FRIDAY 13"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เมขต์, 13 มกราคม 2012.

  1. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=wHreMHtajKE]This Mortal Coil - Song To The Siren ( The Lovely Bones soundTrack ).flv - YouTube[/ame]
     
  2. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=hxSMckGfQ2k"]Cocteau Twins - Alice (Lyrics) - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2012
  3. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    มีข้อสอบข้อนึงผมจำได้ด้วยหระ "ถ้าท้อก็เป็นถ่าน ถ้าผ่านก็เป็นเพชร" คำตอบอยู่บนคลื่นความถี่ที่เหมาะสมใน home base หลังจากวันที่ร้อนมากๆและปวดหัวหนักๆ พอพยายามย้อนภาพกลับไปก็ทำไม่ได้ครัฟ เหลือกตาขึ้นไปย้อนภาพยิ่งไม่ได้ใหญ่ ไม่มีความรู้อะไรไปสอบเลยครัฟ 5555 แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ นึกออกเป็นระยะสั้นๆ ผมว่าสมองผมอาจมีปันหาแระ.. แต่ก่อสบายดีครัฟไม่ปวดหัวแล้ว แถมยังเย็นสดชื่นกับแสงแดดและอากาศตลอดเวลาด้วยครัฟ ค่อนข้างตื่นตัวดีด้วย :D มาเล่าให้ฟังว่า สอบไปแล้วครัฟ 55555

    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/nEXlnAeu_fg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2012
  4. thunderstrom

    thunderstrom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    853
    ค่าพลัง:
    +62
    บางเรื่อง ก็ต้องปล่อยวาง เพราะเกินความสามารถที่จะทำแทนได้....
    บางครั้ง ก็ได้แต่มองไกลๆ เพราะยังเป็นห่วง
    บางที สิ่งที่ยังคงอยู่....มันก็มีเพียงความหวัง
    มันไม่ได้สำคัญหรอก...ว่าใครจะเชื่อสิ่งใด
    ไม่ได้สำคัญหรอก....ว่าจะทำตัวแบบไหน
    เพียงแค่รับรู้ ว่าฝันและไม่นานก็ตื่น....
     
  5. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    อ่านแล้วดีนะครับท่าน..ปรัชญาเต็มๆ..
     
  6. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    catt23
    Zz... ผมยังหลับไม่ตื่นเลย แฮ่ๆ ขอบคุณที่ปลุกผม ความห่วงใย ยังคงเป็นเหมือนสายลมจากความจริง :D สำหรับผม เมื่อถึงวันที่ตื่นฝันก็คงสลายแต่ก็มีฝันเพื่อฝัน และตื่นเพียงเพื่อตื่น สักวัน ผมจะตื่นและเดินออกไปด้วยขาของผม เพื่อเห็นรอยยิ้มนั้นด้วยตัวผมเองครัฟ



    *Noriko Mitose Akiko Shikata Haruka Shimotsuki*


    草は 光り 水は 跳ねる
    kusa wa hikari mizu wa haneru
    ผืนหญ้าที่ส่องประกาย ผืนน้ำก็สั่นไหว


    虫は 歌い 樹々は 踊る
    mushi wa utai kigi wa odoru
    หมู่แมลงขับขานเพลง ส่วนพงไพรก็ร่ายรำ


    Wee yea ra enne ar sar. Wee yea ra enne ar dor
    Wee yea ra enne ar sar. Wee yea ra enne ar dor
    ส่งคำภาวนาผ่านสู่ท้องนภาด้วยความ รื่นรมย์ ส่งคำภาวนาผ่านสู่ผืน ปฐพีด้วยความปรีดา


    Wee yea ra enne ar ciel. Rrha yea ra ieeya en near
    Wee yea ra enne ar ciel. Rrha yea ra ieeya en near
    ส่งคำภาวนาผ่านสู่โลกใบนี้ด้วยความสุข สันต์ ในความหฤหรรษ์นี้ ฉันเฝ้าอธิษฐานแด่ชีวา


    朝は すべての 上に 訪れ 昨日の涙 空へ還る
    asa wa subete no ue ni otozore kinou no namida sora e kaeru
    เหนือยาม รุ่งสางของทุกสรรพสิ่ง ทำให้หยาดน้ำตาของวันวานถูกนำพาสู่ผืนฟ้า



    Ah 傷跡 残る 大地で まだ眠る芽を ゆり起こす 恵みの雨になれ
    Ah kizuato nokoru daichi de mada nemuru me wo yuriokosu megumi no ame ni nare
    อา ย้อนกลับไป ท่ามกลางสายฝนแห่งพร ต้นกล้าก็ยังคงหลับไหลไม่ได้สติในรอยแผลที่หลงเหลือในดินแดนนั้น


    慈しみの雨になれ
    itsukushimi no ame ni nare
    ย้อนกลับไป ท่ามกลางหยาดรุณอันเป็นที่รัก


    いつか 終わらぬ 夢に 閉ざされたまま 眠る芽を ゆり起こす 恵みの
    雨になれ
    itsuka owaranu yume ni tozasareta mama nemuru me wo yuriokosu megumi no ame ni nare
    ย้อนกลับไป ท่ามกลางสายฝนแห่งพร สักวันเมื่อต้นกล้าเติบโตขึ้นมันจะยังคงอยู่ภายในนัยน์ตาที่อยู่ในห้วงฝัน นิรันดร


    Fou yea ra waath ar ciel, en hymme mea, weel nepo en keen ar sar
    Fou yea ra waath ar ciel, en hymme mea, weel nepo en keen ar sar
    เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆที่จะแต่งแต้ม สีสันให้โลกนี้ บทเพลงของฉันก็เช่นกัน ทำให้ดินแดนนี้เปล่งประกาย


    (Chorus)
    L> yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la... yea!
    yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la... yea!
    ทั้งหมดนี้คือคำภาวนาของเรา ทั้งหมดนี้คือคำอธิษฐานของเรา... ความเปรมปรีดิ์!


    yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la... ee!
    yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la, yatse la... ee!
    ทั้งหมดนี้คือคำภาวนาของเรา ทั้งหมดนี้คือคำอธิษฐานของเรา... จง สรรเสิญ!


    重なる波動
    kasanaru hadou
    เป็นคลื่นที่กำลังซ้อนทับกัน


    幾つもの違うメロディー それぞれの言葉
    ikutsumo no chigau melody sorezore no kotoba
    ทุกๆท่วงทำนองที่แตกต่างนับไม่ถ้วน ทุกๆถ้อยคำเอ่ยกล่าว


    少しずつ一歩ずつ 近づき合える
    sukoshizutsu ippozutsu chikazukiaeru
    ทีละนิด ทีละนิด ทีละก้าว ทีละก้าว เราก็สามารถเข้าใกล้กันและกันได้


    幾つもの違う想いで 幾つもの声で
    ikutsumo no chigau omoi de ikutsumo no koe de
    ด้วยทุกๆความรู้สึกที่แตกต่าง รวมถึงทุกๆสรรพเสียงเหล่านั้น


    繋ぎ合う手と手の中 一つの 同じ その願い
    tsunagiau te to te no naka hitotsu no onaji sono negai
    มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันภายในมือที่ ประสานกันเอาไว้ คือคำภาวนานั้น..


    繋ぎ合う手と手の中 一つの 同じ その願い
    tsunagiau te to te no naka hitotsu no onaji sono negai
    มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันภายในมือที่ ประสานกันเอาไว้ คือคำภาวนานั้น..


    Ah 永く 頑な歴史の上 愛の水が降りる 限り無い未来を託して
    Ah nagaku katakuna rekishi no ue ai no mizu ga oriru kagiri nai mirai o takushite
    อา เหนือเรื่องราว(ประวัติศาสตร์)น่าขบขันแสนยาวนาน สายธารแห่งรักที่พลันร่วงโรย มอบอนาคตอันไม่รู้จบให้แก่ผองเรา


    渇いた歳月に水は滲みてゆく
    kawaita toshitsuki ni mizu wa shimiteyuku
    สายน้ำที่ ระงับช่วงยามแห่งความกระหาย


    渇いた歳月に水は滲みてゆく
    kawaita toshitsuki ni mizu wa shimiteyuku
    สายน้ำที่ระงับช่วงยามแห่งความกระหาย



    憎しみは 一面に枯れ果て今 赦しの花が咲く 生きとし生けるもの すべ
    ての胸に
    nikushimi wa ichimen ni karehate ima yurushi no hana ga saku ikitoshi ikerumono subete no mune ni
    ความเกลียดชังก็พลันแห้งผากไปกับสุดปลาย ผืนปฐพี ในตอนนี้มวลบุปผาแห่งคำอภัยโทษก็พลันเบ่งบาน กับทุกๆสิ่งในหัวใจดวงนี้

    花は生きるもののすべての胸に
    hana wa ikirumono no subete no mune ni
    ย่อมมีดอก ไม้เบ่งบานในใจทุกชีวิต

    花は生きるもののすべての胸に
    hana wa ikirumono no subete no mune ni
    ย่อมมีดอกไม้เบ่งบานในใจทุกชีวิต

    あの日 優しい 歌を 忘れて 羽根を畳んだ 小鳥達よ
    ano hi yasashii uta wo wasurete hane wo tatanda kotoritachi yo
    ในวันนั้น บทเพลงแสนนุ่มนวลที่ถูกลืมเลือน ก็จะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยปีกของวิหคน้อย

    遠い遙かな風を待ちながら羽を畳んだ小鳥達よ
    tooi harukana kaze wo machi nagara hane wo tatanda kotoritachi yo
    นกน้อยได้ เก็บปีกของพวกมันเอาไว้ ในขณะที่เฝ้าคอยสายลมที่พัดผ่านไกลลิบตา

    あの日 優しい あの歌を 忘れて 羽根を畳んだ Ah 小鳥達よ
    ano hi yasashii ano uta wo wasurete hane wo tatanda Ah kotoritachi yo
    ในวันนั้นบทเพลงแสนนุ่มนวลที่ถูกลืม เลือน ก็จะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยปีกของ อา...วิหคน้อย

    Ah 翔けゆく 風に 抱かれて また舞い上がれ 高い空へ
    Ah kakeyuku kaze ni dakarete mata maiagare takai sora e
    อา สายลมที่กำลังล่องลอยจะโอบอุ้มเธอไว้ ทำให้เธอโบยบินได้อีกครั้ง สู่สุดฟากฟ้านภาลัย

    愛の 歓び 歌い どこまでも 届けておくれ 高い空へ
    ai no yorokobi utai doko made mo todokete okure takai sora e
    ขับขานบทเพลงแสนปรีดาแห่งรักไปทกหนแห่ง เท่าที่ทำได้ สู่สุดฟากฟ้านภาลัย

    Ah 翔けゆく この風に 抱かれ また舞い上がれ~ 高い空へ
    Ah kakeyuku kono kaze ni dakarete mata maiagare~ takai sora e
    อา สายลมที่กำลังล่องลอยจะโอบอุ้มเธอไว้ ทำให้เธอโบยบินได้อีกครั้ง~ สู่ สุดฟากฟ้านภาลัย

    生まれた命
    umareta inochi
    ชีวิตใหม่ที่ได้ถือกำเนิดขึ้น

    幾つもの違う形で 混ざらない色で
    ikutsumo no chigau katachi de mazaranai iro de
    ด้วยทุก รูปลักษณ์ที่แตกต่าง ด้วยทุกสีสันที่ิไม่อาจรวมเข้าด้วยกัน

    一人ずつ一つずつ かけがえの無い
    hitorizutsu hitotsuzutsu kakegae no nai
    ไม่ว่าจะเป็นคนหนึ่งคน หรือจะเป็นใครก็ตาม ก็ไม่มีใครที่สามารถแทนที่กันได้

    幾つもの違う食卓 幾つもの窓辺
    ikutsumo no chigau shokutaku ikutsumo no madobe
    ทุกๆโต๊ะ อาหารค่ำที่แตกต่าง ข้างๆหน้าต่างทุกบาน


    伝え合う心の中 一つの 同じ この願い
    tsutaeau kokoro no naka hitotsu no onaji kono negai
    มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันภายในหัวใจที่เชื่อม ถึงกัน คือคำภาวนานี้..

    伝え合う心の中 一つの 同じ この願い
    tsutaeau kokoro no naka hitotsu no onaji kono negai
    มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันภายในหัวใจที่เชื่อมถึงกัน คือคำภาวนานี้..

    Ah やがて 錆びた剣を囲んで 緑の蔓が這う 悲しみの記憶を包んで
    Ah yagate sabita tsurugi wo kakonde midori no tsuru ga hau kanashimi no kioku wo tsutsunde
    อา อีกไม่นานดาบที่ขึ้นสนิมจะส่งเสียงก้องกังวาน พร้อมกับเถาองุ่นสีเขียวที่พันธนาการมันไว้ จงซ่อนเร้นความทรงจำอันโศกศัลย์นั้นเอาไว้

    静かに緑なす日射し降り注ぐ
    shizuka ni midorinasu hizashi furisosogu
    แสงตะวัน จะสาดส่องลงบนท้องทุ่งอันเขียวขจีอย่างเงียบงัน

    静かに緑なす日射し降り注ぐ
    shizuka ni midorinasu hizashi furisosogu
    แสงตะวันจะสาดส่องลงบนท้องทุ่งอันเขียว ขจีอย่างเงียบงัน

    輝きは名も知らぬ誰かの上愛する人の上生きとし生けるものすべての上に
    kagayaki wa na mo shiranu dareka no ue aisuru hito no ue ikitoshi ikeru mono subete no mune ni
    เหนือแสงประกายที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก เหนือผู้เป็นที่รัก และทุกชีวิตที่อยู่ในหัวใจดวงนี้

    愛は生きるもののすべての上に
    ai wa ikirumono no subete no ue ni
    ความรัก ซึ่งอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

    愛は生きるもののすべての上に
    ai wa ikirumono no subete no ue ni
    ความรักซึ่งอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

    いつも 愛を  優しい この日々を  この 歌を  輝く明日へ
    itsumo ai wo yasashii kono hibi wo kono uta wo kagayaku ashita e
    รักที่อ่อนโยน ในวันนั้น บทเพลงนั้น ต่างมุ่งสู่วันพรุ่งนี้ที่ทอแสงงดงามเสมอ

    いつも この花を ずっと この日々を きっと 約束を 輝く 明日へ
    itsumo kono hana wo zutto kono hibi wo kitto yakusoku wo kagayaku ashita e
    ดอกไม้ดอกนี้ ตลอดมา.. กับคำสัตย์สัญญาในวันนั้น ต่าง มุ่งสู่วันพรุ่งนี้ที่ทอแสงงดงามเสมอ

    いつも この花を ずっと この日々を きっと 約束を 輝く 明日へ
    itsumo kono hana wo zutto kono hibi wo kitto yakusoku wo kagayaku ashita e
    ดอกไม้ดอกนี้ ตลอดมา.. กับคำสัตย์สัญญาในวันนั้น ต่าง มุ่งสู่วันพรุ่งนี้ที่ทอแสงงดงามเสมอ

    La La La La La La ......
    La La La La La La La La ......
    La La La La La La La La ......


    credit song by melody-of-ar-tonelico

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=-5pzvAZ_1Jc"]EXEC_PHANTASMAGORIA *in midi* - YouTube[/ame]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2012
  7. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    เย้ๆ พี่สายฟ้ามาแล้วววววววววววววววววว

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2012
  8. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    อรุนสวัสดิ์จ้า... รูปสวยจังคร่ฟ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=vk6VbZxEscI]天の祷り 地の贖い - 志方あきこ - YouTube[/ame]
     
  9. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    "เมื่อไหร่ศิลปะและธรรมชาติกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อนั้นความงามที่แท้จริงจะบังเกิด..." ชอบ ชอบ เอามาฝากสาวๆ จากถุงกล้วยปิ้งครัฟ อิอิ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ah7DBMZpsy8"]Young Empires - The Earth Plates Are Shifting | HD - YouTube[/ame]
     
  10. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล....การบินสู่อิสรภาพ....

    [​IMG]

    ยามเช้า ....
    .....ดวงตะวันใหม่สดใสส่องแสงสีทองทอดทาบระลอกทะเลที่สงบเยือกเย็น เรือตกปลาลำหนึ่งจอดลอยอยู่ห่างจากชายฝั่งหนึ่งไมล์ ส่งสัญญาณให้อาหารนกกระจายขึ้นไปในอากาศ และแล้วฝูงนางนวลจำนวนพันก็โผบินเข้ามาแย่งอาหารกันกิน วันแห่งความสับสนอีกวันหนึ่งก็เริ่มขึ้น...... แต่ไกลออกไปจากชายฝั่งและเรือ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กำลังฝึกบินอยู่เดียวดาย มันบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าหนึ่งร้อยฟุต ลดเท้าที่ติดกันลง เชิดปากขึ้น และกระชับปีกเข้าหากันเพื่อหักมุมเลี้ยวที่แสนยากเย็น เมื่อมันเลี้ยวโจนาธานก็บินได้ช้าลง และเมื่อมันบินช้าๆ สายลมก็พัดผ่านหน้าราวกับเสียงกระซิบ เบื้องล่างท้องทะเลดูสงบนิ่ง โจนาธานหรี่ตาตั้งสติแน่วแน่กลั้นหายใจ แล้วก็บังคับให้ตัวหักมุมเลี้ยว….อีกหนึ่งนิ้วฟุต… แต่แล้วขนของมันก็กระจุย มันชงักเสียหลักตกลงมา

    [​IMG]

    นี่คือบทเริ่มต้น...ในหนังสือเรื่อง"โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล" แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
    เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบ...และเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องการคิดนอกกรอบ(ของใครหลายคน)

    [​IMG]

    ความจริงแล้ว เรื่องของโจนาธาน ผมอ่านฉบับแปลโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก่อนอ่านของอ.ชาญวิทย์ด้วยซ้ำ
    หม่อมคึกฤทธิ์ใช้ชื่อหนังสือว่า "จอนะธัน ลิฟวิงสตัน นางนวล"

    ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เขียนคำนำว่า "...เมื่ออ่านแล้วเกิดความจับใจในธรรมะที่ได้แสดงไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีทั้งมนุษยธรรมและธรรมอันเป็นความจริงแห่งชีวิตซึ่งตรงตามที่พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา และสรณะของผมได้ทรงแสดงไว้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วมากมายหลายอย่าง..."

    ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนต่อว่า ...คนที่ผมอยากให้อ่านหนังสือเล่มนี้คือคนไทยทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิตนักศึกษาและนักเรียน เพราะจะได้กำลังใจในอันที่จะเล่าเรียนและทำประโยชน์ต่อไปได้มาก สำหรับคนที่เคยได้เล่าเรียนวิชาจากผมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นวิชาใด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด และไม่ว่าจะมากหรือน้อย ผมขอถือโอกาสนี้ส่งข่าวมาให้ทราบว่า...

    "ผมอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ทุกคน จะอ่านจากภาษาอังกฤษหรืออ่านจากคำแปลนี้ก็ได้ แต่ขอให้อ่านให้ได้ และในการอ่านนั้น ขอให้โปรดใช้ความคิดให้มากประกอบไปด้วย อย่าอ่านเพียงสักแต่ว่าผ่านสายตาไป นกนางนวลมันรักศิษย์ของมันฉันใด ผมก็รักพวกคุณทุกคนฉันนั้น"


    ".....สิ่งที่ทำให้ นางนวล โด่งดังขึ้นมาคงจะเป็นความง่ายของหนังสือเป็นประการแรก หนังสือเล่มนี้ง่ายในความหมายที่ว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่อ่านได้สบายๆ ในขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาความคิดเอาไว้ด้วย ลักษณะของหนังสือเป็นเรื่องผสมผสานกันระหว่างความเก่าและความใหม่ ความใหม่ที่แทรกเข้ามาก็คือ ความทันสมัยและวิทยาศาสตร์ในรูปของ Science Fiction คือ เรื่องของการบินเร็วและสามารถจะ บินได้เร็วเท่าความคิด นอกเหนือไปจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ประทับใจคนอ่านก็คือ อิสระเสรีภาพ คนอ่านไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมีอิสระที่จะตีความหนังสือเล่มนี้ได้ตามใจชอบดังนั้นจึงไม่น่าสงสัยอะไรเลย ที่มีคนตีความว่าปรัชญาของนางนวล เป็นฮินดูบ้างเป็นพุทธศาสนาบ้าง เป็นคริสตศาสนานิกาย Christian Science บ้าง หรือแม้กระทั่งว่าเป็นปรัชญาเก๊ๆ ก็มี ..."
    ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เขียนไว้ใน "คำตาม"

    หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงโจนาธาน นกนางนวลที่ชอบ"แหกคอก" ด้วยการ"ฝึกบิน" เพราะสำหรับนกนางนวลนั้น พวกมันบินเพื่อหาอาหาร

    "ทำไมนะ จอน ทำไม" แม่ถามขึ้น "ทำไม่มันยากนักรึที่จะทำตัวให้เหมือนนกอื่นๆ ในฝูง หือ จอน ทำไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องของนกเพลิแกน หรือนกอัลบาทรอส แล้วทำไมแกไม่กินซะบ้าง จอน แกน่ะเหลือแต่กระดูกและขน!"

    "แม่ ฉันไม่กลัวที่จะเหลือแต่กระดูกและขนฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อฉันอยู่ในอากาศ ฉันจะทำอะไรได้หรือทำไม่ได้ ฉันเพียงแต่อยากรู้เท่านั้นเอง"

    "นี่นะโจนาธาน" พ่อพูดขึ้นอย่างไม่ไร้ความปรานี "หน้าหนาวก็ไม่ไกลนัก แล้วเรือหาปลาเหลือไม่กี่ลำ และปลาผิวน้ำก็จะว่ายลงสู่น้ำลึก ถ้าแกจะต้องเรียนรู้ แกก็ต้องเรียนรู้เรื่องอาหาร และก็หาอาหารกินให้ได้ เรื่องการบินนี่นะดีอยู่หรอก แต่แกก็น่าจะรู้ว่าการบินการร่อนกินเข้าไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเหตุที่แกบินก็เพื่อเอาไว้หากิน"

    โจนาธานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อลับหลังพ่อและแม่...โจนาธานก็แหกคอก หลังจาก(พยายาม)ทำตัวเหมือนนกนางนวลตัวอื่นๆ นั่นคือส่งเสียงร้อง สู้ ร่อนลงแย่งเศษปลาและขนมปังกับฝูงนกที่ท่าน้ำและเรือตกปลา โจนาธานคิดว่าการทำเช่นนั้น ไม่มีจุดหมาย บ่อยครั้งที่มันยอมทิ้งปลาแห้ง(ซึ่งหามาได้อย่างยากเย็น)ให้กับนกนางนวลแก่ๆที่หิวโหย โจนาธานคิดว่ามันควรจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกบิน เพราะมีอะไรมากมายที่จะต้องเรียนรู้ ไม่นานต่อมา โจนาธาน สามารถบินได้เร็วถึง 90 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นเป็นการทำลายสถิติความเร็วในหมู่นกนางนวล!!!

    สิ่งที่โจนาธาน"เรียนรู้"หลังฝึกบินก็คือ นกนางนวลไม่บินยามค่ำและบินเร็ว เพราะหากเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติก็จะต้องให้มีตาเหมือนนกฮูก และมีปีกสั้นเหมือนนกเหยี่ยว แต่เมื่อต้องการเรียนรู้...โจนาธาน จึงทดลองทำ...ทุกอย่าง

    จึงไม่น่าเชื่อว่า โจนาธานสามารถบินได้เร็วถึง 210 ไมล์ต่อชั่วโมง และขยับเป็น 214 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาต่อมา!!!
    สุดท้าย โจนาธานถูกขับออกจากฝูง...เพราะถือว่าเป็นการสร้าง"ความอับอาย"ในการเป็นนกนางนวล

    "…สักวันหนึ่ง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แกจะรู้ว่าการไร้ความรับผิดชอบไม่มีประโยชน์อะไร ชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับ และจะเรียนรู้ไม่ได้ เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงเพื่อกิน และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวเท่าที่เราจะทำได้" นางนวลผู้เป็นใหญ่พูด

    ต่อมา...โจนาธาน พบกับนางนวลฝูงใหม่ ซึ่งที่นี่ โจนาธาน พบกับ"เจียง" นางนวลเฒ่า ที่บอกโจนาธานด้วยความเมตตา "ว่าไงลูก..เธอกำลังเรียนรู้อีกแล้วนางนวลโจนาธาน"
    รวมทั้งได้พบ นางนวลซัลลิแวน นางนวลเฟลทเชอร์ ลินด์ นางนวลเมย์นาร์ด นางนวลโลเวล นางนวลชาลส์-โรแลนด์
    ทั้งหมดคือ"เพื่อน"...ในการเรียนรู้ของโจนาธาน

    "กฎที่แท้จริงอันเดียวคือ กฎที่นำไปสู่อิสระเสรีภาพ" บทสรุปของโจนาธาน และผมถือว่าเป็นบทสรุปที่ "สุดยอด" ...สำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้

    [​IMG]

    นอกจากหนังสือเล่ม โจนาธาน เคยเป็นภาพยนตร์ และมีเพลงที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากเพลงหนึ่ง


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Evht41pyNGU"]Neil Diamond - Be - YouTube[/ame]


    โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล (1)
    posted on 09 Jan 2007 18:10 by bentale in tale-to-tell
    JONATHAN LIVINGSTON : SEAGULL

    โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล
    ผู้แต่ง : Richard Bach ผู้แปล : ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
    . . . . . . . . . . . . . . . . . .


    .. ร่างกายของเธอทั้งหมดจากปลายปีกหนึ่งสู่อีกปีกหนึ่ง
    ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความคิดของเธอเอง ….

    To the real Jonathan Seagull,
    who lives within us all.


    Part One / บทที่ 1

    It was morning, and the new sun sparkled gold across the ripples of a
    gentle sea. A mile from shore a fishing boat chummed the water. and the
    word for Breakfast Flock flashed through the air, till a crowd of a
    thousand seagulls came to dodge and fight for bits of food.

    It was another busy day beginning.

    ยามเช้า .....ดวงตะวันใหม่สดใสส่องแสงสีทองทอดทาบระลอกทะเลที่สงบเยือกเย็น เรือตกปลาลำหนึ่งจอดลอยอยู่ห่างจากชายฝั่งหนึ่งไมล์ ส่งสัญญาณให้อาหารนกกระจายขึ้นไปในอากาศ และแล้วฝูงนางนวลจำนวนพันก็โผบินเข้ามาแย่งอาหารกันกิน

    วันแห่งความสับสนอีกวันหนึ่งก็เริ่มขึ้น......


    But way off alone, out by himself beyond boat and shore, Jonathan
    Livingston Seagull was practicing. A hundred feet in the sky he lowered
    his webbed feet, lifted his beak, and strained to hold a painful hard
    twisting curve through his wings. The curve meant that he would fly
    slowly, and now he slowed until the wind was a whisper in his face, until
    the ocean stood still beneath him. He narrowed his eyes in fierce
    concentration, held his breath, forced one... single... more... inch...
    of... curve... Then his featliers ruffled, he stalled and fell.


    แต่ไกลออกไปจากชายฝั่งและเรือ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กำลังฝึกบินอยู่เดียวดาย มันบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าหนึ่งร้อยฟุต ลดเท้าที่ติดกันลง เชิดปากขึ้น และกระชับปีกเข้าหากันเพื่อหักมุมเลี้ยวที่แสนยากเย็น เมื่อมันเลี้ยวโจนาธานก็บินได้ช้าลง และเมื่อมันบินช้าๆ สายลมก็พัดผ่านหน้าราวกับเสียงกระซิบ เบื้องล่างท้องทะเลดูสงบนิ่ง โจนาธานหรี่ตาตั้งสติแน่วแน่กลั้นหายใจ แล้วก็บังคับให้ตัวหักมุมเลี้ยว….อีกหนึ่งนิ้วฟุต…แต่แล้วขนของมันก็กระจุย มันชงักเสียหลักตกลงมา


    Seagulls, as you know, never falter, never stall. To stall in the air
    is for them disgrace and it is dishonor.
    But Jonathan Livingston Seagull, unashamed, stretching his wings
    again in that trembling hard curve - slowing, slowing, and stalling once
    more - was no ordinary bird.

    คงจะรู้กันว่านางนวลนั้นไม่มีวันที่จะบินเสียหลัก การเสียหลักในอากาศเป็นเรื่องน่าอายและเสียเกียรติอย่างยิ่ง แต่นางนวลโจนาธาน ลิฟวิสตันไม่ใช่นกธรรมดาๆ มันไม่อาย มันกางปีกออกอีกครั้งเพื่อจะบินหักมุมเลี้ยวอันแสนยากนั้น มันบินอีกอย่างช้าๆ และแล้วมันก็เสียหลักอีกทีหนึ่งจนได้


    Most gulls don't bother to learn more than the simplest facts of
    flight - how to get from shore to food and back again. For most gulls, it
    is not flying that matters, but eating. For this gull, though, it was not
    eating that mattered, but flight. More than anything else. Jonathan
    Livingston Seagull loved to fly.


    This kind of thinking, he found, is not the way to make one's self
    popular with other birds. Even his parents were dismayed as Jonathan spent
    whole days alone, making hundreds of low-level glides, experimenting.

    นางนวลส่วนมากมักไม่พะวงกับการเรียนรู้เรื่องบินมากไปกว่าที่จะบินแบบง่ายๆ มันมักจะบินจากฝั่งออกไปหาอาหารแล้วก็บินกลับ สำหรับนางนวลทั่วๆ ไป การกินนั้นสำคัญกว่าการบิน แต่สำหรับโจนาธานนั้นการกินไม่ใช่เรื่องที่สำคัญไปกว่าการบิน โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล รักที่จะบินเหนือสิ่งอื่นใด โจนาธานรู้ว่าการที่มันคิดเช่นนี้ ทำให้มันไม่เป็นที่ชอบพอในหมู่นกด้วยกัน แม้แต่พ่อแม่ของมันเองก็ไม่พอใจที่โจนาธานใช้เวลาทั้งวันฝึกบินร่อนระดับต่ำอยู่ตัวเดียว ตั้งวันละร้อยๆ ครั้ง


    He didn't know why, for instance, but when he flew at altitudes less
    than half his wingspan above the water, he could stay in the air longer,
    with less effort. His glides ended not with the usual feet-down splash
    into the sea, but with a long flat wake as he touched the surface with his
    feet tightly streamlined against his body. When he began sliding in to
    feet-up landings on the beach, then pacing the length of his slide in the
    sand, his parents were very much dismayed indeed.

    โจนาธานไม่รู้ว่าทำไมตนจึงเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อมันบินเหนือน้ำเพียงครึ่งความยาวของปีก มันก็ลอยอยู่ในอากาศได้นานๆ โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย เมื่อมันร่อนมาลงทะเลมันก็ไม่ใช้เท้าระน้ำแบบธรรมดา แต่มันกลับหดเท้าแน่นไว้กับลำตัวเวลาลงแตะผิวน้ำ และเมื่อมันเริ่มร่อนลงชายหาด มันก็ใช้ลำตัวไถไปเป็นแนวยาวบนพื้นทราย ซึ่งทำให้พ่อแม่ของโจนาธานอ่อนอกอ่อนใจอย่างยิ่ง


    "Why, Jon, why?" his mother asked. "Why is it so hard to be like the
    rest of the flock, Jon? Why can't you leave low flying to the pelicans,
    the alhatross? Why don't you eat? Son, you're bone and feathers!"

    "ทำไมนะ จอน ทำไม" แม่ถามขึ้น "ทำไม่มันยากนักรึที่จะทำตัวให้เหมือนนกอื่นๆ ในฝูง หือ จอน ทำไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องขอนกเพลิแกน หรือนกอัลบาทรอส แล้วทำไมแกไม่กินซะบ้าง จอน แกน่ะเหลือแต่กระดูกและขน!"


    "I don't mind being bone and feathers mom. I just want to know what I
    can do in the air and what I can't, that's all. I just want to know."

    "แม่ ฉันไม่กลัวที่จะเหลือแต่กระดูกและขนฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อฉันอยู่ในอากาศ ฉันจะทำอะไรได้หรือทำไม่ได้ ฉันเพียงแต่อยากรู้เท่านั้นเอง"


    "See here Jonathan " said his father not unkindly. "Winter isn't far
    away. Boats will be few and the surface fish will be swimming deep. If you
    must study, then study food, and how to get it. This flying business is
    all very well, but you can't eat a glide, you know. Don't you forget that
    the reason you fly is to eat."

    "นี่นะโจนาธาน" พ่อพูดขึ้นอย่างไม่ไร้ความปรานี "หน้าหนาวก็ไม่ไกลนัก แล้วเรือหาปลาเหลือไม่กี่ลำ และปลาผิวน้ำก็จะว่ายลงสู่น้ำลึก ถ้าแกจะต้องเรียนรู้ แกก็ต้องเรียนรู้เรื่องอาหาร และก็หาอาหารกินให้ได้ เรื่องการบินนี่นะดีอยู่หรอก แต่แกก็น่าจะรู้ว่าการบินการร่อนกินเข้าไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเหตุที่แกบินก็เพื่อเอาไว้หากิน"


    Jonathan nodded obediently. For the next few days he tried to behave
    like the other gulls; he really tried, screeching and fighting with the
    flock around the piers and fishing boats, diving on scraps of fish and
    bread. But he couldn't make it work.

    It's all so pointless, he thought, deliberately dropping a hard-won
    anchovy to a hungry old gull chasing him. I could be spending all this
    time learning to fly. There's so much to learn!

    It wasn't long before Jonathan Gull was off by himself again, far out
    at sea, hungry, happy, learning.
    The subject was speed, and in a week's practice he learned more about
    speed than the fastest gull alive.


    โจนาธานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง และในเวลาสองสามวันต่อมามันก็พยายามทำตัวเหมือนๆ นางนวลอื่นๆ มันพยายามส่งเสียงร้อง สู้ ร่อนลงแย่งเศษปลาและขนมปังกับฝูงนกที่ท่าน้ำและเรือตกปลา แต่มันก็ทำได้ไม่ตลอด โจนาธานคิดว่าการทำเช่นนั้นช่างไม่มีจุดหมายเสียเลย บางครั้งมันก็ทิ้งปลาแห้ง ซึ่งได้มาอย่างยากเย็นให้กับนกนางนวลแก่ๆ หิวโหยที่บินตามมันมา โจนาธานคิดว่ามันควรจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกบิน มีอะไรๆ มากมายที่จะต้องเรียนรู้ อีกไม่นานต่อมาโจนาธานก็ออกไปไกลอยู่ในทะเลตัวเดียว มันหิว มีความสุข และเรียนรู้ สิ่งที่มันเรียนรู้ก็คือ ความเร็ว และภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ฝึกฝนอยู่ มันก็เรียนรู้เรื่องความเร็วมากกว่านกนางนวลที่บินเร็วที่สุดตัวใดๆ



    From a thousand feet, flapping his wings as hard as he could, he
    pushed over into a blazing steep dive toward the waves, and learned why
    seagulls don't make blazing steep pewer-dives. In just six seconds he was
    moving seventy miles per hour, the speed at which one's wing goes unstable
    on the upstroke.

    โจนาธานกระพือปีกอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันทิ้งตัวจากความสูงหนึ่งพันฟุตดิ่งลงมาหาฟองคลื่น และมันก็เริ่มจะรู้ว่าทำไมนกนางนวลอื่นๆ ถึงไม่บินพุ่งตัวดิ่งลงมา เพราะภายในเวลาหกวินาทีมันก็สามารถบินดิ่งได้เจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่ทำให้ปีกของมันสั่งคลอนตอนตีปีกขึ้น โจนาธานบินอย่างระมัดระวังและสุดความสามารถ แต่มันก็เสียการทรงตัวเมื่อบินด้วยความเร็วสูง


    Time after time it happened. Careful as he was, working at the very
    peak of his ability, he lost control at high speed.
    Climb to a thousand feet. Full power straight ahead first, then push
    over, flapping, to a vertical dive. Then, every time, his left wing
    stalled on an upstroke, he'd roll violently left, stall his right wing
    recovering, and flick like fire into a wild tumbling spin to the right.
    He couldn't be careful enough on that upstroke. Ten times he tried,
    and all ten times, as he passed through seventy miles per hour, he burst
    into a churning mass of feathers, out of control, crashing down into the
    water.

    มันพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า มันบินขึ้นไปสูงหนึ่งพันฟุต ตรงไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง ตีปีก แล้วก็พุ่งดิ่งลงมาเป็นแนวตรง แต่ทุกๆ ครั้งที่มันทำเช่นนั้น ปีกซ้ายของมันก็เสียหลักเมื่อยกปีกขึ้น มันถลาไปทางซ้ายอย่างรุนแรง มันพยายามใช้ปีกข้างขวาทรงตัว แต่มันก็ตีลังกาหมุนกลับทันที ราวกับไฟปะทุ โจนาธานระมัดระวังไม่พอตอนตีปีกขึ้น มันพยายามใหม่ตั้งสิบครั้ง และทั้งสิบครั้งนั้นมันก็บินได้ถึงเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง แต่ขนของมันกระจุยเสียหลัก ตกกระแทกลงสู่พื้นน้ำ


    The key, he thought at last, dripping wet, must be to hold the wings
    still at high speeds - to flap up to fifty and then hold the wings still.


    โจนาธานเปียกโชก และมันก็คิดได้ในที่สุดว่ากุญแจดอกสำคัญของการบินเร็วก็คือยึดปีกทั้งสองข้างไว้ให้แน่น


    From two thousand feet he tried again, rolling into his dive, beak
    straight down, wings full out and stable from the moment he passed fifty
    miles per hour. It took tremendous strength, but it worked. In ten seconds
    he had blurred through ninety miles per hour. Jonathan had set a world
    speed record for seagulls!

    มันตีปีกกระชั้นกันห้าสิบครั้งแล้วก็ยึดไว้เฉยๆ มันพยายามอีกครั้งจากระยะสูงสองพันฟุต ทิ้งตัวดิ่งลงมา ปากพุ่งตรง กางปีกออกเต็มที่และยึดนิ่งเอาไว้เมื่อถึงตอนที่บินด้วยความเร็วห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง มันใช้กำลังมหาศาลแล้วก็ได้ผล ในเวลาเพียงสิบวินาทีโจนาธานสามารถบินได้เก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง และแล้วมันก็ทำสถิติความเร็วในหมู่นกนางนวล!


    But victory was short-lived. The instant he began his pullout, the
    instant he changed the angle of his wings, he snapped into that same
    terrible uncontrolled disaster, and at ninety miles per hour it hit him
    like dynamite. Jonathan Seagull exploded in midair and smashed down into a
    brickhard sea.

    แต่ความสำเร็จของมันสั้นยิ่งนัก ทันทีที่โจนาธานเริ่มลดความเร็ว และทันทีที่มันเปลี่ยนมุมปีก มันก็บังคับตัวไม่อยู่ในระยะของการบินเก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง การเสียหลักทรงตัวเกิดขึ้นราวกับดินระเบิด โจนาธาน : นางนวล เสียหลักกลางอากาศและตกลิ่วลงกระทบผิวทะเลที่แข็งราวกับอิฐ


    When he came to, it was well after dark, and he floated in moonlight
    on the surface of the ocean. His wings were ragged bars of lead, but the
    weight of failure was even heavier on his back. He wished, feebly, that
    the weight could be just enough to drug him gently down to the bottom, and
    end it all.

    ถึงตอนนั้นบรรยากาศก็มืดสนิท โจนาธาน ลอยตัวในมหาสมุทรท่ามกลางแสงจันทร์ ปีกของมันหนักราวกับห่อหุ้มด้วยแท่งตะกั่ว แต่ดูเหมือนว่าน้ำหนักของความล้มเหลวจะทับถมอยู่บนหลังมันมากกว่า โจนาธานได้แต่ภาวนาอย่างอ่อนระโหย ให้น้ำหนักนั้นถ่วงมันจมลงสู่ก้นทะเล จะได้จบสิ้นกันเสียที

    As he sank low in the water, a strange hollow voice sounded within
    him. There's no way around it. I am a seagull. I am limited by my nature.
    If I were meant to learn so much about flying, I'd have charts for brains.
    If I were meant to fly at speed, I'd have a falcon's short wings, and live
    on mice instead of fish. My father was right. I must forget this
    foolishness. I must fly home to the Flock and be content as I am, as a
    poor limited seagull.

    เมื่อมันเริ่มจมลงในน้ำนั้น โจนาธานได้ยินเสียงพูดโหยหวนและประหลาดขึ้นมาในตัวของมันเอง ไม่มีทางแน่ๆ ฉันเป็นแต่เพียงนางนวล ธรรมชาติได้สร้างฉันขึ้นมาอย่างจำกัด ถ้าฉันถูกสร้างมาให้เรียนรู้เรื่องการบินได้ ฉันควรจะต้องมีมันสมองมากมาย ถ้าฉันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้บินเร็วได้ ฉันก็น่าจะต้องมีปีกสร้างอย่างนกเหยี่ยวและฉันก็ควรจะกินหนูแทนที่จะกินปลา พ่อฉันพูดถูกแล้ว ฉันต้องลืมเรื่องโง่ๆ นี่เสีย ฉันจะต้องบิน ต้องบินกลับไปบ้านไปหาฝูงนกของฉัน และฉันควรจะต้องพอใจต่อสภาพของนางนวลที่น่าสงสารและมีความสามารถจำกัดเช่นนี้

    The voice faded, and Jonathan agreed. The place for a seagull at
    night is on shore, and from this moment forth, he vowed, he would be a
    normal gull. It would make everyone happier.

    เสียงพูดนั้นเงียบหายไป และโจนาธานก็เห็นพ้องด้วย ที่อยู่ของนางนวลยามค่ำคืนก็คือชายฝั่ง โจนาธานให้สัญญากับตัวเองว่านับแต่วาระนี้ต่อไป มันจะยอมเป็นางนวลธรรมดาๆ นั่นจะทำให้ตัวอื่นมีความสุขขึ้น

    He pushed wearily away from the dark water and flew toward the land,
    grateful for what he had learned about work-saving low-altitude flying.

    โจนาธานค่อยๆ บินขึ้นจากพื้นน้ำอันมืดสนิทอย่างอ่อนระโหยกลับเข้าสู่ชายฝั่ง มันบินกลับในระดับต่ำ และก็พอใจที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบินเช่นนั้น



    But no, he thought. I am done with the way I was, I am done with
    everything I learned. I am a seagull like every other seagull, and I will
    fly like one. So he climbed painfully to a hundred feet and flapped his
    wings harder, pressing for shore.

    He felt better for his decision to be just another one of the Flock.
    There would be no ties now to the force that had driven him to learn,
    there would be no more challenge and no more failure. And it was pretty,
    just to stop thinking, and fly through the dark, toward the lights above
    the beach.

    โจนาธานคิดต่อไปอีกว่า ไม่ ฉันจะไม่เป็นอย่างที่แล้วมา ฉันจะเลิกเรียน ฉันเป็นนกเหมือนกันกับนางนวลตัวอื่นๆ ฉันจะบินให้เหมือนกับตัวอื่นๆ แม้ว่าจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง โจนาธานก็บินสูงขึ้นสูงขึ้นไปหนึ่งร้อยฟุต มันตีปีกแรงมุ่งกลับเข้าหาชายฝั่ง โจนาธานรู้สึกสบายใจขึ้น ที่ได้ตัดสินใจเป็นนกเหมือนๆ กับนกในฝูง ทีนี้ก็จะไม่มีพันธะบังคับให้โจนาธานต้องเรียนรู้ แล้วก็จะไม่มีความท้าทายหรือความล้มเหลวอีกต่อไป มันช่างสวยสดจริงที่เลิกคิดเสียได้ และแล้วโจนาธานก็บินผ่านความมืด มุ่งไปหาแสงไฟที่ชายฝั่ง


    Dark! The hollow voice cracked in alarm. Seagulls never fly in the
    dark!

    ความมืด! เสียงอันโหยหวนก้องขึ้นอย่างตกใจ นางนวลไม่มีวันที่จะบินในความมืด!


    Jonathan was not alert to listen. It's pretty, he thought. The moon
    and the lights twinkling on the water, throwing out little beacon-trails
    through the night, and all so peaceful and still...
    Get down! Seagulls never fly in the dark! If you were meant to fly in
    the dark, you'd have the eyes of an owl! You'd have charts for brains!
    You'd have a falcon's short wings!

    โจนาธานไม่ได้ตื่นใจที่จะฟังเสียงนั้น มันมัวแต่คิดว่าช่างงดงามเสียจริง ดวงจันทร์ส่องแสงระยิบระยับเหนือพื้นน้ำสาดแสงเป็นทางยาวเล็กๆ ทอดข้ามยามค่ำคืน ทุกอย่างสงบและนิ่ง…. บินลงไปซะ! นางนวลไม่เคยบินในความมืด! ถ้าเธอถูกสร้างมาให้บินในความมืด เธอจะต้องมีตาเหมือนนกฮูก เธอจะต้องมีมันสมองมากมาย เธอจะต้องมีปีกสั้นเหมือนนกเหยี่ยว!


    There in the night, a hundred feet in the air, Jonathan Livingston
    Seagull - blinked. His pain, his resolutions, vanished.
    Short wings. A falcon's short wings!
    That's the answer! What a fool I've been! All I need is a tiny little
    wing, all I need is to fold most of my wings and fly on just the tips
    alone! Short wings!

    โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กระพริบตาในความมืดของยามค่ำคืน ในอากาศที่สูงหนึ่งร้อยฟุต และแล้วความปวดร้าว คำมั่นสัญญาของมันก็สูญสิ้นไป ปีกสั้น ปีกที่สั้นอย่างนกเหยี่ยว! นั่นคือคำตอบ! ฉันช่างโง่เสียนี่กระไร! สิ่งที่ฉันต้องการก็คือปีกสั้นนั่นเอง สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือ พับปีกของฉันไว้เสียให้เกือบหมด แล้วก็ใช้แต่เพียงปลายปึกเท่านั้นบิน! ปีกสั้น


    He climbed two thousand feet above the black sea, and without a
    moment for thought of failure and death, he brought his forewings tightly
    in to his body, left only the narrow swept daggers of his wingtips
    extended into the wind, and fell into a vertical dive.

    และแล้วโจนาธานก็บินสูงขึ้นไปสองพันฟุต เหนือท้องทะเลที่มืดสนิท โดยที่ไม่ต้องหยุดชะงักนึกถึงความล้มเหลวหรือความตายมันยึดโคนปีกไว้แน่นกับลำตัว ปล่อยแต่เพียงส่วนที่เล็กของปลายปีตวัดโต้ลม มันพุ่งตรงลงมา


    The wind was a monster roar at his head. Seventy miles per hour,
    ninety, a hundred and twenty and faster still. The wing-strain now at a
    hundred and forty miles per hour wasn't nearly as hard as it had been
    before at seventy, and with the faintest twist of his wingtips he eased
    out of the dive and shot above the waves, a gray cannonball under the
    moon.

    เสียงลมก้องสนั่นปะทะหัวของโจนาธาน มันบินเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง เก้าสิบไมล์ ร้อยยี่สิบไมล์ และก็ยิ่งเร็วขึ้นๆ ตอนนี้ปีกของมันที่กางบินร้อยสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมงก็ดูไม่ยากเย็นเหมือนตอนบินเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเพียงแค่มันบิดปลายปีกนิดเดียวมันก็สามารถจะชลอความเร็ว เมื่อพุ่งดิ่งลงมาเหนือฟองคลื่น ซึ่งดูราวกับลูกปืนใหญ่สีเทาภายใต้แสงจันทร์

    He closed his eyes to slits against the wind and rejoiced. A hundred
    forty miles per hour! And under control! If I dive from five thousand feet
    instead of two thousand, I wonder how fast..

    โจนาธานหรี่ตาลงปะทะลมแล้วก็ลิงโลดใจ หนึ่งร้อยสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง! ซ้ำยังบังคับตัวได้! ถ้าหากฉันพุ่งดิ่งจากระดับห้าพันฟุต แทนที่จะเป็นจากสองพันฟุต ฉันสงสัยว่ามันจะเร็วได้สักแค่ไหน……


    His vows of a moment before were forgotten, swept away in that great
    swift wind. Yet he felt guiltless, breaking the promises he had made
    himself. Such promises are only for the gulls that accept the ordinary.
    One who has touched excellence in his learning has no need of that kind of
    promise.

    โจนาธานลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองเมื่อครู่ก่อนเสียสิ้นมันโผบินไปมาในสายลม และมันก็ไม่รู้สึกผิดที่ทำลายคำสัญญานั้นเสีย คำมั่นสัญญาแบบนั้นเป็นเรื่องของนางนวลที่ยอมรับความธรรมดาสามัญ แต่สำหรับผู้ที่ได้ชิมความเป็นเลิศในการเรียนรู้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องยึดคำสัญญาแบบนั้น


    By sunup, Jonathan Gull was practicing again. From five thousand feet
    the fishing boats were specks in the flat blue water, Breakfast Flock was
    a faint cloud of dust motes, circling.
    He was alive, trembling ever so slightly with delight, proud that his
    fear was under control. Then without ceremony he hugged in his forewings,
    extended his short, angled wingtips, and plunged direcfly toward the sea.

    เมื่อดวงตะวันขึ้น นางนวลโจนาธานยังคงฝึกบินอยู่ต่อไป จากระดับห้าพันฟุตเรือหาปลาดูเป็นเพียงจุดเล็กจุดน้อย เหนือพื้นน้ำสีน้ำเงินที่แบนราบ กลุ่มนกที่ออกหากินตอนเช้าดูคล้ายกลุ่มฝุ่นบางๆ ที่หมุนเป็นวงกลม โจนาธานรู้สึกมีชีวิตชีวา มันสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความดีใจ ภูมิใจที่บังคับความหวาดกลัวไว้ได้ และแล้วโดยไม่ต้องมีพิธีการมันขยับโคนปีกเข้าลำตัวเหยียดแต่เพียงปลายปีกอันสั้นออกไป โจนดิ่งพุ่งลงสู่ท้องทะเล

    By the time he passed four thousand feet he had reached terminal velocity,
    the wind was a solid beating wall of sound against which he could move no
    faster.

    เมื่อถึงตอนที่มันถลาลงจากระดับสี่พันฟุต มันก็ถึงที่สุดของความเร็ว

    He was flying now straight down, at two hundred fourteen miles per
    hour. He swallowed, knowing that if his wings unfolded at that speed be'd
    be blown into a million tiny shreds of seagull. But the speed was power,
    and the speed was joy, and the speed was pure beauty.
    He began his pullout at a thousand feet, wingtips thudding and
    blurring in that gigatitic wind, the boat and the crowd of gulls tilting
    and growing meteor-fast, directly in his path.
    He couldn't stop; he didn't know yet even how to turn at that speed.
    Collision would be instant death.
    And so he shut his eyes.

    โจนาธานเริ่มชะลอความเร็ว เมื่อถึงระดับหนึ่งพันฟุต ปลายปีกของมันสั่นสะท้านเมื่อต้องลมมหากาฬนั้น เบื้องหน้าของมัน เรือและฝูงนางนวลพุ่งตรงเข้ามารวดเร็วดั่งดาวตก โจนาธานหยุดไม่ได้ มันไม่รู้ว่าจะหักเลี้ยวได้อย่างไร เมื่อบินด้วยความเร็ซขนาดนั้น ถ้าชนกันก็ตายทันที ดังนั้นโจนาธานจึงได้แต่หลับตา


    It happened that morning, then, just after sunrise, that Ionathan
    Livingston Seagull fired directly through the center of Breakfast Flock,
    ticking off two hundred twelve miles per hour, eyes closed, in a great
    roaring shriek of wind and feathers. The Gull of Fortune smiled upon him
    this once, and no one was killed.

    บังเอิญเหลือเกินว่าในตอนเช้าวันนั้นหลังดวงตะวันขึ้น นางนวล : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน บินผ่านพุ่งเข้าไปในตอนกลางของกลุ่มนกที่ออกหากินตอนเช้า มันผ่านไปด้วยความเร็วสองร้อยสิบสองไมล์ต่อชั่วโมง ดวงตาปิดสนิทลมและขนของมันส่งเสียงหวาดหวือสนั่นแต่นางนวลแห่งโชคยิ้มให้มันและไม่มีใครต้องถึงตาย


    By the time he had pulled his beak straight up into the sky he was
    still scorching along at a hundred and sixty miles per hour. When he had
    slowed to twenty and stretched his wings again at last, the boat was a
    crumb on the sea, four thousand feet below.

    เมื่อถึงตอนที่มันเชิดปากบินสู่ฟ้า โจนาธาน ก็ยังคงพุ่งไปด้วยความเร็วหนึ่งร้อยหกสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเมื่อมันลดความเร็วเหลือเพียงยี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง มันก็กางปีกออกได้ในที่สุด

    ถึงตอนนั้นเรือหาปลาลอยอยู่ในทะเลเบื้องล่างห่างจากมันสี่พันฟุต


    His thought was triumph. Terminal velocity! A seagull at two hundred
    fourteen miles per hour! It was a breakthrough, the greatest single moment
    in the history of the Flock, and in that moment a new age opened for
    Jonathan Gull.

    สิ่งที่โจนาธานคิดได้ก็คือชัยชนะ ความเร็วสุดยอด! นางนวลบินได้ถึง สองร้อยสิบสี่ไมล์ต่อชั่วโมง! มันช่างเป็นประวัติการณ์ เป็นชั่วขณะที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของฝูงนกนางนวล เป็นชั่วขณะของยุคใหม่ที่เปิดต้อนับโจนาธาน ลิฟวิงสตัน


    Flying out to his lonely practice area, folding his wings
    for a dive from eight thousand feet, he set himself at once to discover
    how to turn.

    A single wingtip feather, he found, moved a fraction of an inch,
    gives a smooth sweeping curve at tremendous speed. Before he learned this,
    however, he found that moving more than one feather at that speed will
    spin you like a ritIe ball... and Jonathan had flown the first aerobatics
    of any seagull on earth.


    มันบินออกไปยังสถานที่ฝึกบินอันโดดเดี่ยว หดปีกเข้าเพื่อพุ่งดิ่งลงจากระดับแปดพันฟุต คราวนี้มันจะค้นหาวิถีหักมุมเลี้ยว และแล้วโจนาธานก็ค้นพบว่า เพียงขยับปลายปีกเพียงส่วนนิดเดียวของหนึ่งนิ้วฟุต ทำให้มันวาดวงโค้งได้อย่างสวยในช่วงความเร็วมหาศาลนั้น อย่างไรก็ตามก่อนมันจะค้นพบวิธี มันก็พบว่าหากขยับขนมากกว่าหนึ่งอันในช่วงความเร็วนั้น มันก็จะหมุนติ้วราวกับลูกปืนไรเฟิล…. โจนาธานกลายเป็นนางนวลตัวแรกที่บินกายกรรมบนอากาศก่อนนางนวลตัวใดๆ ในโลก


    He spared no time that day for talk with other gulls, but flew on
    past sunset. He discovered the loop, the slow roll, the point roll, the
    inverted spin, the gull bunt, the pinwheel.

    วันนั้น โจนาธานไม่ยอมเสียเวลาที่จะคุยกับนางนวลตัวอื่นๆ มันบินไปจนตะวันตก มันค้นพบวิธีบินเป็นวง บินกลิ้งช้า บินกลิ้งตรง บินหมุนกลับ บินผลักนางนวล บินหมุนลูกข่าง

    When Jonathan Seagull joined the Flock on the beach, it was full
    night. He was dizzy and terribly tired. Yet in delight he flew a loop to
    landing, with a snap roll just before touchdown. When they hear of it, he
    thought, of the Breakthrough, they'll be wild with joy. How much more
    there is now to living! Instead of our drab slogging forth and back to the
    fishing boats, there's a reason to life! We can lift ourselves out of
    ignorance, we can find ourselves as creatures of excellence and
    intelligence and skill. We can be free! We can learn to fly!
    The years ahead hummed and glowed with promise.

    เมื่อโจนาธานกลับเข้าไปหาฝูงนางนวลบนชายฝั่ง เวลาก็ล่วงเลยเป็นกลางคืน มันรู้สึกเวียนหัวและเมื่อยล้านักหนา กระนั้นก็ตามมันบินเป็นวงเพื่อร่อนลงด้วยความปิติยินดี มันคิดว่าเมื่อพรรคพวกได้ฟังเรื่องความสำเร็จพวกนั้นคงจะตื่นเต้นดีใจด้วย ช่างมีค่าเหลือเกินที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในตอนนี้! ชีวิตมีความหมายมากขึ้นกว่าการบินอย่างเซ็งๆ กลับไปกลับมาจากเรือหาปลา เราสลัดความโง่เขลาทิ้งเสียได้ เราค้นพบได้ว่าเราเป็นสัตว์วิเศษ ฉลาดรอบรู้ เราเป็นอิสระได้! เราเรียนรู้ที่จะบินได้! แล้วกาลเวลาข้างหน้าก็กระหึ่มและวาววามด้วยคำมั่นสัญญา


    The gulls were flocked into the Council Gathering when he landed, and
    apparently had been so flocked for some time. They were, in fact, waiting.

    เมื่อโจนาธานร่อนลงนั้น บรรดานกนางนวลจับกลุ่มกันเป็นที่ประชุมสภา และก็คงยืนจับกลุ่มกันมาได้พักใหญ่แล้ว ที่จริงพวกนั้นคงจะรออยู่


    "Jonathan Livingston Seagull! Stand to Center!" The Elder's words
    sounded in a voice of highest ceremony. Stand to Center meant only great
    shame or great honor. Stand to Center for Honor was the way the gulls'
    foremost leaders were marked.

    "โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล เข้ามายืนตรงกลาง!" เสียงผู้ใหญ่นก ดังขึ้นอย่างมีพิธีรีตองสูงสุด การยืนตรงกลางหมายถึงเพียงความอับอายหรือไม่ก็เสื่อมเสียเกียรติยศอย่างใหญ่หลวง แต่การยืนตรงกลางเพื่อเกียรติก็เป็นวิธีกำหนดผู้นำนางนวลขั้นสูง

    Of course, he thought, the Breakfast Flock
    this morning; they saw the Breakthrough! But I want no honors. I have no
    wish to be leader. I want only to share what I've found, to show those
    horizons out ahead for us all.

    โจนาธานคิดว่า เมื่อเช้านี้พวกฝูงนกออกหากินคงจะได้เห็นความสำเร็จในการบินของมันแน่ทีเดียว! แต่ฉันไม่ต้องการเกียรติยศ ฉันไม่เคยคิดอยากจะเป็นผู้นำ ฉันเพียงแต่อยากเอาสิ่งที่ค้นพบมาเผยแพร่ร่วมกัน ฉันเพียงอยากให้พวกเราทุกตัวได้เห็นขอบน้ำกับฟ้าเบื้องหน้าโน้น

    He stepped forward.

    "Jonathan Livingston Seagull," said the Elder, "Stand to Center for
    Shame in the sight of your fellow gulls!"
    It felt like being hit with a board. His knees went weak, his
    feathers sagged, there was roaring in his ears. Centered for shame?
    Impossible! The Breakthrough! They can't understand! They're wrong,
    they're wrong!


    แล้วโจนาธานก็ก้าวออกไป

    "โจนาธาน ลิฟวิงสตัน" ผู้ใหญ่นก พูด "เข้ามายืนตรงกลางเพื่อให้นกอื่นๆ เห็นความอับอาย!" โจนาธานรู้สึกเหมือนกับว่าถูกตีด้วยแผ่นกระดาษ เข่าของมันอ่อนเปลี้ย ขนตกลู่ หูอื้อ ยืนตรงกลางเพื่อความอับอาย? เป็นไปไม่ได้! ความสำเร็จ! พวกนั้นไม่เข้าใจ! พวกนั้นคิดผิด พวกนั้นคิดผิด!


    "... for his reckless irresponsibility " the solemn voice intoned,
    "violating the dignity and tradition of the Gull Family..."

    "…เพื่อความเหลวไหลและความหุนหันพลันแล่น" เสียงที่เคร่งขรึมดังขึ้น ทำลายเกียรติยศและประเพณีของตระกูลนางนวล.."


    To be centered for shame meant that he would be cast out of gull
    society, banished to a solitary life on the Far Cliffs.

    เข้าไปยืนตรงกลางเพื่อความอับอายหมายถึงว่า โจนาธานจะถูกไล่ออกจางฝูงนกและถูกขับให้ไปมีชีวิตเดียวดายที่ หน้าผาโพ้น


    "... one day Jonathan Livingston Seagull, you shall learn that
    irresponsibility does not pay. Life is the unknown and the unknowable,
    except that we are put into this world to eat, to stay alive as long as we
    possibly can."

    "…สักวันหนึ่ง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แกจะรู้ว่าการไร้ความรับผิดชอบไม่มีประโยชน์อะไร ชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับ และจะเรียนรู้ไม่ได้ เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงเพื่อกิน และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวเท่าที่เราจะทำได้"


    A seagull never speaks back to the Council Flock, but it was
    Jonathan's voice raised.

    นางนวลจะพูดโต้ตอบที่ประชุมสภาไม่ได้ แต่ โจนาธานก็กล่าวแย้งขึ้น


    "Irresponsibility? My brothers!" he cried.

    "Who is more responsible than a gull who finds and follows a meaning, a higher
    purpose for life? For a thousand years we have scrabbled after fish heads,
    but now we have a reason to live - to learn, to discover, to be free! Give
    me one chance, let me show you what I've found..."


    "ไร้ความรับผิดชอบ? พี่น้องของฉัน!" มันร้องขึ้น
    "ใครกันแน่ที่จะมีความรับผิดชอบเท่ากับนางนวลตัวที่ค้นและติดตามความหมาย ซึ่งเป็นจุดประสงค์สูงส่งในชีวิต นับเป็นเวลาพันปีที่พวกเราได้แต่ตะกุยตะกายหาแต่ปลา แต่บัดนี้เรามีเหตุและผลที่จะดำรงชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้ เพื่อค้นหา และเพื่อเป็นอิสระ! ให้โอกาสฉันสักครั้งให้ฉันแสดงให้ท่านดูว่าฉันได้ค้นพบอะไร…"


    The Flock might as well have been stone.

    "The Brotherhood is broken," the gulls intoned together, and with one
    accord they solemnly closed their ears and turned their backs upon him.

    "ความเป็นพี่น้องขาดกัน" บรรดานางนวลกล่าวขึ้นพร้อมกันและต่างก็ตกลงปิดหูไม่รับฟังหันหลังให้โจนาธาน


    Jonathan Seagull spent the rest of his days alone, but he flew way
    out beyond the Far Cliffs. His one sorrow was not solituile, it was that
    other gulls refused to believe the glory of flight that awaited them; they
    refused to open their eyes and see.

    โจนาธานนางนวลใช้เวลาหลังจากนั้นอยู่ตัวเดียว มันบินไกลออกไปจาก หน้าผาโพ้น ความเสียใจของมันมิใช่ที่ต้องอยู่อย่างสันโดษ แต่เพราะนางนวลอื่นๆ ไม่ยอมเชื่อในความมหัศจรรย์ของการบินที่รอคอยพวกมันอยู่ พวกนั้นไม่ยอมที่จะลืมตาออกดู



    He learned more each day. He learned that a streamlined high-speed dive could bring him to find the rare and tasty fish that schooled ten feet below the surface of the ocean: he no longer needed fishing boats and stale bread for survival. He learned to sleep in the air, setting a course at night across the offshore wind,
    covering a hundred miles from sunset to sunrise. With the same inner control, he flew through heavy sea-fogs and climbed above them into dazzling clear skies... in the very times when every other gull stood on the ground, knowing nothing but mist and rain.

    โจนาธานเรียนรู้มากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน มันค้นพบว่าการพุ่งดิงตรงลงมาทำให้มันลงไปจับปลารสอร่อยๆ หายากที่ว่ายอยู่ลึกถึงสิบฟุตใต้ผิวน้ำในมหาสมุทร โจนาธานเลยไม่ต้องอาศัยหากินกับเรือหาปลา หรือขนมปังเก่าๆ อีกต่อไป มันเรียนรู้วิธีที่จะหลับนอนในอากาศโดยการบินทวนลมบกตอนกลางคืนเป็นระยะทางตั้งร้อยไมล์จากตะวันตกถึงตะวันขึ้น และด้วยวิธีเดียวกัน มันสามารถบินฝ่าหมอกทะเลที่ลงจัด ขึ้นไปเหนือสู่ท้องฟ้าที่ให้เป็นประกาย… ในขณะที่นกนางนวลตัวอื่นๆ ต้องทนอยู่ที่ชายหาด ทนอยู่กับหมอกและฝน



    He learned to ride the high winds far iniand, to dine there on delicate insects.
    What he had once hoped for the Flock, he now gained for himself alone; he learned to fly, and was not sorry for the price that he had paid. Jonathan Scagull discovered that boredom and fear and anger are the reasons that a gull's life is so short, and with these gone from his thought, he lived a long fine life indeed.

    โจนาธานเรียนรู้วิธีร่อนไปกับลมที่พัดจัดลึกเข้าไปจากชายฝั่ง และมันก็ได้กินแมลงรสดีๆ สิ่งที่โจนาธานเคยหวังว่าจะให้ฝูงนกเรียนรู้นั้น กลายเป็นสิ่งที่มันรู้ไว้แต่เพียงตัวเดียวในขณะนี้ มันเรียนรู้การบินและก็ไม่เสียใจที่ถูกเคราะห์กรรม นางนวลโจนาธานค้นพบว่าความเบื่อหน่าย ความกลัว ความโกรธ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตนกนางนวลสั้นยิ่งนัก และเมื่อสิ่งเหล่านี้สูญหายไปจากจิตใจของมัน โจนาธานก็มีชีวิตยืนยาวสดใสยิ่ง


    They came in the evening, then, and found Ionathan gliding peaceful
    and alone through his beloved sky. The two gulls that appeared at his
    wings were pure as starlight, and the glow from them was gentle and
    friendly in the high night air. But most lovely of all was the skill with
    which they flew, their wingtips moving a precise and constant inch from
    his own.

    พวกนั้นมาถึงเมื่อตอนพลบค่ำ มาพบโจนาธานกำลังบินร่อนอยู่อย่างสงบตัวเดียวภายใต้ท้องฟ้าที่มันรัก นางนวลสองตัวที่มาปรากฎใกล้ปีกของโจนาธานนั้นดูบริสุทธิ์ราวกับแสงดาว และรังสีที่เปล่งออกมาดูเยือกเย็นเป็นมิตรในอากาศของยามค่ำคืน แต่สิ่งที่งดงามที่สุดก็คือ ความชำนำชำนาญในการบินของนกสองตัวนั้น ปลายปีกขยับทีละนิ้วฟุต อย่างแม่นยำและมั่นคงเมื่อเทียบกับโจนาธาน



    Without a word, Jonathan put them to his test, a test that no
    gull had ever passed. He twisted his wings, slowed to a single mile per
    hour above stall. The two radiant birds slowed with him, smoothly, locked
    in position. They knew about slow flying.
    He folded his wings, rolled and dropped in a dive to a hundred ninety
    miles per hour. They dropped with him, streaking down in flawless
    formation.

    โดยที่มิได้พูดอะไร โจนาธานทำการลองเชิงนางนวลสองตัวนั้น การลองเชิงที่ไม่มีนางนวลตัวใดเคยผ่านไปได้ โจนาธานขยับบิดปีกร่อนลงช้าลงเหลือเพียงหนึ่งไมล์ต่อชั่วโมงจนเกือบหยุดนิ่ง เจ้าสองตัวแสนงามนั้นบินช้าลงเช่นกันอย่างนิ่มนวลด้วยท่าอันถูกต้องมันรู้วิธีบินช้าเป็นอย่างดี โจนาธานขยับปีกเข้า ถลาไป แล้วก็พุ่งดิ่งลงด้วยความเร็วเก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง นางนวลสองตัวนั่นก็พุ่งดิ่งลงมาพร้อมกับโจนาธานโดยไม่ผิดพลาด


    At last he turned that speed straight up into a long vertical
    slow-roll. They rolled with him, smiling.

    ในที่สุดโจนาธานก็เปลี่ยนความเร็วนั้นขึ้นไปเป็นเส้นตรง ถลาไปอย่างช้าๆ เจ้าสองตัวนั่นก็ถลาตามมาแล้วยิ้ม


    He recovered to level flight and was quiet for a time before he
    spoke.

    โจนาธานกลับไปบินระดับตรง เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น

    "Very well," he said, "who are you?"
    "We're from your Flock, Jonathan. We are your brothers." The words
    were strong and calm. "We've come to take you higher, to take you home."

    "เอาละ" มันว่า "เธอเป็นใคร"
    "เรามาจากฝูงของเธอ โจนาธาน เราเป็นพี่น้องของเธอ" คำพูดดูหนักแน่นและเยือกเย็น
    "เรามาเอาเธอไปที่สูงไกลออกไป เอาเธอกลับบ้าน"


    "Home I have none. Flock I have none. I am Outcast. And we fly now at
    the peak of the Great Mountain Wind. Beyond a few hundred feet, I can lift
    this old body no higher."

    "บ้านฉันไม่มี ฝูงฉันก็ไม่มี ฉันเป็นตัวหัวเน่า และตอนนี้เราก็บินอยู่สูงสุด ลมภูผาใหญ่ แล้ว เพียงอีกแค่สองสามร้อยฟุตฉันก็จะพยุงตัวบินสูงขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว"


    "But you can Jonathan. For you have learned. One school is finished,
    and the time has come for another to begin."

    "แต่เธอทำได้ โจนาธาน เพราะเธอได้เรียนรู้มาแล้ว จบสิ้นไปแล้วหนึ่งโรงเรียน ตอนนี้ ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มใหม่อีกโรงเรียนหนึ่ง"



    As it had shined across him all his life, so understanding lighted
    that moment for Jonathan Seagull. They were right. He could fly higher,
    and it was time to go home.
    He gave one last look across the sky, across that magnificent silver
    land where he had learned so much.

    เหมือนดั่งกับว่าโจนาธานได้รู้มากแล้วชั่วชีวิต นางนวลโจนาธานเข้าใจเป็นอย่างดีในฉับพลัน เจ้านกสองตัวนั่นพูดถูก โจนาธานบินสูงขึ้นไปได้ และถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านแล้ว โจนาธานมองดูท้องฟ้า แผ่นดินสีเงินงามที่มันได้เรียนรู้อย่างมหาศาลเป็นครั้งสุดท้ายเป็นเวลานาน


    "I'm ready " he said at last.

    And Jonathan Livingston Seagull rose with the two starbright gulls to
    disappear into a perfect dark sky.



    "ฉันพร้อมแล้ว" โจนาธานพูดขึ้นในที่สุด

    และแล้วนางนวลโจนาธาน ลิฟวิงสตัน ก็บินสูงขึ้นไปพร้อมกับนกสองตัวที่สดใสราวกับดาวนั่น หายเข้าไปในท้องฟ้าที่มืดสนิท


    [​IMG]

    credit by: Jonathan
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2012
  11. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=t8mWj-qfCW8"]Imee Ooi - Om Mani Padme Hum (Beautiful Chanting) - YouTube[/ame]
     
  12. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    สวัสดีวันพระครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=66tq9xji0xA]1hr Theta Binaural Beat Session (7hz) ~ Pure - YouTube[/ame]

    ผมมี อะไร จะบอก..... !!!!! สอบติดแล้วคร้าบ OO! รอสัมภาษ ฮับบ ><!!
     
  13. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    สุดท้ายแล้วคืนนี้ก็.. ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2013
  14. thunderstrom

    thunderstrom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    853
    ค่าพลัง:
    +62
    ยินดีด้วยนะครับพี่เมขต์ ขอให้สนุกกับชีวิตใหม่ โลกใบใหม่
     
  15. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ยินดีด้วยนะ เมขต์.......ขอให้ติดสัมภาษณ์ด้วยนะจ๊ะ..โชคดี..
     
  16. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอบคุณครับพี่สายฟ้า ลุงปลง วันนี้สดชื่น แบ่งปันรอยยิ้ม ครับ ยิ้ม ยิ้ม
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=E1bKEYrn79Y]บ่วงรัก - ศรัณย่า - YouTube[/ame]
     
  17. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอบคุณครับพี่สายฟ้า ลุงปลง วันนี้สดชื่น แบ่งปันรอยยิ้ม ครับ ยิ้ม ยิ้ม
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  18. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    พอแระ ให้ฟังแค่นี้ 5555 ช่วงนี้ จัดเพลงถูกใจกันบ้างไหมครับเนี่ย เด่วผมจะออกไปข้างนอกล่ะ ^ ^
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=UQe-PTbyxaM"]Elle Varner - Refill (Audio) - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  19. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=vAnJjG4vVQw]Dying Inside - Liu Yi Fei - YouTube[/ame]
     
  20. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    [​IMG]

    Natural เมื่อไหร่นะมนุษย์จะเข้าใจว่าธรรมชาติคือผู้ตัดสิน ด้วยตัวเองอยู่แล้วมิใช่เราเป็นผู้ควบคุม หรือ เป็น NEMESIS แทน Natural แต่เราคือผู้ดำเนินไปร่วมกับธรรมชาติ บังคับไม่ได้ แต่ขอร้องได้(ยืมคำพี่เขามา 555) ก็เหมือนนักรบผู้ชำนาญการขี่ม้า นั่นเพราะเขารู้จักม้า และธรรมชาติอันเป็นหนึ่งเดียวกันกับม้า จึงเคลื่อนไหวไปพร้อมกับม้าได้ ถนนสองเลน เราเลือกที่จะขับรถตามเลนได้ โดยไม่ชนกัน มันก็ดีแล้วมั้งครับ รถคันไหนติดแก้สก็เติมแก้ส รถคันไหนเติมน้ำมันก็เติมน้ำมันไป ถนัดความเร็วเท่าไหนก็ขับไปตามที่เราชำนาญ ดีไหม ถ้ามัวส่องหญิงคันข้างๆมากไปรถผมคงเสียหลัก ชิมิ :D 5555 แต่ผมชอบนะ ดอกไม้สวยๆ ลูกอมหวานๆอร่อยๆตามทาง อยากจะเก็บไว้ทุกเม็ดทุกดอกเลยครับ เก็บไว้ท่ามกลางสายตาของผมหนะนะ อิอิ กินมะลง

    ประโยควันนี้ต้องบอกว่า " คนพยศ " นะครับ มิใช่ม้าพยศ!!!! 5555
    เพราะว่ากว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกับม้า คนคงพยศม้า จนม้า เอือม


    เดินกลับมาอย่าง สลืมสลือ สโล้ สเล้ หลังสอบสัมภาษเสร็จไป อื่มม.. เจอร้านหนังสือเก่าๆ เอาหระสิ 555ต่อมกิเลสผมก็แตกซ่านนแล้ว 555 เด็กๆ การจะซื้อหนังสือได้สักเล่มเป็นอะไรที่พิเศษมากครับ ดีใจมากๆเวลาได้หนังสือ มาสักเล่ม จำได้ว่า ป.สองผมก็อ่านนิกกับพิมพ์แล้ว คือ เด็กๆชอบคลุกอยู่ในห้องสมุดครับมันเย็นด้วยหระ 55555 เอาครับแวะสักหน่อย เหลือตังติดตัวอยู่ประมาณแปดร้อย(ใช้อีกหลายวัน)

    ก่อนหน้านั้น อยากจะได้หนังสือเกี่ยวกับพุทธฝั่งธิเบตมาศึกษาดูบ้างพอดี โอโห้ เยี่ยมเลยครับ ร้านนี้แกมีอะไรๆน่าสนใจ ไม่ใช่มีแต่หนังสือพุทธฝั่งธิเบตที่น่าสนใจเท่านั้น ยังมี หนังสือดีๆ วรรณกรรมน่าอ่าน ไม่ผิดหวังเลยครับและที่สำคัญราคาย่อมเยาว์ คนขายใจดีมักๆ ผมซื้อหนังสือมาห้าเล่มหนาๆแกให้ 220 ครับ ( ตอนแรกต่อได้240แต่ อีกยี่สิบล้วงยากมาก พี่แกเลยให้ไปเลย 220) ขายอยู่ข้างเซเว่นที่อนุเสาวรีย์ฝั่งมาสนามเป้าครับ ที่ผมสนใจมากคือ

    -สีหนาท บรรลือ (the lion's roar) เชอเกรียม ตรุงปะ บรรยาย พจนา จัทรสันติ แปล
    -วรรณกรรมแปลอีกสองเรื่อง ไอ้หนูซามูไร Young samurai และ The Grift ลางรัก ลางลวง
    วันนี้เกริ่นๆเรื่องม้า เพราะคำโปรย ของเรื่องเหล่านี้ครับ


    " มีเวลาเพียงพอใครก็อาจควบคุมร่างกายได้
    มีความรู้เพียงพอใครก็อาจฉลาดได้
    นักรบที่อุทิศตนที่สุดเท่านั้น
    ที่ควบคุมได้ทั้งสองอย่าง
    และบรรลุถึง บูชิโด ที่แท้จริง "


    >>นี่จากไอ้หนูซามูไรครับ
    [​IMG]

    " การเดินทางในทางพุทธศาสนาเป็นการเดินทางตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งจุดจบก็คือจุดเริ่มต้นด้วย
    นี่คือการเดินทางของนวยาน หรือขั้นตอนทั้งเก้าที่ผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านพ้น
    ยาน ในที่นี้หมายถึงพาหะหรือพาหนะเมื่อใดที่คุณได้ขึ้นไปอยู่บนราชรถนี้แล้ว
    คุณก็จะต้องมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีการย้อนกลับหรือหยุดยั้งลง
    คุณไม่มีทางที่จะควบคุมบังคับม้า ที่เทียมรถนี้ได้
    มันเป็นกระบวนการวิวัฒนาการไปเบื้อหน้า การเริ่มต้นเดินทางเยี่ยงนี้
    คือการอธิษฐานตนลงในกระแสกรรมหรือกฏแห่งกรรม(เป็นไงตรงกับกฏธรรมชาติไม๊)
    มันเป็นเหมือนกับการเกิดเมื่อใดที่คุณ ถือกำเนิดขึ้นมา .... "


    >>อันนี้จากสีหนาทบรรลือครับ
    [​IMG]

    แต่ผมยังไม่พร้อมอ่านตอนนี้หรอก 5555 ไปเดินเล่นกาชาติมาด้วย คนเยอะมากกก ​

    พูดถึงม้า นึกถึง the horse wishiperer เขาบอกว่าต้องสั่งเอาแล้วครับ หนังเก่ามาก 5555วันนี้ผมเลยไปเช่า flicka2 กับสามทหารเสือมาดูครับ สามทหารเสือแม่สาวผมแดงเล่นด้วยแหละขวัญใจผมเลย

    เรื่องนี้ พระราชาเป็นพวกเอาแต่ใจก็จริง แต่คาดินอน ก็ไม่มีสิทธิตัดสิน โดยคิดว่าตนเองควรจะเป็นผู้นำแทนเขา คาดินอนจึงคิดจะปกครองเอง แต่การกระทำของเขาจะชักศึกระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ และอันที่จริงคาดินอน ก็ไม่สมควรจะเป็นผู้นำเช่นกัน "นางเลือกหนทางเองมาตลอดไม่ว่าอยู่หรือตาย" ดูแล้วนึกถึง the loser ครับเรื่องนี้ อารมเดียวกันเลย แนวๆ ตูถูกผู้หญิงหลอกอีกแล้ว 5555 ในเรื่องมีการส่งรหัสดาวินชีกันด้วย พูดถึงรหัสลับดาวินชี ทำให้นึกถึง หนังสือเล่มนี้ "the drunkard's walk ชีวิตนี้ ฟ้าลิขิต เลนเนิร์ดฯ เขียน กฤตยา&นพดล แปล" เล่มนี้พูดถึงการสุ่มเลือกที่แทรกอยู่ในทุกกิจกรรมของมนุษย์ ผมว่าเล่มนี้จะทำให้เรา get เรื่องของปรากฏการณ์ครับ กลับมาที่หนัง รวมๆแล้วก็น่าประทับใจดีครับ ดูเพลินๆ แต่ผมประทับใจ flickca2 สุดละ //\\

    [​IMG]


    ไปหระ ฝันดีนะครับ วันนี้นายเมขต์พูดพร่ำมาก 555
    หวังว่า ทุกท่าน จะ enjoy กับ story ที่ผมนำมาฝากวันนี้นะครับ
    วันนี้ หมดเวลาของผมแล้ว บ๊ายบายครับ SEE YOU AGAIN NEXT UP ขอรับ!!!


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=l6HyjVtwV7M]Flicka - We Are One - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...