัน ท้ายที่สุดก็พากันล่มจมไปตาม ๆ กันเช่นกัน..!
หลักธรรมข้อที่ ๒ ก็คือ "วิธุโร" แปลว่าผู้ที่สามารถจัดการธุระได้อย่างวิเศษยิ่ง ในที่นี้ก็คือเป็นผู้ที่สามารถติดต่อประสานงานได้เก่ง เป็นผู้ที่เข้าถึงตลาด เป็นผู้ที่เข้าถึงแหล่งการผลิต ทำให้สามารถที่จะประสานงาน เพื่อนำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อกิจการของตนเอง และต่อผู้ที่ต้องการผลผลิตต่าง ๆ นั้น... -
"แก่นพุทธศาสนาอยู่ที่ภาวนานะ" (หลวงตามหาบัว ญาณสมปันโน)
.
"แก่นพุทธศาสนาอยู่ที่ภาวนานะ"
" .. การภาวนานี่ "โอ๊ .. เราอยากจะให้พี่น้องทั้งหลายได้รู้ได้เห็นความพิสดารของจิตของธรรม" แล้วจะได้รู้ความพิสดารของกิเลสไปตาม ๆ กัน ไม่อย่างงั้นแก้ไม่ได้นะ "คือธรรมต้องเหนือกิเลสตลอด เวลาพิจารณาไปเท่าไร หลักเกณฑ์ของใจดีเท่าไร ความสว่างไสวจะแสดงออก" ความรอบคอบทุกสิ่งทุกอย่างจะละเอียดไปตาม ๆ กัน
ทีนี้กิเลสประเภทใด "มันก็สัมผัสในใจอันเดียวกันนั้นแหละ มันก็ทันกัน ๆ แก้ได้ ๆ อย่างนั้นแหละ การภาวนาจึงสำคัญมาก" พุทธศาสนาของเรา เวลามีเทศน์ที่ไหนเราไม่ค่อยจะได้ปล่อยแหละ "เรื่องจิตตภาวนาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพุทธศาสนา หรือรากแก้ว หรือแก่นพุทธศาสนาอยู่ที่ภาวนานะ"
การทำบุญให้ทาน รักษาศีลนี้ เป็นกิ่งของการภาวนา "ถ้าการภาวนามีหลักมีเกณฑ์ดีเท่าไร เรื่องการทำบุญให้ทานภายนอกนั้นจะมีกำลังดึงดูดกันเอง" มีกำลังไปเอง เพราะอำนาจแห่งการภาวนา "ความเชื่อมั่นในจิตของตัวเองจากภาวนานี้เป็นเครื่องหนุนให้ทำความดีหนักเข้า ๆ หนักเข้าในเรื่องบุญเรื่องกรรม" ทุกอย่างหนักเข้าไป "การภาวนาจึงเป็นของสำคัญ" .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสมปันโน... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
สงครามใหญ่ของโลก
สงครามใหญ่ของโลก
(คัดย่อจากหนังสือ "พุทธพยากรณ์")
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้กับพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนและบุคคลให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก
แต่ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงนักยังหาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูก่อนอานนห์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก
ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราผ่าฟันกันและกัน (ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึงคนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน) ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์ จะล้มตาย
จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรากัน
สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก"
แต่ทว่าสงครามคราวนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือซึ่งกันและกัน และคำพยากรณ์ก็จะไม่พยากรณ์ว่า จะมีสงครามหรือไม่
แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า... -
สงครามโลก
สงครามโลก
ผู้ถาม : เคยอ่านพบในหนังสือฉบับหนึ่งเขาบอกว่า "สงครามโลกครั้งที่ 3" จะเกิดในปี 2527 มันจะเป็นความจริงไหมคะ ?
หลวงพ่อ : ไอ้ที่เขาบอกว่าจะเกิดสงคราม มันก็อาจจะมีเหมือนกัน แต่ว่าสงครามจะเป็นแบบก่อนหรือแบบใหม่ เวลานี้ก็มีสงครามเต็มโลก ไม่เห็นมีที่ไหนสงบเลย เวลานี้สงครามโฮ้งมากกว่าสงครามชก ใช่ไหม มีรบกันบ้างแต่ส่วนน้อย เวลานี้สงครามเสียงสงครามน้ำลาย แล้วต่อไปมันอาจจะเป็นสงครามอาวุธ
ผู้ถาม : แล้วประเทศไทยจะเป็นยังไงคะ ?
หลวงพ่อ : ประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศไทย
ผู้ถาม : (หัวเราะ)
หลวงพ่อ : เคยถามพระท่าน ถามว่าสงครามโลกจะมีไหม? ท่านตอบว่า ฉันไม่ได้บอกแกนี่จะมี "สงครามโลก" ฉันพูด แต่จะมี "สงครามใหญ่"
คำว่า "สงครามใหญ่" กับ "สงครามโลก" นี่มันไม่เหมือนกัน
"สงครามใหญ่" หมายความว่าเกิดขึ้นทุกจุด มันเกิดทั่วๆไป
"สงครามโลก" มันแบ่งซีกมาช่วยกัน จึงจะเป็นสงครามโลก
และก็ถามว่า ถ้าภาวะอย่างนั้นมันเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ท่านก็ให้ดูภาพ โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย มันรบกันเท่าไรเรารวยใหญ่ ท่านไม่ได้ยืนยันว่าจะเกิด แต่ถ้ามันจะเกิดมันจะมีภาพอย่างนี้ เครื่องบินในอากาศขาวพรืดหมด... -
การเจริญมหาสติปัฏฐาน
การเจริญมหาสติปัฏฐาน
ผู้ถาม : แล้วเรื่อง "มหาสติปัฏฐานสูตร" หมายความว่าบุคคลนั้นจะต้องเจริญอยู่เป็นนิจใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อ : อ๋อ..ใช่ๆ มหาสติปัฏฐานสูตร หมายความว่าเป็นทางตรงแนวไปนิพพาน ถ้าเราจะอ่านทั้งหมดมันก็พัง จำไม่ได้
เขาต้องดูจุดท้ายคือใช้อารมณ์ตัดจริงๆ เขาใช้อารมณ์ไม่หนัก เบาๆ ถ้าเราไม่เข้าใจก็มาอ่านหนังสือทุกตัว ไปไม่รอด ในมหาสติปัฏฐานทั้งหมดแหละลงท้ายตัวเดียว พอลงท้ายก่อน
จะสอนว่า
"เธอทั้งหลายจงอย่าสนใจกายในกาย คือ กายของเราเอง"
คำว่า "ไม่สนใจ" นี่เวลามีชีวิตอยู่เราสนใจ เราเลี้ยงมัน เรากินยาหาอาหาร มันหนาวมันร้อนเราก็ต้องประคับประคองอีก ถือว่าเป็นของธรรมดา
แต่ไอ้คำว่า "ไม่สนใจ" ในที่นี้หมายความว่า ถ้ามันสิ้นลมปราณแล้วเมื่อไรเราไม่สนใจมันอีก ถือว่ามันมีโทษ เวลานี้เราถือว่าเรามาเกิด เรามาเกิดเพราะถูกขัง เพราะทำความผิดมา แล้วไอ้ความผิดเช่นนี้การตัดสินใจผิด มันจะไม่มีข้างหน้า เรายอมรับโทษที่เราหลงผิดมาในกาลก่อนแค่ชาติเดียว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตัดสินใจแค่นี้และต้องการพระนิพพาน
ความจริงเขาดูตัวสุดท้าย พระพุทธเจ้าสอนต้องดูตัวลง บางทีท่านเทศน์ชาดก เทศน์เสียยาวเหยียด... -
การพกวัตถุมงคลไปต่างประเทศควรทำอย่างไร ?
การเดินทางไปต่างประเทศนั้นมีข้อจำกัดมาก ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพพกพระไปไม่กี่องค์ เครื่องรางของขลังอีกนิดหน่อย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลายประเทศห้ามวัตถุมงคลที่สร้างจากชิ้นส่วนของสัตว์ โดยเฉพาะงาช้าง หรือว่านอแรด พกไปอาจจะพาให้ติดคุกได้..!
หลายประเทศหวาดระแวง อย่างเช่นว่าวัตถุมงคลที่เป็นเนื้อผงสีขาว เขาจะคิดว่าอาจจะเป็นยาเสพติดขึ้นรูปมาในลักษณะของวัตถุมงคล
บางประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่ยอมให้พวกเรานำเอารูปเคารพที่เป็นศาสนาอื่นเข้าประเทศ ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพเคยเห็นรูปถ่าย ที่คณะทัวร์ของคนไทยไปยังประเทศหนึ่ง แล้วโดนปลดวัตถุมงคลทั้งหมดทิ้งลงถังขยะ..! เห็นแล้วสลดใจมาก
ดังนั้น...ในส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาส ให้เน้นพระในใจไว้ก่อน ถึงเวลาก็ภาวนา กำหนดภาพพระไว้ในใจให้ชัดเจน อธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองตัวเรา ให้อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้าหากว่ามีความสามารถพอ ก็คุ้มครองหมู่คณะที่ร่วมเดินทางไปด้วย ก็แปลว่าพุทธานุสติธัมมานุสติ สังฆานุสติหรือว่าตลอดจนกระทั่งอุปสมานุสติก็ตาม... -
"เนื้อนาบุญของโลก" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"เนื้อนาบุญของโลก"
" .. พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า "พระสงฆ์สาวกของพระผู้มี พระภาคเจ้านี้ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า" นี่การให้นี่ก็หมายความว่า "การให้แก่ท่านผู้มีกุศลคุณงามความดี สูงส่งอยู่ในตน" หรือว่า ท่านผู้บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลส ปัญหาทั้งหลายนั่นน่ะ "การให้อย่างนั้นน่ะ ท่านว่ามีผลมาก"
"การให้แก่บุคคลทั่วไป บุคคลที่ยังมีกิเลสตัณหาอยู่นี่" คนทุกข์คนจนคนอนาถาหมู่นี่นะ "มันก็มีผลน้อย" เพราะเหตุว่า "คนเหล่านั้นไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย" อุปมาเหมือนอย่างที่ดินที่ไม่มีรสชาติ "บุคคลปลูกพืชอะไรลงไปก็ไม่งาม ถึงแม้มันจะเกิดขึ้น มันก็ไม่งอกงาม นั้นมันจืด ไม่มีรสไม่มีชาตินั่นแหละ" เทียบได้กับบุคคลผู้ให้ทาน "แก่บุคคลผู้ไม่มีบุญหรือมีบุญน้อย ด้งกล่าวมานั่นแหละ มันก็มีผลน้อย" เหมือนกับปลูกพืชในดินที่ไม่มีรสมีชาติ .. "
"โอวาทธรรม ทวนกระแสจิต"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
ถ้าเรารักษาระดับสมาธิไม่ได้ก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ ต้องฝึกจนกว่าจะคล่องตัว
ถาม : บางครั้งที่เราทำอารมณ์ให้เกิดความว่างได้ บางครั้งก็ตกลงมา คือฟุ้งแล้วก็กลับไปว่าง แบบนี้เป็นปกติไหมครับ ?
ตอบ : ปกติ...ถ้าเรารักษาระดับสมาธิไม่ได้ก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ ถ้าจะให้ได้ตลอดไปเลย ต้องรักษาสมาธิอยู่ในระดับคล่องตัวและตั้งเวลาได้เลย
ถาม : ลักษณะนั้นคือการฝึกกรรมฐานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทุกอย่างที่เราทำ ถ้าอยู่ในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นกรรมฐานทั้งหมด เพียงแต่ว่าจะเป็นกรรมฐานระดับไหน
ถาม : การที่จะทำสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิอย่างเดียวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าใหม่ ๆ ก็ควรที่จะนั่งให้เป็นกิจลักษณะ พอทำจนคล่องตัวแล้ว จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๓
ที่มา : www.watthakhanun.com
=AZXU_9af2LxVqRpgZarLk9wwF13ga_srPvcoQAAJBnZvvNGVptOQsk7iHFVcOMMGpB1PS6EaRmAxEdoOKTAzPqiqS75osbuXOsh4vG_kgJ4Sju_K9MwgEHC4vuUoit3fqVOs-gvmVWUisBGnVGZU0mU3CsNp8cF-4rq_q9TfxDQAl4InnOkfC3iudNiZ0O8xz4M&__tn__=*NK-R']#พระครูวิลาศกาญจนธรรม... -
"กาลตอไปมนุษย์จะฆ่ากันตาย" (หลวงปู่ลี กุสลธโร)
.
"กาลตอไปมนุษย์จะฆ่ากันตาย"
" .. หลวงปู่ลีเทศน์สอนทำนายไว้ว่า "กาลต่อไป .. เงินทองทรัพย์สมบัติเมื่อมากเข้ามนุษย์ก็จะฆ่ากันตาย ผู้มีศีลธรรมหลบเข้าป่าเข้าเขา" ปล่อยให้คนเขาฆ่ากัน "เมื่อมนุษย์ฆ่ากันจนเกือบหมด มาเห็นโทษของความประมาท" จึงกอดคอสามัคคีกัน
"พวกมีศีลธรรมอยู่ที่หลบอยู่ในป่าจะออกมา" พวกไม่มีศีลธรรมตายกันเกือบหมด ที่เหลือก็พวกระลึกตัวได้ พวกมนุษย์มีศีลธรรมที่หลบอยู่บนภูเขาก็เหมือนพวกเรานี้แหละ ส่วนชาวบ้านที่อยู่เบื้องล่างก็คือพวกที่ฆ่ากัน กินกัน ทำลายกัน "ผู้มีศีลธรรมหลบเข้าป่า" ปล่อยให้มนุษย์มนาเขาฆ่ากัน
"หลวงปู่ขาว อนาลโย" ท่านยิ่งพูดตำหนิให้มนุษย์มากว่า "จะมีอะไร ในหมู่มนุษย์มีแต่ฆ่ากัน ในภูเขาวัดถ้ำกลองเพลแต่ก่อน มีแต่คนฆ่ากัน" ดูเวลานี้ซิ ไม่เห็นมีใครเอาอะไรไปได้ กฎหมายบ้านเมืองเอาไม่ทัน .. "
"หลวงปู่ลี กุสลธโร"
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเศรษฐีธรรม -
อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น มองดูความเลวของตน
อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น
มองดูความเลวของตน
ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น
ปรับปรุงเราเองให้มันดีที่สุด
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง www.BuddhaSattha.com -
นะ โม พุท ธา ยะ คาถาของท่านพระยายม
นะ โม พุท ธา ยะ คาถาของท่านพระยายม
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ผู้ถาม :- “คุณแม่ป่วยอาการหนักร่อๆ แร่ๆ ก็อยากจะให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ หาวิธีย่อๆ ให้แกตายสะดวกๆ ได้ไหมครับ…?”
หลวงพ่อ :- “ฉีดมอร์ฟีนเข้าไป หายปวด ตายไม่ตายไม่เกี่ยว…ยานี้เพียงแค่ระงับทุกขเวทนาเท่านั้น เอายังงี้ดีกว่า ถ้าคนนี้มีความมั่นใจนะ ฉันมีคาถาอยู่บทหนึ่งเป็น คาถาของพระยายม ใช้เยอะได้ผลมาก แต่ระวังให้ดีนะ ถ้าแกหายดีขึ้นแล้วก็แกนั่งบ่น “ไอ้ทรัพย์ของกู ไอ้ทรัพย์ของไอ้นั่น ไอ้ทรัพย์ของไอ้นี่ มึงเอาอันไหนก็เอาไป” นี่ยุ่งเชียวนะ
คือว่าปี ๒๕๐๘ ฉันไปสอนกรรมฐานที่วัดสะพาน สอนมโนยิทธิเต็มกำลังน่ะ แล้วก็บังเอิญเจ้าอาวาสน่ะเป็นโรคทรมาน เป็นแล้วแน่นทะลึ่งพรวดๆ ใช่ไหม…แล้วไอ้ตอนกลางวันวันหนึ่งฉันนอนอยู่ พระยายมท่านก็มา ท่านเจ้าอาวาสท่านชื่อ สำเภา บอกว่า
“อย่างโรคท่านสำเภานี่ คาถาเขามี ระงับทุกขเวทนาได้ แต่ว่าคาถาของผมกันให้ไม่ตายไม่ได้ รักษาโรคให้หายก็ไม่ได้ แต่เวทนาจะไม่มี”
คาถาท่านมี ๕ คำ คือ นะ โม พุท ธา ยะ เท่านี้เองนะ ฉันใช้มาเยอะแล้วมีผลจริงๆ แล้วท่านอาจารย์สำเภาจะตายใช่ไหม…แน่นทะลึ่งพรวดๆ เห็นเข้าก็ไปเป่า... -
อาการของคนที่ใกล้จะตาย
อาการของคนที่ใกล้จะตาย
โดย หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ที่หลวงพ่อบอกว่า เวลาคนใกล้จะตาย ถ้าจิตดีก็ไปดี ถ้าจิตไม่สงบก็ลงนรก แล้วคนที่ใกล้จะตายเขากำลังเจ็บปวดเล่าคะ จะให้สงบได้ยังไง…?”
หลวงพ่อ :- “ฉันไม่ได้บอกว่าสงบ บอกว่าจิตผ่องใส”
ผู้ถาม :- “เขาเจ็บปวดจะให้เขาผ่องใสได้ยังไงคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ถึงเจ็บเขาก็ใสได้”
ผู้ถาม : -“หนูเห็นเขาร้องครวญคราง…”
หลวงพ่อ :- “ร้องเสียงดังไหม…ถ้าดังมากใสมาก อ้าว…สังเกตสิ ถ้าเสียงร้องโอ๊ยๆ อย่างนี้ใสแจ๋วเลย”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ)
หลวงพ่ออธิบายเพื่อความเข้าใจต่อไปว่า
หลวงพ่อ :- “ถ้าเป็นบุญเขาทำได้ ถ้าบุญช่วยเขานะ จะสังเกตได้ ๒ ตอน บางทีขณะที่มีทุกขเวทนามากถึงกับทะลึ่งพรวดๆ ก็มีใช่ไหม…ตอนนั้นจิตอาจไม่ทรงตัว ก่อนจะตายจริงๆ ประมาณสัก ๒๐ นาทีจิตสงบ ถ้าตอนสงบตอนนี้จะพูดรู้เรื่องหมด นี่ฉันเจอะมาเยอะ บางคนเขาดิ้นพรวดๆ ทะลึ่งพรวดๆ ยิ่งกว่าร้องอีก ร้องด้วยทะลึ่งด้วย มันแน่นขึ้นมาเต็มที่ พอประมาณสัก ๒๐ นาที หรือเกินกว่านั้น เขาเงียบเรียบร้อย…สบาย…”
ผู้ถาม :- “แต่ยังไม่หยุดหายใจ ใช่ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ :- “อ้าว…ยังไม่ตาย พอสบายเขาก็พูดได้เลย... -
อุปฆาตกรรม กรรมตัดรอน
อุปฆาตกรรม กรรมตัดรอน
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ อุปฆาตกรรม หมายความว่าอย่างไรคะ … ?”
หลวงพ่อ :- “คำว่า อุปฆาตกรรม หมายถึงว่า กรรมที่มาตัดรอนระหว่างชีวิต คือ มันยังไม่หมดอายุขัยก็ตายเสียก่อน แทนที่จะมีอายุครบ ๖๐ ปีตามอายุขัย แต่อายุ ๓๐-๔๐ ปี กรรมที่เป็นอกุศลกรรม คือ ที่เราทำบาปไว้แต่ชาติก่อน ด้วยจากปาณาติบาตมาตัดชีวิตเสียก่อน”
ผู้ถาม :- “มีวิธีที่จะพ้นกรรมประเภทนี้ไหมคะ อย่างเช่น ถ้าเรา ปล่อยปลา หรือ สะเดาะเคราะห์ อะไรพวกนี้แหละค่ะ…?”
หลวงพ่อ :- “ปล่อยปลานี่เขาถือว่าตัดอุปฆาตกรรมได้ เราปล่อยสัตว์ให้รอดนี่มันจะกันได้ แต่ที่ให้หมอดูไป สะเดาะเคราะห์ หมอบอกว่าต้องเสียเท่านั้นเท่านี้ พอ สะเดาะเคราะห์ เสร็จหมอหมดเคราะห์ไป ๓-๔ หมื่น คนที่สะเดาะเคราะห์เพิ่มเคราะห์ไป ๓-๔ หมื่น เป็นไง…เราก็เอาแบบของเรานั่นแหละ ได้ผลแน่นอนกว่า”
ผู้ถาม :- “ปล่อยปลาอะไรดีคะ…?”
หลวงพ่อ :- “เขาไม่จำกัดว่าปลาอะไร แต่ว่าปลานั้นจะมันต้องไม่ตาย ต้องเป็นปลาที่มีชีวิต”
ผู้ถาม :- “บางคนเขาก็บอกว่า ปลาที่เราปล่อยแล้วจะทานไม่ได้ใช่ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ถ้าปลานั้นมันจะต้องตาย เราก็เอาไปปล่อย... -
หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน
หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน
"..วันหนึ่งไปวิมานบนพระนิพพาน พอไปถึงก็นั่งเล่นนอนเล่นตามสบาย นึกว่าไม่มีใครมา ปกติไปทุกวัน วันละหลาย ๆ เที่ยว ถ้าว่าง
เมื่อใดก็ไปเพราะจิตเป็นสุข วันนั้นพอไปแล้วก็มีคน 200 คนมาหาแต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับเต็มอัตราพระนิพพาน ก็สงสัยว่าพวกนี้
มาได้อย่างไร ก็เลยถามว่า
"ในสภาพที่เป็นมนุษย์มีรูปร่างแบบไหน ทำให้ดูซิ"
ท่านก็ทำให้ดูสมัยเป็นมนุษย์นุ่งโสร่งก็ขาด ใส่เสื้อก็เก่าแสนเก่า
มีผ้าขาวม้าพาดไหล่ ผอม ๆ สูง ๆ อาตมาจำได้เคยไปที่วัดบ่อย ๆ ถามว่า
"โยม มานิพพานได้อย่างไร การมานิพพานได้ต้องเป็นพระอรหันต์"
โยมตอบว่า "อรหันต์ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า อยู่ที่ใจ"
ถามว่า "โยมฝึกพระกรรมฐานถึงขั้นไหน"
ตอบว่า "ผมฝึกไม่มากครับ ไปฝึก มโนมยิทธิ ได้ 2 ครั้ง แต่ไป
พระนิพพานได้ และอาตมาบอกว่าทุกวันให้ไปพระนิพพาน
ตั้งใจว่าตายเมื่อใดขอไปพระนิพพาน ผมก็กำลังป่วยหนักเห็น
พระนิพพานใสชัดเจนมาก วิมานก็สวย คนก็สวย อยู่ใกล้ ๆ
แค่เอื้อม เมื่อจิตออกจากร่างเลยเข้าวิมานไปเลย แล้ววิมาน
ก็พาลอยไป"
เป็นอันว่าการจะไปพระนิพพานได้ ไม่ใช่มีความรู้มาก ต้องจิต
สะอาดมาก... -
อานิสงส์การปฏิบัติภิกษุอาพาธ หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม
อานิสงส์การปฏิบัติภิกษุอาพาธ
หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- "ทีนี้อย่างคนป่วยเป็นพระ แล้วเราก็ปฏิบัติดูแลท่าน
อานิสงส์จะเหมือนกับปฏิบัติพระพุทธเจ้าไหมครับ เพราะเคย
ได้อ่านในหนังสือพบ มีตอนหนึ่งว่า ผู้ใดปฏิบัติภิกษุไข้ ก็
คล้ายกับปฏิบัติเราผู้ตถาคต"
หลวงพ่อ :- "ก็เหมือนกัน ปฏิบัติพระพุทธเจ้าก็อดนอน
ปฏิบัติพระก็อดนอน"
ผู้ถาม :- (หัวเราะ)
หลวงพ่อ :- "แต่ความจริงอานิสงส์มันไม่เท่ากันหรอก
เพราะว่าอานิสงส์ของพระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
ไม่เท่ากันอยู่แล้ว ใช่ไหม...ท่านบอกว่าคล้าย ๆ กับปฏิบัติเรา
ก็เพราะว่าพระศาสนาจะทรงอยู่ได้ ก็ต้องอาศัยพระสงฆ์ หาก
ว่าทำให้พระสงฆ์อยู่ได้เหมือนกับทำให้พระองค์อยู่ได้ ท่าน
เปรียบเทียบให้ฟังนะ"
ผู้ถาม :- "แล้วอย่างที่เขาบอกว่าพระอาพาธ หรือพระป่วย
ฉันข้าวเย็นได้ ต้องป่วยขนาดไหนครับ...?"
หลวงพ่อ :- "ความจริงป่วยธรรมดา คือ ชิคัจฉา ปรมา โรคา
ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง มันหิวเมื่อไรกินเมื่อนั้น ของร้อน
ก็ได้ ของเย็นก็ได้ คุณถามข้าวเย็นนี่ คุณไม่ได้ถามเวลา"
ผู้ถาม :- "คือไปเจอที่โรงพยาบาล ตอนเย็นก็เอาเตาไฟฟ้า
มานึ่งข้าวเหนียว... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
ร่างกายที่ไม่หนักด้วยอาหาร จะทำให้มีสติ ภาวนาได้นาน
ร่างกายที่ไม่มีอาหาร กายจะโปร่งเบา
ไม่หนักด้วยอาหาร ทำให้มีสติ ภาวนาได้นาน
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com
ขอบคุณภาพจากคุณ A’tist Toon -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
"ริษยาพาโลกให้ฉิบหาย" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"ริษยาพาโลกให้ฉิบหาย"
" .. พระพุทธภาษิตนี้ "ควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการน้อมนำมาพิจารณาอย่างใช้สติปัญญาอย่างเต็มความสามารถ" เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งแก่ตนเองและแก่เพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย
"ทุกวันนี้บ้านเมืองไทยของเราค่อนข้างจะหาความสงบสุขยากมาก" อย่างไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน พูดเช่นนี้ก็ด้วยเชื่อว่าหนึ่งในเหตุแห่งความไม่สงบสุขของบ้านเมืองไทย "มีความริษยาเป็นส่วนเหตุที่สำคัญ" ที่จริงเรื่องความริษยาเป็นเรื่องสำคัญที่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย "เพียงแต่ว่ายุคนี้สมัยนี้น่าจะทวีความสำคัญมากกว่าเคยมา" จนเป็นเหตุแห่งความไม่ร่มเย็นเป็นสุขเท่าที่ควร .. "
"แสงส่องใจ" ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร -
พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญเตโชสมาบัติ
พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญเตโชสมาบัติ
-------------
เดินจิต -
“สูงสุดคือทุกอย่าง”
สมัยก่อนอาตมายังมีความมืดบอดอยู่มาก...หลวงพ่อฤๅษีฯ สอนว่าทำบุญทุกอย่างให้อธิษฐานขอไปพระนิพพานจุดเดียว ก็ทำตามมาโดยตลอด จนวันหนึ่งกลับคิดว่า ถ้าเราอธิษฐานแต่จะไปพระนิพพานเท่านั้น แล้วเรื่องการเงิน การงาน การเรียน ความเป็นอยู่อย่างอื่นล่ะ จะไม่แย่ก่อนที่จะถึงพระนิพพานหรอกหรือ..? คิดเพียงเท่านี้ เมื่อเหยียบเข้าบ้านสายลม นั่งยังไม่ทันหายเหนื่อย เสียงหลวงพ่อพูดใส่ไมค์ทันทีว่า ไอ้พวกที่อธิษฐานไปพระนิพพานจุดเดียวแล้วยังเสือกกลัวว่าจะไม่ได้อย่างอื่น เพราะไม่ได้อธิษฐานไว้ พวกนี้โง่ยิ่งกว่าควาย ควายยังฉลาดเสียกว่า..! ทั้งนี้เพราะ เมื่อเราตั้งใจจะไปยังจุดสูงสุด บุญทั้งหมดจะรวมตัวกัน เพื่อพุ่งเป้าไปยังจุดหมายนั้น นับประสาอะไรกับของหยาบอย่างอื่น ที่มันจะโดนฉุดลากตามความละเอียดสูงสุดนี้ไปด้วย...ได้ยินแค่นี้ก็ตัวชาหน้าชา ฟ้าเหลืองไปหมด ไม่ตายก็บุญแล้ว
คำสอนของพระอาจารย์มหานันทวัฒน์ เขมธัมโม (พระอาจารย์เอ บ้านสุมโน)
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook... -
การใช้พระพุทธรูปเป็นเครื่องดับบ้าน เป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหม ?
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพยังคงพักอยู่ที่โรงแรมเดอะ เมเปิล เรสิเดนซี่ วันนี้จะต้องเดินทางไปยังทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ซอมโก ซึ่งอยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ๓,๗๕๓ เมตร ถึงแม้ว่าทางด้านล่างนี้ อากาศจะอยู่ที่ ๑๙ องศาเซลเซียส แต่ว่าทางด้านบนทะเลสาบ น่าจะมีอากาศที่ลดต่ำลงไปอีกหลายองศา
ทางด้านคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) หัวหน้าคณะทัวร์ของเรา ได้เตือนให้ทุกคนใส่เสื้อกันหนาวไปด้วย และขณะเดียวกันอากาศด้านบนนั้นค่อนข้างที่จะเบาบาง อย่าได้เคลื่อนไหวอะไรเร็ว ๆ ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดเป็นโรคแพ้พื้นที่สูงขึ้นมาก็จะลำบากกันทั้งคณะ
สำหรับวันนี้ก็ขอเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ ซึ่งได้ไปไหว้พระตามสถานที่ต่าง ๆ มากมายหลายแห่ง เพียงแต่ว่าอยู่ภายในเมืองกังต็อกนี้ทั้งหมด บางแห่งก็ได้รับการแถมเพิ่มเติมขึ้นมาจากทางด้านเอ็นซีทัวร์ ซึ่งต้องขอเจริญพรขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้
ช่วงเช้าพวกเราเข้าไปฉันเช้าที่ห้องอาหารของทางโรงแรม แล้วก็เห็นว่าทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั้น ก็คือมีพระพุทธรูปตั้งอยู่กับพื้นในลักษณะเครื่องประดับ แม้ว่าโรงแรมนี้จะมีการตั้งพระพุทธรูป... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ -
"ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
.
"ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย"
.. กาลครั้งนั้น หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรก มีใจความตอนหนึ่งว่า ..
" .. ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ประกาศพระศาสนานั้น "เป็นได้ทั้งส่งเสริมพระศาสนาและทำลายพระศาสนา" ที่ว่าเช่นนี้ เพราะองค์ธรรมทูตนั้นแหละตัวสำคัญ "คือเมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม มีสมณสัญญาจริยาวัตรงดงามตามสมณวิสัย ผู้พบเห็นหากยังไม่เลื่อมใสก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น" ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสยิ่งขึ้นเข้าไปอีก
"ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัว ตรงกันข้ามนี้ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีก" จึงขอให้ทุกท่าน "จงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้และความประพฤติไม่ประมาท สอนเขาอย่างไร ตนเองต้องทำอย่างนั้น" ให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย .. "
"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หน้า 63 ของ 402